คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เพื่อน บ่อน้ำ กับเขาคนนั้น
ฉันลอบมองคนที่กำลังยืนคุยกับอาจารย์พยาบาลผ่านผ้าม่านสีขาวบางๆ ข้างตัวเขามีผู้ชายที่ฉันไม่อยากเจอหน้าที่สุดยืนฟังอาจารย์พยาบาลบอกเกี่ยวกับอาการของฉัน ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นกับ... นายอรรถพันธ์จะเดินมาหาฉันที่เตียง ฉันมองใบหน้าของเขาถือว่าเข้าขั้นหล่อเลยทีเดียวนะ ออกหวานๆหน่อยโดยรวมถือว่าดูดีมาก นายเอ็มมองบาดแผลของฉันที่กำลังระบมได้ที่ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“โชคดีชะมัดเลยนะเธอเนี่ย ปกติคนอื่นที่มายุ่งกับฉันโดนมากกว่านี้ตั้งหลายเท่า”นายเอ็มพูด ฉันมองด้วยสายตานิ่งๆ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเจอกับนายอรรถพันธ์จนถึงเวลานี้ฉันก็ยังเกลียดและกลัวที่จะเข้าใกล้นายอรรถพันธ์ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ทำไม คงเพราะฉันและเขามีสัมผัสที่หกเหมือนกัน อีกอย่างเขาก็เป็นศัตรูของฉันกับบีมเสียด้วยสิ
“ฉันเกลียดนาย”ฉันพูดนิ่งๆแล้วมองผ่านนายเอ็มไปยังเพดานขาวๆ แม้เสียงที่พูดจะไม่ชัดเท่าที่ควรเพราะความเจ็บที่ปากมันยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม เอ็มมองฉันแปลกๆ ก่อนจะหันไปพูดกับคนข้างๆเขาประมาณว่าฝากดูแลฉันหน่อย อะไรประมาณนี้ ก่อนที่นายเอ็มนั่นจะเดินออกไป แถมท้ายด้วยเสียงประตูที่ปิดดัง ปึง!!
“หวัดดีนะ เราชื่อเต้ เป็นเพื่อนเอ็ม เธอชื่ออะไรเหรอ”นายเต้พูดกับฉันก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง ฉันมองหน้าเต้ สำรวจอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ
“นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ไปเรียนเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้”ฉันตอบ ก่อนที่นายเต้จะมองหน้าฉันเคืองๆ เขาลุกขึ้นเตรียมหันหลัง แต่ก่อนจะเดินจากไปเขาก็ทิ้งประโยคๆหนึ่งไว้ให้ฉัน
“เธอไม่สมควรทำกับคนที่ช่วยเธอแบบนี้นะ”แล้วเขาก็เดินจากไป สุดท้ายฉันก็ได้แต่ขอบคุณเขาอยู่ในใจ แต่ฉันคิดว่าไม่สมควรให้เขามารู้จักฉันจะดีที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย...
ฉันนอนพักจนถึงเวลาพักกลางวัน ก่อนจะหอบสังขารตัวเองมานั่งอยู่ในโรงอาหาร ตรงหน้าฉันมีข้าวต้มวางอยู่จานหนึ่งซึ่งมันไม่ยังพร่องลงเลยแม้แต่น้อย ฉันเขี่ยข้าวต้มในจานตักขึ้นมา และเทกลับลงไป ทำแบบนี้อยู่นานจนข้าวต้มนั้นเย็นชืด ฉันถึงได้ยกจานไปเททิ้ง ตามร่างกายมีร่องรอยการถูกทำร้ายอย่างชัดเจน และฉันคิดว่าถ้าฉันบอกว่าตกบันไดแบบในนิยายหลายๆเรื่อง ฉันคงเป็นนางเอกปัญญาอ่อนแน่ๆ รึว่าฉันจะเป็นนางร้ายกันล่ะ เฮ้อ! ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ฉันเดินไปซื้อน้ำหนึ่งขวดกับขนมปังทาเนยราดช็อกโกแลตอีกหนึ่งชิ้นเดินไปนั่งกินในที่ประจำของฉัน
“แก้ว... เธอไปโดนอะไรมา”บีมพุ่งตัวเข้ามาหา โผล่มาจากไหนเนี่ย... ฉันมองหน้าบีมแบบงงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบบีมในใจเพราะว่าปากยังเต็มไปด้วยขนมปัง อีกอย่างเจ็บปากมันก็เป็นรวมเป็นเหตุผลหนึ่งด้วยล่ะนะ
‘ โดนรุมน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก แล้วบีมหายไปไหนมาล่ะ ตั้งครึ่งวัน ’ ฉันถามในใจ ก่อนจะเห็นวิญญาณเด็กคนหนึ่งเดินวนไปเวียนมาอยู่แถวๆที่ฉันนั่งอยู่ ฉันเลยกวักมือเรียกให้เธอมานั่งด้วยกัน ดูเหมือนบีมจะเลิกสนใจคำถามของฉันแล้วหันไปคุยกับเพื่อนของเธอ ฉันเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเธอชื่อซัน เห็นว่าเป็นไข้สมองอักเสบตาย ถ้าฉันได้ยินไม่ผิดนะ
“โรงเรียนนี้วิญญาณเยอะนะ ตอนแรกฉันก็ไม่นึกว่ามี แต่พอเป็นวิญญาณแล้วถึงได้รู้ แถวนี้วิญญาณมีมากกว่าคนอีก เออ... ว่าจะถามนานแล้ว บีมเป็นอะไรถึงตายล่ะ ฉันอยากรู้”ซันถาม ฉันเงี่ยหูฟังทันที นั่นสิ อยู่กับบีมมาเกือบ 4 ปี ฉันยังไม่รู้เลย บีมทำท่านึกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่รู้แฮะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเป็นวิญญาณเนี่ยล่ะ แถมวิญญาณยังมาอยู่กับแก้วอีก ร่างตัวเองยังไม่เคยเห็นเลย”บีมได้ทีบ่นใหญ่ ถึงว่าบีมไม่เคยกลับไปเยี่ยมใครที่บ้านเลย ฉันเคี้ยงขนมปังคำสุดท้ายก่อนจะเปิดขวดน้ำซดไปเกือบค่อนขวด อ่า... ใกล้คาบบ่ายแล้วนี่หว่า ไปเรียนดีกว่าแฮะ ฉันหันไปถามบีมว่าจะไปอยู่กับฉันหรือจะอยู่คุยกับซันก่อน สุดท้ายบีมก็เลือกอยู่คุยกับซันเห็นแอบๆคุยกันว่าจะไปหาพี่นัทที่ดาดฟ้าโรงเรียนเสียด้วย เอาเหอะ... บีมเป็นวิญญาณ อยู่คุยกับวิญญาณน่าจะดีกว่า
ฉันเลิกสนใจแล้วตั้งหน้าตั้งตาพยุงตัวเองให้ขึ้นไปถึงห้องเรียน ห้องฉันอยู่ชั้นสี่ แน่นอนว่าปกติก็เหนื่อยอยู่แล้ว ยิ่งตอนกำลังเจ็บตัวแบบนี้ด้วยมันโคตรจะ... เหนื่อย เมื่อไปถึงห้องเรียนดูเหมือนเพื่อนหลายๆคนจะอึ้งกับสภาพของฉันเล็กน้อย ยิ่งโดยเฉพาะนายโชกับมินด้วยแล้วยิ่งหน้าเหวอสุดๆ ไม่รู้ว่าฉันควรจะขำใครดีระหว่างหน้าของโชกับมิน หรือขำตัวฉันเองที่ทำให้ทั้งสองคนหน้าเหวอได้ขนาดนี้
“แก้ว... เธอไปฟัดกับหมาที่ไหนมาเนี่ย”มินพุ่งตัวมาที่ฉันทันที ฉันไม่ตอบอะไร แต่เดินไปที่โต๊ะมองหน้าทั้งสองคนเดินมาขอคำตอบ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ไปนั่งที่เหอะ เดี๋ยวอาจารย์เข้ามาจะว่าเอา”ฉันตอบ แล้วฟุบลงกับโต๊ะ แต่พออาจารย์มา ฉันก็ลุกขึ้นมาเรียนนะคะ ไม่งั้นโดนอาจารย์ด่าตาย มาหลับในห้องเรียนเนี่ย เหอะๆ
ช่วงบ่ายของห้องฉันมีเรียนแค่สองคาบ ส่วนคาบสุดท้ายว่าง โชคดีชะมัดเลย ฉันเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกนอกโรงเรียน นั่งรถเมล์ไปลงที่โรงเรียนรัตนวิทยา ฉันรอเวลาอีกประมาณ 20 นาที ถึงจะเข้าไปในโรงเรียนได้ แต่เพียงแค่ฉันเห็นประตูโรงเรียน ความรู้สึกที่ไม่ใช่ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นความรู้สึก... คิดถึง ฉันรอจนยามหน้าประตูเดินมาเปิดประตูโรงเรียน ฉันยกมือไหว้ อ่า...อ่อนน้อมถ่อมตนไว้ก่อนเป็นดีค่ะ หลังจากนั่นฉันก็เดินไปที่ห้องสมุด แปลกแฮะ ทั้งๆที่ฉันเคยมาครั้งแรก แต่ฉันกลับรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน หรือฉันจะเคยเรียนอยู่ที่นี้จริงๆนะ
ฉันไล่หาหนังสือรุ่นตามระดับชั้นไปเรื่อยๆ อืม... สี่ปีที่แล้ว อยู่ไหนหว่า... ฉันเลื่อนมือไล่ไปตามปีพ.ศ. ก่อนจะหยุดอยู่ที่หนังสือเล่มหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆบรรจงเปิดหนังสือไปที่หน้าของนักเรียนชั้นป. 4 มีตั้ง 6 ห้องแหนะ ฉันไล่ดูรายชื่อของป.4/1 ไม่มีชื่อฉันแฮะ ฉันเปิดผ่านไปอีกหน้าห้องสองก็ไม่มี และในที่สุดฉันก็ไปสะดุดที่ชื่อๆหนึ่ง
... ด.ญ.จิตใส เพรชมรกต นักเรียนชั้นป.4/4 ...
ฉันมองภาพที่ถ่ายรวมกันทั้งห้อง ไม่มี... ไม่มีภาพฉันอยู่ ฉันหายไปไหนล่ะ ก่อนที่ฉันจะได้นึกอะไรต่อ ก็มีเสียงดังขึ้นมาที่ข้างๆตัวฉัน
“ตอนนั้นเธอเข้าโรงพยาบาล ก่อนที่เธอจะลาออกจากโรงเรียนไป”ฉันเงยหน้ามองตามเสียงเบนนั่งไกวขาอยู่บนตู้หนังสือ ตกใจชะมัดเลย เบนกระโดดลงมายืนข้างๆฉันก่อนจะชี้นิ้วลงไปหาคนในภาพคนหนึ่ง
“นี่ฉันเอง มานี่สิ เดี๋ยวฉันจะพาไปที่ประจำของเธอ”เบนบอกแล้วลอยนำหน้าฉันไป ทำให้ฉันต้องรีบเก็บหนังสือเข้าตู้ โดยไม่รู้เลยว่าถ้าตอนนั้นฉันเปิดผ่านมันไปอีกสองหน้า ฉันจะได้เห็นรายชื่อของใครบางคน
...ด.ญ.ลวัศย์สร เมืองน้ำงาม นักเรียนชั้นป.4/6...
ฉันเดินตามเบนไปและหยุดอยู่ที่บ่อน้ำแห่งหนึ่ง มันเป็นบ่อน้ำเก่าๆที่มีตะไคร่น้ำขึ้นเกาะรอบบ่อ จู่ๆฉันก็เห็นตัวของฉันเองนั่งอยู่ที่บ่อน้ำนี้ ภาพของฉันตอนประถม ก่อนที่ภาพนั้นจะหายไปภายในเสี้ยววิ
“อึก!”ฉันสะอึกและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใช่จริงๆ ฉันเคยอยู่ที่นี้จริงๆ แต่ทำไมฉันถึงจำอย่างอื่นไม่ได้ล่ะ เบนเอื้อมมือมาจับไหล่ฉันเอาไว้ก่อนจะทำหน้าเศร้า ฉันมองเธออย่างไม่เข้าใจ
“แก้ว... ขอโทษนะ แต่ฉันคงช่วยเธอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เวลาของฉันหมดแล้ว”ร่างวิญญาณของเบนดูเบาบางจนไม่ทำให้รู้สึกถึงตัวตนของเธอ เบนยิ้มให้ฉันเป็นครั้งสุดท้าย
“ลาก่อนนะ... ฉันหวังว่าเธอจะจำเรื่องทุกอย่างได้ รวมถึงเรื่องที่ฉัน... รักเธอ”เบนกล่าวคำอำลาที่ฉันไม่อยากได้ยิน ร่างของเธอหายไปกับสายลมที่พัดผ่านมาอย่างแผ่วเบา แตกสลายหายไปไม่เหลือแม้กระทั่งพื้นที่ที่เธอเคยอยู่ ฉันล้มตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม รัก... งั้นเหรอ ตัวฉันในแต่ก่อนมันเป็นอย่างไรนะ ถึงทำให้เบนมารักฉันได้...
...เธอก็คือเธอ เธอไม่เคยกลายเป็นคนอื่น และคนอื่นก็ไม่เคยกลายเป็นเธอ ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่นั่นก็ยังเป็นตัวของเธอ เป็นร่างกายของเธอ เป็นจิตวิญญาณของเธอ อย่าลืมซะล่ะ...
“ไง เจอกันอีกแล้วนะคนโชคร้าย”เสียงทุ้มนุ่มของใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังของฉัน เจ้าของเสียงๆนั่นเดินมานั่งลงที่ข้างตัวฉัน ก่อนที่แสงอาทิตย์ยามเย็นจะสาดส่องร่างกายของพวกเราสองคน
“ไม่คิดจะทักกันบ้างรึไงคนโชคร้าย ฉันอุตส่าห์ไม่ถือเรื่องที่คนโชคร้ายไม่ขอบคุณฉันที่ห้องพยาบาลแล้วนะ”เขาพูดแล้วโผล่หน้าเข้ามาในระดับสายตาของฉัน
“ใครใช้ให้นายถือไม่ทราบล่ะ”กวนประสาทจริงๆนายนี่... ฉันเสหลบตาไปอีกข้างมองเสาธงของโรงเรียน ธงชาติที่กำลังโบกพลิ้วตามแรงลมโดยมีแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันเป็นฉากหลัง แสงสีส้มของพระอาทิตย์ขับให้ธงชาติยิ่งดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น นกที่กำลังบินกลับรัง ก้อนเมฆที่ลอยจับกลุ่มกันเป็นก้อน ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ นานเท่าไรแล้วที่ฉันไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ไม่สิ... พระอาทิตย์นั่นลับจากขอบฟ้าเพื่อพักผ่อนทุกๆวันแต่ตัวฉันนั่นเองที่ไม่เคยใส่ใจธรรมชาติเลย
“สวยใช่ไหมล่ะ ยามพระอาทิตย์อัสดง... นั่นจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราจะได้สัมผัสถึงความสงบของทุกๆสรรพสิ่ง”นายเต้พูดขึ้นก่อนจะเอนตัวลงใช้สองแขนยันพื้นด้านหลังเอาไว้ยืดขาออกไปเบื้องหน้าแล้วหลังตาลงสูบลมหายใจอย่างเต็มที่ ฉันมองแล้วหัวเราะเบาๆ เขาหันมามองใบหน้าของฉันแล้วยิ้มน้อยๆ
“คนโชคร้ายนี่หัวเราะน่ารักดีนะ เอาล่ะ... กลับกันเถอะคนโชคร้าย เดี๋ยวฉันจะไปส่งเอง”นายเต้ลุกขึ้น ก่อนจะยื่นมือมาให้ฉัน ฉันเงยหน้ามองแล้วลุกขึ้นเองโดยไม่พึ่งมือของเขา ดูนายเต้จะหน้าเสียนิดหน่อยแต่ก็ยังยิ้มให้ฉันได้อยู่ ฉันกับนายเต้เดินเลียบถนนไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบนัก
“นายไม่คิดอยากจะรู้ชื่อของฉันแล้วเหรอ”ฉันหันไปถามนายเต้ที่ตอนนี้กำลังอมอมยิ้มอยู่ รสสตอเบอร์รี่ซะด้วย นายเต้เอาอมยิ้มออกจากปากก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่หรอก แต่ถ้าคนโชคร้ายไม่อยากบอก ฉันก็จะไม่ถาม ดีออกจะตายสบายใจทั้งสองฝ่ายด้วย คนโชคร้ายไม่คิดแบบนั่นเหรอ”เขาถามฉัน นั่นสินะ... ถ้าคนไม่อยากบอก แล้วทำไมต้องถามด้วย
“นายนี่คิดอะไรง่ายๆดีนะ ถ้าฉันเป็นแบบนายได้ ฉันคงจะสบายกว่านี้”ฉันพูดตามที่ตัวเองคิด ก่อนที่นายเต้จะหยุดเดินแล้วพลิกตัวฉันให้หันไปสบตากับเขาตรงๆ
“นี่คนโชคร้าย... ไม่ว่าเมื่อไรคนโชคร้ายก็คือคนโชคร้าย ไม่มีทางเป็นคนอื่นได้หรอก ไม่ว่าคนโชคร้ายจะเป็นแบบไหน แต่คนโชคร้ายก็จะยังคงเป็นคนโชคร้ายเสมอ อย่าคิดว่าถ้าเป็นแบบคนอื่นจะดีกว่าเลยนะ”เต้ว่า ประโยคนั้นทำให้ฉันนึกถึงสิ่งๆหนึ่งที่ยังคงค้างอยู่ในจิตใจของฉัน
“นายรู้มั๊ย... แต่ก่อนก็เคยมีคนพูดประโยคคล้ายๆแบบนี้ให้ฉันฟัง มันเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่ฉันจำได้หลังจากความจำเสื่อม อ่า... อย่าถามเลยนะว่าทำไมฉันถึงความจำเสื่อมน่ะ”ฉันพูดดักคอ เพราะไม่แน่ใจว่านายเต้นั่นจะอยากรู้รึเปล่า เพราะขนาดฉันเองยังไม่รู้เลย เรื่องก่อนที่ฉันจะความจำเสื่อมน่ะ
“ก็ได้ๆ เล่นดักคอไม่ให้ถามแบบนี้ ฉันคงจะกล้าถามอยู่หรอก รีบเดินเถอะ เดี๋ยวถ้าคนโชคร้ายกลับบ้านช้า ที่บ้านจะเป็นห่วงซะเปล่าๆ”นายเต้บอก ห่วง... คงจะแบบนั่นล่ะมั้ง ฉันเดินขึ้นไปอยู่ข้างๆนายเต้ที่เดินล่วงหน้าฉันไป
พอเข้ามาใกล้ถึงซอยบ้าน ฉันเลยบอกให้นายเต้กลับไปได้แล้ว เพราะคงมีคนถามแน่ๆ ถ้ามีผู้ชายไปส่งฉันที่บ้าน วันนี้ก็มีเรื่องมากพอที่จะให้ฉันคิดแล้ว คงไม่ต้องให้ใครมาเพิ่มเรื่องให้ฉันคิดหรอกนะ ฉันบอกลากับนายเต้ที่หน้าปากซอยบ้าน ก่อนที่ฉันจะเดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อเข้าบ้านตัวเอง เมื่อไปถึงไฟในบ้านยังปิดอยู่ แสดงว่ายังไม่มีใครกลับถึงบ้าน ฉันหยิบกุญแจออกมาแล้วไขประตูบ้านเข้าไปเอง น่าแปลกที่เวลานี้ขวัญยังไม่กลับมา ปกติเธอมักจะกลับมาก่อนคนอื่นๆ ฉันเริ่มไม่แน่ใจในความคิดของตัวเอง ก่อนที่จะรีบถอดรองเท้าและวิ่งเข้าไปในบ้านทันที...!
ความคิดเห็น