ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สัมผัสที่หก

    ลำดับตอนที่ #4 : โรงพยาบาล วิญญาณ ความตาย

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 55


    ฉันถอยหลังให้ห่างจากที่เดิมประมาณ 5-6 ก้าว  เอ็มเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว สายตาของเขากลับมาเป็นปกติแต่ถึงยังไงฉันก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี  เพราะถ้าเทียบกันแล้ว พลังของเอ็มนั้นมันมีมากกว่าพลังที่ฉันมีเสียอีก ถ้าเอ็มคิดจะฆ่าฉันล่ะก็... มันคงไม่ยากเลยสักนิด  แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายฉันนอกเสียจากจะมาคอยรบกวนในเรื่องที่ทำให้ฉันต้องคอยเกี่ยวข้องกับวิญญาณ  เอ็มเคยบอกฉันว่า ถ้าฉันไม่มีสัมผัสที่หก เขาก็จะไม่ยุ่งกับฉัน  แต่ตอนนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉันยังมีวิญญาณของบีมคอยติดตามอยู่

                ตกลงจะทำยังไงต่อไปเอ็มถามย้ำอีกครั้ง

                ไม่รู้สิ  ฉันคิดว่าพรุ่งนี้เย็น ฉันจะลองไปที่โรงเรียนนั้นดูเป็นเวลาเดียวกับที่แม่ของฉันเดินมาตาม  ฉันเดินเลี่ยงเอ็มไปขึ้นรถ  ขวัญที่ยืนรอฉันอยู่ที่รถ มองหน้าฉันซีดๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง  ฉันปล่อยให้มันผ่านไปก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งรอบนรถ  ฉันหลับตาลงในทันทีที่รถเริ่มเคลื่อนตัวออก  และลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร  ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างคุ้นๆของคนๆหนึ่งทำให้ฉันรีบบอกให้พ่อจอดรถในทันที

                พ่อคะ  จอดรถหน่อยสิฉันบอก  พ่อมองฉันงงๆแต่ก็ค่อยๆเลี้ยวรถมาจอดข้างทางให้ ฉันเปิดประตูรถลงมา  ก่อนจะโผล่หน้าเข้าไปบอกทุกคน

                เดี๋ยวแก้วกลับเองนะคะ อาจจะดึกหน่อยนะฉันพูดเร็วๆแล้วปิดประตูรถทันที  สายตาฉันมองไปยังอีกฟากของถนน  ร่างของคนๆนั้นเดินเลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาล  ฉันรีบเดินตามเข้าไปติดๆ จนถึงหน้าห้องๆหนึ่ง  ฉันรีบเดินไปดูป้ายชื่อหน้าห้อง 

    นายชาญวุฒิ  เอกองอาจ  นามสกุลเดียวกันกับคนที่ฉันเดินตามเข้ามาทำให้ฉันพอจะเข้าใจลางๆ  ฉันคิดว่าบางคนคงพอจำได้นะคะ  นามสกุลเอกองอาจ  ใช่ค่ะ... คนที่ฉันเดินตามเข้ามาก็คือนายไตรภพ หรือว่าโชนั่นเอง  ฉันมองลอดผ่านกระจกเข้าไป  กลิ่นโรงพยาบาลเป็นอะไรที่ฉันเกลียดมากๆ ก็ตอนอายุ 10 ขวบ ฉันต้องนอนโรงพยาบาลเกือบอาทิตย์ มันทำให้ฉันรู้สึกเกลียดโรงพยาบาลมาตั้งแต่ตอนนั้น

                น้องแก้วเหรอครับเสียงทักมาจากด้านหลัง ฉันหันไปมอง ถ้าฉันจำไม่ผิด  คนๆนี้คือพี่ริว ที่ฉันเพิ่งเจอไปเมื่อวานเพราะเรื่องของฟ้า 

                ค่ะ  พี่ริวมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอคะฉันทัก  พี่ริวยิ้มแล้วชี้ไปในห้อง

                พี่มาเยี่ยมพ่อน่ะครับ แล้วน้องแก้วล่ะ  อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมพ่อพี่เหมือนกันพี่ริวพูดขำๆ  ก่อนจะเดินนำฉันเข้าไปในห้องพัก  แล้วดึงมือฉันให้ตามเข้าไปด้วย  ฉันมองหน้าพ่อของพี่ริวและนายโชที่กำลังหลับสนิท  โชมองหน้าฉันอย่างสงสัย แต่ก็ทำท่าจุ๊ปากไม่ให้ฉันพูดอะไรเสียงดัง  ฉันมองคนที่นอนอยู่บนเตียงจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว  แต่ใบหน้าซีดเซียวก็พอบอกได้ว่าคนๆนี้เป็นคนป่วยอยู่  โชเดินมาลากฉันออกไปคุยที่ระเบียงทางเดินของโรงพยาบาล 

                เธอเองเหรอ ที่ตามฉันมาตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลโชเริ่มเปิดประเด็น  พลางจ้องหน้าฉัน แบบกำลังจับผิดคนๆหนึ่ง

                อืมฉันตอบรับไป  ไม่รู้จะปฏิเสธทำไม ในเมื่อฉันไม่ได้ทำอะไรผิด  แค่แอบตามคนรู้จักนี่มันผิดมากมายรึไงนะ  โชถอนหายใจหนักแล้วก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่พี่ริวเดินออกมาจากห้องพัก  โชแยกตัวไปคุยกับพี่ริว  ฉันยืนรออยู่ที่เดิน ทั้งสองคนคุยกันเสียงไม่ดังมาก แต่มันก็พอจะดังมาให้ฉันได้ยินบ้างเป็นบางคำ  ที่ฉันพอจะจับใจความได้บ้างก็มีคำว่า เลือดยังไม่ยอมหยุดไหล กับแฟคเตอร์เท่านั้น  นอกนั้นฉันก็ได้ยินแบบไม่ค่อยชัดเท่าไร  แต่จะว่าไป... บีมหายไปไหนแล้วนะ  ฉันหันไปมองรอบๆ  แต่ก็ไม่เห็นวิญญาณตนไหนสักตน  ฉันวิ่งลงไปแต่ละชั้น  แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่รูปร่างวิญญาณเลย  จนกระทั่งถึงชั้นสุดท้าย ซึ่งมันเป็นห้องเก็บศพ  กลิ่นฟอร์มาลินลอยโชยมา  ฉันมองไปรอบๆห้อง แน่นอนว่าฉันไม่มีทางเดินเข้าไปเด็ดขาด  แล้วฉันก็ได้พบกับวิญญาณที่ฉันตามหาอยู่  เมื่อบีมหันมาเห็นฉันก็ลอยเข้ามาใกล้ๆฉัน พลางทำหน้าเศร้า

                เป็นอะไรไป หืม...ฉันถามด้วยความเป็นห่วง บีมโผเข้ากอดฉัน ก่อนที่จะมีเสียงร้องไห้ดังแผ่วๆ  ฉันค่อยๆจับมือบีมแล้วพากันเดินออกมานอกโรงพยาบาล  เดินไปเรื่อยๆแบบไม่รู้จุดหมาย  บีมใช้อีกมือปาดน้ำตาแบบลวกๆก่อนจะลากฉันให้เข้าไปในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง  ฉันค่อยๆนั่งลงบนชิงช้า  โยกมันไปเบาๆพร้อมๆกับบีมที่นั่งอยู่บนชิงช้าตัวข้างๆกัน  ถ้าใครผ่านไปมา คงจะสังเกตุเห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งไกวชิงช้าแล้วมองไปยังชิงช้าตัวข้างๆที่ไกวได้เองทั้งๆที่ไม่ลมพัด

                ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

                ฉันคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง  มองเบอร์ที่เมมเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้  ก่อนจะกดรับแล้วคุยอะไรบางอย่างอยู่ราวๆนาทีกว่าๆ

                บีม... ไปโรงพยาบาลกันเถอะฉันบอก  บีมลอยมายืนข้างๆฉัน  ก่อนที่พวกเราจะพากันเดินย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง  และในครั้งนี้ ฉันมั่นใจว่าบีมจะไม่หายไปไหนแน่นอน  ทันทีที่ฉันเดินมาถึงหน้าห้อง  โชก็วิ่งเข้ามาหาฉันทันที

                แก้ว  เธอมองเห็นวิญญาณใช่ไหม เธอช่วยติดต่อกับวิญญาณของพ่อฉันให้ที  นะ... ได้โปรดโชวิ่งมากระชากไหล่ฉันแล้วเขย่าไปมา จนฉันรู้สึกเจ็บระบบไปหมด  พี่ริวเดินเข้ามาก่อนจะกระชากตัวโชออก  จับไหล่ฉันแล้วพูดเบาๆ

                หลังจากที่น้องออกไปแล้ว พ่อของพี่ก็ช็อค  ตอนนี้เข้าห้อง ICU อยู่ อาการน่าเป็นห่วงมาก  พี่อยากให้น้องมาอยู่ด้วย เพราะน้องสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ อย่างน้อยถ้ามีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาน้องอาจจะพอช่วยพี่ได้พี่ริวใช้คำว่าเหตุฉุกเฉินแทนคำว่า เสียชีวิต   ฉันไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไร  แต่ก็มองพี่ริวกับนายโช ที่ตอนนี้หน้าซีดเผือก  โชค่อยๆเดินมาหาพี่ริว

                พี่ริว  ช่วยโทรบอกแม่ให้ทีนะ  เดี๋ยวยัยนี่ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเองโชบอกก่อนที่พี่ริวจะพยักหน้าแล้วเดินออกไปที่สวนของโรงพยาบาล  บีมที่ลอยหายไปตอนไหนไม่รู้  ลอยกลับมาหาฉันดูแววตาที่ดูสั่นๆ  ฉันบีบมือของบีมเอาไว้  ก่อนที่บีมจะพึมพำเอามาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร

                แก้ว... ฉันกลัว... ในห้องนั้นมีคนชุดสีเขียวยืนออกันอยู่เต็มเลย แถมยังมีอุปกรณ์เยอะแยะเลย  คนที่นอนอยู่ก็มีเลือดเปรอะไปหมด ทำยังไงเลือดก็ไม่หยุดไหล  ฉันกลัวแก้ว... ฉันเคยเป็นแบบนั้นมาแล้ว ฉันกลัวที่จะต้องเห็นอีกครั้ง...แก้วบีมพูดสั่นๆ แล้วภาพอะไรบางอย่างในหัวของฉันก็วิ่งผ่านไปมา  ภาพของฉันที่นอนอยู่บนเตียง  ภาพของฉันที่มีเลือดเปรอะไปหมด  และภาพของฉันที่ดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ  ทุกภาพ เป็นภาพที่ฉันจำไม่ได้ 

                ไม่!!! โอ๊ย!!!”ฉันร้องอย่างสุดเสียงก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดไปหมด  ความรู้สึกสุดท้ายคือแรงบีบที่มือ ที่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น  มันเป็นมือของใครกันนะ...

                ฉันฟื้นขึ้นมาในห้องสีขาว  ที่ข้อมือมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง  ข้างๆเตียงของฉัน โชกำลังฟุบหน้าหลับ ฉันมองใบหน้าของเขาที่ยังเปื้อนคราบน้ำตาอยู่  และมันดูเหมือนว่าจะมากกว่าตอนแรกที่ฉันเห็น  โชขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นมองฉัน  เขายิ้มแล้วจับไหล่ฉันก่อนจะกอดฉันเบาๆ

                เธอฟื้นแล้ว  ฉันดีใจจริงๆ กลัวเธอจะเป็นเหมือน... พ่อฉันซะอีกโชทำหน้าเศร้าลง  ฉันสะดุดใจกับคำว่าพ่อของเขา  ถ้าฉันฟื้น ก็แปลว่าพ่อของโช..

    ฉันเสียใจด้วยนะโชส่ายหน้า เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนที่ประตูห้องพักของฉันจะเปิดออก  พี่ริวเดินเข้ามาพร้อมใครอีกคนหนึ่ง  โชเดินเข้าไปกอดมินเอาไว้แน่น  ฝ่ามือของมินลูบหลังของโชเบาๆ  ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันออกไปข้างนอก เหลือแค่ฉันกับพี่ริวที่ยังคงตกอยู่ในความเงียบทั้งคู่.

    พี่ดีใจนะ ที่เห็นแก้วฟื้นขึ้นมาเป็นพี่ชุนที่พูดขึ้นมาก่อน  ฉันยิ้มให้พี่ริวเล็กน้อย  แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง  เมื่อกี้ฉันคิดอะไรขึ้นมา  ทำไมมันถึงทำให้ฉันปวดหัวได้มากขนาดนั้น  ฉันแบมือตัวเองดู  ฉันจำอะไรเมื่อครู่ไม่ได้เลย บีมลอยผ่านประตูเข้ามา  ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาฉัน เมื่อเห็นฉันฟื้นขึ้นมา  น้ำตาของบีมไหลออกมาอีกครั้ง ฉันได้แต่หัวเราะแล้วก็เช็ดน้ำตาให้บีมเบาๆ  พลางบอกในใจว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้ว  สักพักประตูก็ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง  โชกับมินเดินเข้ามา  ขอบตาแดงๆแต่ไร้ซึ่งหยดน้ำตาของโชทำให้รู้ว่ามินคงปลอบให้โชหายร้องไห้ได้แล้ว 

    เดี๋ยวพี่ไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อนนะ  ส่วนเรา ถ้าจะพักต่ออีกคืนก็บอกหมอเขาเอาเองแล้วกันพี่ริวหันไปพูดกับโชก่อนที่ประโยคถัดมาจะกล่าวกับฉัน  ฉันพยักหน้า และเมื่อพี่ริวเดินออกไป  ฉันก็พาตัวเองลุกขึ้นมา หยิบแก้วน้ำและเทน้ำส่งให้กับมินและโช  ทั้งสองคนเงยหน้ามองฉันที่ยิ้มจางๆก่อนจะรับแก้วน้ำไปคนละใบ...

    หลังจากนั้นฉันก็ขอแพทย์กลับบ้านเลย  ฉันบอกลาทุกคนและเดินมาขึ้นรถแท็กซี่หน้าโรงพยาบาล  ในตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆจะ 5 โมงเย็นแล้ว ฉันใช้เวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจนกลับถึงบ้าน  ในตอนนี้บ้านของฉันก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม  ฉันถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นไปบนบ้าน บ้านเงียบๆแบบนี้ คงจะไม่มีใครอยู่แน่ๆ  ฉันเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือของฉัน หยิบไดอารี่เล็มเล็กๆขึ้นมากางหน้าล่าสุดเอาไว้ก่อนจะหยิบปากกามาเขียนบันทึกของวันนี้ลงไป

    วันอาทิตย์ 15-02-xx เวลา 17 :45 น.

    วันนี้แม่พาไปหาพ่อของเอ็ม  ขวัญโดนผีเข้าชื่อเบน  เขาบอกว่าเป็นเพื่อนของฉันตอนป.4 อยู่โรงเรียนรัตนวิทยา  แอบตามโชเข้าไปในโรงพยาบาล  พ่อของโชกับพี่ริวเสียแล้ว แถมเรายังสลบต้องนอนที่โรงพยาบาลอีก

    ฉันวางปากกาลงแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ  บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะคว้าสมุดไดอารี่เก็บลงลิ้นชัก  โยนปากกาไว้หลังกองหนังสือ ฉันมองไปรอบๆ บีมหลังไปแล้วบนเตียงของฉัน  รอยยิ้มจางๆเผยขึ้นมาจากริมฝีปากบาง  ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนลงข้างๆกับใครอีกคนที่นอนอยู่แล้ว วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนแทบหมดแรง  คิดได้แค่นั้น แล้วฉันก็พล็อยหลับลงไป

     

    เช้าวันจันทร์เป็นวันแรกของสัปดาห์ที่ฉันต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปยังโรงเรียน  สถานที่ที่ฉันแสนจะเบื่อหน่าย  และฉันก็ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเดินทางจากบ้านเพื่อไปยังโรงเรียน  ฟ้ายังคงมืดอยู่  ฉันเดินไปโรงอาหารซื้อนมและขนมปังหนึ่งชิ้น เพื่อเอาไปกินในที่ประจำของฉัน  มันเป็นมุมเงียบๆที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน  ด้านหลังของศาลพระภูมิโรงเรียน  หลอดไฟที่ส่องแสงสว่างจ้าถูกปิดลงทีละดวงเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มขึ้น  ฉันนั่งพิงประตูของหอประชุมเล็กๆที่ไม่ค่อยจะมีอาจารย์มาใช้สักเท่าไร  เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงสอบ ดังนั้น ศาลพระภูมิด้านหน้าฉันจึงไม่ค่อยมีคนมากราบไหว้เท่าไรนัก  ฉันนั่งเงยหน้ามองขึ้นไปบนตึก  เด็กคนนั้น ฉันเห็นเธออยู่แทบทุกวัน เธอเสียเพราะโรคๆหนึ่ง แต่จิตใจเธอยังคงวนเวียนอยู่ในห้องเรียนที่เธอชอบ 

    หวัดดีแก้วเสียงโชดังขึ้นมา ฉันหันไปมอง  โชวางกระเป๋าลงหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะยังเศร้าไม่หาย  ฉันพยักหน้ารับแล้วก้มลงกินอาหารที่ยังคงถือค้างเอาไว้  ดูเหมือนว่าบีมจะขึ้นไปเล่นกับเด็กบนตึกซะแล้ว  ตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่คนเดียว  โชเดินมานั่งตรงข้ามกับฉัน 

    เดี๋ยวผมมานะโชว่าก่อนจะเดินหายไป  ฉันมองกระเป๋าของโช  เขารู้ได้ไงว่าฉันนั่งอยู่ที่นี่  จะว่าถามจากขวัญก็ไม่น่าใช่ เพราะขวัญแยกกับฉันตั้งแต่เข้ามาในโรงเรียนแล้ว  สักพักหนึ่ง  โชก็เดินเข้ามาพร้อมกับใครอีกคนที่ฉันรู้จักดี  ขวัญเดินเหม่อลอยเข้ามานั่งข้างฉัน

    พี่แก้ว... ขวัญกลัวขวัญโผเข้ากอดฉัน  ฉันลูบหลังของขวัญเบาๆแล้วหันไปส่งสายตาถามโชถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   โชส่ายหน้าแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกับฉัน  ขวัญยังคงร้องไห้ไม่เลิก  ฉันได้แต่ลูบหลังและปลอบใจ  ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร

    เมื่อกี้ฉันว่าจะเดินไปซื้อข้าว แต่เห็นคนที่เคยเดินมาหาเธอตอนวันศุกร์กำลังร้องไห้อยู่ ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้จัก ก็เลยพามาที่นี่โชว่า...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×