คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : สายเลือดแห่งการพิพากษา
ตอน 12
สายเลือดแห่งการพิพากษา
หลังจากที่เซเรียหลุดออกจากพันธนาการของปีศาจ นางหาได้รีบหนีออกมาเหมือนคนอื่นๆ กลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด แสงสีส้มสว่างไหววูบโอบล้อมรอบตัวของปีศาจตนนั้น นัยน์ตาสีแดงกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีดำดังเดิม รอยยิ้มถูกเผยออกมาอย่างจริงใจจากบุรุษหนึ่งผู้ซึ่งเคยเป็นปีศาจ
“ท่านคือมนุษย์”เซเรียเอ่ยถาม
“ครับ ข้าเป็นมนุษย์”ปาดาสกล่าวพลางโค้งตัวให้แด่หญิงสาว
“ตอนนี้พรรคพวกของข้ากำลังมาแล้ว ท่านรีบหลบไปดีกว่า แล้วข้าจะพาท่านกลับไปยังโลกมนุษย์เอง”ปาดาสพูดพลางดันเซเรียไปให้แก่ทหารนายหนึ่ง
“พานางกลับไปยังห้องขัง”ปาดาสหันมาสั่ง ก่อนที่นางจะโดนพาตัวกลับมายังห้องขัง ถึงเวลานี้ เซเรียรู้ตัวแล้วว่านางต้องทำอะไรเป็นสิ่งแรก มนต์ตราต้องห้าม เป็นสิ่งที่เธอและเพื่อนๆอีก 4 คน เท่านั้นที่ทำได้ มนต์ตราที่ทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งนำตนเองให้หลุดออกมาจากกรงขัง
“ด้วยอำนาจแห่งเทพผู้พิทักษ์ ปีศาจผู้ทำลายล้าง แด่เหล่าสายเลือดผู้แปรเปลี่ยน ผู้กล้าจงสำแดงฤทธิ์ พลังแห่งพวกท่านจงเชื่อฟังคำข้า เพื่อการสร้างสรรค์ เพื่อการทำลาย เพื่อความสมดุล จงนำพาข้าออกจากห้องขังนี้เถิด”เซเรียเอ่ยวาจาที่หวานพริ้งออกมาจนทำให้ผู้ที่ได้ยินยอมตกเป็นทาสแห่งห้วงกามารมณ์
“ปล่อยข้าไปซะ”เซเรียหันไปสั่งเสียงแข็งกับทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง เหมือนเวทย์สะกดจิต ทหารนายนั้นหยิบกุญแจมาไขประตูอย่างว่าง่าย เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูของทหารผู้นั้น
“ปล่อยคนอื่นออกมาให้หมด”แววตาที่เลื่อนลอยโค้งตัวรับคำก่อนที่ประตูทั้งหมดจะถูกเปิดออก
“พี่เซเรีย”ฮาเทนวิ่งเข้ามาหาเธอทันที
“หืม...”เซเรียก้มหน้าลงไปหา นักโทษคนอื่นๆก็ทยอยกันออกมาจากห้องขัง
“ไปอยู่ในห้องขังแล้วล็อกกุญแจซะ”เซเรียหันไปเอ่ยแก่ทหารที่ทำหน้าที่เปิดประตู พลางจูงมือฮาเทนเอาไว้
“ตามข้ามา”เซเรียกล่าว ก่อนจะหยิบมีดสั้นของตนออกมาถือไว้เพื่อเป็นอาวุธป้องกันตัว จนกระทั่งถึงห้องๆหนึ่ง เซเรีย เปิดประตูนั้นเข้าไปแล้วเดินเข้าไปใกล้ วงกลมวงหนึ่ง ที่ทุกคนเรียกว่าวงแหวนเวทย์มนต์ ฮาเทนถูกเซเรียส่งตัวให้กับหญิงสาวนางหนึ่ง
“ดูแลเขาด้วยนะเฮเลน”เซเรียเอ่ยออกมาก่อนที่แสงสีขาวนวลจะนำพาทุกคนกลับไปยังโลกมนุษย์
“ถึงตาพวกเราแล้วล่ะ ทุกคน”เซเรียยิ้มพลางเดินไปอยู่ ณ ใจกลางของวงแหวนเวทย์มนต์แสงสีดำสนิทเปล่งประกายก่อนจะร่างของนางจะจางหายไป
ภายในวงแหวนเวทย์มนต์ที่อยู่ ณ โลกปีศาจส่องแสงสีดำสนิทออกมา หลังจากที่แสงนั้นจางหายไปก็เหลือร่างของหญิงสาวนางหนึ่งทิ้งเอาไว้ เธอก้าวออกมาจากวงแหวนเวทย์มนต์พลางหยิบคทาของตนออกมา คทาที่แท้จริงของพวกเขาคือ คทาที่ไม่มีอะไรเลย แต่ด้วยความที่ไม่มีอะไร มันจึงทำให้พลังเวทย์ของพวกเขาแข็งแกร่ง เซเรียเดินไปยังห้องๆหนึ่งที่คุ้นเคย ก่อนที่เสียงสองเสียงจะประสานกันทั้งทีที่เห็นนาง
“เซเรีย!”เวสตากับเชลนัทที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นนางพอดีรีบลุกขึ้นมาพยุงร่างกายที่แทบไร้เรี่ยวแรงเอาไว้ ทันทีที่ออกมานอกเขตของปราสาทที่ปาดาสอาศัยอยู่ พลังที่ถูกสกัดเอาไว้ก็สำแดงฤทธิ์เดช ใบหน้าของนางซีดเซียวแทบไร้เลือดฝาด ร่างเล็กๆเซล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงซึมออกตามผิวหนังที่ขาวซีดของนาง เวสตาที่เห็นดังนั้นจึงรีบอุ้มนางไปยังเตียงทันที พลังทั้งจากเวสตาและเชลนัทถูกส่งออกมาเพื่อสกัดเลือดที่กำลังไหล นัยน์ตาสีดำเปิดขึ้นน้อยๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอ่ยอะไรบางอย่างที่จับใจความไม่ได้ออกมา
“ทะ...ท่าน ผะ...ผู้กล้า”นางเอ่ยวาจาได้เพียงเท่านี้ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง
“เซเรีย...”เวสตาเรียกก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง ตามด้วยเชลนัท ทิ้งให้เทพผู้หนึ่งเข้ามาดูแลนาง พลังสีขาวสะอาดถูกส่งให้แก่หญิงสาวจนกระทั่งตัวของนางเริ่มอุ่นขึ้น เลือดที่ไหลออกจากผิวหนังก็ถูกเทพตนนั้นรักษาจนหายสิ้น จะเหลือก็เพียงแต่รอให้นางฟื้น
“ข้ารักเจ้า ลูกของข้า”เทพตนนั้นกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งหากแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความรักก่อนที่ประตูห้องนั้นจะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เทพตนนั้นก็จางหายไปเสียแล้ว
“เซเรีย”ราชินีที่เวสตาไปบอกเมื่อครู่รีบพุ่งตัวมาที่ห้องทันที แม้เทพตนนั้นจะหายไปแล้ว แต่กลิ่นอายของความรักยังคงอยู่ สิ่งที่ทำให้ราชินีของโลกปีศาจถึงกับหลั่งรินน้ำตาออกมา ให้แก่ผู้ที่เคยเป็นสามีของนาง
“ราชินี”เวสตาส่งเสียงเรียก
“อ๊ะ... โทษทีนะ ขอแม่อยู่คนเดียวก่อนนะ”องค์ราชินีว่าก่อนจะเดินไปใกล้ๆเตียงที่เซเรียนอนอยู่
“ลูกคือผู้สืบทอดที่แท้จริง สิ่งๆนี้ลูกต้องรับมันไว้”ราชินีเอ่ยกับร่างที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง คริสตัลใสๆถูกส่งเข้าไปในร่างกายลูกแล้วลูกเล่า จนกระทั่งผู้ที่สลบอยู่ค่อยๆลืมตาเพื่อเผชิญกับความเป็นจริง
“ท่านคือ...”เซเรียพยายามเปล่งเสียงออกมาให้ได้มากที่สุด องค์ราชินีส่ายหน้าแล้วเอ่ยแทรก
“แม่ของเจ้า ราชินีของโลกปีศาจ ที่มีชื่อว่า อามีนน์”องค์ราชินีกล่าว นัยน์ตาสีนิลกาฬฉายแววยินดี พลางโอบกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้
“ท่าน... แม่”เพียงได้เอ่ยแค่ครั้งเดียว ร่างที่ตกอยู่ในอ้อมกอดก็อยากจะเอ่ยอีกหลายๆครั้ง รอยยิ้มที่ฉายถึงความดีใจ เผยออกมาจนปิดไม่มิด
“เพื่อนๆของข้า”เซเรียกล่าว
“หืม... พูดถึง โอเทส ชานัท เดลคิล อาเรสเหรอจ๊ะ”อามีนน์ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เซเรียพยักหน้ารับ ก่อนที่อามีนน์จะเรียกลูกแก้วคริสตัลออกมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ พวกเขาจะมาหาลูกในไม่ช้า”ภาพที่เห็นทำเอาเซเรียยิ้มอย่างเป็นสุข ทุกคนกำลังเดินทางมาหานาง แต่นางคงจะลืมไปว่า... ท้องทะเลที่สงบ มักจะเกิดพายุในไม่ช้า!!
โอเทสที่กำลังเดินเข้าไปอยู่ในวงแหวนเวทย์มนต์หันมากุมมือชานัทเบาๆ ก่อนที่แสงสีดำจะคลุมทั้งหมดให้หายไป และย้ายมาอยู่ที่เดียวกับเซเรีย
“อาเรส”เซเรียวิ่งเข้าไปกอดคอคนที่พึ่งมาถึงในทันที เดลคิลเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะยิ้ม... พร้อมน้ำตาหยดเล็กๆที่ไหลลงมา
“เธอ... มาได้ยังไง”อาเรสถาม เซเรียจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“...”
“เวทย์ต้องห้าม”เดลคิลพึมพำเป็นครั้งสุดท้าย
“เซเรีย ต่างหูของเธอ”เดลคิลบอกก่อนจะยื่นต่างหูคืนให้
“อ่อ... ขอบใจนะ”เซเรียยิ้มรับแล้วหยิบมันมาใส่ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเด็กผู้ชาย
“แล้วเราจะทำยังไงต่อ”ชานัทถาม
“พวกมันเริ่มทำกองทัพปีศาจ พวกเราต้องหยุดมัน”เซนตอบ
“เริ่มจาก...”ชานัทถามอย่างสงสัย
“ตอนที่ฉันไปอยู่ที่นั้น ฉันเคยเห็นกองทัพปีศาจ มันบอกว่ามันต้องการพลังของพวกเราทุกคน”เซนตอบ
“งั้นถ้าเราไม่ให้พลังกับมัน มันก็สร้างกองทัพนั้นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”โอเทสถาม
“ไม่หรอก นายเคยได้ยินชื่อที่ว่า กุญแจแห่งการทำลายกับกุญแจแห่งการสร้างงั้นเหรอ”อาเรสบอก
“แล้วไอ้กุญแจสองดอกเนี่ย มันอยู่ที่ไหนล่ะ”ชานัทถาม
“ไม่รู้ แต่ว่ามันจะไม่เป็นรูปกุญแจหรอกนะ มันจะเป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่มีใครรู้น่ะ”อาเรสเอ่ยพลางนั่งลงบนเก้าอี้
“งั้นเราจะทำยังไงต่อล่ะ”ชานัทกล่าว
“หาสิครับ จะนั่งรอรึไง”เซนบอกแบบขำๆ
“แล้วเราจะมาที่โลกปีศาจเพื่อ...?”อาเรสทำหน้ามึน
“เพื่อช่วยจิตวิญญาณที่ถูกปีศาจพวกนั้นชิงไปไงล่ะ”เซนตอบพลางเดินไปหยิบจดหมายที่ซ่อนเอาไว้ในโต๊ะ
“อ่านซะ เรื่องทั้งหมดมาถึงจุดสำคัญแล้ว โชคชะตาจะเล่นตลกกับเราซะแล้ว”เซนกล่าวก่อนจะส่งจดหมายไปให้แก่อาเรส
“พวกเราน่ะ... อยู่เหนือโชคชะตามาตั้งแต่ต้นแล้ว และถึงแม้ว่าเรื่องพวกนั้นจะเกิดขึ้นจริง ฉันนี้แหละที่จะเปลี่ยนแปลงมันเอง”อาเรสตอบก่อนจะฉีกจดหมายพวกนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ไม่ใช่ ‘ฉัน’ แต่เป็น ‘พวกเรา’ ต่างหากล่ะ”ชานัทพูดก่อนจะเดินมาอยู่ข้างๆอาเรส
“ใช่ พวกเรา”โอเทสเองก็เดินมาอยู่อีกข้างของอาเรส
“งั้นพวกเราก็มาช่วยกันเถอะ”เซนบอกแล้ววางมือลงกลางวง
“อืม”ชานัทพยักหน้าก่อนจะวางมือทับมือของเซน
“เอาไงเอากันเลย”โอเทสนตอบแล้ววางทับมือลงอีกครั้งตามด้วยอาเรส ทุกคนหันไปมองผู้ที่ยืนอยู่เพียงคนเดียวที่เหลือก่อนจะหันกลับมามองที่มือของตัวเอง
“เฮ้อ!”เดลคิลถอนหายใจหน่ายๆก่อนที่จะวางมือลงด้านบนสุด
“จงสู้กับโชคชะตาที่มันเล่นตลกกับเรา”เซนพูดนำก่อนจะยิ้ม
“เฮ้!”เสียงทั้ง 5 ประสานกัน เป็นเวลาเดียวกับที่องค์ราชินีอามีนน์เดินกลับเข้ามาพอดี
“เอ้า! ทุกคนมานี้สิ”อามีนน์กล่าวก่อนที่จะหยิบกล่องๆหนึ่งขึ้นมา
“อดีตของพวกเจ้า ส่วนจิตวิญญาณพวกนั้นน่ะ เชื่อข้าเถอะ อย่าพึ่งไปเลย เพราะพวกเจ้าไปก็เสียเวลาเปล่า”อามีนน์กล่าวก่อนจะส่งกล่องทั้ง 5 ให้แก่ทุกคน
“เปิดซะ แล้วเจ้าจะจำอดีตทั้งหมดได้”อามีนน์เอ่ย
“ครับ”ทั้งหมดรับคำก่อนจะเปิดกล่องทั้งหมดออก แสงสว่างวาบขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนที่กล่องนั้นจะหายไป
“เสร็จแล้วล่ะ”อามีนน์กล่าว โอเทสสำรวจตัวเองพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนี่ครับ”โอเทสบอก
“งั้นเหรอ ข้าเองก็ไม่รู้หรอก ส่วนนี้ พ่อของพวกเจ้าฝากข้าเอาไว้”กล่องไม้ใบหนึ่งถูกส่งให้แก่ทุกคน
“แล้วจะเปิดยังไงล่ะครับ”เซนถามหลังจากสำรวจรอบๆกล่องแล้ว
“จนกว่าจะถึงวันที่เจ้าเปิดได้ จงเก็บมันเอาไว้จนกว่าจะถึงวันนั้น เอาล่ะ หมดเวลาสำหรับพวกเจ้าแล้ว กลับไปยังโลกมนุษย์เถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”อามีนน์ทิ้งปริศนาเล็กๆเอาไว้ก่อนที่ทั้งหมดจะลากลับมาที่โลกมนุษย์
ภายในห้องพักของทั้ง 5 การสอบกลางภาคใกล้จะเริ่มขึ้นทุกๆที โดยที่ทั้ง 5 ถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษที่ไม่ได้เข้าเรียน เพื่อนๆในหอก็แวะเข้ามาหาบ้างเป็นบางคราว โดยเฉพาะรุ่นพี่ทั้ง 5 คนที่มักจะแวะมาหาบ่อยที่สุด
“อ่านถึงไหนแล้วล่ะ”รานอฟถามแล้วชะโงกหน้าเข้ามาดูหนังสือของเซน
“วิธีการขโมยของจากกล่องสมบัติ และวิธีการสังเกต”เซนตอบเรียบๆแล้วก้มหน้าอ่านต่อ
“ยากจะตาย แต่มันมีวิธีจำง่ายๆ จะให้ลองบอกรึเปล่าล่ะ แทบไม่ต้องจำเลย”ไซครอสโผล่หน้าออกมาคุยทันที
“ไปคุยกับเจ้าอาเรสต่อไป”รานอฟไล่
“แต่ฉันอยากรู้นะ พี่ไซครอสบอกหน่อยสิ”เซนบอก โอเทส ชานัทกับอาเรสก็เดินเข้ามาหาพลางดึงเดลคิลเข้ามาร่วมวงด้วย
“เรียกง่ายๆว่าเทคนิคดับเซียน
มีทั้งหมด 6 อย่าง คือ หนึ่งล้วง สองกลวง สามตามแกะ สี่ทาซ้อนประกบ ห้าลนไฟประกบ หกล้วงข้าง เทคนิคทั้งหมดทำเอานักประเมินหลายคนถึงกับยกมือยอมแพ้เลยล่ะ โดยเฉพาะลนไฟประกบ นักประเมินมืออาชีพยังมองข้ามมานักต่อนักแล้ว”ไซครอสตอบ
“โห~ ง่ายกว่าอ่านเองเยอะเลยพี่”ชานัทร้องขึ้น
“อืม หลักใหญ่ๆก็มีแค่นี้ล่ะ แบบอื่นอ่านผ่านๆก็พอแล้ว”ไซครอสเอ่ยก่อนจะหันไปมองผู้ที่ไม่สนใจตนเอง
“เดลคิล กล่องนี้ใช้วิธีอะไร”ไซครอสเรียกกล่องออกมากล่องหนึ่งก่อนจะส่งให้กับเดลคิล
“หืม”เดลคิลครางรับก่อนจะหยิบมาดู
“ทาซ้อนประกบ”เดลคิลตอบหลังจากพลิกกล่องดูรอบๆ
“รู้ได้ยังไง”
“รอยกาวเยอะขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องรู้”เดลคิลกล่าวพลางส่งกล่องให้คนอื่นๆดูต่อ
“ไหนล่ะ ไม่เห็นมีเลย”โอเทสบ่นแต่ก็ส่งไปให้อาเรสดูต่อ
“เอาคืนไปเหอะพี่ นอกจากไอ้เดลคิลแล้วไม่มีใครมองออกหรอก”อาเรสส่งคืนให้
“ไม่นะ นั้นมันล้วงข้างต่างหากล่ะ”เซนแย้ง
“ถูกต้อง กล่องนี้ใช้วิธีล้วงข้าง ดูนะ”ไซครอสเฉลยพร้อมกับดันไม้ที่จุดๆหนึ่งจนมันตกลงไปด้านในกล่อง
“เดลคิลไม่ทันสังเกตเนื้อไม้ตรงนี้ เลยคิดเอาเองว่าทาซ้อนประกบ สายตาน่ะ เชื่อไม่ได้เสมอไปหรอกนะ”ไซครอสตอบก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง
“เออ รานอฟ เจ้าหญิงฟาเซลเขารอแกอยู่ที่หอโลมานะ”เสียงไซครอสดังมาจากหน้าห้องก่อนที่เสียงดัง ปึง! จะตามมา
“ไอ้ไซครอส”รานอฟกัดฟันแน่นแล้วเผ่นตามไซครอสไปทันที
“งั้นพวกพี่ขอกลับก่อนนะ”ฟาเรลบอกก่อนจะลุกขึ้น
“ครับพี่”ชานัทยิ้มตอบ จนลานีคูสเดินผ่านเซนรอยยิ้มที่ถูกเก็บมานานก็ปล่อยออกมา เซนเองก็ยิ้มรับแล้วโคลงหัวทีหนึ่งเป็นการลา
“สนิทกันจริงนะ”โอเทสแหย่
“ก็แล้วจะทำไมล่ะ”เซนทำหน้าทะเล้นตอบกลับ
“เฮ้ จะสอบแล้วตั้งใจอ่านหนังสือกันหน่อยเซ่!”ชานัทตะโกนบอกแล้วปาหมอนใส่โอเทสแต่ดันพลาดไปโดนอาเรส
“โอ๊ย! เล่นงี้เหรอ”อาเรสว่าแล้วปาหมอนกลับไปบ้างแต่ชานัทหลบได้จึงพลาดไปโดนเดลคิลอย่างจัง
“ไม่อ่านแล้ว”เดลคิลบ่นพลางเก็บหนังสือ ห้องทั้งห้องเงียบกริบทันทีที่เดลคิลเก็บหนังสือ
ปึก! หมอนใบใหญ่กระทบหน้าของคนทั้ง 4 ตรงๆ
“อ๊าก! มันเจ็บนะโว้ย ไอ้เดลคิล”จากนั้นมหกรรมการปาหมอนครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะปนเปกันอยู่ในห้องพักที่นั้น เหมือนกันเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ช่างมีความอดทนจริงๆนะ ทั้งๆที่เผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอยู่แท้ๆ แต่กลับยังยิ้มได้ จงรักษารอยยิ้มเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเถอะนะ ทุกคนเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร รอยยิ้มพวกนั้นจะถูกช่วงชิงไปพร้อมกับลมหายใจที่ดับสูญ
พอถึงวันสอบถ้าดูให้ดีโรงเรียนเหมือนจะร้างผู้คน หากแต่ก็ไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าลองไปดูในโรงอาหารของทุกหอให้ดีดี จะพบนักเรียนมานั่งจับกลุ่มติวกันอยู่ภายในโรงอาหาร หออื่นๆมีนักเรียนร่วม 1000 คน เห็นจะมีอยู่หอเดียวที่มีนักเรียนอยู่น้อยที่สุด หรือก็มีแค่เพียง 152 คน และภายในห้องอาหารของหอใต้ก็ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด ไม่มีนักเรียนมานั่งติวหนังสือเหมือนหออื่น ไม่มีนักเรียนมานั่งคุยกันจอแจเหมือนทุกวัน แต่มันมีการรวมตัวนักเรียนทุกคนถึงเรื่องราวที่จะเริ่มต้นต่อจากนี้ไป
“ปีนี้ หอเราใครสอบตกมีการทำโทษครั้งใหญ่โดยเฉพาะปี 1 ถ้ายังอยากมีอวัยวะครบ 32 ก็จงสอบให้ได้คะแนนดีที่สุด สอบครั้งนี้จะเป็นการวัดผลขึ้นปี 2 อีกไม่นาน พวกพี่ก็จะขึ้นปี 5 น้องปี 1 ขึ้นปี 2 และน้องๆก็จะต้องไปรับน้องปี 1 เหมือนพวกพี่ และจงจำเอาไว้นะ ไม่มีอะไรที่หอใต้ทำไม่ได้”พี่ฟาเรลตะโกนปลุกใจ
“เฮ้!”เสียงตอบรับจากทุกทิศทางดังขึ้น
“พี่ปี 5กับพี่ปี 6 มีอะไรจะพูดมั้ยครับ”ฟาเรลหันไปถาม คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าของพี่ทุกคน
“งั้นจงทำสอบคราวนี้ให้ดีที่สุด”ฟาเรลหันมาตะโกนอีกครั้งก่อนที่ทั้งหมดจะเดินไปเข้าห้องสอบ
ภายในห้องสอบ ข้อสอบมีทั้งหมด 300 ข้อ ให้เวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง ข้อสอบ 1 ข้อ ต้องตอบให้ครบ 1 หน้ากระดาษ
“จงอธิบายข้อสังเกตของการขโมยสมบัติจากกล่องไม้ที่เรียกว่ากลวง”เซนพึมพำข้อสอบตนเองเบาๆ ก่อนจะเขียนคำตอบที่แสนจะยืดยาวลงไป
“วิธีใดที่จะทำให้ผู้คนในเมืองมีการเป็นอยู่ที่ดีมากที่สุด”คำถามที่เซนแทบอยากจะเอาหัวโขกนุ่นตาย(โขกเสามันเจ็บ)เวลา 5 ชั่วโมงผ่านไปอย่างเร็วจนเสียงออดหมดเวลาดังขึ้น ข้อสอบตรงหน้าของทุกคนก็หายวับไปในอากาศ
“ไม่ต้องตกใจ อาจารย์เขาเก็บไปตรวจแล้วเท่านั้นล่ะ”อาจารย์ผู้คุมสอบบอก
“งั้นกลับได้แล้วใช่ไหมค่ะ”คีน่าถาม อาจารย์พยักหน้ารับก่อนที่เสียงโวยวายจะดังลั่นไปทั่วตึกเรียน
“ไปไหนกันต่อดีล่ะ”โอเทสถามแล้วกระโดดกอดคอชานัท
“ฮะแฮ่ม...”เซนแกล้งกระแฮ่มไอพลางส่งสายตามีเล่ห์นัยไปให้แก่โอเทส
“เอ่อ... คือ”โอเทสก้มหน้าก่อนจะถอยห่างชานัทออกมา
“เอ๋... รู้สึกว่าอยากจะมีคู่ขึ้นมาแล้วสิ”ชานัทแกล้งทำเป็นพูดขึ้นลอยๆ เพื่อนที่ได้ยินพากันอมยิ้มไปตามๆกัน
“อ่า~ แล้วใครจะเป็นคู่นายล่ะชานัท”เซนแกล้งรับมุขถามไปดื้อๆ
“ไม่รู้สิ ก็กำลังดูอยู่เหมือนกัน”ชานัทบอกแล้วแสร้งเหล่ตาไปยังโอเทสที่ก้มหน้ามองพื้นอย่างอายๆ
“แล้วถ้าเป็นคนแถวนี้พอได้รึเปล่าล่ะ”เซนถามต่ออีก
“ดีมากเลยล่ะ แต่ไม่รู้ว่าคนๆนั้นเขาจะยอมทิ้งเมืองตัวเองมาอยู่กับฉันรึเปล่าน้า~”ชานัทถามแล้วลงไปกระซิบเบาๆ “ยอมรึเปล่าล่ะ ฮึ”
“ยอมสิ”เสียงเบาๆดังขึ้นมา
“อะไรนะ ได้ยินไม่ชัดเลย อะไรยอมๆ”ชานัทแสร้งถามพลางก้มหน้าลงไปชิดอีกฝ่าย
“ฉันยอมไปอยู่กับแกที่เมือง”โอเทสตอบเสียงดังขึ้น
“ทำไมถึงยอมล่ะ บอกเหตุผลหน่อยสิ”ชานัทถาม
“เพราะ... เอ่อ... ฉัน... แก”โอเทสตอบเสียงเบาหวิว
“เพราะอะไร ทำไมมันเบาจังเลย”ชานัทยังคงถามต่อไป
“ฉัน... ระ... รักกะ... แก”เสียงติดๆขัดๆเป็นอะไรที่กวนใจชานัทอย่างมาก จนกระทั่งประโยคนี้จบลง
“ขอแบบชัดๆได้มั้ย ไม่เอาสะดุดน่ะ”ชานัทยังคงยิ้มหน้าระรื่นถามต่อไป แต่ดูท่าคนตอบคงจะเบื่อสุดๆจึงตะโกนเสียงดังลั่น
“ฉันรักแกโว้ย ได้ยินชัดรึยัง”ชัดเต็มน้ำเสียงชานัทยิ้มแก้มปริแล้วจับโอเทสอุ้มขึ้น
“ตัวหนักจัง”ชานัทบอกหลังจากปล่อยโอเทสลง
“แกไม่อยากพูดอีกใช่ไหม”โอเทสถามเสียงเย็นก่อนจะยิ้มยะเยือก
“เริ่มเห็นแววในอนาคตแล้วสิ ไม่เอาหน่า โกรธแล้วแก่เร็วน้า~”ชานัทแกล้งหยอก
“ฉันเป็นผู้ชาย ดังนั้นมุขนี้เลิกซะ ไม่ชอบ”โอเทสสั่งแล้วหันไปบอกเซน
“นายก็ระวังเถอะ เป็นดูจะมีคนชอบ ตั้งสองคนแหนะ เลือกให้ดีนะ”โอเทสหันมากระซิบให้ได้ยินสองแล้วพยักเพยินไปทางเดลคิลและอาเรส
“เอาล่ะ แล้วจะไปไหนต่อ เจ้าชายชานัทโปรดระวังเจ้าหญิงโอเทสจะเป็นอันตรายนะพะย่ะค่ะ”อาเรสแกล้งล้อก่อนจะได้รับมะเหงกสองทีเป็นคำตอบ หนึ่งจากโอเทสและอีกหนึ่งจากชานัท ข้อหาที่ทำให้อาย
“ตกลง เราจะไปไหนกัน”เดลคิลที่เงียบมานานพูด
“เฮ้~ พวกนายน่ะ หัวหน้าหอใต้ใช่รึเปล่า”เสียงคนจากหออื่นดังขึ้น
“อืม แล้วนายเป็นใคร”เซนพยักหน้ารับ
“ฉันชื่อเคโอนัส หัวหน้าหอตะวันออก จะมาท้าสู้กับนาย อีก 5นาทีเจอกันที่สนานหน้าโรงเรียน”เคโอนัสกล่าวแค่นั้นแล้วเดินกลับไปทิ้งข้อความหนักอึ้งเอาไว้ให้กับ 5 คนด้านหลัง จนเวลาผ่านพ้นไป 5 นาที ทั้งหมดเดินมาจนถึงสนานหน้าโรงเรียน นักเรียนหลายคนมายืนล้อมเพื่อดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้
“ฟีนิกซ์ไม่มีวันตาย! เฮ้!”เสียงเรียกกำลังใจจากกลุ่มคน 5 คนในชุดสีเทาทึบก่อนจะเดินมาด้านหน้าเผชิญกับกลุ่มของเดลคิลที่ยืนรออยู่
“เริ่มนะ”เซนยิ้มแล้วเดินไปประกบกับชายคนหนึ่งที่ดูจะอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม
“นายกับฉัน”เขาพูดก่อนจะชี้ที่ตัวเองแล้วเบนนิ้วมาที่เซน
“อืม”ทันทีที่เซนตอบรับ แรงอัดมากมายมหาศาลก็ถูกส่งมาอัดที่ท้องของเซนเต็มๆ จนทำให้คนที่โดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวเซไปไกล
“นายคงเป็นธาตุ... ลม”เซนเดา
“อืม”เขาพยักหน้ารับ เซนกระตุกยิ้มเล็กแล้วพูดต่อ
“รู้อะไรมั้ย นิสัยของคนธาตุลมน่ะ เป็นพวกที่ต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะลงมือ ต่างกับธาตุสายฟ้า ที่จู่โจมแบบไม่ต้องคิด และนั้นล่ะ จุดอ่อนของนายที่ฉันมองเห็น”เซนพูดน้ำเสียงราบเรียบพลางวิ่งเข้าใส่คนตรงหน้า
“เปรี๊ยง!”เสียงสายฟ้าที่พุ่งจากมือของเซนกระแทกกับตัวของคนตรงหน้าแบบหลบไม่พ้น แต่การบุกเข้าไปแบบนั้น ก็ทำให้อีกฝ่ายตั้งรับได้ทันส่งแรงลมออกมาต้านพลังได้เกือบครึ่ง
“รู้อะไรมั้ยครับ ผมน่ะ ไม่ได้ตัวเล็กเหมือนที่เห็นหรอกนะครับ”เขาพูดก่อนที่พลังที่พัดให้เซนถอยหลังก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ มือสองข้างถูกยกขึ้นมาเป็นการ์ดป้องกันแรงลมที่พัดอยู่ นัยน์ตาสีดำปรือเล็กๆเพื่อหาช่องทางในการตอบโต้ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บให้น้อยที่สุด
“การต่อสู้คราวนี้ ผมขอเป็นฝ่ายชนะเถอะนะครับ”เขากล่าวก่อนที่แรงลมที่หนักหน่วงจะดันให้เซนล้มลงไปนอนกับพื้น
“เฮ้!”เสียงเฮรอบด้านดังขึ้น เขาเดินกลับไปยังที่นั่งอย่างช้าๆ
“รอเดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้ตอบโต้อะไรเลยนะ”เซนที่เดินมาอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครเห็น ใช้สันมือฟันที่หลังคอของอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายสลบไป เสียงที่เคยเฮลั่นเงียบกริบในทันที เมื่อเห็นว่าผู้ที่ถูกลมอัดเข้าไปแรงขนาดนั้นกลับไม่เป็นอะไรสักนิด
“ปวดตัวไปหมดเลย ให้ตายเหอะ”เซนพลิกคอตัวเองไปมาก่อนจะยืดเส้นยืดสายแล้วเดินกลับไปนั่งที่ของตนเอง
“ตาต่อไป นาย”เซนชี้ไปที่โอเทส
“งั้น... ปิ๊งป่อง เธอ”โอเทสหลับตาแล้วชี้ไปที่คนๆหนึ่ง ที่เป็นผู้หญิงผมสีบลอนด์เงินก่อนที่ทั้งสองจะเดินมาที่กลางสนาม
“ฉันชื่อโอเทส ยินดีที่ได้รู้จัก”โอเทสแนะนำตัว
“ฉันแอมมอร์ลิน ฝากตัวด้วยนะ”เธอก้มหัวให้แก่โอเทสก่อนจะหยิบคทาของตัวเองออกมา
“ฉันไม่ถนัดต่อสู้ ถ้าเป็นการใช้เวทย์มนต์จะได้รึเปล่าคะ”แอมมอร์ลินถาม
“ได้สิครับ”โอเทสบอกแล้วหยิบกิ่งไม้ที่ถูกลมจากการต่อสู้ของเซนพัดมา
“แด่พลังเวทย์ผู้กล้าแข็ง ได้โปรดทำตามคำร้องขอของฉันเถอะนะค่ะ”หญิงสาวเอื้อนเอ่ยออกมา จากนั้นดินที่อยู่บริเวณนั้นก็เริ่มยุบตังลง กลายเป็นของเหลวที่ทำให้โอเทสจมลงไปได้ง่ายๆ
“รู้มั้ยครับ ผมน่ะ ธาตุน้ำ แล้วดินที่เหลวแบบนี้ ก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ”โอเทสใช้เวทย์ของตัวเองบังคับดินที่เหลวเป็นน้ำให้พยุงตัวของเขาเอาไว้
“ขอบคุณที่บอกนะคะ”หญิงสาวยิ้มแล้วเริ่มร่ายคาถาขึ้นใหม่
“แด่องค์ปฐพีจงสดับฟังคำร้องขอ แผ่นดินแห่งความอุดมสมบูรณ์จงส่งพลังให้แก่ข้า”จากนั้นดินรอบๆแถวนั้นก็ลอยขึ้นไปทับขาของโอเทสเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ชานัทที่เห็นแบบนั้นก็ตั้งท่าจะเข้าไปช่วยแต่ถูกอาเรสห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ตามเกมสิ อย่าลืม”อาเรสมองดูการต่อสู้ที่เป็นไปอย่างสนุกสนาน แววตาที่อยากจะลงไปอยู่ในสนามอยู่ถึงที่สุดฉายอย่างปิดไม่มิด
“การแสดงของเธอ จบแล้วใช่ไหม”โอเทสเงยหน้ามาถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนที่ฝนจะโปรยลงมาจากฟ้าอย่างรุนแรงจนดินถูกชะล้างออกไปจนสิ้น
“อะ... อะไรกันเนี่ย”หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นแววตาของโอเทสกลายเป็นสีฟ้าใสจนเนียนไปกับสีขาวของตา
“กรี๊ด~”เธอกรี๊ดลั่นเมื่อน้ำฝนที่ตกลงมากลายเป็นน้ำกรดโดนเนื้อของเธอจนเป็นแผลเหวอะหวะไปหมด
“โอเทส!”ชานัทสะดุ้งสุดตัวสะบัดตัวหลุดจากการจับของอาเรสวิ่งไปกอดโอเทสไว้แน่น
“พอได้แล้วโอเทส พอที ได้โปรด นายต้องไม่ฆ่าใครนะ”แววตาของโอเทสเริ่มกลับมาเป็นสีฟ้าเข้มอีกครั้ง ฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาก็เริ่มซาลงเล็กน้อย
“เดี๋ยวฉันมานะ”โอเทสเดินไปหาหญิงสาวที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ แต่ชานัทก็ยังดิ้นรนจะตามไปด้วย หญิงสาวที่หันมาเห็นโอเทสเข้าก็ส่ายหน้าก่อนจะก้มหัวคลานไปหาโอเทสด้วยความกลัว ปากก็เอ่ยพร่ำของความเมตตา
“ขอโทษนะ”โอเทสทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง เขาก้มตัวลงหาหญิงสาว ถ่ายพลังของตนใส่ในร่างของเธอด้วยความเบามือ ไม่นานนักบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้เมื่อครู่ก็หายไปเกือบหมด
“ขะ... ขอบ ขอบคุณคะ... ค่ะ”หญิงสาวเอ่ยก่อนจะวิ่งถอยไปตั้งหลักหลังเพื่อนของนาง
“งั้นคู่ต่อไปนายเลยล่ะกันนะชานัท”โอเทสว่าแล้วเดินไปนั่งรอดู
“ใครจะคู่กับฉัน”ชานัทเริ่มหันไปมองเหยื่อแต่ละคน ดูก็รู้ว่าทั้งหมดไม่อยากจะสู้แค่ไหน เพราะดูจะทั้งสองคู่ที่ผ่านไปก็ทำเอาขาแทบหมดแรงกันเป็นแถว แต่ถ้ายอมแพ้หอตะวันออกก็จะเสียงชื่อเอาง่ายๆ ซึ่งชานัทคิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
“ฉันเอง”ใครสักคนที่ชานัทเองก็ไม่อยากรู้จักเดินออกมาเผชิญหน้ากลับเขา
“ยินดีต้อนรับสู่สนามแห่งความ... ตาย!”ชานัทเอ่ยแล้วเอานิ้วชี้ปาดที่คอของตนเอง ทำเอาอีกฝ่ายต้องลอบหลบตาอย่างรวดเร็ว
“กติกาสำหรับคู่ของเรา ใครแพ้ ห้ามสู้อีก”ชานัทบอก
“แกหมายถึง...!”อีกฝ่ายถามอย่างกลัวๆ
“ใช่แล้ว ฉันไม่ยั้งมือแน่”ชานัทว่าก่อนจะยกการ์ดขึ้นรอตั้งรับ “ฉันจะยกให้แกสองครั้งเป็นของขวัญ มีอะไรเจ๋งๆก็เอาออกมาให้หมด”
“แด่สายน้ำไหลเวียนวน แด่พลังแห่งจิตใจข้า ส่องแสงสว่างแด่ความรับรู้ในจิตที่เลือดหาย”อีกฝ่ายร่ายเวทย์ที่รุนแรงที่สุด ชานัทยกยิ้มเยาะก่อนจะรับคลื่นน้ำที่โถมเข้าใส่ตนเองอย่างตรงๆโดยไม่ได้ก้าวถอยหลังสักนิดอีกฝ่ายที่เห็นถึงกลับเป็นฝ่ายผงะถอยหลังไปเองสองก้าว
“สายน้ำแห่งการทำลาย”ชานัทยืนมองอีกฝ่ายที่กำลังร่ายเวทย์อย่างเฉยๆ ก่อนที่น้ำจะเกิดขึ้นล้อมตัวเขาเป็นวงกลมคล้ายๆพายุลูกใหญ่แต่เขาก็ผ่านมันไปได้อย่างสบายๆ
“หมดโอกาสของแกแล้ว ต่อไปนี้ถึงตาฉันบ้างล่ะ”ทันทีที่ชานัทเปลี่ยนท่ายืนให้เป็นท่าที่ดูสบายที่สุด มันกลับทำให้รอบๆข้างเกิดความกดดันโดยเฉพาะศัตรูที่อยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่ดูคล้ายจะใสซื่อถูกแกล้งทำออกมา แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ไม่ยอมหายไปไหน เพียงแค่ชานัทยิ้มแล้วตบมือง่ายๆสองครั้ง แผ่นดินก็แยกเป็นสองส่วนแต่เมื่อศัตรูของเขาร่วงลงไปเพียงครึ่งตัวแผ่นดินก็กลับมาติดกันอีกครั้ง
“โชคชะตาของพวกเรามันต่างกัน ฉัน... ถูกกำหนดให้เป็นผู้ชนะ”ชานัทบอกแล้วชี้ไปที่ตัวเองก่อนจะหันไปชี้ที่อีกฝ่าย “ส่วนนาย... คือผู้แพ้”แล้วแผ่นดินก็บีบอีกฝ่านแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊าก!”สิ้นเสียงร้องศัตรูตรงหน้าก็คว่ำหน้าลงไปทำเอาผู้ที่มามุงดูรอบๆต้องอุทานขึ้นมา เพื่อนๆของอีกฝ่ายต่างกรูเข้ามาหาเพื่อนของตนเอง
“ไม่ต้องห่วง แค่สลบไปน่ะ”ชานัทพูดง่ายๆเหมือนกับการตบยุงตายไปหนึ่งตัว จนทำให้คนที่ได้ยินต้องคิดเกี่ยวกับหัวหน้าหอนี้เสียใหม่
“คู่ต่อไป นายสินะ”อาเรสที่เดินมาสลับตัวกับชานัทพูดแล้วเดินไปรอที่กลางสนาม
“ฉัน... ยอม... แพ้”อาเรสเดินไปที่สนามพร้อมกับตะโกนคำๆนี้ขึ้นมา ทำเอาหลายคนถึงกับต้องเหลียวหลังมอง
“นาย... ชนะ”อาเรสบอกแล้วชี้ไปหาคนๆหนึ่งในกลุ่ม ทันทีที่กลับมาถึงเพื่อนๆ อาเรสโดนถามในทันที
“ทำไม...”โอเทสตั้งท่าจะซัก
“หยุด! เราชนะ 3 จะแพ้สัก 2จะเป็นไรไป อีกอย่างถ้าปล่อยฝีมือไปฉันกลัวว่าจะออมพลังที่มันกำลังพลุ่งพล่านไม่อยู่เผลอฆ่าไปน่ะสิ”อาเรสพูดแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
“งั้น... ฉันแพ้”เดลคิลตะโกนทั้งๆที่ไม่ได้ลุกออกไป แล้วมองไปที่กลางสนาม
“เกมจบ นายแพ้”เดลคิลว่าแล้วเดินกลับไปยังหอพักของตนเอง
“บัดซบ!”เสียงตะโกนตามหลังออกมา แล้วตามด้วยคำด่าทอต่างๆอีกมากมาย
“หุบปากเถอะหน่า”เดลคิลหันไปบ่น
“ไม่! แกมันขี้ขลาด ที่จริงแกก็ไม่กล้าสู้นี้หว่า ไอ้หน้าตัวเมีย”มันตะโกนด่ากลับมา
“แกลองของฉันเองนะ หึ”เดลคิลพูดอย่างเยือกเย็นก่อนที่คนที่กำลังด่าทอเดลคิลจะหายไปดื้อๆแล้วมาโผล่ที่ข้างตัวเดลคิล
“นายมันวอนชัดๆ”เดลคิลกล่าวก่อนที่แรงลมที่ถูกหน่วงพลังเอาไว้จะซัดใส่ใบหน้าของคนที่อยู่ในมือของเดลคิล
“โชคชะตามันไม่จำเป็นสำหรับพวกฉันหรอกนะ”เดลคิลพูดเสียงเบาก่อนจะเดินตามเพื่อนๆที่หายลับสายตาไปแล้วทิ้งไว้แต่ร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งหายใจแผ่วเบาอยู่เบื้องหลัง
ความคิดเห็น