คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : หนังสือเล่มนั้น
ฉันแยกกับโชหลังจากเล่นเกมช้อนปลาทองเสร็จ ตอนนี้เหลืออีก15นาทีก็จะหมดวันๆนี้แล้ว หลายๆซุ้มเริ่มทยอยเก็บของ บางซุ้มก็ไม่มีผู้คนเหลืออยู่ ฉันถอนหายใจโล่งๆ โชคดีที่วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นน่าจะเป็นแบบนี้ทุกๆวันเลย มันคงสบายสุดๆ ฉันเดินเข้าไปในซุ้มๆหนึ่งซึ่งไม่เหลือผู้คนแล้ว ก่อนที่ตาเจ้ากรรมจะเหลือบไปเห็นของบางอย่างตกอยู่ มันเป็นสมุดปกสีขาวเล่มหนึ่ง ของใครกันนะ ฉันเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดูค่อยๆพลิกไปดูที่หน้าแรกช้าๆ หน้าแรกของกระดาษเขียนด้วยลายมือว่า...ความทรงจำแด่แก้ว... ฉันรีบพลิกมันอ่านทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นหนังสือเรื่องเดียวกันกับที่ฉันมีอยู่ เนื้องเรื่องในนั้นไม่ต่างอะไรกับที่ฉันมี
‘ก้อนหินก้อนหนึ่ง อาศัยอยู่ในสวนสาธารณะ ทุกวันมันได้แต่เฝ้ามองดวงตะวันที่ส่องแสงลงมา รอบตัวมันมีแต่หิน ต้นหญ้า และสายน้ำ มันอิจฉาพระอาทิตย์ที่ได้รู้จักกับทุกคน อยู่มาวันหนึ่ง มันก็หมดความอดทน มันตะโกนคุยให้พระอาทิตย์ได้ยิน
“พระอาทิตย์ ข้าอิจฉาท่านจริงๆ ท่านได้รู้จักกับทุกสรรพสิ่ง ข้าอยากทำได้แบบท่านบ้าง ข้าควรจะทำอย่างไรดี”ก้อนหินตะโกนขึ้นไป ทุกสิ่งรอบๆตัวมันหันมอง ก่อนจะร้องเตือน
“เจ้าก้อนหินบ้า เจ้าไม่รู้หรือว่าพระอาทิตย์อยู่สูงส่งกว่าพวกเรามากนัก เขาเป็นผู้ให้แสงสว่างแก่โลก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็สู้พระอาทิตย์ไม่ได้หรอก เขาอยู่สูงเกินกว่าที่เจ้าจะเอื้อมถึง”เสียงสายน้ำเตือน
“ข้าไม่สน พระอาทิตย์ ได้โปรดพาข้าขึ้นไปอยู่ด้านบนแบบท่านบ้าง ข้าอยากอยู่ในที่ๆสูงๆ”ก้อนหินร้องขอ
“ก้อนหิน... การอยู่ด้านบนน่ะไม่ได้ดีเสมอไปหรอกนะ”เสียงพระอาทิตย์พูดขึ้น ก้อนหินเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่พระอาทิตย์จะพูดต่อ
“เจ้าก็เห็นแล้วนี้ ข้างบนน่ะ ไม่มีเพื่อน ข้าอยู่ที่นี้คนเดียว ได้แต่มองพวกเจ้าอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น เมื่อเจ้าได้โอกาสนั้นมาแล้ว เจ้าก็ควรจะรับมันเอาไว้ด้วยความยินดี”พระอาทิตย์พูด ก้อนหินไม่พูดอะไร แต่มันก็นิ่งลง เป็นการบอกว่ามันเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
“งั้นข้าจะ...” ’ เนื้อเรื่องในหนังสือของฉันมันจบลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่ในสมุดเล่มนี้ ฉันค่อยๆพลิกหน้าต่อไปช้าๆ
‘ “งั้นข้าจะอยู่คนเดียว เมื่อข้าอยู่คนเดียวแล้ว ท่านจะรับข้าไปอยู่ด้วยใช่หรือไม่”ก้อนหินก้อนนั้นไม่รอคำตอบ มันพุ่งตัวลงสู่ทะเลสาบกว้างใหญ่ รอเวลาจมดิ่งลงสู่จุดที่ลึกที่สุด มันหลับตาลงรอให้ใครสักคนมาพามันขึ้นไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครเลยที่จะพามันกลับขึ้นไป ก้อนหินก้อนนั้นท้อแท้มาก มันเผลอหลับไปในที่สุด
“ก้อนหินเอ๋ย เจ้าเป็นเพียงหิน จงอย่าได้อยากอยู่สูงเกินไปจากความเป็นหินเลย จงอยู่อย่างที่เจ้าเป็น จำเอาไว้เถิด เธอก็คือเธอ เธอไม่เคยกลายเป็นคนอื่น และคนอื่นก็ไม่เคยกลายเป็นเธอ ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่นั่นก็ยังเป็นตัวของเธอ เป็นร่างกายของเธอ เป็นจิตวิญญาณของเธอ อย่าลืมซะล่ะ นั่นคือก้อนหินยังไงล่ะ ไม่ว่าเจ้าจะถูกกระแสน้ำพัดพาจนเปลี่ยนรูปร่าง แต่ตัวเจ้ายังคงเป็นหิน ดังเช่นดวงอาทิตย์ เขาก็ยังคงเป็นดวงอาทิตย์ที่อยู่สูงส่ง อย่าไขว่คว้าแล้วเจ้าจะพบกับความรักที่สรรพสิ่งรอบๆตัวเจ้านั่นมอบให้”เสียงลึกลับนั้นบอก ก้อนหินรู้สึกว่าร่างกายของตนนั่นเบาขึ้นและมันก็ค่อยๆลืมตา ในตอนนี้ตัวของมันอยู่บนบก และไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ใช่แล้ว... มันฝันไปนั่นเอง เมื่อตื่นขึ้นมาความฝันก็จะจบลง และแหลกสลาย เหลือไว้แต่เพียงความทรงจำที่มันมีเท่านั้น...’
ฉันปิดหนังสือลง หนังสือเล่มนี้มีคำที่คุ้นหูอยู่ด้วย แสดงว่าคนที่แต่งเรื่องนี้คงจะเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคนที่พูดประโยคนี้ให้ฉันฟัง แต่ว่าไม่น่าเลยนะ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ดีแท้ๆ แต่ทำไมทั้งหมดถึงเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือตอนนี้ฉันเองก็กำลังฝันไป ฝันที่ว่าฉันมีเพื่อนเป็นโช มิน เอ็ม เต้ และคนอื่นๆทั้งหมด มันคือความฝันรึเปล่านะ
“แก้ว... กลับกันรึยังอ่ะ”เสียงบีมลอยมากระทบหู ฉันมองบีมแล้ววางหนังสือลงที่เดิม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปจับมือบีม
“บีม... บีมไม่ใช่ความฝันสำหรับแก้วใช่มั๊ย”ฉันกระชับมือบีมให้แน่นขึ้น ก่อนจะพึมพำเบาๆ บีมหันมามองหน้าฉันงงๆแล้วก็ค่อยๆเผยยิ้มออกมา เธอลอยอ้อมมาด้านหลังฉันแล้วโอบกอดฉันจากทางด้านหลัง ฉันจับมือเธอเบาๆ แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้ฉันทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น ฉันคลายมือที่จับแขนบีมเอาไว้และเปลี่ยนมันมากุมหัวแทน ตอนนี้หัวของฉันมันเหมือนกับมีอะไรมากดทับอยู่ โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“แก้วเป็นอะไร...”น้ำเสียงบีมดูร้อนรน ฉันได้แต่หลับตานิ่งและนั่งอยู่กับที่พยายามไม่ขยับเขยื้อน รอจนกว่าอาการนั่นจะทุเลาลง ขณะนั้นฉันเห็นภาพกองเลือดเป็นหย่อมๆตามพื้น สลับกับภาพสีดำมันทำให้ฉันทรมานยิ่งกว่าเดิม... จนเอ็มมาพบเข้านั่นล่ะ เดาได้เลยว่าบีมคงไปตามมาแน่ๆ เอ็มพยุงฉันให้ไปนั่งบนเก้าอี้ เอาน้ำและผ้ามาเช็ดให้ฉัน อาการนั่นค่อยๆหายไป ฉันดึงผ้าผืนนั้นออกจากมือของเอ็มแล้วลูบผ่านหน้าของตัวเอง ก่อนจะส่งผ้าผืนนั้นคืนและลุกยืนขึ้น แม้จะเซๆอยู่บ้าง แต่ฉันก็ไม่ล้มลงไป
“ขอบใจนะ”ฉันพูดก่อนจะเดินจากมา ทิ้งให้เอ็มยืนอยู่ด้านหลัง ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาดูหรอกว่าเอ็มจะโกรธหรือจะด่าอะไรฉัน แต่ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้านไปนอนอย่างเป็นกิจจะลักษณะสักที เพราะตอนนี้ฉันยังปวดหัวมึนๆอยู่เลย
ฉันใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทางกลับบ้าน ขวัญยังไม่กลับ แน่ล่ะ... เธอต้องอยู่ช่วยเก็บร้านนี้หน่า ฉันเดินขึ้นไปบนห้อง กินยาพาราสักสองเม็ด ก่อนจะหลับลงไป โดยมีบีมนั่งมองอยู่ข้างๆ ฉันหวังว่าหลังจากที่ฉันตื่นขึ้นมา สิ่งที่ฉันรับรู้ เรื่องราวทั้งหมดคงจะไม่ใช่... ความฝัน
“แก้ว... ตื่นได้แล้ว”เสียงของใครบางคนเรียกฉันพร้อมๆกับแรงสั่นสะเทือนบริเวณข้างลำตัว ฉันปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะขยี้ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืน ไม่สิ่ง ไม่ใช่ยืน ต้องเรียกว่าลอยอยู่ข้างๆเตียงของฉัน
“เบน...”ฉันครางฮือ นานแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเธอเลย
“ฉันกำลังจะไปเกิดใหม่ เลยอยากมาพบเธอสักหน่อย”เบนยิ้มจางๆ คราวนี้เธอมาในชุดผ้าสีขาวที่ปลิวสะบัดไปมา ทั้งๆที่ไม่มีลมพัด เธอแบมือออกมาให้ฉันในขณะที่ฉันก็ยื่นมือออกไปจับมือของเธอ เบนค่อยๆก้มลงมาก่อนจะหอมแก้มฉันและกระซิบเบาๆที่ข้างหู
“ลาก่อนนะ... รักแรกและรักสุดท้ายของฉัน ขอให้เธอมีความสุข”ฝ่ามือของเธอค่อยๆกลายเป็นละอองสีขาวและจางหายไปกับสายลม รอยยิ้มของเธอยังคงตรึงอยู่ในหัวใจของฉัน... ลาก่อนคนที่รักฉัน ขอบใจกับความรู้สึกที่มีให้ แม้ฉันจะไม่ได้ตอบอะไรให้เธอดีใจได้เลย
“แก้วๆ ขวัญกลับมาแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า เห็นเอ็มว่าแก้วไม่ค่อยสบาย”เสียงของขวัญกำลังดังอยู่ข้างหูพร้อมกับฝ่ามือเล็กๆที่แนบลงบนหน้าผากของฉัน ฉันส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้ขวัญรู้ว่าฉันไม่เป็นอะไร
“งั้นเดี๋ยวขวัญไปทำข้าวต้มให้แล้วกัน แก้วก็รีบตื่นมาด้วยล่ะ” ขวัญบอกก่อนจะลุกแล้วเดินออกไปนอกห้องทิ้งให้ฉันต้องอยู่ในห้องเพียงลำพัง ฉันยันตัวขึ้นมานั่งแล้วเอื้อมมือไปคว้าสมุดไดอารี่ที่ฉันจดบันทึกทุกวันเอาไว้ กางหน้าที่กั้นเอาไว้แล้วเปิดออก ฉันมองหน้าที่จดบันทึกเอาไว้ล่าสุดแล้วคว้าปากกาข้างโต๊ะมาเขียนบันทึกของวันนี้
‘ วันจันทร์ 2-03-XX เวลา 6.54 น.
วันนี้จัดงานโรงเรียนเหนื่อยเป็นบ้า แต่คนก็เข้ามาเล่นเยอะดี ได้ช้อนปลาทองด้วย แล้วก็ได้อ่านหนังสือที่ฉันอ่านไม่จบ เก็บได้จากพื้นน่ะ ฉันหวังว่าทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในที่นี้และตอนนี้ คงจะไม่ใช่ความฝันของฉันนะ ’
จากนั้นไม่นานฉันก็วางสมุดบันทึกเล่มนั้นลงโต้โต๊ะเหมือนเคยๆ พร้อมๆกับขวัญที่ยกข้าวต้มแล้วก็ยาอีกสองเม็ดใส่ไว้ในแก้วใบเล็ก ขวัญนั่งลงข้างเตียงก่อนจะวางชามข้าวต้มไว้บนโต๊ะ ฉันเอื้อมมือไปหยิบมันมาแล้วเป่าเบาๆก่อนจะส่งเข้าปาก
“แก้วรู้ตัวไม่ใช่เหรอว่าไม่สบายง่าย”
“...”ฉันเป่าข้าวต้มในชามแล้วยกขึ้นตักโดยหูก็ฟังเสียงของขวัญที่เอ่ยต่อไปเรื่อยๆ ฉันไม่รู้เธอต้องการจะสื่อสารอะไรกับฉัน
“ถ้าวันนี้... เอ็มไม่ไปเห็น คงอีกนานกว่าแก้วจะทุเลาลง”
“...”ฉันวางชามแล้วหันไปสบตาตรงๆกับขวัญ
“ขวัญไม่ชอบเลยที่เห็นแก้วเป็นลมไปบ่อยๆ ขวัญกลัวว่าพี่แก้วจะกลับไปเป็นแบบ ‘ ตอนนั้น ’ อย่าทำให้ขวัญเป็นห่วงแก้วมากไปกว่านี้อีกเลยนะ”
“ขอโทษ แต่แก้วบังคับไม่ได้ อยู่ดีดีมันก็ชอบเห็นภาพอะไรไม่รู้โผล่ขึ้นมาเฉยๆ ขอแก้วนอนพักแล้วกันนะ แก้วอิ่มแล้วล่ะ”ฉันดันชามข้าวต้มที่ตักไปได้เพียงสองสามคำออกห่างจากตัว ขวัญลุกขึ้นยกถ้วยใส่ยาไว้ด้านนอกก่อนจะยกชามข้าวต้มไปเก็บ หลังจากเห็นขวัญลับสายตาไปได้ไม่นาน ฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้ายาในแก้วใบเล็กนั้นมาเทไว้ในมือแล้วหยิบตาประจำตัวของฉันมากินอีกเม็ด เพราะตอนนี้อาการไมเกรนของฉันมันเริ่มจะปวดขึ้นมาแล้วสิ ฉันรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวทันที ก่อนจะปวดหัวไปมากกว่านี้...
เช้าวันอังคารในมุมเล็กๆของฉันที่ยังไม่มีใครโผล่หัวมา ขวัญไปซื้อข้าวกินที่โรงอาหาร คนอื่นๆก็ปล่อยมันไปเถอะ นานๆจะได้อยู่เงียบๆแบบนี้สักทีก็ดีเหมือนกันนะ แต่แล้วสิ่งที่ฉันไม่ต้องการก็บังเกิดขึ้น เสียงผู้หญิงสองสามคนเรียกให้ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่แล้วก็ได้รับความเจ็บปวดที่แก้มกลับมา รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในปากเลยล่ะ
“ฉันบอกให้แกเลิกยุ่งกับเอ็ม”เด็กผู้หญิงคนนั้นคำรามลั่น แน่นอนในตอนเช้าๆแบบนี้ไม่มีใครอยู่หรอก ฉันฝืนหันไปมองเด็กคนนั้นอีกที ด้านหลังมีพรรคพวกของเธอยืนอยู่สองคน คงจะเป็นลูกน้องสินะ
“มองหน้าแบบนี้แกอยากโดนตบอีกรึไง”เสียงแว้ดๆนั้นดังขึ้นอีก คงเพราะคราวนี้มีโอกาสให้ฉันตั้งตัวบ้าง และพวกมันก็ไม่ได้มามากแบบครั้งที่แล้ว ฉันเลยส่งสายตาเหยียดๆที่ปกติฉันก็เป็นอยู่แล้ว แค่เพิ่มดีกรีเข้าไปอีกหน่อยให้พวกนั้นเต้นเป็นเจ้าเข้า หล่อนเงื้อมือขึ้นกำลังจะตบแต่ก็ชะงักเพราะเสียงๆหนึ่ง
“ถ้าเธอตบแก้ว ก็อย่าหวังที่จะกลับไปแบบสวยๆเลย”เสียงใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง พร้อมๆกับการปรากฏตัวของเธอ ฉันมองผ่านไปก่อนจะพบว่ามินกำลังเลื่อนใบคัตเตอร์ดังครืดคราด ฟังดูน่ากลัวพิลึก โดยมีนายโชยืนเป็นแบ็คอัพด้านหลัง
“ชิ! กลับสิย่ะ จะยืนรอให้แม่มากรีดเหรอ”เสียงยัยนั่นหันไปแวดใส่เพื่อนด้านหลัง ซึ่งยัยพวกนั้นก็ยอมถอยกลับไปแต่โดยดี มินเก็บคัตเตอร์ลงกระเป๋านักเรียนแล้วเดินมาดูหน้าฉัน
“โอ๊ย! แก้ว ขึ้นรอยมือเลยอ่ะ ฉันน่าจะตบพวกนั้นก่อนไปจริงๆเลยนะเนี่ย”มินบ่นกระปอดกระแปด แล้ววางกระเป๋าลงด้านข้าง ทิ้งให้โชส่ายหัวอย่างระอาคนเดียว มีเพื่อนแบบนี้ก็ต้องทำใจนะโช
มินบ่นอะไรบางอย่างคล้ายๆว่าทำไมฉันไม่ดูแลตัวเอง ไม่ตะโกนให้ใครช่วยเลย อะไรเทือกนี้ ซึ่งฉันก็พยักหน้ารับแบบแล้วไปที ไม่อยากจะบอกว่าตอนเช้าๆแบบนี้ ใครมันจะเข้ามาช่วยกัน เด็กที่มีก็น้อยจนนับคนได้แล้ว ไม่นานเท่าไรนักคนอื่นๆก็ทยอยกันมา ที่นั่งของฉันก็กลายเป็นที่รวมกลุ่มไปโดยปริยาย และมันก็ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่า... ถ้าฉันขาดคนพวกนี้ไปคงจะเหงาน่าดู เมื่อไม่มีก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้รับแล้วกลับรู้สึกขาดมันไปไม่ได้ ถ้าฉันจะนิยายประโยคเหล่านี้เป็นคำๆหนึ่ง คำๆนั้นจะเป็นคำว่า ‘ เพื่อน ’ ได้รึเปล่านะ...
ความคิดเห็น