วังวงแห่งจิตใจ - วังวงแห่งจิตใจ นิยาย วังวงแห่งจิตใจ : Dek-D.com - Writer

    วังวงแห่งจิตใจ

    สิ่งที่คนๆหนึ่งได้เรียนรู้ จากวังวนของจิตใจ

    ผู้เข้าชมรวม

    65

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    65

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 มี.ค. 57 / 20:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
                  กล่าวว่ามนุษย์นั้น จิตใจล้ำลึก คดเคี้ยว ยากแท้หยั่งถึง เราไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่ทำดีกับเราตอนนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร ทุกคนเอาแต่สร้างกำแพงระหว่างกันโดยไม่รู้ตัว เริ่มห่างเหิน ไม่ช่วยเหลือกัน ไร้ความสามัคคี จนในที่สุดมันก็ว่างเปล่า หรือนี่จะเป็นความจริงของโลก ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้จริงเหรอ

              

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      กล่าวว่ามนุษย์นั้น จิตใจล้ำลึก คดเคี้ยว ยากแท้หยั่งถึง เราไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่ทำดีกับเราตอนนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร ทุกคนเอาแต่สร้างกำแพงระหว่างกันโดยไม่รู้ตัว เริ่มห่างเหิน ไม่ช่วยเหลือกัน ไร้ความสามัคคี จนในที่สุดมันก็ว่างเปล่า

                คนดี ผู้ที่เสียสละ กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมอันน่าหัวร่อของสังคม การทำคุณบูชาโทษนั้นมีอยู่ถมไป หัวเราะเยาะจนผู้ที่เคยเป็นคนดีนั้น กลัวที่ทำความดี จนต้องตามน้ำไป หัวเราะเยาะคนอื่นทั้งๆที่ไม่อยาก แต่ก็ไม่อาจขัดขืนกระแสสังคมได้ จนในมี่สุดก็เกิดเป็นวงจรอุบาทไม่จบสิ้น….

               วีระ ชายหนุ่มผู้ที่เหนื่อยล้ากับชีวิต หลังจากที่เขาจบจากมหาวิทยาลัยมาก็โดยหลอกมาโดยตลอด ทำงานที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไรก็ไม่เคยมีความหมาย เพราะในที่สุดเขาจะเหลือติดตัวมาไม่กี่บาทตอนโดนไล่ออก

                  ทั้งๆที่ตัวเขาเองนั้นเหนื่อยยากแสนเข็นหรือโดนหลอกมาแค่ไหน

                  เขาก็ยังทำเป็นมองไม่เห็นว่าโดนหลอก ทำตัวให้คนอื่นด่าว่าโง่ทั้งๆที่ตัวเองฉลาด เพราะเขายังคง เชื่อในจิตใจของมนุษย์ เชื่อว่าสักวันสิ่งที่เขาทำจะไม่สูญเปล่า เชื่อสักวันจะมีคนมาตอบแทนเขาด้วยคำเพียงเล็กน้อยว่า ขอบคุณ เขาได้แต่บอกตัวเองว่าคงมีสักวัน และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาก้าวเดินต่อไปได้โดยไม่จบชีวิตลงเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวัน

                   วันนี้ฝนตกเล็กน้อย ท้องฟ้าสีเทา เขายังคงก้าวเดินต่อไปยังสถานที่แห่งท้องฟ้า ในถานะ ผู้ช่วยนักบิน

                   งานใหม่ อาชีพใหม่ และคงจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของเขา ช่วงชีวิตอันสว่างรำไร เขาคิดว่าหลังจากย้ายมาที่นี่ทุกอยากจะเปลี่ยนไป ที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ บางทีเขาอาจจะพบคนที่ตามหาก็ได้

               แต่ว่าก็เป็นอย่างที่คิด ไม่ว่าที่ไหน ก็ไม่เคยแตกต่างกัน

                 เขาเพิ่งโดนหัวหน้างานของเขา กัปตัน ยักยอกเงินไปนับล้าน หัวหน้าของเขามีข้ออ้างที่ดูเกินจริงอย่างมาก เพราะว่าเขาบอกว่าลูกสาวของเขานั้นใกล้จะตายอยู่รอมร่อ ต้องใช้เงินมากมายมหาสารในการรักษา

               จำนวนเงินขนาดไหนกัน ที่แม้แต่คนทำงานอย่างกัปตันเครื่องบินก็ยังไม่มีปัญญาจ่าย?’

                เขาพูดกับตัวเองพลางนั่งเหม่อลอยไปอย่างไร้ความหมาย ถึงแม้จะฟังดูเกินจริงแค่ไหน

      แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะด่าว่าอะไร  หากว่ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ…’ แค่คำไม่กี่พยางค์นี้ ก็ผลักดันให้เขาจมลงไปอยู่กับความสิ้นหวังได้

                 เขาแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายในการทำงานของเขา เพราะเขาเพิ่งจะได้รับซองสีขาวบนโต๊ะวันนี้

                  เศร้าจนแถบร้องให้ กลัวจนไม่กล้าเปิดดู ได้แต่นั่งเครียดอยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น จนตัวเองหนีมาบนเครื่องบินนี้ ไม่ยอมเปิดอ่าน

                 อีกไม่นานเครื่องบินก็จะออกจากท่า เขาที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ห้องคนขับก็ตัดสินใจเช็คเครื่องอีกครั้ง ก่อนจะทำการขึ้นบินไปยังจุดหมายปลายทางครั้งสุดท้ายของเขาพร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่ใจไม่ซื่อคนนี้

            

       

       

              ทุกอย่างดูดีในช่วงแรกๆ การเดินทางปลอดภัยเป็นที่หนึ่ง สวัสดิภาพ บลาๆๆ มันก็เป็นเพียงแค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

                 เครื่องบินเกิดการขัดข้องอย่างหนัก เพราะการตรวจดูเครื่องแบบขอไปทีของช่าง และความชะล่าใจและประมาทของเขาที่ไม่ตรวจเช็คดูให้ดีๆ

                  ในไม่ช้าเครื่องบินก็จะตกลง บนเครื่องเริ่มวุ่นวาย ปีกซ้ายระเบิดเป็นจุณ ที่ยังคงทรงตัวได้นี่เรียกได้ว่าเป็นปาฎิหาริย์ของแท้

                   เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่พนักงานบริการทั้งหลาย มีทั้งคำด่า คำสาปแช่งสารพัด คำสวดพาวนา อนิจจา ทุกอย่างล้วนสูญเปล่ายิ่งนัก สุดท้ายก็โทษกันเอง

                    เครื่องบินกำลังจะเสียการทรงตัว ทุกอย่างเริ่มพังไม่เป็นท่า เครื่องเริ่มหมุนควงสว่านโหม่งโลกอย่างไม่มีทางช่วยได้

               ในขณะนั้นเองจู่ๆโลกก็หยุดลงกะทันหัน

               ทุกอย่างเหมือนหยุดเวลาเอาไว้ ไม่ขยับ ไม่มีเสียง มีแต่วีระเท่านั้นที่รู้สึกตัว ขยับได้และตื่นตกใจอยู่ตัวคนเดียว

             เขาต้องตกใจสุดขีดเมื่อเขาได้มองไปยังแสงที่สาดมายังตัวเขา อบอุ่น แต่เต็มไปด้วยพลัง

       อ้าปากค้าง มองไปอย่างแทบไม่เชื่อสายตา สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงกลังปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา

             “มนุษย์เอ๋ยข้ามาเสวนากับเจ้า…”เทวดากล่าว

             “สงสัยเราคงสติแตกไปแล้วแน่ หรือไม่ก็ตายไปแล้ว…”เขาพูดออกมาเบาๆ

            เจ้าไม่ได้สติแตกหรือตายไปแล้วแต่อย่างไร เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ข้าได้หยุดเวลาไว้ และมาเสวนากับเจ้า ณ ที่นี่ ตอนนี้ จงดีใจเสียเถิด เพราะน้อยคนนัก จะมีโอกาสเช่นนี้

             

            โอ้ ถ้าอย่างนั้น ท่านเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ทำไมถึงมาพูดคุยกับผมล่ะ ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยแม้แต่จะโผล่ออกมาแท้ๆ ทำไมถึงหยุดเวลาแทนที่จะช่วยพวกเราช่วยพวกเค้า! ท่านมามัวเสียเวลาพูดคุยกับผมทำไมกัน!?”

              “เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมและเพราะว่าเจ้ามันแปลกประหลาดยังไงล่ะ

             “เอ๊ะ…”เขาอุทานขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ      

                ในขณะที่คนอื่นเอาแต่ร้องลั่นเอะอะโวยวาย เอาแต่โทษกันและกัน มีแต่เจ้าเท่านั้นที่เสียใจแทนพวกเขา มีเพียงเจ้าคนเดียวที่คิดถึงคนอื่น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสิ่งแปลกประหลาดมากไม่สิแทบเป็นไปไม่ได้ของมนุษย์ตอนนี้เลยต่างหาก

               เพราะสิ่งนี้เอง ทำให้ข้าสนใจเจ้ายิ่งนัก…”

             “ข้าอยากรู้ เหตุใดเจ้าจึงยอมทุ่มเทให้กับผู้อื่นถึงเพียงนี้ ทำไมเจ้าถึงยังทำตัวให้คนอื่นด่าว่างี่เง่า ทำไมเจ้าถึงยังทำตัวเป็นคนดีอยู่ได้ ข้านั้นสงสัยจนทนไม่ไหว…”

              ‘แม้แต่เทวดายังหาว่าเรางี่เง่างั้นเหรอนี่วีระคิดในใจ

                ก็ได้ไหนๆท่านก็อุตส่ามาผมก็จะเล่าให้ฟัง

                ท่านเทวดา ท่านที่คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมนั้นคงจะไม่เข้าใจท่านได้สังเกตมั้ยว่าช่วงนี้มีแต่คนไปนรกทั้งนั้น สวรรค์ของท่านโล่งแจ้ง แทบจะไร้เทวดามาอยู่อาศัยเลยใช่หรือไม่ ท่านมีอำนาจพลังประหลาด ลึกลับ แต่กลับไม่ยอมช่วยเหลือผู้คน

                 ท่านเคยลงมาดูยังโลกมนุษย์ขณะนี้หรือเปล่า ทุกๆสิ่งที่พวกเขาทำกันก็เพื่อผลตอบแทน รายได้ แม้แต่พระเองสมัยนี้ก็ยังทำให้เสื่อมศรัทธาได้…”

                    ทั้งๆที่โดนว่าไปขนาดนี้ แต่เทวดาก็ยังลอยอยู่นิ่งๆ ฟังอย่างคนมีมารยาท

      สมกับเป็นเทวดาจริงๆ เป็นคนดีอย่างที่คิดไว้

                โลกเริ่มไม่น่าอยู่ขึ้นทุกวัน เปิดข่าวขึ้นมาก็มีแต่ข่าวร้ายๆ ไม่ก็ไร้สาระ คนดีมีเพียงแค่หยิบมือไม่สิ แทบไม่มีเลยต่างหาก พวกที่เป็นคนดีก็อยู่แบบหาเช้ากินค่ำ อยู่อย่างสุตจริต อดมื้อกินมื้อ ในขณะที่คนชั่วกินอยู่อย่างหรูหราอยู่อย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง

               เมืองก็เหมือนท่อระบายน้ำ อุดตันไปด้วยขยะที่เรียกว่าเศษซากจากการกระทำอันเห็นแก่ได้ของพวก ผู้ดีคนดีที่ดีจริงๆที่คอยเก็บเศษซากไม่ให้ท่อมันตันก็มีเพียงน้อยนิด แทบจะนับคนได้ทั้งๆที่เป็นเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้

                จนสุดท้าย ท่อมันก็ตันน้ำมันก็ท่วมพวกผู้ดีทั้งหลายแต่พวกนั้นกลับเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของคนดีทั้งหลายที่ไม่เก็บรักษาทำความสะอาดกันให้ดีๆ

             ในดวงตาของวีระเริ่มมีน้ำตาเล็ด เขาไม่เคยระบายความในใจแก่ใครมาก่อน

             “ท่านรู้รึเปล่าว่าคนพวกนั้นที่คอยเก็บขยะล้างท่อให้ตลอดน่ะ มันรู้สึกยังไง ท่านเคยรู้รึเปล่าทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ผมก็ยังไม่อยากหยุดทำมันเพราะว่าหากโลกนี้ไม่มีคนอย่างเราอยู่ละก็ โลกเรามันคงไร้ความหมาย โลกที่มีแต่น้ำเน่าโสโครกนั้นไม่มีคนอยากอยู่หรอก

              ถ้าหากโลกนี้ไม่มีคนดีอยู่ละก็ ผมเองก็จะเป็นให้เอง ตรงนี้ไงล่ะ!”

              เทวดาได้เพียงแต่อยู่นิ่งๆ มองดูวีระอย่างสมเพชเท่านั้น

             ท่าเช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าขอเลือกอะไรก็ได้หนึ่งอย่างละกัน เพื่อเห็นแก่ความดีของเจ้า เจ้าจะขอให้ตัวเองรอดตายเพื่ออยู่ต่อไปหรือจะเลือกให้ชีวิตเจ้า แลกกับชีวิตของคนพวกนี้

            “ผมขอให้ใช้ชีวิตของผมแลกกับชีวิตทุกคนบนเครื่องบินลำนี้ได้หรือเปล่า…”วีระพูดออกไปแบบไม่ต้องคิดเลย

            “ข้านึกแล้วแต่เหตุใดเจายังคงยืนกรานจะขอแบบนั้นล่ะ เจ้าจะขอให้เอาตัวเองรอดไปคนเดียวก็ได้ วิญญาณเจ้าคนเดียวยังสูงส่งกว่าคนพวกนี้รวมกันอีก คนพวกนี้รังแต่จะหนักโลกมิใช่รึ หากหายไปซักฝูงนึงก็ไม่เป็นไรไม่ใช่รึ…”

             “คนพวกนี้อาจจะเป็นอย่างที่ผมพูดแต่พวกเขาก็อาจจะยังคงมีลูกมีครอบครัว หากพวกเขาตายไปแล้วใครจะคอยดูแลคนพวกนั้น ผมไม่อยากให้คนรุ่นต่อไปเจ็บปวด หรือต้องมาจบลงเป็นคนที่คอยเอาแต่จะทิ้งขยะลงท่อระบายน้ำอีกแล้ว…”

             “เจ้าเองก็มีครอบครัวมิใช่รึหากเจ้าตายไปใครกันที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเจ้า…”

         เทวดาเอาแต่ตั้งคำถามเรื่อยๆ ทั้งๆที่มีพลังขนาดนี้แต่กลับเลือกที่จะถามเอาตรงๆ โดยไม่กลัวที่ผมอาจจะโกหก เชื่อใจคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์แบบนี้

              “ผมไม่มีอีกแล้วล่ะนับตั้งแต่ผมยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นคนแบบนี้ พวกเขาก็ทิ้งผมไปทันที…”วีระเอ่ยออกมาอย่างเศร้าสร้อย

             “แล้วเจ้าจะทิ้งพวกนั้นไปแบบที่พวกเขาทิ้งเจ้างั้นเหรอ ปากก็ว่าอย่างแต่การกระทำก็เป็นอีกอย่างแล้ว-”

              “ถ้าอย่างนั้นจะให้ผมทำยังไงล่ะ! ยอมตายกันทั้งหมดนี่เหรอ! ท่านเป็นคนเสนอเองไม่ใช่เหรอว่าใจให้ผมตายหรือพวกเค้าตาย! เป็นท่านท่านจะเลือกอะไรล่า ตอบผมมาซี่!..”

              “…” เทวดาไม่ตอบ

             “ใช่ว่าทุกคนจะเลือกแบบนี้ได้ ตั้งแต่ท่านตั้งคำถามให้ผมเลือกท่านก็รู้อยู่แต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าผมจะเลือกอะไร!”

             “ผมไม่อยากตายใครๆก็ไม่อยากมาตาย ท่านเองตอนมีชีวิตอยู่เองก็ไม่อยากตายแน่ๆ

      เช่นเดียวกับเราทุกคนทุกคนบนเครื่องบินลำนี้…”

              วีระเริ่มเอาแต่ร้องให้ สะอึกสะอื้น

             “หากเจ้าตายตอนนี้ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนทุกอย่างก็จะยังคงเหมือนเดิมนะเจ้าแน่ใจจริงๆแล้วเหรอ หากสักวันนึงจะมีคนแบบเจ้ามาอีกล่ะ…”

             “ผมได้ตัดสินใจไปแล้วถึงตอนนั้นอย่าได้ถามอะไรเช่นนี้อีก ผมไม่อยากให้ใครต้องทนเลือกอะไรแบบนี้อีกแล้วถ้าหากนี้เป็นชะตากรรม ก็ขออย่าให้มันเป็นไปเถอะ วีระพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำใจรับความตายได้ในที่สุด

               ถ้าเช่นนั้น ก็ขอให้มันเป็นไปอย่างเดิมมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะรอดตาย…”

             วีระพูดไม่ได้อยู่ๆเหมือนมีอะไรมาปิดปากไว้ เหมือนโดนอะไรเหนี่ยวรั้ง จะร้องตะโกนสาปแช่งก็ไม่ได้ ไร้พลัง คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนดี สุดท้ายก็ไม่แม้แต่จะช่วยเหลือใครได้งั้นเหรอ

             “ชะตากรรมนั้นโหดร้ายเสมอสิ่งที่เจ้าทำได้ นั้นคือเป็นพลังมุ่งต่อไปจงเชื่อมั่นสะว่าสักวันนึงมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป…”เขาไม่ได้ยินเสียงอีกต่อไป คำพูดท่อนต่อไปนั้นสูญเปล่า

           แสงสว่างแสบตาขึ้นเรื่อยๆ เจิดจ้าจนเขามองไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่ร้องให้อยู่อย่างนั้น

            แล้วทุกอย่างก็ถูกแสงนั้นกลืนกินหายไป

      .

      .

      .

      .

      .

             วีระ ตื่นขึ้นมาบนโรงพยาบาลท่ามกลางนักข่าวมากมาย แม้แต่ครอบครัวที่ไม่เคยติดต่อมาเลยก็ยังมาหาเขา รองกัปตันผู้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์

              ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น เขาเองก็ไม่ดีใจสักนิด เอาแต่โทษตัวเอง เอาแต่ก่นด่าสาปแช่งเทวดาองค์นั้นใช่ เขายังจำทุกอย่างได้ดี

                การบำบัดร่างกายเป็นไปอย่างทรมานแสนสาหัด แม้ครอบครัวหรือพวกนักข่าวจะคอยแวะเวียนกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่นานทุกคนก็ลืมเลือนไปมีเพียวเด็กสาวที่เขาไม่รู้จักเท่านั้นที่คอยมาแวะเวียนเยี่ยมเขา

                หลังจากที่กลับมายังคอนโดแล้ว เขาที่เอาแต่ทำตัวเป็นผีตายซาก ไม่เอาอะไรซักอย่างก็ยังคงจมอยู่กับอดีตต่อไป

                ดื่มเหล้า ไม่ไปทำงาน เอาแต่อยู่ห้อง ทำตัวไม่เป็นผู้เป็นคน เริ่มเสียใจที่ตัวเองเอาแต่เชื่อใจคนอื่น เสียใจที่ตนเองทำตัวเป็นคนดี

             ตกเย็นวันหนึ่งก็มีเด็กคนหนึ่งเอาจดหมายมาให้

             เขาที่ลองเปิดอ่านดูก็ตกใจ เพราะมันเป็นใบโอนย้ายสิทธิการดูแลเด็ก และเด็กคนนั้นเป็นลูกของกัปตันหัวหน้าใจคตของเขาแต่จดหมายไม่ได้สอดมาแค่ใบโอนย้ายเฉยๆ

               แต่มีข้อความเขียนด้วยลายมือบรรจงเขียนถึงเขา

       

       

       

       

       

         ถึงนาย วีรพัทธ์ ที่เคารพ

                    ผมรู้ว่าผมคงไม่มีหน้ามาพูดคุยกับคุณอีกต่อไป ผมไม่มีหน้ามาฝากลูกของผมไว้กับคุณ ผมรู้ว่าหลังจากนี้ไม่นานผมจะไปมอบตัวข้อหายักยอกเงินผู้อื่น

                     แต่คุณรู้มั้ยผมนั้นตั้งแต่เด็กเอาแต่ทะเยอทะยาน พอแก่ตัวมาก็เอาแต่มุ่งหน้าอย่างเดียวไม่สนใจคนข้างหลัง พอมารู้สึกตัวอีกที ภรรยาผมก็เสียไปแล้ว เหลือเพียงผมกับลูก

      ผมที่เอาแต่เสียใจก็ได้ใช้เงินทั้งหลายไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปจนหมด ทั้งเล่นหวย เล่นม้า การพนัน…    

                     ผมไม่ได้รู้ตัวเลยว่าลูกของผมป่วยหนักแค่ไหน ผมไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป

      แต่ว่าผมมีเพียงอย่างเดียวที่อยากจะบอกคุณไว้

               ขอบคุณสำหรับสิ่งต่างๆทั้งหมด ขอบคุณสำหรับชีวิตของลูกผม สำหรับทุกๆอย่างขอให้นี่เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของผมได้หรือไม่ คุณวีระ

                                                                              นาย ศักสิทธิ์ คงปัญญา                       

       

                  คำที่เขาตามหามานานแสนนาน ในที่สุดก็ได้รับมัน

                  วีระ วิ่งเข้าไปในห้อง ไปยังซองสีขาวที่เขาไม่เคยเปิดดูซองนั้น ข้างในนั้น เป็นใบโอนตำแหน่งกัปตันและใบจบการศึกษาการเป็นผู้ช่วยนักบินหาใช่ใบไล่ออกจากงานอย่างที่เขาคิดไว้ จากกัปตันใจคตของเขา…  แท้จริงแล้วเขานั้นเองนั่นแหละ ที่ไม่ยอมเชื่อใจคนอื่น คิดแต่ว่าคนอื่นนั้นไม่ดีกันหมดทุกคน

               เด็กที่ยืนอยู่หน้าห้องของเขา เด็กที่คอยมาเยี่ยมเขาตลอดที่โรงพยาบาล เด็กที่มีรูปอยู่ในซองจดหมายที่เขาได้รับ คือคนเดียวกันและกำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา

       

       

             มันทำให้ วีระ นึกคำพูดที่ขาดตอนของเทวดาตอนนั้นออก

               “ความจริงแล้ว ข้าจะสามารถเลือกคนที่จะรอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ข้าได้คุยกับคนบนเครื่องบินนั้นทั้งหมดพร้อมกันหลังจากที่คุยกับเจ้า พวกเขาทุกคนเลือกที่จะให้เจ้าเป็นคนรอดหลังจากที่ข้าเล่าเรื่องของเจ้าให้พวกเขาฟัง เจ้าเป็นคนจิตใจดีงาม วีระมนุษย์เอ๋ย จงรับโอกาสครั้งนี้ไปและจงใช้มันให้คุ้มค่าเพื่อไม่ให้ทุกคนบนนี้ต้องเสียใจภายหลังเถิด….”

           ขอเจ้าจงจงเชื่อมั่นต่อไป

           เขาร้องให้ออกมา หัวเราะไปด้วย พลางเดินเข้าไปหาเด็กแล้วพูดว่า

      สวัสดีนะ พ่อชื่อวีระนะ จะเป็นพ่อใหม่ให้กับหนู เข้าบ้านมาเดี๋ยวพ่อจะหาอะไรให้ทานนะ…”

       

       

       

       

                                                          แล้วคุณล่ะ ได้รับข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้บ้าง

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×