ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Got7#< all ❥ about yugyeom >

    ลำดับตอนที่ #1 : SF #1 ♡Crown

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 57


    © themy  butter

     

     ♡Crown
    <Markyug ft.Jackson&bambam>




    You don’t have to love me, I’ll just love you myself.
    พี่ไม่จำเป็นต้องรักผมก็ได้ ขอแค่ผมได้รักพี่ก็พอ

     

     

     

     

     หน้าที่ของตัวตลกก็คือทำให้คนอื่นยิ้ม หน้าที่ของคิมยูคยอมก็คือยิ้มให้คนอื่นเห็น
    พอลองมาคิดดูอีกที จริงๆแล้ว หน้าที่ของคิมยูคยอมก็ไม่ได้แตกต่างจากตัวตลกซักเท่าไหร่เลย

     

     

      ยูคยอมยิ้มกว้างให้กับเสียงหัวเราะที่ดังครืน ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักหรอกว่าหัวเราะเรื่องอะไรกัน แต่เพราะว่าทุกคนกำลังยิ้ม เขาก็เลยยิ้มออก เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้มีสติมากพอที่จะนั่งฟังเรื่องตลก(ที่ในใจเขาคิดว่ามันแสนจะงี่เง่า)ของรุ่นพี่แจบอม หรือไม่ทันได้กวาดสายตาไปมองสีหน้าเหรอหราของรุ่นพี่ยองแจตอนถูกรุ่นพี่จินยองแกล้งเอาเสียด้วยซ้ำ

     ก็เพราะทุกคนกำลังยิ้ม ยูคยอมเองก็ต้องยิ้มไปด้วย

     พอเริ่มจับใจความได้แล้วว่ากำลังจะเปลี่ยนเรื่องคุย คนที่มัวแต่นั่งเหม่อลอยคิดนู่นนี่จนปวดหัวไปหมดอย่างยูคยอมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้ใครรู้หรือจับได้หรอกว่าเขากำลังคิดมาก

     
    “เป็นไรเปล่าวะ? ทำไมถอนหายใจ?”

     เหมือนว่าวันนี้โชคชะตาจะไม่ค่อยเข้าข้างคนอย่างเขาสักเท่าไหร่(ก่อนออกจากบ้านก็ไม่ได้เช็คตารางดวงในหนังสือพิมพ์ซะด้วยสิ) เมื่อพี่มาร์ค ที่นั่งข้างๆกันกลับหันมามองแถมยังถามอะไรแบบนั้นอีก นึกขอบคุณที่ยังอุตส่าห์ลดเสียงลงจนกลายเป็นการกระซิบ


     “อ๋อเปล่าหรอกพี่ ผมนอนดึกอ่ะเมื่อคืน ลืมเอาการบ้านอังกฤษกลับบ้านมาอีก”

     พูดไปก็อยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาดไปด้วย คนอย่างคิมยูคยอมไม่เคยลืมเลยสักครั้งว่าวันนี้มีการบ้านอะไรบ้าง แล้วเรื่องที่จะลืมวิชาภาษาอังกฤษที่อาจารย์โหดจนขนลุกแบบนั้นได้ลงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


     “เห้ยวันนี้มาแปลก เด็กเรียนลืมการบ้านเว้ย สงสัยจะกินยาไม่เขย่าขวด ไหนๆสั่นดิ้ จะได้เขย่ายาทัน”

      เขารู้สึกอยากจะหันไปแยกเขี้ยวใส่รุ่นพี่แจบอม โทษฐานที่ดันแซวเขาไม่รู้เวล่ำเวลา เขาไม่ได้เคืองหรอกนะที่อีกฝ่ายเอาเขาไปล้อเลียนแบบนี้ หากกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่อย่างน้อยรอยยิ้มของคนในกลุ่มมันมาจากเขา โอเค พอมาถึงตรงนี้ทุกคนก็เริ่มจะสงสัยใช่ไหมละว่าทำไมเขาถึงต้องเรียกคนในกลุ่มว่ารุ่นพี่ อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่กลุ่มของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์นักหรอกแค่เป็นกลุ่มของชมรม เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิเศษ ก็เลยนัดเจอกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์นิดหน่อยในช่วงตอนปิดเทอม พอเวลาผ่านไปคำว่านิดหน่อยเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น สรุปบทสุดท้ายก็เลยได้มานั่งกินเนื้อย่างกันโดยมีพี่มาร์คเป็นคนจ่าย(ตามหลักการคบเพื่อนแล้ว สมาชิกในกลุ่มของเขาก็มีแค่สองคน เจ้าเพื่อนงั่งแบมแบม และคิมยูคยอม)

     เขาแกล้งทำเป็นสั่นตัวตามคำสั่งพี่แจบอม แต่นั่นก็ไม่ได้มาจากความรู้สึกอยากสั่นจากภายในจิตใจของเขาเท่าไหร่หรอก แค่เพราะเชื่อว่าถ้าทำลงไปทุกคนจะต้องรู้สึกดี ก็เลยทำ(นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าเหตุผลพวกนี้มันงี่เง่าสิ้นดี พอๆกับเขาเลย)

     แน่นอนว่าพอเขาสั่นตัวเสร็จ เสียงหัวเราะก็ดังกันรอบโต๊ะ เขายิ้มกว้างให้แล้วค้อมตัวเล็กน้อย สายตาเจ้าปัญหาก็ดันเหลือบไปมองใครอีกคนที่ตั้งแต่นั่งร่วมโต๊ะกันมาแทบจะนับประโยคที่พูดได้ แถมยังเอาแต่ก้มกดโทรศัพท์ในมืออีก

     แน่นอนว่ามันแปลก แปลกมากๆ เพราะคนอย่างคนนั้นไม่มีทางหรอกที่จะเงียบขนาดนี้ ถ้าไม่มีเรื่องเครียดในใจ

     เฮ้ วันนี้วันดีของพี่นะครับ ยิ้มบ้างสิ

     


     “ขอยืมคิ้วมึงไปผูกโบว์หน่อยดิไอ่แจ็คสัน อีกนิดหน่อยแม่.งจะรวมร่างกันเป็นสะพานล่ะ”


     “รวมร่างพ่อมึ.งสิ นี่คิ้วคนนะครับไม่ใช่พาวเวอร์เรนเจอร์”

     คิมยูคยอมอดขำไม่ได้กับบทสนทนาของรุ่นพี่สองคนตรงหน้า รวมร่าง พาวเวอร์เรนเจอร์เนี่ยนะ? คิดได้ไงวะครับ

     

      “ฉันเป็นตลกหรือไง”

     เขาชะงัก เมื่อได้ยินน้ำเสียงห้วนๆแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เลยก้มหน้าแล้วเบนความสนใจไปที่เนื้อย่างในจานที่พี่มาร์คอุตส่าห์คีบมาให้(นี่มาร์คต้วนกินยาอะไรมาผิดสำแดงหรือเปล่าเนี่ย) เขาไม่ตอบพี่แจ็คสันก็ไม่เป็นอะไรเท่าไหร่นัก เพราะยังไงต่อให้ตอบกับไม่ตอบมันก็คงมีค่าเท่ากัน ถึงจะทำดีแค่ไหนพี่แจ็คสันก็ไม่เลิกรำคาญเขาหรอก


     “มึงนี่ก็ ... พูดดีๆกับน้องเขาไม่ได้สักที”

    ปาร์คจินยองที่เพิ่งกลืนหมูลงคอไปได้สำเร็จก็เอาตะเกียบเงินโขกเข้าที่หัวของเพื่อนปากเสียคนนี้สักที ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร พอยูคยอมทำอะไรไม่พอใจหน่อยก็ชักสีหน้า พูดจาก็หมาไม่แดก แถมยังกัดไม่เลือกเหมือนกับหมาติดเชื้อไม่มีผิด


     “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่จินยอง”ผมชินแล้ว...

     เขาบอกพี่จินยองไปอย่างนั้นแล้วก้มหน้าเงียบ ลงมือกินสิ่งที่อยู่ในจานต่อ ถามว่าน้อยใจไหมกับสิ่งที่ได้รับ ยอมรับนิดหน่อยว่ามันก็มีบ้างแต่อาการแค่นี้มันก็เทียบเศษเสี้ยวกับอะไรๆที่ผ่านมาไม่ได้หรอก ยูคยอมเคยโดนแจ็คสันทำร้ายจิตใจมามากเกินจะนับไหวอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหดหู่ซักเท่าไหร่ (เพราะที่ผ่านมาก็หดหู่มามากพอแล้ว)


     “เอ้อ ยูค แบมมันจะมาปะ”

     พี่ยองแจที่หลังจากโดนแกล้งก็เอาแต่ซัดหมูเข้าปากอย่างไม่คิดชีวิต เงยหน้าขึ้นมาถามผมที่กำลังจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆเช่นกัน ผมสไลด์หน้าจอปลดล็อคโทรศัพท์ก่อนจะเช็คข้อความในไลน์อีกที


     “เห็นเขาบอกว่ามานะคร../น้องกำลังมา”

     เขาเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามยักไหล่ทำไม่ใส่ใจก่อนจะวางโทรศัพท์ที่อยู่มือลงได้สักที พี่แจ็คสันหันไปให้ความสนใจกับชิ้นหมูในมือแทนที่ใบหน้าเหรอหราของพี่ยองแจ

     ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพี่แจ็คสันรู้ได้ยังไง โทรศัพท์มือถือที่เอาแต่จิ้มกดตั้งแต่แรกที่มาก็คงจะเป็นคุยกับแบมแบม ที่ทำหน้าเครียดก็คงเพราะแบมแบมยังไม่ตอบ และที่ทำยักไหล่ก็เพราะรู้แล้วว่าแบมแบมกำลังออกมา

     เขาไม่ชะงักกับสรรพนามที่พี่แจ็คสันใช้เรียกแบมแบมหรอก เพราะเขาชินแล้ว..

    ทำให้เขารู้ตัวว่า บางทีเขาก็คงจะชินกับอะไรง่ายเกินไปหน่อย

     

     

    “กินเยอะๆนะแบม นายผอมเกินไปมันไม่ดีนะรู้เปล่า?”

     เขาพยายามกลืนหมูเหนียวหนืดที่รู้สึกว่ารสชาติมันชักจะขมเกินทนลงคอไปโดยพยายามห้ามใจไม่ให้เงยหน้ามองสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ตั้งแต่ที่บนโต๊ะอาหารมีแขกรับเชิญใหม่อย่างแบมแบมเข้ามา แจ็คสันก็ดูเหมือนจะมีความสุขกับการกินมากขึ้นเยอะ ยิ้มหน้าแป้นคีบทั้งข้าวและหมูให้คนข้างๆไม่มีหยุด แถมพูดจ้อเสียจนเหมือนเป็นคนละคนกับแจ็คสันเมื่อครู่นี้ และถ้าให้เดานะ พี่แจ็คสันจะต้องคิดในใจเอาไว้ว่ารสชาติหมูตอนนี้อร่อยยิ่งกว่าหมูตอนแรกเสียอีก


     “มึงมันสองมาตรฐาน”

     เขาที่กำลังเป่าหมูหันไปมองรุ่นพี่ต้วนที่เหมือนจะบ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียว เพราะขนาดของโต๊ะทำให้เราต้องนั่งเบียดกันนิดหน่อย ไม่ค่อยแปลกที่ต่อให้พี่แกจะบ่นร้อยแปดพันเก้าให้เบาเท่าไหร่ คิมยูคยอมก็คิดว่าเขาได้ยินอยู่ดี


     “มึงบ่นไรต้วน นี่น้องรักกู กูผิดตรงไหน”

     

      ยูคยอมเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินประโยคเสียดแทงหัวใจมาจากอีกฝ่าย ใช่ เขารู้ดีว่าเขาเป็นแค่คิมยูคยอม ไม่ได้ดีเด่นเลิศเลอความสามารถเยอะมากมายอะไรขนาดนั้น อัธยาศัยก็ติดลบเรี่ยต่ำติดดิน ก็เลยมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยว่าเขาจะไปเป็นรุ่นน้องสุดที่รักของรุ่นพี่อย่างแจ็คสัน หวังได้ซะที่ไหน พอคิดถึงความจริงข้อนี้ทีไร ขอบตามันชักจะร้อนผ่าวขึ้นทุกที

     เขาแกล้งทำเป็นก้มมองนาฬิกาข้อมือ พอเห็นว่าเข็มสั้นได้เลยเลขเก้ามาแล้วนิดหน่อยก็รู้สึกโล่งใจนิดๆ คว้ากระเป๋าสะพายนักเรียนที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาวางบนตัก  ยิ้มแล้วก็เกาท้ายทอยเก้อๆเพราะไม่รู้จะขึ้นว่าอะไรดี


     “คือสามทุ่มแล้ว.. ผมจะกลับไปอ่านหนังสือ..”

     อยากกลับนักก็กลับไปซิ

     เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นกว่าเก่าเมื่อได้ยินเสียงเบาๆที่ลอยมาจากฝั่งตรงข้าม คำพูดใจร้ายพวกนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร ยิ่งเห็นสีหน้าไม่รู้หนาวรู้ร้อนของอีกฝ่าย น้ำตามันก็รื้นขึ้นมาซะดื้อๆ  ทำร้ายกันมาให้พอเลยสิ เอาให้เขาร้องไห้กลางร้านเนื้อย่างเป็นไงล่ะ คงจะสมใจพี่มากสินะครับ


     “งั้นกูกลับด้วย”

     พี่มาร์ควางตะเกียบลงกับจาน แล้วคว้ากระเป๋าที่อยู่ใต้โต๊ะมาสะพายไว้ด้วย ยูคยอมไม่ค่อยแปลกใจอะไรเพราะยังไงบ้านเขาก็เป็นทางผ่านทางไปบ้านของรุ่นพี่อยู่แล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ก็กลับด้วยกันตลอด นึกขอบคุณเสียอีกเพราะเขาจะได้มีเพื่อนเดินแก้ความฟุ้งซ่านระหว่างทาง เขาหันไปพยักหน้าเป็นเชิงตกลง แล้วพี่มาร์คก็เดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ตามสัญญาที่ได้บอกกับกลุ่มเพื่อนไว้ในข้างต้นแล้วว่า วันนี้ขออาสาเป็นคนออกค่าอาหารเอง พอยืนมองจนเห็นพี่มาร์คกำลังเดินกลับมา ยูคยอมที่อายุน้อยที่สุดก็ก้มโค้งบอกลาพี่ๆ


     “กลับก่อนนะครับพี่แจบอม พี่จินยอง พี่ยองแจ”


     “ไอ่ต้วน มึงดูแลน้องดีๆด้วยระหว่างทาง เดี๋ยวแม่.งล้มกลางทางม้าลายแล้วจะยุ่ง”

     พี่แจบอมที่ยังมีหมูอยู่เต็มปากพูดดักพี่มาร์คที่เดินมาพอดี มือข้างขวาที่คีบตะเกียบเงินหนีบหมูไว้ก็ชี้มาทางเขาอย่างปลกๆ(เป็นภาพที่น่าเกลียดมากครับ) โอเค ผมรู้ว่าพี่รีบ แต่วางตะเกียบแล้วเคี้ยวให้หมดก่อนก็ได้


     “โห่พี่แจบอม ผมก็ไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้นปะ ไปก่อนนะแบม ไว้เจอกันวันจันทร์”

     
    “เรายังกินได้นิดเดียวเอง รีบกลับจัง”

      แบมแบมที่เพิ่งมาได้ประมาณสิบนาทีบ่นแง้วๆ แล้วก็ทำปากยู่ใส่ผม ผมรู้อยู่หรอกว่าเจ้านี้ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นภาพแบบนี้แล้วมันเจ็บแปลบที่ตรงอกข้างซ้ายแปลกๆ

     นายทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ดีจังเลยนะ..

     

     “อืม เราต้องรีบกลับไปอ่านหนังสืออ่ะ”


     “ป่ะ ยูค”

     พี่มาร์คที่เดินมาถึงพอดีก็คว้าคอตอนที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาเซไปเล็กน้อย เพราะพี่มาร์คนั้นสูงน้อยกว่าผมและแน่นอนว่ามันจะต้องย่อขาเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่รอด หายใจเข้าออกได้จนถึงตอนกลับบ้าน พอจะหันหลังเพื่อเดินออกจากร้านก็เลยตัดสินใจเฮือกสุดท้าย รวบรวมความกล้า หันหลังกลับมาอวยพรวันพิเศษให้กับรุ่นพี่ใจร้ายที่เอาแต่สนใจหมูตั้งแต่เขาลุกขึ้น


     “สุขสันต์วันเกิดนะครับ รุ่นพี่”

     ขอบใจ แต่ไม่ต้อง

     ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเอง เพราะรู้ดีว่าต่อให้มอบรอยยิ้มไปเท่าไหร่ สิ่งที่ได้กลับมาก็มีแต่ความรำคาญแค่เท่านั้น

     

     ผมกับพี่มาร์คไม่ได้พูดอะไรเลยมาตลอดทาง ยอมรับเต็มอกว่ารู้สึกอึดอัดหน่อยๆ แต่ผมก็ไม่รู้สิว่าจะชวนพี่เขาคุยเรื่องอะไร ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกำลังร้องคลอเพลงที่เจ้าตัวกำลังใส่หูฟังก็ไม่ค่อยอยากขัด ส่วนตัวเขาแค่รู้สึกว่าขออยู่เงียบๆแบบนี้สักพักก็โอเคแล้ว

    การเดินทางกลับบ้านค่อนข้างยาวพอสมควร เขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อกลบความฟุ้งซ่านในใจให้หมดๆไป พอเห็นว่าตรงมุมถนนมีร้านมินิมาร์ท ท้องเจ้ากรรมก็ดันเรียกร้องอยากกินไอศกรีมเสียอย่างนั้น เขาเลยหันไปมองรุ่นพี่ที่เอาแต่ใส่หูฟังมาตลอดทางแล้วสะกิดเรียกสองสามทีจนกว่าเจ้าตัวจะรู้สึก


     “พี่มาร์ค ผมอยากกินไอติมอ่ะ พี่กินปะ? เดี๋ยวเลี้ยง”

    เขาชี้นิ้วไปตรงปลายมุมของถนน พี่มาร์คที่ถอดหูฟังออกข้างนึงก็หันตาม แล้วก็หันกลับมาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ


     “เลี้ยงจริงๆนะ?”


     “อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม”

     เขาลากเสียงยาวพร้อมพยักหน้าหงึกหงักจนเสียงมันสะเทือนตาม รุ่นพี่ที่มักหัวเราะกับมุขตลกห่วยก็ขำออกมาเบาๆ


     “เอาดิ”

     โชคดีหน่อยที่ปลายถนนเป็นที่รอรถเมล์อยู่แล้ว ตอนนี้เขาและพี่มาร์คก็เลยมานั่งเล็มไอศกรีมหวานเย็นอยู่ตรงป้าย ยิ่งพอได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ก็ดูเหมือนจะเริ่มหายไปด้วย แต่พอจิตใต้สำนึกมันแสดงให้เห็นภาพของใครคนนั้น ขอบตาก็ร้อนผ่าวจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอย่างช่วยไม่ได้

     

     “เห้ยยย ขอถามอะไรหน่อย”

     เพราะมันเย็นมากแล้ว รถโดยสารจึงไม่ค่อยผ่านไปผ่านมา ความเงียบเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วก็เป็นรุ่นพี่เองที่ทำลายความเงียบเหล่านั้นด้วยคำทักทายที่ยูคยอมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ


     “ว่าอะไรอะพี่?”

     เขาที่มัวแต่เหม่อมองรถที่ขับสวนกันไปมาก็หันไปมองหน้าของเจ้าของคำถาม พี่มาร์คเองก็เหม่อไปยังที่ไกลๆเหมือนกัน ยูคยอมไม่รู้หรอกว่าจุดรวมสายตาของพี่เขาอยู่ตรงไหน แต่มันก็คงจะไม่ใช่ที่ใกล้ๆแถวนี้แน่นอน


     “รู้จักตัวตลกไหม?”


     “รู้จักดิ ผมโคตรไม่ชอบ เห็นที่ไหนเป็นไม่ได้นะ ต้องวิ่งหนีอ่ะ มุดท่อได้มุดไปแล้ว เป็นแบบนี้แต่เด็ก”

    พี่มาร์คแค่นหัวเราะให้กับคำบ่นตลกฝืดๆของผม ผมที่ได้โม้ไปถึงวัยตอนเด็กก็ยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ


    “แล้วรู้ปะว่าตัวตลกเขามีหน้าที่อะไร?”


    “ก็คงทำให้คนอื่นยิ้ม ทำให้คนอื่นหัวเราะ แล้วก็มีความสุข”


    “อืม คิดผิดจริงๆที่ถามมึง มึงลืมอะไรไปอย่างว่ะไอ่น้อง”

     เขาเอียงคอมองอีกฝ่ายจากด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจ พอได้กลับบ้านด้วยกันหลายปี ทำให้เขารู้ความจริงอีกข้อว่าบางทีพี่มาร์คก็ชอบพูดคนเดียว หรือไม่ก็อารมณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นลงง่าย แล้วนี่พี่แกมาอารมณ์ไหนอีกเนี่ย?


    “ตัวตลกมีออพชั่นพิเศษเว้ย มึงฟัง เขามีหน้าที่ซ่อนน้ำตาด้วยนะ”


    “...”


    “เขายิ้มให้เรา แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าเขาต้องร้องไห้มากี่ครั้งแล้ว”


    “...”


    “เขาทำให้เราอารมณ์ดี แต่เราก็ไม่เคยรู้เลยว่าข้างหลังชุดเทอะทะนั่นเขาต้องอดทนอะไรมาบ้าง”


    “...”


    “เราไม่เคยรู้เลย ว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อเรามันฝืนใจเขามากแค่ไหน เขาต้องยิ้มให้เราทั้งที่เราอาจเป็นฝ่ายทำร้ายเขาด้วยความไม่ตั้งใจ”

    คนที่นั่งข้างๆผมเขาพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หากเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ดวงตาของเขากลับทอดออกไปไกลแสนไกล ส่วนตัวผมที่ได้แต่นั่งฟังก็แค่นยิ้มอย่างสมเพชให้กับตัวเอง ยิ่งฟังก็เหมือนจะยิ่งเข้าตัวเองขึ้นเรื่อยๆ


     “แม่.งน่าขำดีนะ พี่ว่าไหม”

     พี่มาร์คเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายหันกลับมามองผมที่เหม่อมองไปยังท้องฟ้าระยับใสนั่นแทน


     “ทั้งๆที่ผมเกลียดตัวตลกขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าผมกำลังเป็นตัวตลกซะเอง”


     “ไม่ตลกหรอกคิม ยูคยอม .. เพราะพี่ก็กำลังเป็น”

    หลังจากนั้น พวกเราสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ได้แต่ปล่อยให้ดวงตาทอดมองไกลไปในท้องฟ้าสีครึ้มนั่น เหมือนกับกำลังระบายความในใจอะไรบางอย่าง ให้ดวงดาวที่อยู่ไกลแสนไกลนั้นได้ฟัง เผื่อจะช่วยบรรเทาความปวดหนึบที่หน้าอกตอนนี้ของพวกเขาได้บ้าง

     

     รถโดยสารมาแล้วครับ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่มีคนบนรถเบาบางมากจนนับคนได้ ที่นั่งข้างหลังสุดของรถโดยสารนั้นว่างตลอดทั้งสี่เบาะ และเหมือนมันก็เป็นไปอย่างนั้นเมื่อผมกับพี่มาร์คเลือกที่จะเดินไปจนสุดคัน แล้วแยกนั่งกันคนละริมฝั่งของคันรถ มองทอดไกลออกไปยังตึกสีสวยที่ถูกประดับด้วยไฟหลากสี แสงไฟสีส้มจากริมถนนพาดผ่านผมไปตลอดทาง เสียงเพลงบันลาดที่ดังออกมาจากหูฟังขับกล่อมให้ผมคิดอะไรไปเรื่อย หากแต่ละเรื่องที่คิดไปเรื่อยก็ยังไม่พ้นใครคนนั้น อดอมยิ้มน้อยๆให้กับความโง่เง่าและเห็นแก่ตัวของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าผมไม่โง่แล้วก็เห็นแก่ตัว ป่านนี้ความรู้สึกปวดหนึบที่เอาไม่ออกมันก็คงไม่เกิดขึ้น

     ตอนเด็กๆแม่ของผมชอบพูดกับผมอยู่เสมอว่า อย่ายอมให้น้ำตามาแทนที่รอยยิ้มของเรา ผมยิ้มแล้วก็ได้แต่ตอบท่านไปว่า ครับ ผมจะไม่ร้องไห้ ถึงผมเสียใจ ผมก็จะยิ้ม โดยที่ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะทำให้ผมต้องเป็นตัวตลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายครั้งที่ผมมักจะถามตัวเองว่าความสัมพันธ์ของเราเดินทางมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ความสนุกสนานในวัยเด็กหายกลืนไปได้ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ? หรือเพราะผมมันโง่มากเกินไปเลยทำให้ไม่สังเกตเห็นว่าเราเริ่มห่างกันมากขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน

     ตอนเด็กๆ นอกจากแม่แล้วยูคยอมเองก็มีพี่ชายข้างบ้านคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นภาพชินตาของผู้ใหญ่กันแล้วว่ายูคยอมมีพี่ชายแสนดี ที่คอยช่วยทำทุกอย่าง ตั้งแต่สอนทำการบ้าน สอนเตะบอล สอนเล่นบาส สอนปั่นจักรยานจนได้แผลหลายแผลมาก็เพราะพี่ชายคนนี้ คนที่คอยทำให้ยูคยอมรู้จักคำว่าโตเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เขารู้ดีว่าชีวิตวัยเด็กมันไม่ได้มีแค่การปั้นทรายให้เป็นปราสาท หรือคอยเล่นเจ้ารถแทร็คเตอร์เพียงเท่านั้น

     ยูคยอมโตมากับพี่ชายคนนี้ตลอดจนเริ่มย่างเขาชีวิตมัธยมต้น พี่ชายที่ห่างกันเกือบปีครึ่งดูเหมือนเริ่มอยากจะใช้ชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น ประกอบกับส่วนสูงและร่างกายของเขาก็ดูเริ่มจะโตไปแล้วด้วยจึงไม่ต้องมานั่งดูแลวุ่นวายอะไรอีก ความสัมพันธ์ของเราถึงได้ห่างกันมาเรื่อยๆ และเรื่องทั้งหมดก็คงจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น

     

     ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นผมกำลังขึ้นชั้นมัธยมปีที่หนึ่งการปรับตัวจึงค่อนข้างยากนิดหน่อยกับสังคมที่ดูเหมือนจะเป็นการแข่งขันมากขึ้น ผมรบเร้าหลายครั้งให้พี่ชายใจดีของผมไปส่งที่โรงเรียน เราเรียนที่โรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่แปลกถ้าหากว่าผมจะติดท้ายจักรยานของพี่ชายใจดีมาด้วย(แม้ว่าจะปั่นเป็นแล้วแถมยังเพิ่งซื้อจักรยานมาไม่นานนี้เองก็เหอะ) แม้ว่าจะได้รับคำบ่นเล็กๆน้อยๆจากพี่ชาย แต่ผมก็ไม่ย่อท้อกับอะไรง่ายๆเท่าไหร่นักหรอก ตลอดสองเดือนพี่ชายใจดีก็ยอมใจอ่อนให้ผมนั่งซ้อนท้ายเข้าโรงเรียนพร้อมกัน

     ช่วงนั้นเป็นวันเสาร์อาทิตย์พอดี ข้างบ้านของพี่ชายใจดีมีเด็กย้ายเข้ามาใหม่ เด็กคนนั้นอายุไล่เลี่ยกับผมเพราะห่างกันแค่ไม่กี่เดือน แล้วก็ดันย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกัน แค่ช่วงเวลาสองวันนั้นเราสนิทกันและได้คุยกันมากขึ้นทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนสัญชาติเกาหลีโดยแท้ เป็นคนไทย และก็ชื่อแบมแบม (ชื่อนั้นทำเอาผมต้องฝึกเรียกให้ถูกสำเนียงอยู่ตั้งหลายวันแหน่ะ!) ฝ่ายพี่ชายใจดีที่เห็นมีคนย้ายมาใหม่ก็ต้องไปดูแลตามคำปลูกฝังของแม่เพราะหน้าที่ที่ตัวเองอายุมากที่สุด และแบมแบมเป็นเด็กเข้ามากลางเทอมอะไรๆก็คงดูเหมือนจะยากขึ้น เพราะคุณแม่ของแบมแบมไม่มีเวลามาส่งลูกชาย จึงต้องไหว้วานให้พวกเขาทั้งสองคนไปส่งด้วยเพราะที่เป็นโรงเรียนเดียวกันแถมยังสนิทกันแล้วด้วย ไอ่เรื่องการไปโรงเรียนด้วยกันสามคนก็เป็นเรื่องน่าสนุกในความคิดของผม ณ ตอนนั้น

    วันเข้าโรงเรียนวันแรกของแบมแบมค่อนข้างวุ่นวาย เพราะเป็นเด็กใหม่ เครื่องแบบนักเรียนก็ไม่ค่อยคุ้นชิน กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร ผมกับพี่ชายก็ไม่ได้บ่นอะไรมากนักเพราะเข้าใจดีกับการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่นี้

    แบมแบมน่ารักมาก และก็เป็นมิตรกับคนอื่นได้ง่ายมาก ต่างกับผมที่นอกจากพี่ชายแล้วก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่ ผมรู้สึกดีที่เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ทำให้พวกเราสามคนมีเรื่องคุยกันได้มากขึ้น ผมรู้สึกดีที่ได้เข้าใกล้แต่ละคนเข้าอีกนิด

     และแล้วปัญหาใหญ่ก็มาถึง เมื่อพาหนะการไปโรงเรียนของพวกเราสามคนดันมีเพียงพอสำหรับแค่สองคนเท่านั้น ผมไม่โทษบริษัทผลิตจักรยานหรอกที่ทำออกมาแค่สองที่นั่ง ผมนึกโทษตัวเองมากกว่าที่ดันยอมเสียสละยกที่นั่งข้างหลังพี่ชายให้กับแบมแบม


     ยูคน่ะขายาว เดินแปบเดียวก็ถึงแล้ว ให้แบมเขานั่งเถอะ

     ผมพยายามทำความเข้าใจกับเหตุผลข้อนั้นของพี่ชาย เพราะด้วยความที่ไม่มีใครนอกจากพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก อาการหวงของจึงมีขึ้นเป็นธรรมดา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางปลอบใจตัวเองว่ายังไงตอนเย็นก็คงได้สลับกับแบมแบม เลยเป็นผลให้สุดท้ายแล้วก็ไม่เดินไปเอาจักรยานที่จอดอยู่ข้างในบ้านแทน

     ผมเดินตามพวกเขามาเรื่อยๆ แบมแบมอัธยาศัยดีมากจนใช้เวลาแค่สองวันแต่ก็สนิทกับพวกผมมากจริงๆ เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยพูด การมีแบมแบมเข้ามาในชีวิตก็เหมือนมีเพื่อนคุยอีกคนของพี่ชายเข้ามาด้วย ผมดีใจที่อย่างน้อยพี่ชายก็มีความสุข การเดินตามของผมเริ่มช้าขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขากำลังหยอกล้อกัน พี่ชายแกล้งขับเร็วขึ้นเพื่อแกล้งแบมแบมให้ตกใจเล่น ส่วนอีกคนก็แกล้งจี้เอวพี่ชายเพื่อเอาคืนที่แกล้งตัวเองเอาไว้

     การเดินจากบ้านไปโรงเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย มันอยู่ไกลกันมากจนผมรู้สึกเหนื่อยเลยแวะมินิมาร์ทซื้อน้ำกินสักหน่อย พอจะหันไปบอกสองคนนั้นว่าให้รอ ก็อยู่ห่างกันออกไปจนเขาคิดว่าถ้าตะโกนออกไปก็ลำบากกันเปล่าๆ การเดินคนเดียวไปโรงเรียนคงไม่น่ากลัวอะไรขนาดนั้นเท่าไหร่ พวกเขาสองคนไม่ผิดหรอกที่จะเล่นกันสนุกจนมารู้ตัวอีกทีก็ขับนำหน้าผมไปสองบล็อกถนนแล้ว ผมก็โทษตัวเองอีกนั่นแหละที่เอาแต่เดินช้าจนไม่ทันการ

     


    อ้าว ยูคยอม ทำไมเดินมาคนเดียวอ่ะ ไอ่หวังไม่สบายหรอ?

    เสียงทักตอนผมกำลังเดินออกจากมินิมาร์ททำให้ผมหันตาม เพื่อนสนิทพี่แจ็คสันนั่นเองทีเป็นคนทักผมก่อน อีกฝ่ายก็คงะจรู้สึกแปลกประหลาดใจนั่นแหละที่อยู่ดีๆผมที่ไม่เคยทำอะไรเองได้เลยคนเดียวดันมาเดินงั่งอยู่กลางอากาศหนาวๆจนแสบจมูกแบบนี้ ผมหันไปยิ้มแล้วโค้งตัวให้ตามประสาคนอายุน้อยกว่า


     พี่แจ็คสันไปกับเพื่อนใหม่ครับ ไปแนะนำโรงเรียน พอดีผมเดินช้าเลยไม่ทัน


     อ่ออออออออออออออออออออ

     อีกคนลากเสียงยาวพร้อมกับใบหน้าที่ยืดยานลงมาเนื่องจากการขยับริมฝีปากทำให้เด็กน้อยผู้ชอบหัวเราะอดไม่ได้ที่จะพลอยยิ้มไปด้วย เท่าที่ได้ฟังเวลาพี่มาร์คคุยกับพี่แจ็คสัน ทำให้เขารู้ว่าพี่มาร์คเป็นคนสนุก แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่เพราะเขาไม่ค่อยพูด


     ‘บู่ว ขำอะไรน่ะ พี่ไม่ได้เล่นตลกให้นายสักหน่อย


     ขำหน้าพี่นั่นแหละครับ พี่ทำหน้าตลกอ่ะ

     ผมหลุดขำอีกรอบแล้วครับเพราะพี่มาร์คแกทำปากบิดปากเบี้ยว ในใจของพี่เขาก็คงจะคิดว่ามันน่ารักนั่นแหละครับ แต่ใจของผมคิดว่ามันดูตลกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้สิ สรุปวันนั้นผมก็ไม่ได้เหงาอีกต่อไปครับเพราะพี่มาร์คอาสาเดินข้างผมตอนไปโรงเรียนเอง



     ผมชักจะเกลียดตัวเองที่มัวแต่มองโลกในแง่ดีเสียแล้วละครับ

     แผนการของผมที่คิดว่าตอนเย็นจะได้นั่งซ้อนท้ายพี่แจ็คสันกับเขาบ้างก็โดนพังล้มไม่เป็นท่าครับเพราะแบมแบมดันสะดุดล้มแล้วขาแพลง โอเค ผมไม่โทษดินฟ้าอากาศพื้นดินหรือแบมแบมทั้งนั้น อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้วครับ ผมไม่มานั่งคิดเล็กคิดน้อยอะไรขนาดนั้นหรอก

     แต่ที่ผมเกลียดตัวเองก็เพราะผมเดินช้าเกินไปอีกแล้วครับ พอเดินออกมาจากโรงเรียนได้สักพัก รู้ตัวอีกทีก็เดินอยู่กับพี่มาร์คแค่สองคนซะแล้ว(สรุปเย็นวันนั้นพี่แกก็ขอติดสอยห้อยตามมาด้วยครับ เพราะไม่มีเพื่อนกลับแถมบ้านยังอยู่เลยพวกผมไปนิดหน่อย)

     นี่ผมชักจะคิดว่าการเดินกลับบ้านกับพี่มาร์คสองคนยังสนุกกว่าการเดินกลับบ้านกับพี่ชายและแบมแบมอีกนะ


     ยูคย๊อมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม กินไอติมกันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

     พี่มาร์คกระชากตัวผม(ขอขีดเส้นใต้ทับเน้นๆว่ากระชากตัวผมให้ตามไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีตามประสาเด็กมัธยมต้นปีสุดท้าย) ให้เดินเข้าหายไปในมินิมาร์ท โดยไม่ถามความสมัครใจเลยสักนิดว่าผมยินดียินร้ายด้วยหรือเปล่า นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่แล้วอายุมากกว่านะ ผมศอกเข้าที่หลังคอแล้ว ขอบคุณที่พี่มาร์คยังมีน้ำใจอุตส่าห์หันมาบอกว่าไอศกรีมมื้อนี้พี่เขาจะจ่ายเอง

     ผมคว้าหมับเข้าที่ไอศกรีมเยลลี่สีแดงสดที่ราคาถูกที่สุดในตู้ พี่มาร์คหันมามองตามมือผม ก่อนจะกระพริบตามองหน้าผมปริบๆ


     ครับ?


     ‘นายชอบกินอ่อ?


     ผมกินได้หมดนั่นแหละครับ แต่เกรงใจพี่เลยไม่อยากเลือกของแพงๆ


     อ่ะ เอานี่ไป

     พี่เขายัดไอศกรีมวานิลลาที่ถูกเคลือบด้วยช็อกโกแล็ตและถั่วเล็กๆน้อยมาให้ผม ผมมองมันในมืออย่างชั่งใจ มันต่างกับราคาชิ้นเมื่อกี๊ไม่เท่าไหร่หรอก ถึงนี่จะเป็นไอศกรีมที่ผมชอบมากที่สุดก็จริง แต่ไม่เอาหรอก เกรงใจพี่มาร์คเขาเปล่าๆ น้องนุ่งก็ไม่ใช่


     ไม่เอาอ่ะครับ ผมไม่อยากกวนพี่


     ‘เดินกลับบ้านกับพี่นี่ก็กวนมากพอล่ะ


     ‘…’

     เขานิ่งเงียบไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเหล่มองเขาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกนิดๆ อ้าว ก็คนมันไม่รู้นี่หว่าว่าเป็นภาระของคนอื่น ถ้าเป็นแบบนี้ให้เขาเดินกลับบ้านคนเดียวตั้งแต่แรกก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง


     เห้ยขอโทษ ล้อเล่นๆ

     เขายกนิ้วโป้งคว่ำใส่นายอีกฝ่ายพร้อมเบะปาก พอคนอย่างพี่มาร์คเห็นอย่างนั้นก็แทบวิ่งไล่เตะผมรอบร้านไม่ทัน โชคยังดีที่ผมขายาวหน่อยเลยรอดพ้นฝ่ามือพิฆาตมาได้

     

     ผมต้องทนเดินเป็นส่วนเกินให้สองคนนั้นมาสองเทอมเต็มๆ มีหลายครั้งที่บังเอิญเจอพี่มาร์คระหว่างทาง เลยพอมีคนให้เล่นด้วยคลายเหงา ยิ่งตอนเย็นที่เขาต้องอยู่ทำเวร ก็ดันเป็นวันเดียวกันกับที่พี่มาร์คทำ สรุปก็เพิ่งมาคิดเอาเองได้ว่าไม่ควรจะมาโรงเรียนพร้อมกับสองคนนั้นตั้งแต่แรก ตอนเดินกลับก็มีพี่มาร์คเล่นตลกให้ดูอยู่ทั้งคน คงไม่ลำบากอะไรหรอก

     

     เขาคิดแบบนั้นเสมอ ตอนนั้นเขายังจำได้ดีว่าพี่ชายโกรธเขามากขนาดไหน

     ตอนนั้นเขาเพิ่งจะมัธยมต้นปีสุดท้าย มันเพิ่งเกิดขึ้นเองเหมือนกับเมื่อวาน ทั้งๆที่มันก็ตั้งแต่ปีที่แล้ว


     ยูคคคคคคคคคคคคค จะตื่นไหมมมมมมมม ไม่งั้นแบมจะไปกับพี่แจ็คสันสองคนแล้วนะ!’

     เสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างล่างไม่ได้เรียกความสนใจของผมกับหน้าจอโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย มันฟังดูน่าโมโหนะคุณว่าไหม ถ้าคุณต้องมาตะโกนปลุกใครแต่เช้าจนคอจะแตก แต่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตื่นตั้งนานแล้วและก็มัวทุ่มเทไปกลับการคุยโทรศัพท์ในโปรแกรมไลน์เสียมากกว่า แถมยังบอกให้แม่บอกสองคนนั้นแล้วด้วยว่าผมปวดท้องนิดหน่อย อาจไปโรงเรียนช้า ไม่ต้องรอ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกผิดกับแบมแบมนะ แต่อีกฝ่ายนั้นทั้งน่ารัก แล้วก็มักจะเป็นห่วงคนอื่นเสมอ ไม่ควรจะมาทุ่มเทอะไรกับผมขนาดนี้ แค่ตัดสินใจปล่อยผมนอนแช่อยู่บนเตียงต่อไปสักสิบนาที แล้วเลือกที่จะซ้อนท้ายพี่ชายไปซะตั้งแต่ตอนนี้ก็จบแล้ว เพราะถ้าเป็นผมผมก็ทำแบบนั้น

     แต่เพราะแบมแบมคงไม่ได้เห็นแก่ตัวเท่ากับผม

     ผมเปิดหน้าโปรแกรมแชทไลน์สีเขียว แล้วคลิกเข้าไปยังรายชื่อแรกที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นรายการโปรด ตอนนี้ผมเลื่อนอันดับแล้วนะ ให้พี่มาร์คมาเป็นพี่ชายอันดับหนึ่ง .. ด้านกวนตีนน้องนี่แหละ





     

    <kimgyeom>
        06:10  เฮลโหลลลลลลลลลล


    <tuanmark>
    เหมือนคนแถวนี้จะปวดขี้ ทักมาแต่เช้า  06:10


    <kimgyeom>
    06:11  พี่แม่.งขี้ก๊อบว่ะ ชื่อไลน์ยังก๊อบผมเลย   
    06:11  กากกกกกกกกกกกกกกกกก มาร์คต้วนแม่.งกากกกกกกกกก


    <tuanmark>
    ก๊อบไร ของเอ็งมีหัวใจปะ ไม่มี แต่ของคนหล่อมีเว้ย  06:11
    ไอ่เด็กขี้ใส่ร้าย ไอ่เด็กไม่มีหัวจรัย ฮืออออออออออ    06:11


    <kimgyeom>
    06:12  โกหกขอให้ตกทุกวิชา


    <tuanmark>
    เออ กูก๊อบมึงก็ได้ ไม่เห็นต้องแช่งกันนี่หว่า  06:13


    <kimgyeom>
    06:13  มารับหน่อยยยย พี่ชายกับแบมออกไปแล้วว เหงา ไม่มีเพื่อนนนน
    06:13  นะ
    06:13  นะ
    06:13  นะ
    06:13  นะ 
    06:13  นะ 
    06:13  รักน้องเปล่า 


    <tuanmark>
    พอกูไม่รักมึงก็ร้องไห้น้ำตาไหล    06:14
    กูไม่ไหวจะมานั่งเป็นแจ็คผู้เช็ดน้ำตาให้ยักษ์นะมึงนะ   06:14


    <kimgyeom>
    06:15  ขี้บ่นว่ะ หมั่นไส้ เปลื่ยนชื่อไลน์แม่.ง

     

    ผมเข้าที่ข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่ออีกครั้ง ก่อนจะเลือกรายชื่อของพี่มาร์ค กดเลือกแก้ไขรายชื่อแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว

     

    น้องมาร์คคนกาก

     


    น้องมาร์คคนกาก
    มึงงงงง มึงเปลี่ยนเป็นไรบอกกูมานะ  06:16


    <kimgyeom>
    06:17  บอกแล้วมันจะเรียกว่าความลับไหม ฉลาดสิฉลาด


    น้องมาร์คคนกาก
    ฉลาดโพ่ง กูโง่ จบป่ะ ทีนี้แคปหน้าจอมาให้กูดู ไม่งั้นกูโกรธ  06:18


    <kimgyeom>
    06:18  ไม่


    น้องมาร์คคนกาก
    งั้นกูไม่เดินไปโรงเรียนกับมึงล่ะ เชิญมึงโดนทิ้งคนเดียว บาย  06:19


    <kimgyeom>
    06:19  พี่มาร์คคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค!!


    น้องมาร์คคนกาก
    อย่ามาพี่มงพี่มาร์คกับกู นับ 06:20
    หนึ่ง  06:20
    สอง  06:20


    <kimgyeom>
    06:21  พี่แม่.ง เดี๋ยวบุกไปปาระเบิดขี้หน้าบ้าน


    น้องมาร์คคนกาก
    มึงมาสิ่ กูฟ้องพี่ชายมึงแน่  06:21


    <kimgyeom>
    06:22  อย่าเอาพี่ชายมาเล่นนนนนนนนน จะมารับไหม ไม่งั้นโกรธ


    น้องมาร์คคนกาก
    เออ กูขี้เกียจเถียงกับมึงล่ะ รับก็ได้ว่ะ  06:22

     

     เขายิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว หลังจากกวนตีนพี่ชายขี้แกล้งได้สำเร็จ ยอมรับเลยว่าตั้งแต่วันนั้นเขากับพี่มาร์คก็กลับบ้านด้วยกันบ่อย เล่นกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่คงจะมีอยู่เรื่องเดียวที่พี่มาร์ครู้ดีว่าทำได้แค่พูดถึง

     เขาเปิดผ้าม่านออกไปส่องดูว่าพี่ชายกับแบมแบมออกไปหรือยัง พอพบว่าหน้าบ้านไม่มีใครและเสียงมันก็เงียบนานมาแล้วด้วย จึงทำให้รู้ว่าทั้งสองคนน่าจะออกกันไปนานแล้ว เขาเลยรีบวิ่งลงมาจากข้างล่างหอมแก้มแม่ฟอดหนึ่งแล้วนั่งรอพี่คนกากอยู่ที่หลังรั้วหน้าบ้าน เห็นอยู่แว่บๆว่าผมแดงๆนั่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปนี่เอง


     หลบขนาดนี้มึงไม่ไปหลบในถังขยะซะเลยล่ะ

     เสียงทักที่ดังขึ้นจากทางหัวทำให้เขาต้องโผล่จากที่ซ่อนตัวอย่างช่วยไม่ได้ อืม ยอมรับครับว่าข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของการมีส่วนสูงผิดมนุษย์มนามากเกินไปก็คือการซ่อนตัวนี่แหละ


    ไม่อยากแย่งที่พี่มาร์คอยู่ ไม่เอา ไม่อยากเป็นเด็กไม่ดี


    เพ้อเจ้อล่ะมึง จะไปเรียนหรือจะไปเล่นซ่อนแอบ


    ในไลน์ก็บ่นไปที แถมยังกากก็อบชื่อน้องอีก


    ยังไม่ได้เอาคืนมึงเรื่องเปลี่ยนชื่อไลน์กูเลย ไปๆ เดี๋ยวโดนลงโทษกันพอดี

     ผมกวนประสาทพี่มาร์คมากไปหน่อย สุดท้ายเลยลงเอยด้วยการวิ่งไล่จับกันจนเกือบจะถึงหน้ามินิมาร์ท แต่พอถัดไปแค่อีกเพียงเมตรเดียว จักรยานคันโปรดที่ผมจำได้ดิบดีเลยว่าใครเป็นเจ้าของก็จอดรออยู่ตรงนั้นพร้อมกับเจ้าของที่กำลังมองผมกับพี่มาร์คอยู่ แล้วเหมือนฟ้าก็เล่นตลกดีล่ะนะที่มันได้จังหวะแบมแบมเดินออกมาจากร้านมินิมาร์ทพอดี อืม โทษสายตาผมดีไหมนะที่ดันเหลือบไปเห็นยาแก้ปวดท้องในมือของแบมแบม

     

     อ้าว หายปวดท้องแล้วหรอยูค แล้วนี่มากับพี่มาร์คหรอ

    คำทักคำแรกของแบมทำเอาผมก้าวขาไม่ออก อ่า ... นี่สินะที่เรียกว่าเวรกรรมตามสนอง


    เอ่อ...


    หืม ปวดท้องหรอ

    ไอ่พี่มาร์คหันมาทำตาโตใส่ผมอย่างกับไม่เชื่อ ขอบคุณครับไอ่พี่ห่วย


    หึ.. ขอบคุณนะมาร์ค

    พี่ชายใจดีของผมหันไปยิ้มกว้างกับพี่มาร์คที่ทำหน้าตาเหรอหราไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด


    ขอบคุณห่าอะไรวะ?


    ขอบคุณที่มึงเอาตัวปัญหาออกจากชีวิตกูได้สักทีหน่ะสิ ไปกันเถอะแบม เขาคงไม่ต้องการยาแก้ปวดท้องของแบมแล้วล่ะ

    มารู้ตัวอีกทีว่าผมหายใจเป็นก็ตอนที่ทั้งคู่ปั่นจักรยานหายไปแล้วลิบตาของผมนั่นแหละครับ ไอ่พี่มาร์คก็เซ้าซี่เขย่าตัวผมจนรู้สึกปวดหนึบที่แขนไปหมด แต่มันก็สู้อะไรไม่ได้กับอาการปวดหนึบที่ใจหรอก

     หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พอผมขึ้นมัธยมปลายปีแรก ความห่างเหินระหว่างผมกับพี่ชายชักจะมากขึ้นจนเห็นได้ชัดเรื่อยๆ ผมรู้อยู่แล้วว่าพอโตเป็นหนุ่ม ก็ต้องมีบ้างที่อยากได้ความเป็นส่วนตัว จะมีพี่ชายที่ไหนอยากให้น้องชายที่ห่างกันแค่ปีเดียวติดตามไปโน่นไปนี่ล่ะ แถมน้องชายที่ว่าก็สูงกว่าตัวเอง ไม่ใช่น้องชายตัวเล็กน่าถนุถนอมสักหน่อย พี่ชายใจดีเริ่มพูดไม่ดีกับผมขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยชวนผมไปกินข้าว ก็ทำเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ข้างแบมแบมเลยสักนิด รู้สึกดีขึ้นหน่อยที่แบมแบมไม่ได้ติดใจผมอะไรในวันนั้น คิดด้วยซ้ำว่าผมปวดท้องจริงๆแต่หอบสังขารแล้วดันมาเจอพี่มาร์ค คิดไปนู่นอีกว่าพี่มาร์คแกล้งผมจนผมต้องวิ่งหนีทั้งๆที่ปวดท้องหนักขนาดนั้น

     เพราะเป็นแบบนี้ ผมเลยไม่อยากให้มิตรภาพของผมกับแบมแบมพังลงไปเลย

    เพราะแบมแบมน่ารัก ใครใครก็ชอบแบมแบม ซึ่งมันเทียบไม่ได้กับเขาเลย

     

    “จะลงป้ายนี้ หรือจะลงป้ายนั้น”

     พี่มาร์คหันมาถามผมซึ่งตอนนี้มองอีกทีก็อยู่ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ซอยบ้านแล้วล่ะครับ ที่พี่เขาถามแบบนั้นก็เพราะว่าถัดจากป้ายนี้ไปป้ายหน้าจะมีตลาดและร้านขายของข้างทางมากมาย ผมชอบเดินครับ ว่างๆก็ลากพี่มาร์คนั่นแหละเดินด้วย บ้านมันรวยครับ เรื่องแค่นี้ขนหน้าแข้งมันไม่ร่วงหรอก

     ตอนนี้ผมกับพี่มาร์คสนิทกันที่สุดครับ ผมมีอะไรก็บอกมันหมดนะ ไม่ว่าจะสอบตก โดนครูด่า หรือขี้ไม่ออก(อันหลังชอบบ่นแกล้งมันบ่อยๆ) จนตอนนี้รู้สึกว่าดีใจชะมัดที่ได้มันมาเป็นพี่ชายอีกคน แต่อย่าไปบอกมันนะครับว่าต่อให้เลี้ยงไอติมจนผมอยู่มหาลัยแล้ว มันก็ไม่มีทางเอาชนะพี่ชายใจดีของผมได้หรอก


     “ลงป้ายนั้น เดินตลาดกับผมด้วย”


     “พูดงี้มึงไม่เอาเชือกมามัดกูแล้วลากลงรถเลยล่ะ”


     “มีเชือกให้ยืมปะละ”

    ผมทำหน้าทะเล้นใส่มัน ส่วนไอ่พี่มาร์ค(ผมบอกแล้วครับว่าสถานะเริ่มเปลี่ยน เป็นเรื่องปกติมาก)ที่ดูเหมือนจะทนความกวนตีนของผมไม่ไหวก็เลยตบฉาดเข้าที่หัวผมให้ทีหนึ่ง ไม่รู้สึกโกรธอะไรหรอกนะครับ รู้สึกดีเสียอีกที่การตบหัวของมันจะช่วยให้ผมยิ้มออก

     ผมเคยบอกคุณบ้างไหมนะว่าพี่มาร์คมันนิสัยแย่อยู่อย่างหนึ่ง คือบ้านมันมีฐานะครับการเป็นคนมีฐานะก็ยอมใจปล้ำเป็นธรรมดา คือซื้ออะไรก็ซื้ออะ อย่าบ่นให้มันได้ยินเชียวว่าอยากได้อะไร แม่.งจะซื้อให้นะ แต่คือต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกากๆตามประสามันนั่นแหละครับ คือยังไงล่ะ สมมติมันรู้ว่าผมอยากกินไส้กรอก มันก็จะเลี้ยงนะ แต่มันจะใช้ให้ผมเรียกมันว่าพี่มาร์คสุดหล่อ หรือใช้ให้ผมไปเต้นหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งการลองทำอะไรแบบนั้นก็สนุกดีครับ ยอมรับเลยว่าอยู่กับพี่มาร์คมีแต่ความปัญญาอ่อน

     ผมกับพี่มาร์คเดินแทบจะตบหัวกันด้วยเท้ามาเรื่อยๆจนถึงหน้าร้านขายของเล่นครับ ผมไม่ใช่คนชอบเล่นของเล่นอะไรอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ แต่คนละเรื่องกับไอ่พี่มาร์คหรือพี่ชายเชียวละ สองคนนั้นเป็นอะไรที่ชอบของเล่นมาก โดยเฉพาะถ้าเจอสีที่ถูกใจ ใครวิ่งถึงก่อนก็ชนะอ่ะครับ

     พอนึกถึงพี่ชาย สายตาเจ้ากรรมของผมก็ดันเหลือบไปเห็นของเล่นอะไรบางอย่างที่ตั้งป้ายว่าเหลือชิ้นสุดท้ายอยู่ตรงมุมของร้าน เจ้ารถไฟของเล่นนี้เป็นของเล่นที่พี่ชายผมอยากได้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ฟังดูน่าตลกที่พี่ชายสามารถเก็บเงินซื้ออะไรหลายๆอย่างได้ยกเว้นเจ้ารถไฟนี่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ดูเหมือนว่าพี่ชายคงจะลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าเจ้าของเล่นนี่เคยเป็นที่อยากได้มากของตัวเองในสมัยเด็ก(จำได้ว่าปั่นจักรยานพาเขามายืนเฝ้าหน้าร้านทุกๆเย็นเลยเชียวละ) แต่หากเป็นผมแล้วผมจำได้ขึ้นใจ มองดูป้ายราคาแล้วก็รู้สึกอยากซื้อขึ้นมาเป็นของขวัญวันเกิดให้

     ยูคยอมหยิบกระเป๋าตังในกระเป๋าขึ้นมานับเงิน กลับพบว่าขาดอยู่ไม่กี่หมื่นวอนก็ซื้อได้แล้ว ถ้าหากเช้าวันนี้เขาไม่ตัดสินใจควักเงินทั้งกระเป๋ายกเว้นค่าขนมววันนี้ใส่กระปุกแล้วล่ะก็ ป่านนี้คงจะซื้อรถไฟนี่ให้พี่ชายได้แล้ว


     “อยากได้หรอ”

     เขาหันไปมองหน้าคนเป็นพี่อีกคนอย่างชั่งใจว่าจะทำหรือไม่ทำดี สุดท้ายแล้วความรักที่มีให้พี่ชายใจดีก็ย่อมมีมากกว่าศักดิ์ศรีของตัวเอง เขาแบมือไปข้างหน้าของพี่มาร์คแล้วพยายามกระพริบตาถี่ๆให้ดูน่าสงสารที่สุด


     “ขอยืมเงินหน่อยดิเสี่ย”

     สรรพนามเก๋ๆที่มักถูกหยิบใช้ขึ้นมาเฉพาะยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายเช่นในยามนี้ โอเค้ เขาดูเหมือนนกสองหัวใช่ไหมละ


     “ดอกละร้อยต่อวัน”


     “โพ่ง”


     “พูดจาไม่เพราะ ไม่ให้ละ”


     “นะครับ นะครับพี่มาร์ค”

     ผมทำเสียงสูดขึ้นจมูกแล้วมองหน้าอีกคน นี่เขาต้องมาทำอะไรปัญญาอ่อนต่อหน้าลุงขายของเล่นอีกหรอเนี่ย ถ้าผมไม่ได้หูฝาดนะ ผมคิดว่าลุงกำลังหัวเราะผมด้วยอ่ะ


     “เอาไปทำไรวะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเล่นของเล่น”


     “ยูคจะเอาไปเป็นของขวัญให้พี่ชายอ่ะ”

     สรรพนามที่แทนตัวเองเริ่มถูกเปลี่ยนขึ้นเรื่อยๆ เขามักมีลูกอ้อนมาเป็นข้อต่อรองกับมาร์คต้วนเสมอนั่นแหละ


     “แหม วันเกิดกูเดือนที่แล้วมึงซื้ออะไรให้ มึงจำได้มะ”


     “จำได้ดีสิ”


    “ก๋วยเตี๋ยวชามนึง คือหักลบกับรถไฟนี่ห่างกันเป็นหมื่นวอน นี่มึงรักมันมากกว่ากูขนาดนั้นเลยหรอ”

    พี่มาร์คทำตาทำหน้าจับผิดผม ทำเอาผมรู้สึกอยากจิ้มตามันเล่นสักทีสองที คือหมั่นไส้อ่ะครับ ไม่เคยหมั่นไส้ใครขนาดนี้ บอกเลยว่ามาร์คต้วนเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่ชินนะครับ แต่พอลองทำมากๆก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดี ของแบบนี้ต้องลองครับ


     “จะซื้อให้มะ”


     “เออๆ ให้ยืมก็ได้ แต่ต้องคืนนะ”


     “มาเอาเงินที่บ้านล่ะกัน พรุ่งนี้อ่ะ”

      ไม่ต้องบอกให้เป็นรอบที่สอง ผมคว้าหมับเข้าที่แบงค์หลากหลายใบในมือพี่มาร์คทันที บอกแล้วครับว่ามันเป็นคนใจปล้ำ อ้อนนิดอ้อนหน่อยมันก็ยอมล่ะ

     

     ผมกลับมาถึงบ้านแล้วครับ แล้วของขวัญรถไฟนั่นก็วางไว้ตรงหน้าบ้านของพี่แจ็คสันแล้วเรียบร้อย แอบมองจากตรงหน้าต่างก็เห็นว่าอีกฝ่ายกลับเข้าบ้านไปแล้วเรียบร้อย แน่นอนว่าต้องกลับมาพร้อมกับแบมแบมอยู่แล้ว

     การเลื่อนเม้าส์ของผมหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นการแจ้งเตือนว่ามีการอัพสถานะของพี่ชาย ผมชั่งใจอยู่สองอย่างว่าจะคลิกเข้าไปดูเผชิญหน้ากับความจริง หรือเลือกที่จะปล่อยให้มันแจ้งเตือนอยู่อย่างนั้น เพราะผมเห็นสิ่งที่เด้งเตือนขึ้นมาแสดงให้เห็นเพียงบางส่วน แต่ก็แน่ละว่ามันเป็นสิ่งที่แทงหัวใจผมจนจุกไปหมด อืม การรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจนี่เขาเรียกว่าเจ็บได้ไหมนะ

     

     

     

     ‘Jackson Wang กำลังคบกับ....

     ‘BamBam Bam กำลังคบกับ....

    Jackson Wang อัพเดตสถานะ 23:59

     

    Jackson Wang  23:59
    ขอบคุณนะครับ สำหรับของขวัญที่พิเศษที่สุดในวันนี้

    Jaebum im Choi Youngjae และคนอื่นๆอีก 59 ถูกใจสิ่งนี้

     

    เพราะผมตั้งพี่แจ็คสันแล้วก็แบมแบมเอาไว้ในลิสต์ของรายชื่อเพื่อนสนิท ทำให้ผมได้รู้ว่าเวลาพี่เขาจะอัพเดตอะไรในเฟสบุ๊ค มันก็จะเด้งเตือนอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่านี่จะเป็นการตัดสินใจที่ล้มเหลวของผมอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมจุกจนหายใจไม่ออกแล้วครับ

     

    ผ่านไปไม่ทันถึงนาทีดี เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมไลน์ก็ดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตเอาไว้อยู่ขึ้นมาดู พอเห็นเปอร์เซ็นต์แบตอยู่ในระดับน่าพึงพอใจแล้วก็ดึงออกมาจากสายชาร์ต ตอนนี้ผมต้องการอยู่อย่างเดียวครับ อยากให้พี่มาร์คทักมากวนตีนอะไรก็ได้สักอย่าง ภาวนาขอให้ไอ่พี่มาร์คเป็นคนทักมาเถอะ ผมจะได้หลุดจากการเจ็บปวดตอนนี้สักที

     ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโชคชะตาที่ดีที่สุดของผมในวันนี้

     

     

    มาร์คเป็นประสาท
    มึงงงงงงงง นอนยั๊งงงงงงงงงงงง  00:00


    <gyeomkim>
    00:00  นอนแล้ว 


    มาร์คเป็นประสาท
    นอนพ่อง นอนแล้วมึงจะตอบได้หรอ  00:01


    <gyeomkim>
    00:01  วิญญาณตอบอยู่


    มาร์คเป็นประสาท
    ไม่เอาดิ กูไม่เล่น ช่วยกูด้วยแมลงสาบอยู่ในห้องกู  00:02


    <gyeomkim>
    00:02  ผมบอกพี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ว่าอย่าไล่เพื่อนมิตร
    00:03  เพื่อนอุตส่าห์บินมาหา ต้อนรับเขาหน่อยสิ


    มาร์คเป็นประสาท
    เพื่อนพ่อง  00:03


    <gyeomkim>
    00:04  พ่อผมไม่ใช่พี่นะ จะได้เป็นเพื่อนกับแมลงสาบ


    มาร์คเป็นประสาท
    สรุปจะช่วยหรือจะกวนตีนกู ตอบ  00:05


    <gyeomkim>
    00:06  นี่เป็นนักเรียน ไม่ใช่อาชีพนักจำกัดแมลงสาบครับ


    มาร์คเป็นประสาท
    คอลมาหากูหน่อย มาตะโกนไล่ให้กูหน่อย  00:07


    <gyeomkim>
    00:08  พี่นี่แม่.งประสาทเหมือนชื่อไลน์ที่ผมตั้งให้พี่จริงๆ

     

     

    <gyeomkim> กำลังโทร...  00:08

     

     

     

     

    /ฮัลโหล โทรมามีรายยยยยยยยยยยยยย/

    เสียงยานๆจากปลายสายทำเอาผมแอบยิ้มเล็กน้อย ผมรู้สึกดีนะที่วันนั้นผมเลือกที่จะเดินเข้ามินิมาร์ทจนได้เจอกับไอ่พี่ประสาทคนนี้ อย่างน้อยพี่มาร์คก็แคร์ความรู้สึกผมมากกว่าพี่ชายใจดีคนเก่าคนนั้น อย่างน้อยมันก็รู้ว่าต้องทำอะไรผมถึงจะรู้สึกดี ต่างกับใครอีกคนที่ดูเหมือนจะเก่งในด้าน ต้องทำอะไรให้ผมรู้สึกแย่ ตลกดีนะ ว่าไหมครับ


    “กวนตีนแบบนี้วางสายแล้วนะ ปล่อยให้แมลงสาบบุกยึดห้องพี่ตามสบายนะ”

     ผมเอ่ยขู่ก่อนเงียบไปเหมือนทำท่าจะวางสายไปแล้วจริงๆ อีกฝ่ายก็เงียบนะครับ เงียบตามอ่ะ ดูแปลกๆไงไม่รู้เหมือนคนกำลังใช้ความคิด(ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยมาร์คต้วนสักนิด) ผมต้องเอาโทรศัพท์ยกออกจากหูเพื่อเช็คดูว่ามันวางสายไปแล้วหรือยัง


    /........มึงก็ดูมีความสุขดีนี่หว่า/

    หืม ? ผมส่งเสียงแปลกใจเล็กน้อยไปตามสาย โอเค ถึงแม้ไอ่พี่มาร์คจะเป็นคนประสาท ประหลาด หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะประสาทยิ่งกว่าทุกๆวันนะ


    “แล้วทำไมผมต้องเศร้าอะ”


    /บ้านมึงไม่มีอินเตอร์เน็ตหรอ/

    อีกฝ่ายสวนกลับแทบจะในทันที ทำเอาผมอยากวิ่งไปตัดสายเน็ตบ้านแม่.งให้รู้แล้วรู้รอด


    “ถ้าบ้านผมไม่มีแล้วผมจะคุยกับพี่ได้ไง ประสาทหรอ”


    /เออกูจะเป็นประสาทแดกตายสักวันก็เพราะมึง/

    ผมยู่ปากอย่างขัดใจเล็กน้อยใส่โทรศัพท์ ทำไปเถอะถึงจะรู้ว่าแม่.งไม่เห็นหรอก


    “ผมก็เป็นประสาทแดกตายสักวันเพราะพี่เหมือนกันนั่นแหละ”


    /ทำไม .. มึงจะมาเป็นประสาทแดกตายเพราะกูเรื่องอะไร/


    “เรื่องความกวนตีนของพี่นั่นแหละ”


    /งั้นเราก็กำลังคุยกันคนละเรื่อง..../

    พี่มาร์คแม่.งเป็นห่าอะไรวะ คือผมคอลหาพี่นี่เพื่อจะคลายเครียดเว้ย ไม่ได้จะมานั่งเครียดต่อเพราะเรื่องหยุมหยิมของพี่แม่.งหรอกนะเว้ย


    “แล้วไหนแมลงสาบของพี่อะ”


    /ไม่มีแมลงสาบห่าเหวอะไรทั้งนั้นเว้ย กูโทรมาก็เพราะเป็นห่วงมึง นี่มึงไม่เข้าใจใช่ไหม/


    “เป็นห่วง .. เป็นห่วงอะไรวะ?”


    /นี่บ้านมึงไม่มีอินเตอร์เน็ตจริงๆใช่มะ/


    “ก็บอกแล้วไงว่ามี โอ่ย พี่มีอะไรก็บอกมาตรงๆดิ”


    /เรื่องพี่ชายของมึงไง/


    “พี่แจ็คสัน?”


    /อืม .. เรื่องสถานะมันอ่ะ กูถามมันแล้วนะเว้ย/


    “อืม .. แล้วไง?”


    /คือมันกับน้องแบมไม่ได้อะไรทั้งนั้นเว้ย คือกูคิดว่าตอนนั้นมันคงเมาอ่ะ มึงไม่ต้องคิดมากนะ/


    “สภาพเสียงผมเหมือนคนคิดมากหรอวะพี่”

    ยอมรับอยู่หน่อยนะว่าผมก็คิดมากอ่ะ แต่พอได้คุยกับพี่มาร์คแล้วเหมือนแม่.งมีอะไรมาจี้ตูดให้ผมรุ้สึกคันยิบๆส่งผลให้ผมยิ้มเป็นบ้าแบบเนี้ย คือความเจ็บมันก็มีเว้ย แต่แบบเหมือนมันหายไปหมดแล้วเพราะความกวนตีนของพี่มาร์คอ่ะ มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนสำคัญในชีวิตของใครสักคน


    /สงสัยกูคงจะได้ประสาทแดกตายก็เพราะมึงเนี่ยแหละ นี่มึงคิดว่ากูดูไม่ออกหรอ/


    “ดูเรื่องอะไร ... ดูเรื่องอะไรวะ”


    /มึงชอบแจ็คสันไง .. ไงละ .... จริงใช่ไหมละ ..../


    “......................”


    /อืม ... กูไม่น่าพูดแบบนี้กับมึงเลยให้ตายเถอะ ทำไมกูมันเชี่ยอย่างงี้วะ/

    ผมจะไม่บอกพี่มาร์คหรอกนะว่าผมกำลังเปิดหน้าโปรไฟล์ของพี่แจ็คสันอยู่ในตอนที่พี่มาร์คกำลังพูดอยู่นี้ ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ผมคิดมาก แต่ผมคิดว่ามันคงจะถึงเวลาสักทีที่ผมควรจะเลิกทำตัวเป็นน้องน้อยให้เขาดูแล หรือทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโตให้เขารู้สึกรำคาญเปล่าๆ บางทีชีวิตผมอาจมีค่ามากกว่านั้น อาจมีค่าให้ใครสักคนแกล้ง อาจมีค่าให้ใครสักคนยิ้มให้ อาจมีค่าให้ใครสักคนทักมาทุกเช้า อาจมีค่าให้ใครเดินไปส่ง หรืออาจมีค่าพอให้ใครสักคนดูแลต่อจากนี้

     อืม ยอมรับนิดหน่อยว่าผมรู้สึกอิจฉาแบมเป็นบ้า

     

    /เงียบอีกล่ะมึง เอาอีกล่ะมึง กูจะแดกยาพาราสักสามสิบเม็ดให้ตายแม่.งตอนนี้ไปเลย/


    “.....”


    /ถ้ามึงไม่ยอมพูดอีก มารับศพกูพรุ่งนี้ด้วยตอนเช้า กูจะไปหลอกหลอนมึงทุกคืน/


    “พี่แม่.งบ่นไรวะ”

    ผมพยายามกลั้นเสียงให้ดูเหมือนตัวเองเข้มแข็งสุดๆ หารู้ไม่ว่าตอนนี้น้ำตาผมมันกำลังไหล ไม่รู้ซิว่ามันไหลเพราะอะไร ผมอาจรู้สึกเหนื่อยกับเวลาตอนนี้ ผมอาจรู้สึกอ่อนแอ ผมอาจรู้สึกว่าตัวเองงมงายกับคนคนหนึ่งมากเกินไป

     ผมตั้งคำถามให้ตัวเองซ้ำๆ ทำไมผมต้องมานั่งร้องไห้ให้กับพี่ชาย ที่เขาไม่เคยแคร์ผมเลยสักนิด ไม่เคยทำให้ผมดูเหมือนเป็นน้องชายของเขา ทำให้ผมรู้สึกว่าบางทีผมอาจจะคิดมากไปเองฝ่ายเดียว ก็ได้แต่เกิดคำถามว่าทำไมคนที่ทำให้ผมชอบรู้สึกแย่ เขากลับรู้สึกดี ทำไมเวลาผมร้องไห้ตอนนี้ เขาถึงได้นั่งยิ้มโดยอาจจะคุยกับคนพิเศษคนนั้นของเขา ความสัมพันธ์ของผมกับเขาควรจะหยุดที่คนรู้จักตั้งแต่แรกก็ดีอยู่แล้ว หรือผมควรจะหยุดความรู้สึกที่เกินพี่น้องนี่ดี

     คิดอะไรก็ดูเหมือนจะเข้าเนื้อตัวเองซ้ำๆ

     คิมยูคยอมก็คงเป็นตัวตลกจริงๆนั่นแหละ ยิ่งยิ้มกว้างเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะเหนื่อยเกินทนเท่านั้น

     

    /จำเรื่องตัวตลกวันนี้ได้ปะ/


    “จำได้ดิพี่ ผมไม่ได้ความจำปลาทองเหมือนพี่นะ”


    /อืม กูแค่จะบอกว่าชีวิตมึงมีค่ามากกว่าตัวตลกนะ......สำหรับกู/

    น้ำเสียงช่วงสุดท้ายของพี่มาร์คขาดๆหายๆไปและมันก็แผ่วเบาจนเขาต้องเอาโทรศัพท์ที่แนบหูออกมาดูว่าสัญญาณมีปัญหาหรือเปล่า แต่ก็พบว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตของเขายังใช้ได้ดี


    “อะไรนะพี่ สำๆอะไรตอนสุดท้ายนะ ไม่ได้ยินอ่ะ”


    /กูไม่พูดให้เปลืองน้ำลายหรอก/


    “เอ้า ไอ่พี่ประสาท โทรมาก็เล่าดีๆดิวะ คนมันอยากรู้”

    ผมโคตรนับถือตัวเองมากครับที่สามารถควบคุมเสียงให้ไม่สั่นได้ดี


    /มึงต้องบอกกูมาตามความจริงก่อนว่า ตอนนี้มึงร้องไห้อยู่หรือเปล่า/


    “ฮะๆ ทำอย่างกับถ้าผมบอกแล้วพี่จะมาเช็ดน้ำตาให้ผมอ่ะ”


    /เอาปะละ กูทำให้ฟรีนะ แล้วกูก็มีโปรโมชั่นพิเศษด้วย/


    “โปรโมชั่นปัญญาอ่อนไรอีกอ่ะ”


    /ก็แบบว่า เช็ดน้ำตาให้ครั้งนี้ หลังจากนี้ก็จะไม่มีน้ำตาอีกไง/


    “หมายความว่าไงวะ”


    /คือมึงเป็นเด็กเรียนจึงหรือมึงแกล้งทำเป็นเด็กเรียนวะ ../


    “ผมฉลาดกว่าพี่อ่ะ”


    /เออ กูรู้ แต่เรื่องนี้มึงโคตรโง่เลยอ่ะ/

    ผมเดินลุกจากโต๊ะคอมพ์แล้วเลือกที่จะนอนราบไปกับเตียงที่อยู่ไม่ไกลกันแทน คือแบบรู้สึกว่าเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรแล้วด้วย น้ำตาของเขาเหมือนกำลังหยุดไหล ยิ่งคุยกับพี่มาร์คผมก้รู้สึกว่าตัวเองจมกับความทุกข์มากเกินไป


    /อืมมมมม กูเข้าใจว่ามึงตัดใจจากพี่ชายของมึงยากกกกกก/

    ผมขมวดคิ้วหน่อยๆเพราะไอ่พี่มาร์คนี่ชักจะติดนิสัยลากเสียงจากเขามามากเกินไปล่ะ จนบางครั้งก้รู้สึกปวดหูเมื่อต้องฟังมันพูดยานๆแบบนี้


    “ขอแบบคนดีๆเขาพูดกันได้ปะ”


    /คืออออออออออ...กูจะบอกว่า..มึงต้องให้คนอื่นเข้ามาเดินเล่นในใจมึงบ้างนะ/


    “หัวใจกูครับไม่ใช่สนามเด็กเล่น”


    /กูรู้ แต่ก็ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเว้ย คือกูจะบอกว่ามึงช่วยมองคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชายมึงบ้างได้ละ/


    “อืม....”กูก็มองมานานแล้วนะครับ.....

    แน่ละว่าผมพูดต่อประโยคนั้นในใจ เพราะอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะงัดมุขอะไรมาใช้อีก


    /คือแบบมันยังมีคนอีกหลายหลายหลายหลายหลายหลายคนที่เขาพร้อมจะอยู่กวนตีนมึงนะ อยู่ทำให้มึงรู้สึกดี อยู่คุยกับมึงดีๆแบบที่คนอื่นเขาทำกันอ่ะ/


    “อ่อหรอ”


    /มึงช่วยอะไรที่ไม่ใช่อ่อหรอ หรืออืมได้มะ กูจะประสาทแดก/


    “แดกไปดิ แดกด้วยกำลังหิว”


    /แดกพ่อง ฟังกูพูดก่อนดิ๊ มึงนิ/

    ผมขำให้กับความขี้บ่นของเขา พี่มาร์คชอบเป็นแบบนี้แหละครับเวลาโดนขัดใจ บางทีผมก็รู้สึกว่าเขาคงอาจจะคิดอะไรมากไปหน่อย จะบอกดีไหมนะว่าผมรู้สึกมานานแล้ว พูดพล่ามยาวตอนนี้ก็มีแต่หน้าแตกฟรีๆนั่นแหละ


    /คือมึงถึงเวลาที่จะต้องเปิดหัวใจมึงให้คนอื่นได้ละ/


    “หัวใจเปิดไม่ได้ครับ เดี๋ยวหยุดเต้น”


    กวนตีนมันไปงั้นแหละครับ สนุกดี


    /พ่อง เลิกกวนตีนกูแปบดิ กูจริงจังนะ คือมึง.../


    “คือ?”


    /เปิดใจให้คนอย่าง .. แค่ก ...แค่ก....เข้าไปได้ล่ะนะ/

    ผมหลุดหัวเราะครับ คือพี่มาร์คเป็นคนขี้ซึน มีอะไรก็ชอบปากแข็ง อย่างตอนเมื่อกี๊ที่มันแกล้งทำเป็นไอ อย่าคิดนะครับว่าผมไม่ได้ยินคำว่าอะไรหลุดมา


    “สั้นๆคือ พี่จะบอกว่าพี่ชอบผมงั้นดิ”


    /ใช่ .......... เฮ้ย ไม่ดิ ไม่ได้หมายความว่างั้น!/


    “นี่พี่คิดว่าผมโง่หรอ นี่ที่พล่ามมาตลอดยี่สิบนาทีนี่ก็เข้าตัวเองทั้งนั้นเลยนะครับ”


    /เฮ้ย กูไม่ได้หายความว่างั้น/


    “อ้าว นี่เราคุยกันคนละเรื่องหรอ ว้า แย่จัง สงสัยผมคงคิดไปเองจริงๆด้วย”


    /เห้ยมึงไม่ใช่ โว้ยยยยยยยย/

    ผมขำครับ ขำที่บรรยากาศตอนนี้มันทำเอาพี่มาร์คเครียดไปสักพัก รู้สึกดีเสมอครับเมื่อเอาชนะมาร์คต้วนได้


    /มึงหยุดขำแปบดิ้ คือกูจะบอกว่ามองคนอื่นได้แล้วนะเว้ยมึงอะ/


    “ก็มองมาตั้งนานแล้ว มองมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วด้วย”


    /เออก็ดี หะ อะไรนะ!?/


     “นี่พูดพล่ามมาทั้งหมด ผมรู้หรอกนะว่าพี่จะบอกว่าให้ผมเลิกชอบพี่แจ็คสันแล้วหันมามองใครหลายๆคนบ้าง นี่บอกเลยนะว่าผมมองมานานแล้ว รู้ตัวนานแล้วด้วย มีแต่พี่อ่ะแหละที่สมองช้า”


    เชื่อครับว่ามาร์คต้วนกำลังงง งงมากด้วยสิเชื่อผม


    /มึง...มึงรู้มาตลอดหรอ/


    “เปล่าหรอก ผมโกหก”


    /พ่อง/


    “รู้ดิ่ ไม่รู้จะนั่งคุยกับพี่ถึงตอนนี้หรอ ขอบคุณนะเว้ยที่ทำให้หัวเราะได้ บอกเลยว่าตอนนี้กำลังร้องไห้ว่ะ เหนื่อยอ่ะ เหมือนมันแบกอะไรไว้พันปีแล้วอยู่ดีๆมันก็ทรุดอ่ะ เหมือนฝนแม่.งซัดลงอีก มองไม่เห็นทางเลยว่ะ”


    /อืม..../


    “มันแบบไอ่เหี้ย เวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา กูมัวไปทำอะไรอยู่ว่ะ กูเอาตัวเองไปทำร้ายให้ป่นปี้ทำไม ทั้งๆที่ทุกอย่างมันก็แสดงออกชัดเจนอยู่แล้ว พี่เขาก็ไม่ได้ชอบผมแต่แรก”


    /เอ่อคือ.../


    “เงียบแล้วฟังผมดิ”

    ผมแอบดุพี่แม่.งไปทีหนึ่ง ได้ผลแฮะ เงียบลงไปถนัดตาแหนะ


    “จนวันนึงอ่ะ เหมือนแบบมีคนมาช่วยแบกเว้ย มันช่วยทำให้อะไรเราดีขึ้นอ่ะ เขาช่วยทำเช็ดน้ำที่เปรอะหน้าเปรอะตาจนมองไม่เห็นทางอื่นๆ เขาช่วยมาทำให้ผมยิ้มได้ว่ะ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ผมไมได้มีคนเดียวสักหน่อย มีคนให้อยู่กวนตีนอีกเยอะ ว่าปะวะพี่”


    /อืม ... กูก็คิดอย่างนั้น/


    “ผมว่าผมเจอคนคนนั้นแล้วนะเว้ยพี่ แบบรู้สึกโคตรดีใจอ่ะ”


    /หรอ../


    “ทำเสียงหงอยทำไมวะพี่ โอ่ย อย่ามาทำให้ผมเขินไปมากกว่านี้นะ”

    ผมแหวใส่เสียงโทรศัพท์ นี่ผมกำลังบอกความรู้สึกที่ผมมีมาตลอดที่รู้จักกันมาหลายปีนะ พี่แม่.งช่วยทำเสียงอะไรที่ไม่ใช่เสียงแบบนี้ได้ปะ นี่มันเขินนะเว้ย


    /เห้ย เขินอะไร..../


    “เออ ก็พี่มาทำให้ผมรู้อ่ะ .. ว่า... ชีวิตของยูคยอมคนนี้ยังมีค่าให้คนอย่างพี่กวนตีนอ่ะ”


    /เหี้ย....มึงมาพูดอะไรเนี่ย/

    พี่มันแหวใส่ผมครับ คิดว่าผมไม่รู้หรอว่ามันกำลังเขิน คิดว่าผมโง่หรอ ผมไม่โง่นะเว้ย


    “ผมก็อยากมีคนมากวนตีนบ้าง มาดูแลบ้าง มาเป็นห่วงบ้าง มาส่งผมบ้าง ทุกวันนี้ไม่รู้ดิ โคตรอิจฉาแบมมันเลย”


    /อืมแล้ว.../


    “ผมก็แค่อยากให้ใครบางคนมาบอกฝันดีก่อนนอนทุกคืน มาบอกว่าผมแม่.งไม่เหมือนใคร ผมแม่.งพิเศษ”


    /...../


    “เอ้อ สงสัยผมคงจะคิดไปเองคนเดียวว่าพี่เองก็ชอบผมเหมือนกัน”


    /......../


    “สงสัยความหวังผมคงหมดแล้วมั้ง พี่จะไม่พูดอะไรอีกใช่ปะ ดีผมจะวางสายล่ะจะนอนล่ะ”


    /ฝันดีนะ .. มึงมันคนใส่ลูกชิ้นเพิ่มของกู ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพิ่มผัดเพราะกูเกลียดผัก.../

    เสียงตอบจากปลายสายมันเบามากจนผมต้องขมวดคิ้ว คือจากที่เคยร้องไห้ หัวเราะ แล้วมานั่งเครียดนี่ ผมคิดว่าผมจะเป็นบ้าตายจริงๆก็เพราะไอ่พี่ต้วนนะเนี่ย พี่แม่.ง อย่านะอย่าให้อยู่แถวนี้นะ พ่อจะกระโดดถีบให้


    “เหี้ยอะไรของพี่วะ”


    /ก็ไหนมึงบอกว่าอยากให้มีคนบอกฝันดี บอกว่ามึงเป็นคนพิเศษ/


    “.....เออก็ใช่”


    /นี่ไงกูก็กำลังทำอยู่ มึงมันคนพิเศษของกูนะไอ่ห่า แค่นี้แหละ บาย/

    ตื้ด

    พูดจบพี่แม่ง.ก็วางสายไปเลยครับ ไม่ถงไม่ถามผมสักคำว่าผมตั้งตัวทันไหม กว่าจะรู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็วางสายไปนานแล้ว พอเอาโทรศัพท์ออกจากหูก็เห็นแจ้งเตือนที่บอกว่า

    Mark Tuan อัพเดตสถานะ

     

     

    Mark Tuan 01:01

      ยังอยากให้กูบอกมึงว่ามึงคือคนพิเศษอยู่ไหมละ?

    กูแค่อยากบอกว่า ชีวิตมึงมีค่ามากกว่าจะเป็นตัวตลกให้ใครนะ

    มาเป็นใครสักคนที่พร้อมจะดูแลกูและพร้อมให้กูดูแลดีกว่าไปเป็นตัวตลกที่มึงไม่ชอบ

    Yugyeom kim และคนอื่นอีก 101 คนถูกใจสิ่งนี้

     

     

    Yugyeom kim อัพเดตสถานะ
     

    Yugyeom kim  01:02

    ก็รอฟังคำนี้มานานแล้วนี่หน่า :D

    Mark Tuan และคนอื่นอีก 51 คนถูกใจสิ่งนี้



     




     

    #SFcrown
    เล่นกันเยอะๆนะคะ รู้สึกดี > _________ <



     





    ตอนแรกจะเขียนแจ็คยูค ไปๆมาๆพี่ต้วนเริ่มติดสินบนนำโด่งไปมากโข รู้ตัวอีกทีก็แก้ไม่ทันแล้วค่ะ
    เอาเป็นว่าอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ยอมรับค่ะว่าบ้าพลังมากนั่งคิดไดอะล็อกจนรู้สึกว่าทำไมกวนตีนจุง
    เราเป็นคนชอบคิดไดอะล็อกค่ะ มันเลยเยอะจัด ไม่มีความพอดี บรัยยยยยยยยยยยยยยยยย
    ขอบอกเลยว่าฟิคเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากคำว่า กาก กาก กาก กาก กาก และกาก
    ขอให้รักเราเหมือนกับที่สควิซเวิร์ดรักสพ้อนจ์บ๊อบนะคะ บัย จุ้บ รัก 








     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×