ตอนที่ 11 : [รีอัพ] หมอต้าคนอ่อย : Chapter 9


9
“หมอ...หมอต้า!”
“ค...คะ?” เสียงของแรลลี่ทำให้ผมกลับมามีสติ ผมกระพริบตาสองสามทีแล้วหันไปมองรอบๆ
“หมอเป็นอะไรรึเปล่าคะ? อยู่ดีๆก็นิ่งไป” คนตรงหน้าเอียงคอมองผมด้วยความสงสัย แววตาเธอใสซื่อน่ารักน่าฟัด
“เมื่อกี้เรา เอ่อ...ทำอะไรกันบ้างเหรอคะ?”
“ลี่บอกว่า ขอบคุณนะคะสำหรับสร้อยข้อมือ” พอเธอตอบแบบนั้นผมก็อยากจะเอาหัวโขกพื้นซะให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อกี้คือคิดไปเองทั้งนั้นเหรอวะ
โอ๊ยไอ้ต้า นี่มึงหมกมุ่นจริงๆนะเนี้ย
“อะ อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ” ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะซบหน้าลงไปบนฝ่ามือบังความบัดซบของตัวเองสักพักก็หันไปมองแรลลี่ “กลับกันเลยมั้ยคะ หมอรู้สึกเหนื่อยๆ” เหนื่อยกับความหื่นของตัวเอง!
“ก็ได้ค่ะ หมอจะได้พักผ่อนด้วย”
“หมอขอไม่เดินไปส่งนะคะ ไม่โกรธกันเนอะ” ขืนไปไม่รู้ผมจะทำอะไรลงไปบ้าง โอ๊ย...เกลียดตัวเองชิบ
“มะ ไม่โกรธค่ะ ลี่จะโกรธอะไรล่ะคะ” เธอโบกมือพันควัน “ขับรถดีๆนะคะ”
“ค่ะ เช่นกันค่ะ”
แรลลี่หันตัวกลับก่อนจะเดินไปจนลับสายตา ผมจึงได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครคนหนึ่ง ไม่นานเสียงในสายก็ดังขึ้นมา
[ว่าไงวะไอ้หมอ มีเวลาโทรหาเพื่อนหาฝูงแล้วเหรอวะ]
“กูมีเรื่องจะปรึกษาว่ะ” ผมกรอกเสียงลงไป
[เสียงเครียดเลยว่ะ มีอะไรวะ?] ไอ้กายถามเสียงตระหนก
“กูว่า...”
[…]
“กูหมกมุ่นว่ะ”
Tar End Talk
ฉันมองสร้อยข้อมือของตนเองก่อนจะกรี๊ดกร๊าดอยู่ในใจในขณะที่ขาก็เดินไปที่ห้องของตัวเอง มายงมายูวตาต้าอะไรเล่า! โอ๊ย...วันนี้หมอน่ารักไปแล้วนะ ถึงแม้หลังๆจะเป็นอะไรก็ไม้รู้ แต่ก็เขินชะมัด
“หมออะ บ้า!”
พอใกล้ถึงห้องฉันก็ควานหากุญแจในกระเป๋า
“เจ๊ลี่!” จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากด้านหน้าของฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นคนๆหนึ่งนั่งอยู่หน้าห้องของตัวเอง
“เรวี่?” คนๆนั้นคือเรวี่น้องสาวตัวดีของฉันเอง ข้างตัวเธอมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่หนึ่งใบ ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นฉัน “มาทำอะไรที่นี่?”
“วี่ขอนอนด้วยดิเจ๊” เธอทำหน้าอ้อนวอนในขณะที่ฉันไขกุญแจ ฉันขมวดคิ้วแล้วหันไปมองนาง
“ทำไมถึงมานอนกับเจ๊ล่ะ? หอตัวเองไม่มีรึไง?”
“มีดิเจ๊ แต่ถูกหมาบ้าตาม” เรวี่ลุกขึ้น ปัดกางเกงตัวเองสองสามทีก่อนจะหิ้วกระเป๋าเป้ขึ้นมาถือไว้
“หมาบ้า? นี่อย่าบอกนะว่าแกเอาเงินไปเที่ยวหมด ไม่มีปัญญาจ่ายค่าหอจนเขามาทวงน่ะ!?” ฉันรีบประท้วง สองมือเตรียมทำท่าจะตียัยน้องตัวแสบ
“จะบ้าเหรอเจ๊! ไม่ใช่” เรวี่รีบยกมือมาห้ามฉัน ฉันลดมือลงก่อนจะส่งสายตาถาม
“แล้ว?”
“ช่างมันเถอะเจ๊ อย่าไปสนใจเลย ไปอาบน้ำนอนดีกว่า” ยัยน้องตัวดีทำหน้าเซ็งๆก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องของฉัน “แล้วเจ๊ก็ห้ามไปบอกใครด้วยนะว่าวี่มาอยู่ที่นี่” แต่ก็ไม่วายหันมาจุ๊ปากใส่ เห็นสายตาจริงจังของนางฉันจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ก็นะใครๆก็ต้องมีปัญหาเป็นของตัวเองทั้งนั้น
“เรวี่ สายปานนี้ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?” ฉันบ่นงืมงำหลังจากที่เห็นน้องสาวแท้ๆของตัวเองยังคงนอนอยู่บนเตียงทั้งที่สายเอามากๆแล้ว “เจ๊ออกไปซื้อของตั้งแต่เช้า กลับมาก็ยังอยู่ท่าเดิม”
“อย่าปลุกดิ” เสียงงัวเงียดังมาจากที่นอน “วี่ไม่ได้นอนเต็มอิ่มแบบนี้มานานแล้วนะ”
“ทำไม เรียนหนักรึไง?”
“เปล่า” เสียงงัวเงียเหมือนเดิม
“ฟัดกับหมาเหรอ?” ฉันเลยถามหยอกไปเล่นๆ
“อืม ตามนั้น” เรวี่ตอบก่อนจะมุดหัวลงไปในหมอนเหมือนเด็กสิบขวบ ฉันเลยเลิกเซ้าซี้กับนางแล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“วันนี้แกจะไปไหนรึเปล่า?” ผ่านไปสักพักฉันก็ถามต่อ
“บอกว่าหมาบ้าตามอยู่ จะไปไหนได้” เสียงของยัยเรวี่เริ่มฟังรู้เรื่องขึ้น แสดงว่าน่าจะใกล้ตื่นแล้ว ว่าแต่หมาบ้าอะไรของมันอีกละเนี้ย?
“งั้นเหรอ”
“เฮ้ย! ไม่ดิ” อยู่ดีๆยัยเรวี่ก็กระเด้งตัวขึ้นมา “วี่อยากไปวัด”
“ไปวัด?” ฉันทวน ยกคิ้วเป็นเชิงสงสัย
“อืม ไปทำบุญ”
“คิดไงอยู่ดีๆอยากไปทำบุญ” ฉันแค้นหัวเราะ แต่สิ่งที่เรวี่ตอบกลับมาทำเอาฉันขมวดคิ้ว
“พวกเจ้ากรรมนายเวรจะได้เลิกตามสักที”
“เป็นอะไรของแกเนี้ย? ทำหน้ามุ่ยมาทั้งวันแล้วนะ” เสียงของแองเจลดังเข้ามาในโสตประสาททำเอาฉันถอนหายใจยาว
นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วที่หมอไม่ได้ติดต่อมาเลย ไม่โผล่หน้ามา ไม่โทรมา ไม่แม้แต่จะไลน์มาด้วยซ้ำ คือฉันก็แบบไม่ได้ชอบหมอหรอกนะแต่มาหยอด มาอ่อยกันทุกวันมันก็หวั่นไหวบ้างเปล่าวะ
“จะกลับยังไง ฉันไปส่งมั้ย?” ฉันเปลี่ยนเรื่อง มือเท้าคางกับโต๊ะ จ้องหน้าแองเจลเนื่องจากไม่มีอะไรทำ ส่วนนางก้มหน้าเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยว เอ่อ...”
“หือ?”
“เดี๋ยวพ็อตเตอร์มารับน่ะ” เธอยิ้มแหยะๆ
“อ๋อ เข้าใจละ...ได้ผัวแล้วลืมเพื่อนว่างั้น?” ฉันทำหน้าเซ็งๆเป็นผลให้ยัยแองเจลรีบโบกมือปฏิเสธแถมยังหน้าแดงแปร๊ดด้วย
“มะ ไม่ใช่นะ คือว่า...”
“นู้น เดินมานู้นแล้ว” ฉันพยักเพยิดไปทางข้างหลัง เห็นพ็อตเตอร์เดินมาอยู่ไกลๆ โถ่ สามีในอุดมคติฉันหายไปหนึ่งคนแล้ว
“แกอยู่คนเดียวได้นะ” แองเจลหันไปทางพ็อตเตอร์ทีหันมามองฉันที ฉันส่ายหน้ารัวๆ
“อยู่ได้ดิ ฉันไม่เป็นไรหรอก แถวนี้คนหล่อเยอะ” แองเจลเบะปากใส่ฉันก่อนจะวิ่งไปหาว่าที่ผัวของตัวเองปล่อยฉันให้นั่งเซ็งๆพลางส่องผู้ชายอยู่อย่างนี้
เมื่อไหร่จะมีผัวกับเขาบ้างเนี้ย?
ตึ๊ง!
อยู่ๆเสียงไลน์ก็ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ที่คว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ ฉันพลิกขึ้นมาดู ด้วยความที่ขี้เกียจซ่อนข้อความบวกกับจะได้เห็นข้อความแล้วคิดว่าควรตอบไม่ตอบหรือจะตอบอะไรทำให้ฉันเห็นข้อความที่ถูกส่งมา...
จากหมอต้า!
Ta Tar : พรุ่งนี้ตอนเย็นว่างมั้ยคะ?
ฉันขมวดคิ้วในคำถามของหมอต้า ไม่กี่วินาทีต่อมาหมอต้าก็ส่งข้อความมาอีก คราวนี้ฉันคว่ำหน้าจอลง หายใจเข้าออกรัวๆไม่ต่างจากจังหวะการเต้นของหัวใจ ค่อยๆพลิกหน้าจอขึ้นอย่างลุ้นๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ลุ้นขนาดนี้ ทำเหมือนตัวเองเป็นคนไปจีบเขาซะงั้น ความรู้สึกนี้ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือตอนรอผลการเข้ามหาวิทยาลัย
ฉันเบิกตาโตทันทีที่เห็นเนื้อความในข้อความนั้น
Ta Tar : ไปเที่ยวทะเลกันมั้ย?
Tar Talk
“ไงไอหมอ ว่างแล้วเหรอ?” เสียงเพทายดังมาจากข้างหลังดึงสติผมกลับคืนมา ผมวางแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันตรงหน้าลง
“กูไม่ว่างมั้ง ถึงได้มานี่” ผมแสยะยิ้ม ไอ้เพทายเดินมานั่งบนโซฟาตรงข้ามผม มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนผมขนลุก “ยิ้มเชี่ยไร?”
“เปล่า กูเห็นขอบตามึงแล้วขำ นึกถึงตอนมึงอยู่มหา’ลัย วันๆไม่ทำอะไรม่อสาวอย่างเดียว ขอบตานี่ใสกิ๊ง”
“มึงลองมาเป็นหมอแบบกูมั้ยล่ะไอ้เชี่ย!” ผมซัดหมอนข้างๆใส่มัน เพทายรับไว้แล้วหัวเราะก๊าก ให้ตายเถอะไอ้เพื่อนคนนี้เนี้ย
“อ้าวๆ ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอพวกมึง” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมา ไอ้กายเดินมาหย่อนตัวลงข้างๆผม ผมส่ายหัวเล็กน้อย
“กูขอตัวไปรับโทรศัพท์แป๊บ” เพทายชูโทรศัพท์แล้วลุกออกไป ผมกับกายดื่มด่ำกับเสียงเพลง แสงสีสักพักก่อนที่ไอ้กายจะโพล่งขึ้นมา
“เป็นไงบ้าง คนไข้แสนสวยของมึง”
และนั่นมันทำให้ผมชะงัก หันไปมองมันสายตาคาดโทษ
“คำแนะนำมึงแม่งโคตรห่วย!”
สาบานได้ว่าถ้ายุผมยังคงอยู่ที่เลขตัวเดียวในตอนนี้ผมคงลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นแล้ว
“อ้าวๆ ทำไม่ได้ก็อย่ามาว่ากันดิ” ไอ้กายหัวเราะ “ก็กูบอกให้มึงเลือกไง ระหว่างถอยห่างกับรุกใส่ มึงเลือกถอยห่างเองนี่หวา”
“กูทำไม่ได้ว่ะ” ผมไม่ยุ่ง ไม่คุย ไม่ติดต่อกับแรลลี่มาสองวันแล้ว บอกเลยว่าโคตรทุรนทุราย ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนสุดท้ายผมสติแตกส่งไลน์ไปหาแรลลี่เมื่อตอนเย็น
ก็คนมันคิดถึงอะ!
“มึงก็ไม่ต้องทำ งั้นเอาแบบสองไปเลย”
“อะไร?” ผมมองหน้ามัน
“มึงก็ใส่ไปเลย”
“ใส่อะไรวะ?” ผมถาม ไอ้กายยิ้มเจ้าเล่ห์
“ใส่ของมึงไง”
“ไอ้เชี่ยกายทะลึ่ง” ผมตวาดใส่มันแทบจะในทันที ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าคำว่า ‘ใส่’ ของมันคืออะไร
ก็คนอย่างมันแม่งร้ายลึกจะตาย...
“แหม่ ทำตัวเป็นคนใสซื่อไปได้ ฟันไปกี่คนแล้วล่ะมึงอะ”
“แต่คนนี้ไม่ใช่โว้ย!” ผมละปวดหัวจริงๆ คิดถูกคิดผิดที่มาปรึกษาไอ้เพื่อนบ้าคนนี้เนี้ย
“พูดเหมือนมึงไม่อยากทำ ถ้ามึงไม่อยากมึงคงไม่มาขอคำปรึกษากูหรอก” เพื่อนตัวดียกแก้วดื่มด้วยท่าทีสบายๆ ผมจิ๊ปากเล็กน้อยกับคำพูดของมันเพราะแม่งดันจริงไง
“อยากดิวะ อยากตลอดเวลา แต่แม่งยังทำไม่ได้”
กายเหลือบมามองแล้วยกคิ้วขึ้นเป็นเชิงคำถามว่า ‘ทำไม?’
ผมผ่อนลมหายใจเล็กน้อย “มันยังเร็วเกินไป เกิดเขาหนีกูขึ้นมาจะทำยังไงวะ?” จบคำตอบของผมไอ้กายก็แค้นหัวเราะออกมา มันมองหน้าผมด้วยสายตาสไตล์ของมัน
“มึงก็รู้ไอ้หมอ ว่าหลังจากนั้น...”
“…”
“มันจะหนีไม่ได้”
Tar End Talk
[อัพครบ]
100% : ไรท์คุยกับโรงพิมพ์แล้วนะคะ ส่งไฟล์ให้เขาเรียบร้อยแล้วค่ะ
อ่านเรื่องของกาย คลิก
52% : วันนี้วันสุดท้ายของการเปิดพรีรอบรีปริ้นท์แล้วนะคะ ไรท์ไม่แน่ใจว่าจะสต็อกเล่มไว้รึเปล่าเพราะกลัวขายไม่ออก ฮาาาาาาาาา
ส่วนหมอต้า พอหมกมุ่นเสร็จก็หายหน้าไปเลยเหรอคะ55555555555
ตอนนี้เรื่องหลักของไรท์จะเป็นเรื่องนี้นะคะ ยังไงก็ฝากด้วยเด้อออ เป็นแนวฟีลกู๊ดไร้สาระเช่นเดิมค่ะ5555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หมอรุกหนักเว้ยเฮ้ยยยยยยยย????????????????