ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กว่าจะได้ชื่อว่าเป็น "เด็กนอก"

    ลำดับตอนที่ #15 : ไดอารี่เด็กนอก: ตอน เด็กนอกออกเดท

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 52


        ใครจะไปรู้ล่ะว่าเพื่อนสนิทคิดจะซึ้ง ก็แหม่มันทำตัวแนบเนียนจนหน้าเหลือเชื่อ ไอเราก็โง่เกินกว่าจะเอะใจว่าไอบ้านี้มันคิดเกินเพื่อน เรื่องราวมันเป็นยังไงน่ะหรอ ก็ต้องลองอ่านดูแล้วคุณจะรู้

         ปีแรกของการเข้ามาเรียนในต่างประเทศก็แสนจะยากเย็นอยู่และแต่ไปๆมาๆการหาเพื่อนสักคนมันกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า ก็คนเรามันต่างเชื่อชาติ ต่างศาสนา ต่างวัฒธรรม กว่าจะปรับตัวเขาหากันทีใช้เวลาเกือบปี เทอมสองของการเรียนทุกอย่างเริ่มดูเข้าที่เข้าทาง เริ่มจะสนุกกับการเรียน และที่สำคัญสนุกกับประสบการ์ใหม่ๆอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การนั่งรถโรงเรียนเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ดูจะใหม่สำหรับเด็กต่างชาติคนนี้เหลือเกิน รถโรงเรียนสีเหลืองๆที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ไม่หน้าเชื่อว่าจะได้มีโอกาศมานั่งของจริงก็วันเนี่ย ทุกคนเริ่มถยอยมาขึ้นรถและหนึ่งในนั้นก็ชายหนุ่มอเมริกาเชื้อชาติสเปนที่ดูจะคุ้นตาจากห้องเรียนไหนสักห้อง หนุ่มหน้ามนจากห้องเรียนดนตรีนั้นเองเล่นทูบ้าแล้วเราเล่นคาริเน็ตเครื่องมันนั่งใกล้กันซะที่ไหนแต่วันนี้กลับได้มานั่งรถข้างกันซะงั้น เราเริ่มรู้จักกันจากการนั่งรถโรงเรียน นานวันเข้าความสัมพันเลยเริ่มพัฒนาเป็นเพื่อน และ เพื่อนสนิท ตอนกลางวันเรียนด้วยกัน ตอนเย็นกลับบ้านด้วยกัน เขาดูเป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลาแต่ชอบพูดอะไรเป็นทางการเสมอ เวลาทีเราไม่เข้าใจการบ้านวิชาภาษาสเปนก็มักจะได้เขาเป็นคนค่อยอธิบาย และเมื่อวิชาคณิตศาสตร์คือสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด ก็ได้เราเป็นคนค่อยให้ลอกการบ้านมั้งขู่เข็นให้ทำมั้ง เราสองคนเหมือนเป็นหยินหยางเสริมสมดุนซึ่งกันและกัน ชีวิตปีแรกของการเรียนผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งย่างเข้าปีที่สอง เราสองคนไม่ได้นั่งรถโรงเรียนอีก แต่ก็ได้เจอกันตอนชั่วโมงดนตรีกับการซ้อมวงโยธวาทิตหลังเลิกเรียน  ชีวิตดูจะมีความสุขดี จนกระทั้งการซ้อมวงโยหนึ่งวันก่อนงาน Homecoming dance เราไม่ได้คิดจะไปร่วมงานแต่ก็ชอบถามคนโน่นคนนี้ว่าใครไปกับใครบ้าง แหม่ก็เป็นที่รู้กันว่างานเนี่ยผู้ชายกับผู้หญิงที่ไปกันเป็นคู่ๆมันใช้เพื่อนซะที่ไหน เราถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัยว่าเขาไปกับใครด้วยอาการที่ไม่ได้แสดงความหึงห่วงหรืออะไรทั้งสิ้น เขาตอบอย่างเศร้าๆว่าไปคนเดียวเราหัวเราะและเริ่มแซวว่าทำไมไม่ไปชวนเพื่อนผู้หญิงสักคนล่ะ เขาตอบว่าคิดจะชวนคนๆนึงแต่ไม่รู้ว่าเขามีคนไปด้วยหรือยัง แล้วก็หันมาถามเราว่าเราไปกับใคร (ถามแบบเนี่ยเดี๋ยวก็คิดเกินเพื่อนซะหรอก ฮาๆๆ) เราตอบอย่างสั้นๆว่าไม่มี เขาจึงเริ่มชวนให้ไปด้วยกันเราหัวเราะคิดในใจว่าแหม่ไม่กล้าไปชวนผู้หญิงคนนั้นแล้วมาชวนเราไปเป็นตัวแทนหรอย่ะ เลยตอบไปว่าขอคิดดูก่อน เพราะบัตรก็ยังไม่ได้ซื้อแล้วก็ไม่ได้เตรียมชุดอะไรไว้เลย และในที่สุดเราก็ไม่ได้ไปงานคืนวันนั้นจริงๆเช้าวันอาทิตย์ซึ่งเป็นเช้าวันต่อมามีงานแสดงดนตรีใกล้ๆโรงเรียนซึ่งสมาชิกทุกคนในวงก็พร้อมใจกันมาอย่างพร้อมเพียง ทุกคนดูเหนื่อยๆจากงานเมื่อคืนโดยเฉพาะเพื่อนเราที่พอเห็นหน้ากันก็เมินหนี ความงุนงงเริ่มเกิดขึ้นในสมอง มันเกิดอะไรขึ้นหว่า พยายามเข้าไปใกล้ๆแต่เขาก็เดินหนีตลอด จนกระทั้งเพื่อนๆมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เราเข้าไปง้อเพื่อนให้หายโกรธแต่ดูท่าทางมันจะโกรธเป็นจริงเป็นจังมาก เลยบอกไปว่าถ้าหายโกรธน่ะจะยอมทำอะไรก็ได้ให้หนึ่งอย่าง (ทุกวันนี้ยังคงเสียใจว่าไม่หน้าพูดประโยคนี้ไปเลย) พี่แกได้ใจเลยให้เราพาไปดูละครโรงเรียนเป็นการชดเฉย ซึ่งการแสดงก็จัดในอาทิย์ต่อมาตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเพราะมีเพื่อนไปกันหลายคนว่าง่ายๆว่ายกกันไปเป็นขโหยง ตอนไปซื้อบัตรก็จับกันเป็นกลุ่มดี แต่ทำไมเข้ามาในโรงละครที่นั่งมันถึงได้ห่างกันเป็นร้อยเมตรขนาดนั้น ตอนนั้นรู้สึกตัวเองหัวอ่อนมากไม่ก็เข้าขั้นโง่จัดเพราะไม่ได้รู้หรือสงสัยเลยว่าเพื่อนๆมันกำลังจัดฉากให้อยู่ (ทุกวันนี้เพื่อนเหล่านั้นโดนเราจับฆ่าหมกป่าไปหมดแล้ว) ตอนดูละครก็สนุกดีแต่อีตาบ้านี้ก็หันมามองจังจะมองอะไรกันนักกันหนาฮะ จนกระทั้งละครพักครึ่งลยออกไปเดินเล่นข้างนอก และก็ถึงเข้าใจว่าทำไมมันถึงชวนมาดูละคร ก็ข้างๆโรงละครน่ะมันเป็นทะเลสาบ บรรยกาศงี้จะโรแมนติกไปไหนไม่ทราบ เราสองคนจึงไปเดินเล่นริมทะแลทราบกัน (โรแมนติกซะไม่มีอ่ะ) และแล้วอีตาคนข้างๆมันก็ทำอาการแปลกๆเริ่มจะเดินเบียดเข้ามาเรื่อยๆ (กลัวตกน้ำรึไงย่ะ เดินเบียดอยู่นั้นและ) และแล้วพี่แกก็ชวยมือไปจับอย่างไม่ได้ขอนุญาติ (เห็นว่าเป็นฝรั่งน่ะเนี่ยไม่นั้นเจอตบแน่ ฮาๆๆ) ตอนนี้เหมือนความฉลาดจะเริ่มเดินเข้าสู่สมอง ว่าบรรยกาศมันชักจะยังไงๆอยู่ และแล้วเหตุการณ์มันก็ชี้ชัดทำเอาเราถึงบางอ้อ เพื่อนสนิทมันคิดจะซึ่งจริงๆด้วย มันสารภาพรักเราซะงั้น โอ้ยตอนนั้นก็ใจตุ้มๆต่อมๆเหมือนกันน่ะ แล้วยังเอาหน้าเข้ามาซะใกล้ถามว่าเราชอบมันบ้างรึเปล่า (นี้ถ้าเอาหน้าหลบไม่ทันมีเฮเลยน่ะนั้นน่ะ) ตอนนั้นคิดในใจแบบว่าเอาว่ะใจดีสู้เสือไม่คิดไรมากเข้าไปกอดมันซะเลย (แต่แบบว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆน่ะ) กอดกันอยู่สักพักเราก็บอกมันไปว่า ชอบสิก็นายเป็นคนดีใครจะไม่ชอบนายบางล่ะแต่ที่ชอบชอบแบบเพื่อนน่ะ เท่านั้นและดูพี่แกจะอึ้งไปเหมือนกันดูจากอาการก็รู้เล่นไม่กระดุกกระดิกเลย ไม่มีคำพูดจากเราสองคนอีกต่างคนต่างเดินเข้าไปในโรงละคร แต่ก็ยังนั่งที่เดิมไม่ได้ย้ายไปไหน สุดท้ายหลังละครจบทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านเราสองคนก็เช่นกันเช้าวันจันทร์สิ่งแปลกใหม่ก็เกิดขึ้นเราสองคนแถบจะไม่คุยกัน เจอหน้ากันไม่ใครก็ใครก็มักจะเดินหลบไปเสมอ แต่มาพักหลังก็มีคุยกันบ้างแต่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว การเดทครั้งนั้นทำให้ เราเสียเพื่อนคนหนึ่งที่เรารักที่สุดไป แต่ในอีกมุมมันก็ทำให้เราเข้าใจสังคมและเรียนรู้ชีวิตในสังคมวัยรุ่นที่นี้มากขึ้น ตอนนี้ขอเป็นโสดใช้ชีวิตที่มีอยู่กับการเรียนและเพื่อนๆดีกว่า แต่ก็ขอสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำสองเด็ดขาด          

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×