ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซีรีย์ฮาร์ดคอร์ลากไส้สื่อเน่า

    ลำดับตอนที่ #8 : จารย์เจิมเสือเจ็บร้อง"เอ๋ง"!

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 53


    โดย คุณรักในหลวงห่วงลูกหลาน
    ที่มา บอร์ดฟ้าเดียวกัน
    7 พฤษภาคม 2552


    เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

    พูดเรื่องสื่อเหี้ยม ม.ม้าหายแล้ว ลืมคนนี้ไปได้ไง..

    (ความจริงมีแฟนๆรีเควสต์มาตั้งนานแล้ว ผมก็ไม่มีเวลาจะลากไส้สะที) เขาผู้นี้คือ"เสือน้อย"แต่หุ่นนี่ตัวพ่อซูโม่กิ๊ก

    เขาคือ'จารย์เจิม

    ที่เอาจารย์เจิมมาเขียนวันนี้ เพราะบ้านเมืองยังอยู่ในบรรยากาศมาคุ
    หลัง จบสงกรานต์ทมิฬก็เนี่ย มาพูดเรื่องแก้รัดทำนูนกันอีกแร๊ะ...บ้านเมืองเรามันมีเวรกรรมชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องเป็นเหตุกันขึ้นมาแต่ละที สิ่งแรกที่คิดทำกันคือแก้รัดทำนูน...

    จารย์ เจิมนี่ก็จรเข้น้อยหางแดงตัวพ่อเลยแหละเรื่องรัดทำนูนปี50นี่นะ คือแกยังไงไม่รู้ องค์ลงเป็นศาสดาผู้เชี่ยวชาญ แล้วก็องครักษ์พิทักษ์รัดทำนูนฉบับนี้ขึ้นมา ทั้งที่แกนี่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว...เออ ถ้าแกพูดเรื่องทำเหล้าสาโทนี่ผมจะเชื่ออยู่ว่าแกรู้จริง

    เดี๋ยวแกคงออกมาเต้นว่าห้ามแก้ ซึ่งก็เป็นความตอแหลอย่างแรง

    เพราะ แกเคยเดินสายทั่วประเทศ ออกทีวีด้วยตอนลงประชามติกันที่ตอนนั้นแยกเป็นพวกเขียวพวกแดงหงะ แกก็เป็นนักยุทธวิธีใช้ได้ คือบอกว่าให้"รับๆไปก่อนค่อยแก้ไขทีหลัง"...

    เพราะ ถ้าไม่รับนะ พวกมึงก็ต้องโดนคมช.ปกครองเผด็จการต่อไป จะไม่มีเลือกตั้ง น้ำก็จะไม่ไหล ภูเขาไฟจะระเบิด มนุษย์ต่างดาวจะยึดครองโลก....โห!ไอ่สัดดด ฟังแล้วคนแม่งก็กลัว เลยยอมผ่านรัดทำนูน50แบบฉิวเฉียด

    แล้วพอเข้า แก๊งเหี้ยเหลืองนี่อาการมันจะเหมือนกันทุกตัว คือชอบดึงฟ้าต่ำ มาตอนหลังไม่ได้อ้างเรื่องมนุษย์ต่างดาวจะยึดครองโลกแล้ว ไปอ้างเรื่องอภินิหารแทน

    แกบอกว่าแก้ไม่ด๊าย เพราะว่า"ขอให้กลับไปอ่านพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังที่ปรากฏอยู่ในพระราชปรารภของรัฐธรรมนูญ 2550 อีกครั้ง ! พึงตระหนักว่า หลังจากที่ประชาชนมีมติเห็นชอบให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริ ปรากฏในพระราชปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ความตอนหนึ่งว่า

    “...เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว สภาร่างรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อให้ค
    วามเห็นชอบแก่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ การออกเสียงลงประชามติปรากฏผลว่าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มา
    ออก เสียงประชามติเห็นชอบให้นําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงนําร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเพื่อ
    ทรงลงพระปรมาภิไธยให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสืบไป

    ทรงพระราชดําริว่า สมควรพระราชทานพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน…”

    นั่น!รัดทำนูน50เลยกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งขึ้นมา....เอ้า!กราบบบบบบ

    จารย์ เจิมนี่เป็นคนอ่างทอง พื้นฐานแกเป็นนักเสดสาด คือจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมดีมาก) จากธรรมศาสตร์ ปริญญาโทเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (ธรรมศาสตร์) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมกา

    ครอบ ครัวแกดีอบอุ่นแต่งกับ ดร.จิตริยา เอกอัครราชทูตไทยประจำนอร์เวย์ (นามสกุลเดิม ติงศภัทิย์ เป็นบุตรสาวของ ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ อดีตองคมนตรีในรัชกาลปัจจุบัน)

    (พูดเรื่องนอร์เวย์นี่น่าไปนะ ใครแต่งเมียใหม่ๆนี่ไปค้างซักคืน แล้วนั่งเรือข้ามฟากไปเดนมาร์คบรรยากาศจะโรมานซ์ ยิ่งไปตอนหน้าร้อนนี่แม่งไม่ต้องนอนกัน เพราะพระอาทิตย์เที่ยงคืน

    ใคร หื่นๆพาเมียไปฮันนี่มูนไม่ผิดหวัง แต่ใครเป็นลูกเป็นเมีย เขาตบแต่งแล้วชวนไปฮันนี่มูนหน้าร้อนแถวนี้มึงคิดให้ดี...มันไม่ใช่แค่ฟ้า เหลือง อาจจะมีตาย เพราะฟ้าดันสว่างตลอด เจอผัวหื่นๆเข้านี่ตายแน่ๆ ยิ่งกว่าปฎิญญาฟินแลนด์)

    กลับมาที่จารย์เจิม เดิมทีแกก็บูชาๆอาจารย์ป๋วย คือทำไงจะลงจากหอคอยงาช้าง เอาวิชาการงานวิจับมาดัดแปลงรับใช้มวลชน คือจะออกแนวๆนี้ แทนที่แกจะเป็นแค่อาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ท่าพระจันทร์ ว่างๆเดินส่องพระ แกก็เริมสร้างชื่อด้วยการเป็นผู้ค้นคว้า วิจัย เชี่ยวชาญ ด้านการตลาดสินค้าเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ และการพัฒนาชนบท เชี่ยวชาญเรื่องราคาข้าว และนโยบายข้าวชนิดหาตัวจับยาก

    ทีที้แกมา แจ้งเกิดเปรี้ยงปร้างตอนรสช.ปฏิวัติน้าชาติ แรกๆแกก็ออกมาด่าเลยว่า"ประเทศชาติเหมือนเครื่องบิน การรัฐประหารไม่ใช่แค่การหยุดประเทศ แต่เป็นการทำให้ประเทศย่อยยับ เพราะเครื่องบินตก"...พวกต้านรัฐประหารฟังแล้วก็ซี๊ดซ๊าดเป่าปากปรี๊ด

    แต่ อีท่าไหนไม่รู้ พอรสช.ตั้งอานันท์เป็นนายกฯ แกก็เข้าไปเจออานันท์ แล้วก็ลัดดาวัลย์ โมงเม่งโมง ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีคุมช่อง11บอกว่าอยากจะนำเสนอปัญหาชาวนาชาวไร่สู่ รายการโทรทัศ
    น์เพราะยังไม่มีใครเคยทำมาก่อนเลย จะได้ช่วยเหลือดูแลเกษตรกรในชนบท

    อัน นี้เป็นที่มาของการแจ้งเกิดแกทางทีวีด้วยรายการ"เวทีชาวบ้าน" ไม่นานต่อก็เปิดรายการ"มองต่างมุม"ซึงเป็นอะไรที่ใหม่มากในพ.ศ.นั้น เพราะจารย์เจิม กำหนดคอนเซ็ปต์ให้เป็นรายการโทรทัศน์ประเภททอล์กสาระ แบบ ‘ถามสด’ ที่ให้ประชาชนในห้องส่งได้มีส่วนร่วมตั้งประเด็นคำถาม พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เป็น ‘ตลาดความคิดเสรี เวทีประชาชน’ แล้วเชิญ2ฝ่ายที่เห็นขัดแย้งกันมาโต้กันสดๆ

    "มองต่างมุม"จึงเป็นการ ปฏิวัติรายการโทรทัศน์แบบรายการทอล์กครั้งมโหราฬ เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน อย่างไรก็ตามแม้เจิมศักดิ์จะบอกว่าเป็นตลาดคงามคิดเสรี เวทีประชาชน เปิดทางให้2ฝ่ายโต้กันได้เต็มที่ แต่ตัวพิธีกรคือเจิมศักดิ์เองก็มักจะมีอคติเข้าข้างทางใดทางหนึ่งอย่างเห็น ได้ชัดทั้งสีหน้าแววตา และคำถามที่บางครั้งแทบจะ"ฆ่ากันทางหน้าจอ"ได้

    พูด ง่ายๆที่ใครต่อใครว่าไอ่พวกแก๊งเด็กนรกเนชั่นมีสีหน้าท่าทางกวนตีนนี่ ย้อนไปตอนนั้นก็ถือว่าจารย์เจิมเป็นผู้บุกเบิกความกวนส้นตีนออกทีวีมาก่อน ไอ้พวกนี้นาน

    มีบางคราวที่นายสมัคร สุนทรเวช ขณะนั้นเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทย มาออกรายการมองต่างมุม และอาจจะด้วยความที่เจิมศักดิ์เป็นศิษย์ของอาจารย์ป๋วย ที่เคยถูกพิษการเมือง6ตุลาฯเล่นงานอย่างเจ็บปวด โดยเชื่อกันว่าสมัครมีบทบาทสำคัญในคราวนั้น ทำให้จารย์เจิมสวมวิญญาณนักฆ่าหน้าจอต่อสมัครแบบไม่ปรานี

    ส่งผลให้เมื่อจบรายการออหมัก(ย่อมาจากคำว่า "ไอ้หมัก")ถึงกับบริภาษว่ารายการนี้ไม่ควรมีต่อไป เพราะว่าไม่ได้มองต่างมุมจริง หากแต่"มองแต่มุมมารดามัน"...!

    จาก นักวิชาการที่ลงจากหอคอยงาช้างมารับใช้สังคมชาวไร่ชาวนา ขยับไปสนุกกับรายการทอล์กการเมืองแบบ"มองต่างมุม"ก็ทำให้ดร.เจิมศักดิ์รู้ ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องประกันราคาข้าว หรือยุชาวบ้านทำเหล้าสาโทขายอย่างแต่ก่อน

    แกก็เลยลุยถั่วเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจสื่อเต็มตัว ทั้งทางทีวีและวิทยุ โดยการก่อตั้งบริษัทวอชท์ด็อก หรือ"หมาเฝ้าบ้าน"ขึ้น

    นอก จากเจิมศักดิ์แล้ว บริษัทนี้ก็มีดร.เกษมสันต์ วีรกุล(ผัวเก่าน้องมังคุด) พิรุณ ฉัตรวนิชกุล (กรรมการพรรคคอมฯเก่า) แล้วก็ไอ้แม็คปากเบี้ยว-เถกิง สมทรัพย์ เป็นแกนหลัก โดยเจิมศักดิ์เคยเล่าว่า ดร.เกษมสันต์ได้มาคุยกับเขาว่า ให้ช่วยพาไปหาดร.ทักษิณ ชินวัตรด้วย ตอนนั้นเป็นปี 2536 หลังจากที่เจิมศักดิ์เข้าวงการโทรทัศน์ได้ซัก 2 ปี และเป็นช่วงที่ทักษิณกำลังเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งร่ำรวยจากการขายโทรศัพท์มือ ถือ คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือสื่อสาร ดังนั้นเกษมสันต์จึงอยากจะไปชวนAISของทักษิณมาลงโฆษณาที่รายการ เจิมศักดิ์ก็พาไป แต่ให้ดร.เกษมสันต์ไปขายเอาเอง

    “ไปถึงคุณทักษิณถาม ว่าถ้าหากจะซื้อรายการทั้งหมดเหมาเลยเท่าไหร่ ผมเนี่ยตัวแข็งเลย ในใจนึกว่ามาเที่ยวนี้คุณทักษิณกลายจะเป็นคนซื้อรายการทั้งหมด กลายเป็นผมจะมาทำรายการให้คุณทักษิณแทนบริษัท วอทช์ด็อก อาจารย์เกษมสันต์ตอบดีมากครับ ตอบว่าผมขอบพระคุณมากครับที่จะเหมาโฆษณาเพียงผู้เดียว แต่ผมเพิ่งหัดทำธุรกิจ ขอให้หัดทำเถอะ ซื้อไปหมดผมก็ไม่สนุก ที่มานี่หวังจะมาขายโฆษณาเพียงแค่ 1-2 นาที”

    ซึ่งทักษิณกล่าวตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป แต่มีหุ้นให้ซื้อบ้างไหม อยากร่วมทำธุรกิจด้วย ดร.เกษมสันต์ กล่าวตอบไปว่า พวกผมจดทะเบียนแค่ 2 ล้านบาท ถ้าซื้อไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ก็พอซื้อได้ ทักษิณก็เลยซื้อ 10% ก็ประมาณ 2 แสนกว่าบาท แล้วบอกว่าอย่าใส่ชื่อผม ให้ใส่ชื่อพี่เมียคือบรรพจน์ ดามาพงศ์ บอกว่าไม่อยากให้คนอื่นรูว่าถือหุ้นบริษัททำสื่อ

    เจิมศักดิ์กลาย เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เพราะออกรายการทางสื่อโทรทัศน์ และวิทยุเป็นประจำ รายได้ก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ แถมเมื่อลงสมัครส.ว.ในปี2543ก็ชนะเลือกตั้งได้เป็นส.ว.อีกต่างหาก

    แต่ แล้วปัญหาก็เริ่มขึ้นเมื่อหม้อข้าวเขาถูกทุบ เมื่อถูกช่อง 9 ยกเลิกสัญญาเช่ารายการทีวี"ขอคิดด้วยคน"ของเจิมศักดิ์ ซึ่งก็น่าจะทำให้เสียผลประโยชน์ก้อนโตเอาการ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำขึ้นของเจิมศักดิ์ เทียบไปแล้วก็เหมือนสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในปัจจุบันยังไงยังงั้น

    เรื่องนี้ทำให้เจิมศักดิ์ เข้าใจว่า ทักษิณ ซึ่งเวลานั้นเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ๆคือทักษิณ1น่าจะอยู่เบื้องหลังให้ยกเลิก รายการ เพราะทั้งที่เป็นพวกกัน ถือหุ้นอยู่บริษัทด้วยกัน ช่วยอุดหนุนโฆษณาให้ แต่กลับมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามดร.สรจักร์ เกษมสุวรรณ ผอ.อสมท.ในขณะนั้นได้ออกมาตอบโต้ ระบุว่าเจิมศักดิ์ทำตัวไม่เหมาะสม ผิดสัญญากับทางช่อง 9 เอง จึงจำเป็นต้องยกเลิกสัญญา

    อย่างไรก็ตามเจิมศักดิ์ก็ปักใจว่างานนี้ ทักษิณเป็นคนเล่นกูแน่ เลยชำระสะสางแม่งสะเลย ด้วยการออกหนังสือชุด"รู้ทันทักษิณ"ออกมาวิพากษ์ทักษิณ และกลายเป็นหนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะทักษิณไปงับเหยื่อกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ในรายการ"นายกฯทักษิณพบ ประชาชน"และการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน...เท่ากับเหลี่ยมช่วยตีให้ดังไปปริยาย

    เจิม ศักดิ์จึงนับเป็นคนแรกๆที่ออกมาวิจารณ์ทักษิณ ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังฮันนีมูนอยู่กับรัฐบาลทักษิณ 1 แต่ก็ไม่มีน้ำหนักพอที่จะสั่นคลอนโค่นล้มทักษิณได้..แถมทักษิณได้เปิดทางให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ค่ายผู้จัดการเข้ามาจัดรายการ"เมืองไทยรายสัปดาห์"ทางช่อง9 และสนธิก็ทำหน้าที่เชียร์ทักษิณยกใหญ่ ยกยอปอปั้นให้เป็น"นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา" แล้วก็หันไปสอนสั่งเจิมศักดิ์ที่หลุดจอและหน้าปัทม์วิทยุว่า"ที่ร้องแรก แหกกระเชิงอยู่นั้น เปรียบได้กับ ‘ลูกหมา’ ที่มีนิสัยร้องเสียงดัง"เอ๋งๆ"เมื่อถูกทำให้เจ็บ ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับ ‘ลูกเสือ’ เจ็บแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง"

    สนธิย้ำอยู่หลาย หนเรื่อง "เสือเจ็บไม่ร้อง แต่หมาเจ็บมันร้องดังเอ๋ง!" แต่ก็เหมือนกงเกวียนกำเกวียน เพราะต่อมาไม่นานสนธิก็มีเรื่องขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กับทักษิณบางกรณี เช่น ขอโทรทัศน์ช่องNEWS1ไม่ได้ ขอให้วิโรจน์ นวลแข เป็นกรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทยต่อ (เพื่อช่วยเรื่องหนี้ของสนธิ)ไม่ได้ และสนธิก็หลุดจอช่อง9 ต้องไปจัดเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ก่อนจะกลายเป็นพันธมิตร นำไปสู่รัฐประหาร19กันยา49ในเวลาต่อมา

    ศัตรูของศัตรูคือมิตร ใครจะว่าพายเรือให้โจรนั่งชั่งหัวมัน

    หลัง รัฐประหาร19กันยา49 ขณะที่สนธิลำพองในชัยชนะ เจิมศักดิ์ที่เคยถูกด่าเป็นหมูเป็นหมาก็ไม่ถือโทษอะไร เพราะเขาอาจถือคติว่า"ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร" เจิมศักดิ์จึงไปขึ้นเวทีกู้ชาติร่วมกับสนธิตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร และต่อมาก็มามีรายการที่ออกอากาศ เช่น รู้ทันประเทศไทย ทาง ASTV ช่อง NEWS1 ของสนธิ และรายการวิทยุ "พูดตรงใจกับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" ทุกวันเสาร์ เวลา 15.00 - 17.00 น. ทาง F.M. 92.25 ด้วย

    ในยุคหลัง รัฐประหาร19กันยา ดร.เจิมศักดิ์ ได้รับการตบรางวัลให้เป็นกรรมการ และโฆษกประจำคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)แน่นอนว่ามีพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นประธานบอร์ด แต่สุดท้ายบอร์ดชุดนี้ถูกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์พาดหัวด่าอย่างไม่ ไยดีว่าส
    พรั่งนั้นก็คือ"เหลือบ"หาผลประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้...นี่นับว่าเจิมศักดิ์ไปไกลเกินกว่านักวิช
    าการที่ลงจากหอคอยงาช้างเพื่อมาช่วยชาวนาให้ขายข้าวได้ราคาดีไปไกลโขจริงๆ

    เจิม ศักดิ์ยังได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ให้ประชาชนลงมติรับร่างฉบับนี้ โดยชูคำขวัญว่า"รับไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง" โดยเขาชี้อยู่หลายครั้งว่า“ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ให้ประชาชน เสนอแก้ไขไ
    ด้ แต่ครั้งนี้ให้ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 ชื่อเสนอได้ ทำให้ประชาชนไม่ใช่ผู้นั่งดูการเมืองอีกต่อไป ”

    อย่าง ไรก็ตามภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านเพราะคนหลงเชื่อว่า"รับๆไปก่อนแล้วค่อย แก้ทีหลัง แก้ก็ง่ายเข้าชื่อกันแค่5หมื่นชื่อ"แบบที่เจิมศักดิ์เคยว่าไว้ มาในเวลานี้เมื่อมีความเคลื่อนไหวจะแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย สลัดคราบไคลเผด็จการทิ้งไป เจิมศักดิ์ก็ไปเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์แนวหน้า เรื่อง"ทุกข์ของประเทศไทย"ชักแม่น้ำทั้งห้า ในแบบเดียวกับสนธิแอนด์เดอะแก๊งค์ว่า "ปรากฏหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่า มีกระบวนการจ้องทำลายสถาบันสูงสุด ที่คนไทยเคารพรัก โดยมีการปล่อยข่าว การแสดงออกถึงความไม่เคารพ และถึงขั้นโจมตี ใส่ร้าย ซึ่งหากประมวลเอกสารหลักฐานจากบุคคลหลายบุคคลที่ได้มีพฤติการณ์ร่วมในลักษณะ หมิ่นเหม่จาบจ้วง ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้"

    จากแต่ก่อนที่ต้าน รัฐประหารอย่างแรง อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้น มาในยุครัฐบาลสมัคร -สมชายนี่นะ ที่เหี้ยเหลืองมีการประท้วงกัน เจิมศักดิ์นี่ไปคนละคนเลย คือหากมีรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลสมัคร-สมชายที่ชาวบ้านเลือกมาก็ถือว่าเป็น เรืองสุดวิสัย

    ทุกวันนี้จารย์เจิมมีความสุขดี แกส่งลูกมือคือไอ้แม็คปากเบี้ยวไปเป็นรองผอ.ข่าวTPBSอยู่ สารคดีอะไรที่ออกแนวๆเหี้ยมม.ม้าหายนี่ว่ากันว่า แกสั่งไอ้แม็คที่เป็นนอมินีทำ....

    แกนี่เมพขิงๆว่ามั๊ยสัดด
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×