ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : จากอาวุธทันสมัยของทหาร ไปสู่อาวุธอันล้าหลังของบริษัทไทย
ในที่สุด ก็เลือก “รักชาติ” แต่อาจจะต้อง “มีความสามารถระดับนี้” ไปอีกนาน
มาเริ่มที่ดูบริษัทไทยกัน
ก็เป็นข่าวไปเรียบร้อยแล้วนะครับ ว่าบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจระดับโลก บอกว่าจริงๆแล้ว มาตรการ “รักชาติของคนไทย” ที่วางสัดส่วนให้ฝรั่งถือหุ้นในบริษัท ไทย ได้น้อยกว่าเดิม จะกระทบมากที่สุดก็ตรงสองจุด จุดแรกคือ การทำการวิจัยและพัฒนา คือฝรั่งที่ไหนจะมาสอนไทยตรงนี้ ในเมื่อมันกลายเป็นเขาถือส่วนน้อยไปแล้ว แล้วจุดที่สอง ก็คือด้าน “เทคนิคต่างๆ” เช่นการบริหารสมัยใหม่ หรือ “ลวดลาย” การใช้เครื่องมือสมัยใหม่ หรือจะเป็นการไม่เอาเครื่องมือสมัยใหม่มาลง พูดง่ายๆ คนไทยเชิญเอาบริษัทกลับไปเลย แต่อย่าหวังว่าจะรุ่งเรือง เจริญต่อไปอีกมากนัก “ถ้าคนไทยไม่เก่งจริง”
พูดง่ายๆ ฝรั่งก็เชิญคนไทยให้ “หันไปพึ่งขาตัวเอง ในการทำวิจัย และด้านเทคนิค” ก็แล้วกัน คือไปต่อยอดกันเอาเอง “ฉลาดได้อีกแค่ไหน หรือจะไม่ฉลาดไปอีกนานแค่ไหน” ตอนนี้อยู่ในมือคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว ในการมองเรื่องนี้นั้น ก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้านะครับ คงไม่เข้าใครออกใครเพราะผมก็คนไทย ปัญหากับโจทย์ที่ฝรั่งส่งมาให้คนไทยตรงนี้ “น่ากลัวมากนะครับ” เพราะในขณะที่เราเลือกที่จะรักชาติกัน จนยอมศูนย์เสียความรู้ใหม่ๆไป ประเทศแบบเวียนนามนั้น กลับเปิดประเทศ จนได้โรงงานทันสมันที่สุดบนโลก แบบการสร้างคอมพิวเตอร์ชิป จากอินเทลไปเรียบร้อยแล้ว แล้วนั่นเป็นเพียงปลายน้ำของสิ่งนั้น อุตสาหกรรมต้นน้ำที่ทันสมัยที่สุดด้านนั้น กำลังกรูกันเข้าไปในเวียดนาม คือเราคงบอกกันว่าเชิญเวียดนามรุดหน้าไทยไปเลย คนไทย “รักชาติมากกว่า” ก็ได้นะครับ ปัญหาคือในการรุดไปข้างหน้า เขา “ฉลาดและเก่ง” ขึ้นด้วยสิครับ
แต่เอาหละครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราพร้อม ต่อยอดด้วยตัวเราเองหรือไม่ ก็น่าขบคิดนะครับ แต่ขอบอกสักนิดเท่านั้นเอง ว่างบประมาณการวิจัยของไทย และการพัฒนาด้านเทคนิคนั้น ความเป็นจริงคือ “เทียบไม่ได้เลย” กับของบริษัทต่างชาติ คือพูดกันตรงๆ งบวิจัยพัฒนาไทยที่ผ่านมาสักสิบปีที่แล้ว ยังไม่เท่า “การเพิ่มขึ้นในปีเดียว” ของงบวิจัยบริษัทใหญ่ๆของต่างชาติเลย คือฟังแล้ว “ค่อนข้างจะยากพอดูนะครับ” ที่ไทยเราจะตามโลกทัน คือก็ไม่เคยตามทันนะครับ เท่าที่ทำกันมา ถึงฝรั่งจะถือหุ้นใหญ่ แต่อย่างน้อย เราก็ไม่ได้ตกหล่นอะไรมากมายนัก แต่มาตอนนี้ ท่าทางจะถูกเขา “ทิ้งห่างมากขึ้นมาก” ในขณะที่แบบเวียนนามนั้น “เร็วเหลือเกิน”
ข่าวร้ายยังไม่จบนะครับ ตอนนี้กฎหมายไทยขัดกันเองจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วครับ ทั้ง กลต ที่ดูแลหุ้น ก็มีกฎกลต ทั้ง บีโอไอ ก็มีกฎหมายรองรับ แล้วก็กฎหมายลดสัดส่วนการถือหุ้นของฝรั่งในไทยที่พึ่งออกมาอีก ขัดกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกแล้วครับ อาจารย์ดังๆตามมหาวิทยาลัยไทย ที่ก็ไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบใคร แต่กลางๆ บอกว่า ต้องตีความกันเป็นปีกว่าจะรู้ว่าอะไรคืออะไร แล้วในระหว่างนี้ “การลงทุนในไทย โดยต่างชาติ จะหยุดชงักและตกลง” ในเมื่อการลงทุนใหม่ ก็คือการนำเอาเทคโนโลยี่การผลิตใหม่ๆเข้ามา ก็พอจะสรุปได้ว่า การหยุดการลงทุน ก็จะทำให้ “ความรู้ใหม่ๆ ความสามารถใหม่ๆ หายไปด้วย”
แต่ข่าวร้ายยังไม่หมดนะครับ เพราะอาจารย์ท่านกล่าวว่า “ปัญหาคือถ้าเก่าแก่และไม่ทันสมัย มันจะแข่งกับโลกไม่ได้ บริษัทในมือคนไทย แต่แข่งกับคนอื่นไม่ได้ ในที่สุดก็ถูกตียับและต้องขายไปไม่ก็ปิดกิจการไป ไม่ก็พยายามทุกทางเพื่อให้ไปได้ งูๆปลาๆ ฝรั่งปล่อยออกมาให้เท่าที่จำเป็น และลดสัดส่วนไปเรื่อยๆ แต่ที่แน่นอนคือในระยะยาว แข่งไม่ได้ก็คือคนจะตกงานกัน”
สรุปคือของเก่าที่ลงทุนมา หยุดการให้ความรู้ใหม่ๆแก่คนไทย และสิ่งใหม่ๆที่จะมา ก็หมดไปด้วย ฟังดูแล้วคนในแวดวงเทคโนโลยี่ เช่น เนคเทค ซีป้า กระทรวงวิทย์ กระทรวงไอซีที และไม่รู้จะอีกกี่สิบองค์กรที่สร้างมาเพื่อให้ไทยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ให้ทันต่างชาติ และพึ่งตัวเองได้ คงจะต้องมานั่งถกกัน “ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์การพัฒนาด้านนี้เลยนะครับ” ว่าจะทำอย่างไรดี ไม่มีใครบอกว่ารักชาติไม่ดี แต่การรักชาติมากๆ ก็มีทั้งส่วนดีและไม่ดีปนกันมา ทางออกของคนไทย คือจะบริหาร “ด้านลบที่ตามมา” ให้ได้อย่างไร คำตอบคงจะเป็นเพิ่มงบการวิจัย ทางออกคงจะเป็นปรับปรุงการศึกษากันขนานใหญ่ ด้วยการเอาชาวต่างประเทศที่รู้จริง มาถ่ายทอดวิชาให้ ทางออกคงจะเป็นลดภาษีให้กับการลงทุนในการวิจัย และการปรับปรุงเทคโนโลยี่สมัยเก่าตามโรงงาน ให้มาใช้สมัยใหม่
ทำกันได้หลายทางครับที่จะลด “ราคา” ของการไม่พึ่งต่างชาติมากนัก คงจะเหนื่อยกันหน่อยนะครับต่อจากนี้ไป แล้วเราคนไทยคงต้องมาทำใจกันใหม่อีกครั้งนะครับ ว่าเราเลือกแล้วที่จะให้เวียดนาม แซงหน้าไป เราเลือกแล้วที่จะเลิกแข่งอยู่ในระดับมาเลเซีย เราเลิกแล้วที่คิดจะเป็น “ผู้นำ” ของภูมิภาค แล้วเห็นประเทศอื่นเป็นแทน เราเลือกแล้วที่จะอยู่กันแบบ เผชิญโลก ด้วยตัวเราเอง
แล้มมาดูทหารกัน
สุดจะภูมใจกับงบทหารของรัฐบาลนี้ ที่จะใช้ซื้ออาวุธ สมัยใหม่มาใช้กัน เรียกว่าในวันถกงบกัน ทุกคน "เออออกันหมด" ว่าต้องเอาอาวุธทันสมัยที่สุดมาเสริมเขี้ยวเล็บ เพราะประเทศอื่นไปกันไกลมากแล้ว
ถึงขนาดล่าสุด จะลงทุนเป็นพันล้าน ซื้อดาวเทียมมาใช้กันในแวดวงราชการเองเลย เพื่อความมั่นคง
ก็ต้องขอบอกว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ที่บอกธรกิจไทยว่าจะทันสมัยไปทำไมกัน แต่ตัวเองกลับเลือกเอาทันสมัยที่สุด
จากคุณ : ทันคนทันข่าว - [ 22 ม.ค. 50 14:50:23 A:58.10.87.193 X: ]
มาเริ่มที่ดูบริษัทไทยกัน
ก็เป็นข่าวไปเรียบร้อยแล้วนะครับ ว่าบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจระดับโลก บอกว่าจริงๆแล้ว มาตรการ “รักชาติของคนไทย” ที่วางสัดส่วนให้ฝรั่งถือหุ้นในบริษัท ไทย ได้น้อยกว่าเดิม จะกระทบมากที่สุดก็ตรงสองจุด จุดแรกคือ การทำการวิจัยและพัฒนา คือฝรั่งที่ไหนจะมาสอนไทยตรงนี้ ในเมื่อมันกลายเป็นเขาถือส่วนน้อยไปแล้ว แล้วจุดที่สอง ก็คือด้าน “เทคนิคต่างๆ” เช่นการบริหารสมัยใหม่ หรือ “ลวดลาย” การใช้เครื่องมือสมัยใหม่ หรือจะเป็นการไม่เอาเครื่องมือสมัยใหม่มาลง พูดง่ายๆ คนไทยเชิญเอาบริษัทกลับไปเลย แต่อย่าหวังว่าจะรุ่งเรือง เจริญต่อไปอีกมากนัก “ถ้าคนไทยไม่เก่งจริง”
พูดง่ายๆ ฝรั่งก็เชิญคนไทยให้ “หันไปพึ่งขาตัวเอง ในการทำวิจัย และด้านเทคนิค” ก็แล้วกัน คือไปต่อยอดกันเอาเอง “ฉลาดได้อีกแค่ไหน หรือจะไม่ฉลาดไปอีกนานแค่ไหน” ตอนนี้อยู่ในมือคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว ในการมองเรื่องนี้นั้น ก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้านะครับ คงไม่เข้าใครออกใครเพราะผมก็คนไทย ปัญหากับโจทย์ที่ฝรั่งส่งมาให้คนไทยตรงนี้ “น่ากลัวมากนะครับ” เพราะในขณะที่เราเลือกที่จะรักชาติกัน จนยอมศูนย์เสียความรู้ใหม่ๆไป ประเทศแบบเวียนนามนั้น กลับเปิดประเทศ จนได้โรงงานทันสมันที่สุดบนโลก แบบการสร้างคอมพิวเตอร์ชิป จากอินเทลไปเรียบร้อยแล้ว แล้วนั่นเป็นเพียงปลายน้ำของสิ่งนั้น อุตสาหกรรมต้นน้ำที่ทันสมัยที่สุดด้านนั้น กำลังกรูกันเข้าไปในเวียดนาม คือเราคงบอกกันว่าเชิญเวียดนามรุดหน้าไทยไปเลย คนไทย “รักชาติมากกว่า” ก็ได้นะครับ ปัญหาคือในการรุดไปข้างหน้า เขา “ฉลาดและเก่ง” ขึ้นด้วยสิครับ
แต่เอาหละครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราพร้อม ต่อยอดด้วยตัวเราเองหรือไม่ ก็น่าขบคิดนะครับ แต่ขอบอกสักนิดเท่านั้นเอง ว่างบประมาณการวิจัยของไทย และการพัฒนาด้านเทคนิคนั้น ความเป็นจริงคือ “เทียบไม่ได้เลย” กับของบริษัทต่างชาติ คือพูดกันตรงๆ งบวิจัยพัฒนาไทยที่ผ่านมาสักสิบปีที่แล้ว ยังไม่เท่า “การเพิ่มขึ้นในปีเดียว” ของงบวิจัยบริษัทใหญ่ๆของต่างชาติเลย คือฟังแล้ว “ค่อนข้างจะยากพอดูนะครับ” ที่ไทยเราจะตามโลกทัน คือก็ไม่เคยตามทันนะครับ เท่าที่ทำกันมา ถึงฝรั่งจะถือหุ้นใหญ่ แต่อย่างน้อย เราก็ไม่ได้ตกหล่นอะไรมากมายนัก แต่มาตอนนี้ ท่าทางจะถูกเขา “ทิ้งห่างมากขึ้นมาก” ในขณะที่แบบเวียนนามนั้น “เร็วเหลือเกิน”
ข่าวร้ายยังไม่จบนะครับ ตอนนี้กฎหมายไทยขัดกันเองจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วครับ ทั้ง กลต ที่ดูแลหุ้น ก็มีกฎกลต ทั้ง บีโอไอ ก็มีกฎหมายรองรับ แล้วก็กฎหมายลดสัดส่วนการถือหุ้นของฝรั่งในไทยที่พึ่งออกมาอีก ขัดกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกแล้วครับ อาจารย์ดังๆตามมหาวิทยาลัยไทย ที่ก็ไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบใคร แต่กลางๆ บอกว่า ต้องตีความกันเป็นปีกว่าจะรู้ว่าอะไรคืออะไร แล้วในระหว่างนี้ “การลงทุนในไทย โดยต่างชาติ จะหยุดชงักและตกลง” ในเมื่อการลงทุนใหม่ ก็คือการนำเอาเทคโนโลยี่การผลิตใหม่ๆเข้ามา ก็พอจะสรุปได้ว่า การหยุดการลงทุน ก็จะทำให้ “ความรู้ใหม่ๆ ความสามารถใหม่ๆ หายไปด้วย”
แต่ข่าวร้ายยังไม่หมดนะครับ เพราะอาจารย์ท่านกล่าวว่า “ปัญหาคือถ้าเก่าแก่และไม่ทันสมัย มันจะแข่งกับโลกไม่ได้ บริษัทในมือคนไทย แต่แข่งกับคนอื่นไม่ได้ ในที่สุดก็ถูกตียับและต้องขายไปไม่ก็ปิดกิจการไป ไม่ก็พยายามทุกทางเพื่อให้ไปได้ งูๆปลาๆ ฝรั่งปล่อยออกมาให้เท่าที่จำเป็น และลดสัดส่วนไปเรื่อยๆ แต่ที่แน่นอนคือในระยะยาว แข่งไม่ได้ก็คือคนจะตกงานกัน”
สรุปคือของเก่าที่ลงทุนมา หยุดการให้ความรู้ใหม่ๆแก่คนไทย และสิ่งใหม่ๆที่จะมา ก็หมดไปด้วย ฟังดูแล้วคนในแวดวงเทคโนโลยี่ เช่น เนคเทค ซีป้า กระทรวงวิทย์ กระทรวงไอซีที และไม่รู้จะอีกกี่สิบองค์กรที่สร้างมาเพื่อให้ไทยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ให้ทันต่างชาติ และพึ่งตัวเองได้ คงจะต้องมานั่งถกกัน “ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์การพัฒนาด้านนี้เลยนะครับ” ว่าจะทำอย่างไรดี ไม่มีใครบอกว่ารักชาติไม่ดี แต่การรักชาติมากๆ ก็มีทั้งส่วนดีและไม่ดีปนกันมา ทางออกของคนไทย คือจะบริหาร “ด้านลบที่ตามมา” ให้ได้อย่างไร คำตอบคงจะเป็นเพิ่มงบการวิจัย ทางออกคงจะเป็นปรับปรุงการศึกษากันขนานใหญ่ ด้วยการเอาชาวต่างประเทศที่รู้จริง มาถ่ายทอดวิชาให้ ทางออกคงจะเป็นลดภาษีให้กับการลงทุนในการวิจัย และการปรับปรุงเทคโนโลยี่สมัยเก่าตามโรงงาน ให้มาใช้สมัยใหม่
ทำกันได้หลายทางครับที่จะลด “ราคา” ของการไม่พึ่งต่างชาติมากนัก คงจะเหนื่อยกันหน่อยนะครับต่อจากนี้ไป แล้วเราคนไทยคงต้องมาทำใจกันใหม่อีกครั้งนะครับ ว่าเราเลือกแล้วที่จะให้เวียดนาม แซงหน้าไป เราเลือกแล้วที่จะเลิกแข่งอยู่ในระดับมาเลเซีย เราเลิกแล้วที่คิดจะเป็น “ผู้นำ” ของภูมิภาค แล้วเห็นประเทศอื่นเป็นแทน เราเลือกแล้วที่จะอยู่กันแบบ เผชิญโลก ด้วยตัวเราเอง
แล้มมาดูทหารกัน
สุดจะภูมใจกับงบทหารของรัฐบาลนี้ ที่จะใช้ซื้ออาวุธ สมัยใหม่มาใช้กัน เรียกว่าในวันถกงบกัน ทุกคน "เออออกันหมด" ว่าต้องเอาอาวุธทันสมัยที่สุดมาเสริมเขี้ยวเล็บ เพราะประเทศอื่นไปกันไกลมากแล้ว
ถึงขนาดล่าสุด จะลงทุนเป็นพันล้าน ซื้อดาวเทียมมาใช้กันในแวดวงราชการเองเลย เพื่อความมั่นคง
ก็ต้องขอบอกว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ที่บอกธรกิจไทยว่าจะทันสมัยไปทำไมกัน แต่ตัวเองกลับเลือกเอาทันสมัยที่สุด
จากคุณ : ทันคนทันข่าว - [ 22 ม.ค. 50 14:50:23 A:58.10.87.193 X: ]
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น