ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #7 : เบื้องลึกการแปรรูปปตท.

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 50


    กรณีศึกษา:การจัดการทางการเงินหลังการแปรรูป ปตท.


    การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้แปรรูปจากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติการ ปิโตรเลียม มาเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยการแปลงสภาพภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ (พ.ร.บ.ทุนฯ) และกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปลายปี 2544 โดยยังคงมีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และในปี 2545 ซึ่งเป็นปีแรกของการเปลี่ยนระบบจากการจ่ายเงินนำส่งเข้าสู่รัฐ เป็นการจ่ายภาษีเงินได้นิติ บุคคล และเงินปันผล ปตท.ได้จ่ายเงินให้รัฐเป็นจำนวน 17,240 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปี 2544 ที่มีการนำเงินส่งรัฐ 11,269 ล้านบาท และในครึ่งปีแรกของปี 2548 นี้ ปตท. และบริษัทในเครือได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินปันผล เป็นเงิน 25,911 ล้านบาท

    ทำไม หลังแปรรูป ปตท. มีผลประกอบการแบบก้าวกระโดด ทั้งๆที่มีผู้บริหาร และพนักงานคณะเดิม

    หาก ปตท. ทำเพียงจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น โดยยังบริหารงานอย่างเดิมๆ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กว่า ปตท. และบริษัทในเครือจะประสบ ความสำเร็จได้มากขนาดนี้ ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายประการ ต้องเป็นองค์กรที่ดี มีผู้บริหารที่ดีมีวิสัยทัศน์ บุคลากรในบริษัทต้องมีคุณภาพ ต้องดำเนินงานอย่างมีความเที่ยงธรรม สิ่งสำคัญที่สุดต้องมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นรู้จักปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    ความจริงแล้ว การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 2540 เป็นแรงกระตุ้นทำให้ ปตท. และบริษัทในเครือต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจให้มีความเข้มแข็งในระยะยาว พร้อมรับกับสถานการณ์ทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการแปรรูปเป็นคำตอบหนึ่งที่ ทำให้ ปตท.เข็มแข็งในระยะยาว ดังตัวอย่างในปี 2536 ที่ปตท. ได้นำ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด มหาชน (ปตท.สผ.) ซึ่งเป็นบริษัทแรกในเครือ ปตท. เข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะธุรกิจของ ปตท.สผ. ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ซึ่งในขณะนั้น บริษัทแม่ก็ คือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งสามารถให้เงินสนับสนุนในจำนวนจำกัด จึงจำเป็นต้องหาวิธีการระดมทุน แบบอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินทุนจากบริษัทแม่ ดังนั้น การเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ ปตท.สผ. จึงเป็นทางหนึ่งในการระดมทุนเพื่อให้มีเงินมากพอที่จะซื้อทรัพย์สินได้ใหญ่ขึ้น จนวันนี้ ปตท.สผ. มีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ทำให้มีศักยภาพเพียงพอในการเข้าไปลงทุนในสัมปทาน แหล่งก๊าซธรรมชาติ และ น้ำมันทั้งในและต่างประเทศ เช่น แหล่ง S1 แหล่งบงกช แหล่งไพลิน แหล่งยาดานา แหล่งเยตากุน เป็นต้น

    วันนั้นถ้า ปตท.ไม่ทำให้ ปตท.สผ. มีเงินทุนเพื่อไปลงทุนได้ ปตท.สผ. คงมีสัมปทาน เพียงแหล่ง S1และแหล่งอื่นอีกเล็กน้อย จะไม่มีแหล่งบงกช แหล่งไพลิน แหล่งยาดานา แหล่งเยตากุน รวมถึง แหล่งเจดีเอ เพราะฉะนั้นหาก ปตท.สผ.ไม่ได้แปรรูป และ ปตท.เป็นเจ้าของ 100% จะมีมูลค่าเพียง 5 หมื่นล้านบาท แต่วันนี้ ปตท. เป็นเจ้าของ 60 % ของมูลค่าบริษัทที่ 3 แสนล้านบาท พร้อมกับ ศักยภาพ ในการหาแหล่งพลังงานได้มากขึ้น

    การแก้ปัญหาบริษัทในเครือ หลังระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

    หลังปี 2540 ทุกบริษัทประสบปัญหาขาดทุน และภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น เพราะค่าเงินบาทตกต่ำลง ทำให้ภาระหนี้เมื่อคิดเป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในช่วงขาลง หลายบริษัทอยู่ในขั้นไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ปตท.เองก็อยู่ในภาวะตึงตัว อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในอัตรา 5:1 แต่ประโยชน์ที่ได้ จากการแปรรูป และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ ทำให้ ปตท. ได้รับเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 26,000 ล้านบาท โดย ปตท. ได้นำมาลดหนี้สินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนบางส่วน ซึ่งมีผลให้ โครงสร้างทางการเงินของ ปตท. แข็งแรงขึ้น มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2 :1 .ในระยะแรก และ มีเงินสดเพียงพอ สำหรับให้ความช่วยเหลือบริษัทในเครือที่ประสบปัญหาทางการเงิน นอกจากนั้นปตท. ยังมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น สามารถตัดสินใจเข้าลงทุน เข้าบริหารจัดการได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งดำเนินการเจรจาปรับลดหนี้ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทในเครือที่ประสบปัญหาจนกลับมาแข็งแรง เป็นบริษัทที่มีผลดำเนินงานที่ดี และสามารถขยายกิจการเพิ่มเติม ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าว ไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาก ปตท.ไม่ได้แปรรูป และระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

    เริ่มจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เดิมมีทุนจดทะเบียนอยู่ 20 ล้านบาท แต่มีหนี้อยู่เกือบแสนล้านบาท เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ส่งผลให้ไทยออยล์ประสบปัญหาทางการเงิน เมื่อรวมกับค่าการกลั่นในขณะนั้นซึ่งอยู่ที่ระดับต่ำมากคือประมาณ 2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล รายได้จากการดำเนินงานนำมาหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหลือจ่ายดอกเบี้ยได้น้อยมาก จึงมีความจำเป็นต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้

    วิธีปรับโครงสร้างหนี้ของไทยออยล์ ที่มีหนี้ทั้งหมดประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปตท.ได้เจรจาขอลดหนี้ลงประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีเงื่อนไขว่า ปตท.ต้องเพิ่มทุนในไทยออยล์ เป็นเงิน 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 11,000 ล้านบาท) และส่วนของเจ้าหนี้ ให้แปลงหนี้เป็นทุน 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่ากับลดหนี้ได้ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เหลือหนี้ ประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ นำมาจัดโครงสร้างในการชำระหนี้ใหม่ โดยกำหนดให้มีระยะเวลาในการชำระหนี้มากกว่า 10 ปี อัตราดอกเบี้ยจ่ายก็จะจ่ายในช่วงปีแรกน้อย และเพิ่มขึ้นในช่วงปีหลัง

    การปรับโครงสร้างหนี้ของ ไทยออยล์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันทั้งหมด ทั้งผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ และพนักงานในบริษัท ทำควบคู่กันไป โดยในส่วนของบริษัทเองมีการให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจ ซึ่งมีคนสมัครเข้าโครงการ 200 กว่าคน พนักงานส่วนที่เหลือไม่ขึ้นเงินเดือน 3 ปี มีลาออกไปบางส่วน ขายธุรกิจ
    บางอย่าง ส่วนฝ่ายบริหารเปลี่ยนรถประจำตำแหน่งจากเบนซ์มาเป็นวอลโว่ ผู้บริหารระดับรองลงมานั่งโตโยต้า ส่วนระดับล่างไม่มี มีการขายธุรกิจเรือออกไปได้เงิน ประมาณ 10 กว่าล้านเหรียญฯ และขายหุ้นโรงไฟฟ้าออกไป 25%

    จน ปี 2546 ไทยออยล์ เริ่มมีกำไร 6,750 ล้านบาท และในครึ่งปีแรกของปีนี้ มีกำไร 7,222 ล้านบาท ถ้า ปตท. ไม่มีกำลังเข้าไปปรับโครงสร้างในขณะนั้น ไทยออยล์วันนี้จะกลายเป็นของเจ้าหนี้ ซึ่งอาจจะมีการขายออกไปให้ต่างชาติ เพราะผู้ที่อยู่ในธุรกิจการเงินไม่ต้องการที่จะมาลงทุนในธุรกิจที่ตัวเองไม่ถนัด วันนี้โรงกลั่นไทยออยล์ก็อาจจะกลายเป็นของต่างชาติ

    สำหรับการดำเนินการกับโรงกลั่นน้ำมันระยอง ( RRC) ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นอยู่ 36% บริษัทขาดทุนสะสม มาตลอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะความต้องการใช้น้ำมันลดลง ค่าการกลั่นต่ำมาก ทำให้ประสบปัญหาการเงินจากภาระหนี้สูง โดยมีหนี้อยู่ 1,335 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปตท. ใช้วิธีในการเจรจากับเจ้าหนี้ ทำให้ลดหนี้ได้ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และใช้เงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 200 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นอีก 64% จาก บริษัท เชลล์ ทำให้ ปตท. มีหุ้นในโรงกลั่นระยอง 100% ซึ่งถือเป็นโชคดีเพราะหลังจากที่ ปตท. เป็นเจ้าของโรงกลั่นระยอง ในครึ่งปีแรกค่าการกลั่นดีขึ้น ทำให้มีกำไรถึง 11,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการรวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ( ประมาณ 7,700 ล้านบาท ) ด้วยแล้ว และโดยที่ค่าการกลั่นดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น จึงสามารถนำกำไรส่วนนี้ไปทยอยคืนหนี้ของบริษัท ทำให้วันนี้ โรงกลั่นระยองมีภาระหนี้ลดลงจาก 1,135 ล้านเหรียญฯ เหลือเพียง 600 กว่าล้านเหรียญสหรัฐฯ

    ทางด้านกรณีของ บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีโอซี และ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ เอทีซี ใช้วิธีเดียวกันในการแก้ปัญหาโครงสร้างเงินทุนคือ ทำการลดทุน ลดหุ้นบริษัทเพื่อล้างขาดทุนสะสม เพื่อให้บริษัทมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากสามารถจ่ายเงินปันผล โดยกรณี ทีโอซี ได้ทำการเพิ่มทุนใหม่ในภายหลัง และเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้ในการชำระหนี้ และลงทุนในการขยายงานของบริษัท ซึ่งปัญหาของ ทีโอซี และ เอทีซี ในด้านปฏิบัติการจะคล้ายกันคือ กำลังการผลิตของโรงงานที่มีอยู่ไม่
    อยู่ในระดับโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าผู้ผลิตปิโตรเคมีรายอื่น เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจึงไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายคืนเงินต้น แต่มีความสามารถเพียงการจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่านั้น จึงต้องมีการขอยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป และจะต้องมีการลดต้นทุนการผลิต โดยในส่วนของ ทีโอซี ต้องมีการขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีขั้นต้น (เอทธิลีน) เพิ่มเติมอีก 3 แสนตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่แล้ว 5.75 แสนตันต่อปี โดยโรงงานส่วนขยายนี้จะต้องมีการลงทุนเพิ่มอีก 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จะช่วยทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงมา อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ ปตท. จึงได้ตัดสินใจที่จะใส่เงินลงไปใน ทีโอซี อีก 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) ส่วนอีก 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีโอซี กู้จากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ปตท. ยังให้เงินหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินงานของ ทีโอซี อีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ( ประมาณ 4,000 ล้านบาท ) โดยในเดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมา โรงงานก็ได้ก่อสร้างเสร็จ แม้ว่าราคาปิโตรเคมีจะตกลงในช่วงปีนี้ แต่ด้วย
    ต้นทุนการผลิตที่ลดลงจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ทำให้กำไรครึ่งปีนี้ของ ทีโอซี เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่หากไม่ขยายกำลังการผลิตเลยกำไรในปีนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว

    สำหรับในส่วนของ เอทีซี ก็ลงทุนขยายโรงงาน (Debottleneck) ซึ่ง ปตท.คาดการณ์ว่า ราคาผลิตภัณฑ์น่าจะดีขึ้น และจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 1-2 ปี ปตท. ได้ให้เงินทุนหมุนเวียน จำนวน 90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,600 ล้านบาท ) ซึ่งก็เป็นไปตามคาด นอกจากนั้น ปตท. ได้เข้ามาช่วยเจรจาปรับ
    โครงสร้างหนี้ ทำให้ฐานะการเงินของ เอทีซี เกิดความเข้มแข็ง กอปรกับผลดำเนินงานที่ดีขึ้น เอทีซี จึงสามารถเจรจาหาเงินกู้มาลงทุนในโรงอะโรเมติกส์ โรงที่ 2 เองได้

    สรุปภาพรวม ตั้งแต่ แปรรูป ปตท.มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและใช้ศักยภาพที่มีเพื่อการลงทุนทั้งในบริษัทในเครือ และในธุรกิจของ ปตท. เอง ( สร้างโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 5 / เพิ่มประสิทธิภาพการส่งก๊าซฯ ของระบบท่อส่งก๊าซฯ เดิม และเร่งก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ สายประธานเส้นที่ 3 ฯลฯ ) รวมทั้งการปรับโครงสร้างการบริหารภายในของ ปตท. เอง จนทำให้ในปีที่ผ่านมา และ ในปีนี้เป็นปีที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างชัดเจนของ ปตท. ในรูปของผลการดำเนินงาน โดยจะเห็นได้ว่ากำไรส่วนใหญ่ของ ปตท. มาจากส่วนแบ่งเงินกำไรจากบริษัทในเครือ ที่เป็นผลจากเม็ดเงินที่ ปตท. เพิ่มการลงทุนในบริษัทในเครือทั้งสายการกลั่นน้ำมัน และปิโตรเคมี ทำให้บริษัทในเครือที่ประสบปัญหาตั้งแต่ช่วงปี 2543 และ 2544 สามารถพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาได้ในปัจจุบัน และส่งผลกำไรจำนวนมากกลับมาให้กับ ปตท. ในวันนี้

    นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่เป็นธุรกิจหลักของ ปตท.เอง ก็มีกำไรเพิ่มขึ้น เป็นเพราะมีการขายผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น (สินค้าในธุรกิจนี้ คือ ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ) เนื่องจาก ในช่วง 3-4 ปีหลังแปรรูป ปตท.ได้ลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 5 ซึ่งใหญ่ที่สุด
    ในประเทศไทยแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2547 ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์จากโรงแยกก๊าซฯออกมาขายได้มากขึ้นถึง เกือบ 50% และนำก๊าซธรรมชาติจากหลุมขึ้นมาขายเพิ่มขึ้นอีก 20%

    ถ้า ปตท. ไม่แปรรูปวันนี้รัฐบาลก็เป็นเจ้าของ ปตท. 100% แต่ธุรกิจนั้นอาจจะกำไร 2-3 หมื่นล้านบาท แต่วันนี้ รัฐ / กองทุนของคนไทย ถือหุ้นกว่า 70% ปตท. และบริษัทในเครือมีกำไร 7-8 หมื่นล้านบาท จะเห็นว่าเมื่อแปรรูปแล้ว ปตท. ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ทำหลายอย่างให้บริษัทในเครือเจริญเติบโตขึ้นด้วย และที่สำคัญการปรับโครงสร้างหนี้ของไทยออยล์ และ RRC มีผลทำให้หนี้ของประเทศลดลงด้วย ในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้ทำ หรือไม่มีกำลังที่จะทำ นอกจากไม่มีวันนี้วันที่รายได้ของทุกบริษัทดีขึ้น และกลับมาสู่ ปตท. แล้ว แต่ธุรกิจเหล่านั้นก็อาจจะไปอยู่ในมือธนาคารต่างประเทศ และจะขายต่อให้ใครก็ไม่มีใครรู้

    ปัจจุบัน ปตท.ดำเนินธุรกิจ ในกรอบของกฎระเบียบเดิมเหมือนกับบริษัทน้ำมันอื่นๆ เหมือนกับโรงกลั่นแห่งอื่นๆ ของเอกชน และเหมือนกับโรงงานปิโตรเคมีของเอกชนอื่นๆ ทุกประการ ดังนั้น การแปรรูปจึงไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ ปตท.กลายเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ แต่ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย อาทิ ความยืดหยุ่นในการทำงาน ระบบบริหารงานที่เอื้อต่อการดำเนินงาน พนักงานต้องพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถมองการลงทุนในระยะยาวได้ การลงทุนจะต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง รอบคอบ และมีการศึกษาอย่างดี บางครั้งจะต้องมีการคิดนอกกรอบ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือจะต้องมีความแข็งแกร่งทางด้านฐานะการเงิน และ ท้ายสุดหากต้องการซื้อคืนก็สามารถทำได้ และไม่ว่าก่อน หรือหลังการแปรรูป ความเข้มแข็งของ ปตท. ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคตต้องเป็นไปเพื่อความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ โดยยืนอยู่บนการทำธุรกิจที่สมเหตุสมผล และเป็นธรรม

    แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 49 17:12:32

    จากคุณ : Gump - [ 8 เม.ย. 49 17:11:06 ]


    ประชาชาติธุรกิจ

    วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3822 (3022)

    ปั๊มย่อยสุดทนครึ่งปีปิดตัว2,000แห่ง "ยักษ์ใหญ่น้ำมัน"ได้ทีคุมเองเบ็ดเสร็จ

    กรมธุรกิจพลังงานเผยไตรมาส 2/49 ปั๊มน้ำมันปิดตัวเกือบ 2,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นปั๊มน้ำมันอิสระ ปิดแล้วกว่า 1,600 แห่ง สาเหตุมาจากขาดสภาพคล่อง ค่าการตลาดต่อลิตรแทบไม่เหลือ ขณะที่ ปตท.ยังคงครองแชมป์มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากที่สุดเหมือนเดิม

    ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศจากการจัดเก็บสถิติของกรมธุรกิจพลังงาน เข้ามาว่า ตัวเลข ณ ไตรมาส 2/2549 มีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน 17,351 แห่ง ลดลงจากไตรมาส 1/2549 ที่มี 18,993 แห่ง หรือลดลง 1,642 แห่ง โดยสถานีบริการน้ำมันที่หายไปนั้นส่วนใหญ่เป็นสถานีบริการน้ำมันอิสระที่ครอบคลุมตั้งแต่ปั๊มหลอดไปจนถึงสถานีบริการน้ำมันแบรนด์ท้องถิ่นเป็นของตัวเองกระจายอยู่ทั่วประเทศส่วนสถานีบริการน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปตท.ยังคงครองแชมป์มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากเป็นอันดับ 1 กล่าวคือมีถึง 1,248 แห่ง และเมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 1/2549 กับไตรมาสที่ 4/2548 จำนวนสถานีบริการน้ำมันของ ปตท.ลดลงไปเพียง 29 แห่งเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในระบบค้าน้ำมันของ ปตท.ที่มีทั้ง โรงกลั่นน้ำมัน และจำนวนสถานีบริการที่ยังไม่มีผู้ค้าน้ำมันรายใดแซงหน้าได้

    ขณะที่จำนวนสถานีบริการน้ำมันของบริษัทเชลล์-เอสโซ่-เชฟรอน (คาลเท็กซ์เดิม) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสถานีบริการที่เป็นนัยสำคัญ และเป็นที่น่าสังเกตว่า สถานีบริการน้ำมันเจ็ท

    (คอนอโค) ที่มีข่าวออกมาตลอดว่า จะขายสถานีบริการน้ำมันนั้น ล่าสุดตัวเลขสถานีบริการน้ำมันเจ็ทยังคงอยู่ที่ 147 แห่ง หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2548 จำนวน 2 แห่ง ในจำนวนนี้สถานีบริการน้ำมันเจ็ทมีจำนวนปั๊มหนาแน่นในบริเวณภาคตะวันออก (34 แห่ง) กับจังหวัดรอบนอกกรุงเทพฯ (31 แห่ง) ส่วนในกรุงเทพฯมีปั๊มน้ำมันเจ็ททั้งหมด 22 แห่ง

    สำหรับจำนวนสถานีบริการน้ำมันอิสระที่ลดลง 1,621 แห่ง ระหว่างไตรมาส 1/2549 กับ 2/2549 นั้น มีรายงานข่าวจากวงการค้าน้ำมันเข้ามาว่า ปั๊มที่ปิดไปส่วนใหญ่เป็นปั๊มหลอด มีสาเหตุมาจาก 1) ขาดสภาพคล่อง 2) การจำหน่ายน้ำมันผ่านปั๊มหลอด หรือปั๊มแบรนด์อิสระท้องถิ่นแทบจะไม่เหลือ "ค่าการตลาด" เนื่องจาก จ็อบเบอร์ผู้ซัพพลายน้ำมันให้ รับเนื้อน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันมาแพง 3) จ็อบเบอร์ หรือผู้ค้าน้ำมัน ตัด "เครดิต" ที่ให้ปั๊มแบรนด์อิสระ

    "ยิ่งมาเจอกับภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูงอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ ปั๊มอิสระเหล่านี้อยู่ไม่ได้ น้ำมันที่รับมาจำหน่ายก็แทบจะไม่มีส่วนต่างกับปั๊มใหญ่ๆ ผู้บริโภคก็ใช้น้ำมันลดลง ส่งผลให้ปั๊มอิสระอยู่ไม่ได้ ต้องทยอยปิดกิจการลง" แหล่งข่าวกล่าว

    นายพานิช พงศ์พิโรดม อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตัวเลขสถานีบริการน้ำมันที่ลดลงนั้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นและผันผวนตลอดในทุกๆ สัปดาห์ ประกอบกับ "ค่าการตลาด" ที่สถานีบริการน้ำมันได้รับนั้นต่ำมาก เฉพาะค่าการตลาดน้ำมันทุกประเภทเฉลี่ยอยู่ที่ 0-35 สตางค์/ลิตรเท่านั้น ในขณะที่ยอดขายต่อวันต่อสถานีมีอยู่เพียงไม่เกิน 10,000 ลิตร/วัน ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องปิดตัวลง แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติภายใต้สถานการณ์น้ำมันแบบนี้

    นอกจากเหตุผลในเรื่องของค่าการตลาดกับการขาดสภาพคล่อง แล้ว บรรดาเจ้าของพื้นที่ตั้งสถานีบริการในเขตเมืองที่ค่อนข้างมีการแข่งขันสูง เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ต้องการปิดสถานีบริการเพื่อพัฒนาพื้นที่ไปทำธุรกิจประเภทอื่นที่ได้กำไรมากกว่าการจำหน่ายน้ำมัน รวมทั้งยังมีสถานีบริการน้ำมันบางส่วนที่ไม่ดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมรายปีต่อกรมธุรกิจพลังงานด้วย

    โดยตัวเลขจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่ชำระค่าธรรมเนียมรายปี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 ล่าสุดมีจำนวน 14,176 แห่ง และในจำนวนนี้เองก็ไม่ทราบว่ายังเปิดจำหน่ายน้ำมันหรือให้บริการอยู่หรือไม่ ขณะนี้ได้เร่งให้กรมธุรกิจพลังงาน

    ในส่วนภูมิภาคออกสำรวจจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่ยังเปิดอยู่หรือปิดกิจการไปแล้วโดยละเอียดอีกครั้ง

    อย่างไรก็ตาม สถานีบริการน้ำมันที่ปิดตัวลงส่วนใหญ่จะเป็น สถานีบริการอิสระมากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่เป็นดีลเลอร์ให้กับผู้ค้าน้ำมันอย่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือรายอื่นๆ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีความเข้มแข็งเรื่องส่วนแบ่งการตลาดและมีการประกันการจำหน่ายให้

    นายพานิชกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ จำนวนสถานีบริการน้ำมันไม่น่าจะลดลงมากนัก เนื่องจากจำนวนปั๊มที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของพื้นที่ หรือ เป็น ดีลเลอร์ให้กับผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ หรือเป็นปั๊มที่บริษัทแม่เข้ามาดำเนินกิจการเอง ดังนั้นจะไม่ค่อยประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงขณะนี้ค่าการตลาดน้ำมันได้เริ่มปรับตัวกระเตื้องขึ้นในบางผลิตภัณฑ์ ประกอบกับผู้ประกอบการรายเดิมที่ยังไม่แจ้งต่ออายุกิจการในไตรมาสที่ 1-2 ที่ผ่านมา น่าจะ ทยอยเข้ามาแจ้งดำเนินกิจการต่อมากขึ้นด้วย


    รายได้ของรัฐจากกลุ่ม ปตท. ภายใต้ 2 รัฐบาลเปรียบเทียบ
    เงินนำส่งรัฐจาก ปตท. ภายใต้ช่วงรัฐบาล ปชป. กับรัฐบาล ทรท. หากนำมาแยกเป็นรายปี..ตามประเภทการนำส่งในรูปแบบต่างๆ ซึ่งแยกเป็นการนำส่งในรูปของภาษีนิติบุคคล เหมือนผู้ประกอบการ นิติบุคคลทั่วไป ส่วนหนึ่งนำส่งในรูปเงินนำส่งรัฐ (ส่วนแบ่งกงสี) ในฐานะที่รัฐเป็นเจ้าของ 100 % เต็ม ซึ่งยังไม่มีการแปรรูป ยังไม่ได้แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ต่อมาเมื่อแปรรูปแล้ว แปลงสินทรัพย์เป็นทุนเรือนหุ้นแล้ว...การนำส่งรัฐแบบกงสีก็ต้องยกเลิก เป็นการนำส่งในรูปเงินปันผลแทนที่...ผลสรุปพัฒนาการของรายได้ของรัฐจาก ปตท. สรุปได้ใน 2 ช่วงรัฐบาล เป็นดังนี้

    ======ปตท. ภายใต้รัฐบาล ประชาธิปัตย์========

    ปี 2542 (รวม 7,862 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....1,212 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................6,650 ล้านบาท

    ปี 2543 (รวม 6,102 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....2,250 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................3,852 ล้านบาท

    ========ปตท.ภายใต้รัฐบาลไทยรักไทย=======

    ปี 2544 (รวม 11,210 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....4,181 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................7,029 ล้านบาท

    =====รัฐบาลแปรรูป ปตท. ตาม พรบ.ทุนฯ========

    ปี 2545 (รวม 16,718 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....6,874 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................5,000 ล้านบาท
    เงินปันผลจากหุ้น...............4,844 ล้านบาท

    ปี 2546 (รวม 15,294 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....9,771 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................(ยกเลิก)
    เงินปันผลจากหุ้น...............5,523 ล้านบาท

    ปี 2547 (รวม 22,703 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....15,089 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................(ยกเลิก)
    เงินปันผลจากหุ้น.................7,614 ล้านบาท

    ปี 2548 (รวม 35,344 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล...22,495 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ......................(ยกเลิก)
    เงินปันผลจากหุ้น..............12,849 ล้านบาท

    ปี 2549 (รวม 51,400 ล้านบาท)

    ในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล....33,792 ล้านบาท
    เงินนำส่งรัฐ.......................(ยกเลิก)
    เงินปันผลจากหุ้น...............17,608 ล้านบาท

    ======****************************======


    ถ้ารัฐบาลสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศแบบนี้เรียกว่าขายชาติ....เหรอครับ...????????

    ปชป. จะตั้งนโยบายถลุงเงิน...เอารายได้ส่วนนี้ไปใช้ก็ดูให้ดีนะครับ...ให้มันเกิดประโยชน์คุ้มค่า กว่าจะบริหารให้ได้เงินมาใช้ในกิจการต่างๆตามงบประมาณของประเทศ...มันเหนื่อยนะครับ...

    คนเสนอหาเงิน หารายได้ให้ประเทศมันไม่ค่อยจะมี...มีแต่คนเสนอใช้เงิน....กึ๋นมันต่างกันตรงนี้
    จากคุณ : TRAT

    ระบบเศรษฐกิจมันมีใหญ่ๆ อยู่สามอย่าง
    1. ทุนนิยม - กิจการทั้งหมดเป็นของเอกชน - ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาด
    2. สังคมนิยม - กิจการทั้งหมดเป็นของรัฐ - รัฐกำหนดทุกอย่างว่าจะผลิตอะไรเพื่อใคร
    3. แบบผสม - ส่วนใหญ่เป็นของเอกชนบางส่วนเป็นของรัฐ - ปัจจุบันเราเป็นแบบนี้

    แต่ไม่ว่าจะเชื่อแบบไหน ก็เป็นสิทธิจะเชื่อเพราะนักวิชาการก็ไม่สามารถฟันธงได้ ซึ่งอีกหลายร้อยปีข้างหน้าหากยังอพยพไปอยู่ดาวอื่นไม่ได้ โลกทั้งหมดจะใช้ระบบสังคมนิยมเพราะทรัพยากรไม่เพียงพอ

    ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่เป็นระบบผสมแบบเอียงไปข้างทุนนิยม และนโยบายของ ทรท. ฟันธงว่าต้องการทำให้ประเทศเป็นทุนนิยมมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเขาเชื่อแบบนั้น

    ปตท. หากเป็นรัฐวิสาหกิจหากเป็นของรัฐมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
    ข้อดี เช่น รัฐควบคุมราคาสินค้าน้ำมันได้, รายได้ทั้งหมดกลับมาเป็นของรัฐ
    ข้อเสีย เช่น รัฐแบกรับภาระหนี้ และปัญหาที่เป็นผลกระทบอื่นๆ (เมื่อรัฐเป็นผู้ควบคุมกลไกก็ต้องควบคุมไปทุกจุดที่สัมพันธ์กัน)

    ผลเสียจากการบิดเบื้อนราคาน้ำมันในตลาด
    1. พฤติกรรมการบริโภคไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง คนไม่ประหยัดน้ำมัน ทั้งที่เป็นสินค้านำเข้าเกือบ 100%
    2. ส่งผลให้การซื้อรถยนต์ส่วนตัวไม่ลดลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า ไม่ว่าจะรูปแบบรถสำเร็จหรือในรูปแบบชิ้นส่วนผลิต
    3. ใช้รถยนต์มากขึ้น รถติดมากขึ้น
    4. สินเปลื้องพลังงานไปกับรถติดมากขึ้น
    5. ต้องชดเชยเงินให้กับ ปตท. หรือกองทุนน้ำมันมากขึ้น กำไรน้อยลง

    กรณียังเป็นรัฐวิสาหกิจทุนจะเท่าเดิม อัตราหนี้สินต่อสินทรัพย์ หรือต่อทุนจะมาก การกู้เงินลงทุนก็ลำบาก
    1. หากจะแก้ด้วยการเพิ่มทุนก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ที่อาจจะเอาไปใช้ในส่วนอื่นได้
    2. หากจะแก้ด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาล ก็เท่ากับเพิ่มหนี้สาธารณะ แล้วสัดส่วนหนี้จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ยิ่งแก้ยิ่งเป็นปัญหา
    3. หากจะแก้ด้วยการลดกำไรให้เหลือน้อยมาก ๆ ความสามารถในการชำระหนี้ก็จะลดลง กู้เงินลงทุนยิ่งยาก แล้วข้อดีที่ว่ารายได้เป็นของรัฐก็จะมีมูลค่าน้อยมากจนไม่อาจจะนับเป็นข้อดี

    กรณีเปลี่ยนเป็นเอกชน โดยระดมทุนเพิ่มจากตลาดหลักทรัพย์
    1. สัดส่วนหนี้สินต่อทุนจะน้อยลง กู้เงินเพิ่มทำได้ง่าย รัฐไม่ต้องนำรายได้ส่วนอื่นมาชดเชย
    2. รัฐยังบริหารให้กิจการให้เป็นของรัฐได้โดยวิธีการทางตลาดหลักทรัพย์
    3. ทางตรงรายได้ของรัฐจะกำไรน้อยลง แต่ก็ลงเงินลงแรงน้อยลงด้วย
    4. ทางอ้อมมูลค่าของตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ขึ้น ทำให้นักลงทุนสนใจมากขึ้นเงินลงทุนจะไหลเข้ามากขึ้น
    5. เมื่อกิจการมีกำไรมากปันผลมาก ราคาหุ้นจะดี ระดมทุนเพิ่มจะยิ่งง่าย วนกลับไปกู้เงินได้ง่ายขึ้น
    6. เมื่อมีเงินทุนมากขึ้นบริหารงานก็ง่ายขึ้น กำไรก็จะมากขึ้น รัฐก็ได้รายได้มากขึ้นแต่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก แค่บริหารสัดส่วนของหุ้นให้พอเหมาะก็พอ
    7. หุ้นของ ปตท. ที่รัฐถืออยู่จะมีสถานะเป็นสินทรัพย์ทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ของรัฐดีขึ้นกว่าเดิม

    ในด้านความเป็นเจ้าของ - รัฐยังเป็นเจ้าของกิจการอยู่ เพราะถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องฟังหุ้นอื่นด้วย

    ในด้านราคาน้ำมัน - รัฐยังทรงนโยบายราคาต่ำได้โดยอาศัยความเป็นหุ้นใหญ่ แต่จะไม่ถูกมากจนบิดเบื้อนราคาตลาดจนรายอื่นๆ อยู่ไม่ได้ และยังควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านทางนโยบายราคาได้ด้วย

    ในด้านกำไรที่ออกไปสู่ต่างประเทศ - คิดอีกมุมว่าต้องนำเงินทุนเข้ามาก่อน จึงจะนำกำไรออกไปได้ เงินที่เข้ามาเป็นเงินลงทุนจะถูกผันเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างต่ำสองรอบตามทฤษฎี(ฟังมาจาก อ.เศรษฐศาสตร์ จาก ม.ราม ในช่วงวิกฤตปี 40) เช่นหนึ่งร้อยจะวนในระบบสองร้อย และจะก่อให้เกิดผลผลิตเพิ่มขึ้น GDP เพิ่มขึ้น ได้มากกว่าเสีย

    ในด้านนายทุน(คนส่วนน้อย)ได้ประโยชน์จากหุ้น - ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยจากรัฐ และก็ยังเป็นคนกลุ่มเดียวกันอยู่ดีเพราะชาวบ้านตาดำๆ คงไม่มีกำลังไปซื้อหุ้นหรือพันธบัตรในปริมาณมากๆ

    โดยสรุปการเป็นเจ้าของปตท. 100% จะจัดการอย่างไรก็เหมือนกับโยกเงินกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แต่รายละเอียดเรื่องนี้ลึกมากพอจะใช้ตบตาคน แล้วใช้เป็นนโยบายชวนเชื่อได้โดยง่าย
    แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 49 11:11:01

    จากคุณ : เทพบุตรเร็วกว่านรก - [ 11 ก.ย. 49 11:03:22 ]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×