ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #5 : ประวัติศาสตร์การบริหารราชการบ้านเมืองช่วงปี2531-2543

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 50


    ผมไม่ได้คิดและเขียนขึ้นมาเองนะครับ ผมแค่แต่งเติมในส่วนที่ผมรู้และมีข้อมูลเท่านั้นครับ ส่วนใหญ่ ผมนำมาประติดปะต่อกัน เพื่อให้มองเห็นภาพของความเป็นไปในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น

    ใครชอบก็โหวตให้ผมด้วย ผมอยากจะให้ได้อ่านและเก็บไว้ หาความรู้กันนานๆครับ กว่าจะรวมกันออกมา มันก็ยุ่งมากๆ ขอบคุณล่วงหน้าครับ


    ผมอยากจะเตือนความจำของคนในชาติครับ ใครทำอะไรไว้ เราทุกคนควรรู้ เพราะว่าเราคือประชาชน ที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเสียงจริง

    เรามาเริ่มต้นดูตั้งแต่รัฐบาล ท่านนายกชาติชายเลยละกันครับ (สิงหา 2531-กุมภา 2534)

    เป็นยุคของการเปิดเสรีทางการลงทุน ชักชวนต่างชาติมาลงทุน เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็ว และเริ่มมีการสะสมฟองสบู่ โดยเฉพาะที่ดินที่มีการเก็งกำไรกันมาก
    อัตราการขยายตัวประมาณ 11~13%ของ GDP
    ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบประมาณ 3~ 8% ของ GD P
    หนี้ต่างประเทศรวม (ปี 2533) 29600 ล้านดอลลาร์

    และแล้วก็มาถึงรัฐบาล ท่านนายกอานันท์1 (มี.ค. 25 34-เม.ย. 2535) และท่านนายกอานันท์2(มิ.ย 2535-ก.ย.2535)
    รัฐบาลได้สร้างภาพพจน์ต่อต่างประเทศด้วยการเปิดเสรีทางการค้า มีการลดภาษีนำเข้าหลายรายการเช่น รถยนต์ ไทยขาดดุลการค้ามากขึ้น
    อัตราการขยายตัวประมา ณ 8.5 %ของ GDP
    ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบประมาณ 5.5~ 7.5% ของ GDP
    หนี้ต่างประเทศรวม (ปี 2535) 43621 ล้านดอลลาร์

    ต่อมาก็ถึงคิวของรัฐบาล ท่านนายกชวน 1 (ก.ย.35-พ.ค.38)
    นโยบายเปิดเสรีทางการ เงิน อันนี้ได้ใจเลยครับโดยหวังว่าไทยเราจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคนี้ คนเรามีสิทธ์ที่จะฝันครับ และในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก นโยบายเปิดเสรีทางสาธารณูปโภค ก็เริ่มต้นทำงานเลยครับ ทุกอย่างเพื่อความเป็นเลิศครับ น่าภาคภูมิใจ จริงๆ รัฐบาลชวนหนึ่งนั้น ท่านมีนโยบายจำกัด บทบาทของภาครัฐ โดยให้สัมปทานกับเอกชน และรัฐบาลเป็นผู้เรียกเก็บค่าสัมปทานล่วงหน้า เช่น เรื่องโทรคมนาคม หรือพวกทางด่วนต่างๆ การเพิ่มบทบาทของเอกชนผู้รับสัมปทานนั้น ทำให้ยอดเงินกู้ ที่เอกชนต้องกู้มาเพื่อลงทุน สูงมากเข้าไปอีกเอ้า ยังไม่พอครับ รัฐบาลนี้ยังคงติดยึดอยู่กับที่ ในเรื่องของดอกเบี้ยที่แพงกว่านอกประเทศ ท่านไม่ยอมปรับหรอกครับ คนไทยที่หัวดีทั้งหลาย ก็เลยกู้เงินเอามากินดอกส่วนต่างสบายไปเลยครับ และแล้วความหละหลวมในทางการเงิน เพียงในเวลาไม่กี่ปี หนี้สินต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2537 IMF ได้เริ่มเตือนประเทศเราให้เปลี่ยนนโยบายการเงิน และได้เตือนซ้ำอีกในปี 38 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลที่แสนดีเลยครับ
    ทั้งที่ในเวลานั้นอัตราการขยายตัวของไทย ยังคงอยู่ในระดับสูง คือประมาณ 8~9% ของ GDP แต่ช่วงนี้ก็มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่ติดลบรุนแรงเช่นกัน (-5~ -5.5 %ของ GDP ) ส่วนหนี้ต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ปี 2538 ไทยมีหนี้ต่างประเทศ 82,568 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ หนึ่งเท่าตัวในช่วงเวลา 3 ปีของรัฐบาล )

    เอ้าเลยมาถึงรัฐบาลท่านนายกบรรหาร จนได้ (ก.ค.2538-ก.ย.39)

    ช่วงรัฐบาลท่านนายกบรรหาร เริ่มมีการเสื่อมลงของ อสังหาริมทรัพย์และหนี้สินในสถาบันการเงิน ตลาดหุ้นตกต่ำลง การส่งออกกุ้งถูกกีดกันจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ ประจวบกับค่าเงินดอลลาร์ได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินบาทที่ผูกติดไว้กับดอลลาร์ก็สูงตามไปด้วย ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงไปอีก ปี 2538 และ 2539 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยตกต่ำเข้าขั้นวิกฤต สองปีติดต่อกัน คือ -8.2 และ -8.1 ตามลำดับทำให้เงินบาทอยู่ในฐานะที่ล่อแหลมต่อการถูกโจมตี ในเดือน มี.ค. 2539 สถาบันจัดอันดับ Moody’s ได้เตือนว่าจะลดอันดับหนี้ระยะสั้นของไทย และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แก้ไขปัญหา BBC โดยเพิ่มทุนใหม่โดยไม่ได้ลดทุนเก่าเสียก่อน ยิ่งซ้ำเติมให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น และกระบวนการขนเงินกลับก็ได้เริ่มต้นขึ้นในเดือน
    ก.ย. 2539 สถาบันจัดอันดับ Moody’s ได้ลดอันดับ พันธบัตรระยะสั้นของไทย ในช่วงรัฐบาลบรรหาร นักเก็งกำไรต่างชาติได้เข้ามาโจมตีค่าเงินหลายครั้ง แต่ยังไม่รุนแรงนักเป็นการหยั่งเชิงว่า ธปท. จะเปลี่ยนนโยบายค่าเงินหรือไม่ ถึงตรงนี้คงจะกล่าวได้ว่า มีนโยบายทางการเงินการคลังที่ควรได้รับการแก้ไข แต่รัฐบาลไทยในอดีต ไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ เลยคือ

    1. ไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดพอ

    2. ไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการคลังที่เข้มงวดและเกินดุลมากพอ

    3. ไม่ได้เตรียมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้เพียงพอ ต่อการไหลออกของเงินกู้และใช้ในยามวิกฤติ ขณะนั้นทุนสำรองของชาติมีเพียงพอสำหรับชำระสินค้าขาเข้าราว 4 เดือนเท่านั้น และยังเป็นเงินที่กู้มาเกือบทั้งหมด

    4. ไม่ได้เปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนทั้งๆ ที่ IMF ได้เคยเตือน ในปี 2537 2538(ชวน1) และ 2539(บรรหาร)

    5 ไม่ได้มีนโยบายสะกัดกั้นการกู้เงินระยะสั้น (ในระยะหลังการกู้เงินจากต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการกู้ระยะสั้น)
    มาถึงรัฐบาลท่านนายกชวลิต (พย.39-พ.ย.40)

    ต้นปี 2540 รัฐบาลได้ตัดงบประมาณแผ่นดินลงอย่างรุนแรงถึง 2 ครั้ง เพื่อชะลอเศรษฐกิจและเพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
    ในปี 2540 ธุรกิจอสังหาริมทรัย์ก็ได้กลายเป็นหนี้เสียในสถาบันการเงินมากขึ้น อุตสาหกรรมบางอย่างก็แสดงอาการเป็นฟองสบู่ เกิดเป็นหนี้เสียเช่นกัน ในเดือน มี.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศว่ามีบริษัทเงินทุน 10 แห่งต้องเพิ่มทุนด่วน ประชาชนที่ได้ข่าวหนี้เสีย ก็แห่กันมาถอนเงินฝาก บ. เงินทุนขาดสภาพคล่อง จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟู เดือน ก.ค. บริษัทเงินทุน 16 แห่งถูกระงับกิจการเป็นการชั่วคราว และอีก 42 แห่งในเดือน สิงหา เพื่อให้ ธ.ป.ท. เข้าไปตรวจสอบ

    มาแล้วครับกับการโจมตี ค่าเงินบาทของต่างชาติ

    14 ก.พ. 2540 (เดือนที่ 3 ของรัฐบาลท่านนายกชวลิต) มีการโจมตีค่าเงินโดยกองทุนต่างชาติอย่างรุนแรง ด้วยความกลัวว่า ระบบการเงินจะพัง ธปท.ได้ทำสัญญา swap เพื่อปกป้องค่าเงินบาทไปถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ขณะนั้นไทยมีหนี้ต่างประเทศ 91000 ล้านดอลลาร์ ) ครั้งนั้นแม้ ธปท. จะแกล้งสั่งจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินบาทของธนาคารในประเทศ จนทำให้กองทุนต่างชาติต้องไปตั้งโต๊ะขอซื้อเงินบาทที่สิงคโปร์ในราคาแพงและขาดทุนไปตามกัน แต่กองทุนต่างชาติมิได้ล่าถอยแต่กลับไปเตรียมเงินบาทเพื่อกลับมาใหม่

    14 พ.ค. ได้มีการโจมตีค่าเงินบาทครั้งใหญ่อีกครั้ง ธปท. ได้ต่อสู้โดยทำสัญญา swap ไปกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ จนทำให้ทุนสำรองสุทธิ เหลือเพียง 2.5 พันล้านดอลลาร์(ทุนสำรองสุทธิ คือทุนสำรอง หักด้วยภาระ swap แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุนสำรองจริงๆเหลือเท่านั้น เพราะการส่งมอบภาระ swap ทำที่เวลาต่างๆ กันในอนาคต ส่วนจะเสียหายเท่าไรก็อยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนดส่งมอบ)

    ตามรายงาน ศ.ป.ร.(ที่ตั้งโดย ป.ช.ป.) การต่อสู้ครั้งใหญ่ทั้งสองครั้ง ธ.ป.ท รายงานแต่ชัยชนะ แต่ไม่ได้รายงานยอด swap ให้ ร.ม.ต. คลังทราบ เพราะถือว่าเป็นบัญชีซื้อขายของฝ่ายการธนาคาร และไม่ได้กระทบกับเงินสำรองในทันที อีกทั้งต้องการซ่อนไม่ให้ ตลาดเงินและประชาชนรู้ (จริงๆแล้ว ร.ม.ต. คลังกับพลเอกชวลิตจะทราบหรือไม่ กระผมไม่อาจรู้ได้)

    25 มิ.ย. ดร.ทนง (ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ร.ม.ต. คลัง แทน ดร. อำนวย)ได้สั่งให้ ธ.ป.ท. รายงานสถานะเงินสำรองสุทธิ และเข้ารายงาน พลเอกชวลิต ในวันที่ 29 มิ.ย. จากนั้น พลเอกชวลิต ได้ตัดสินใจลดค่าเงินบาทโดยการปล่อยลอยตัว ในวันที่ 2 ก.ค. 40 (เหตุผลคือ เงินสำรองสุทธิลดลงมาก จนไม่อยู่ในสถานะที่จะปกป้องค่าเงินได้อีก และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด)

    เป็นอันสรุปว่า ธปท. ได้ทำให้เกิดความเสียหายจากการที่พยายามตั้งค่าเงินไว้สูงเกินไป และได้ทำสัญญา swap เพื่อต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินบาท เป็นวงเงินรวมทั้งหมดเกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งภายหลังเมื่อ ธปท. ได้ชำระภาระ swap หมดแล้วพบว่ามีขนาดความเสียหาย 188,760 ล้านบาท หรือทำสัญญา swap 30,000 ล้านเหรียญแล้วขาดทุนเฉลี่ยเหรียญละ 6.3 บาท (ไม่ใช่เสียหายทั้ง จำนวนสัญญาสามหมื่นล้านเหรียญ หรือ แปดแสนกว่าล้านอย่างที่มีคนบางกลุ่มพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจอย่างนั้น)

    การลดค่าเงินโดยการปล่อยลอยตัว แม้จะทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก(นับจากเดือนกันยายน 2540 ไทยมีดุลการค้าเป็นบวก 800~ 1000 ล้านดอลลาร์ต่อเนื่องทุกเดือน) แต่ก็ทำให้ธุรกิจที่กู้เงินต่างประเทศและธนาคารต่างๆ มีหนี้สินสูงขึ้นทันที

    เมื่อเงินสำรองสุทธิ ลดต่ำลงมากทำให้รัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF เพื่อของวงเงินสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน IMF ได้ตั้งวงเงินกู้ให้ไทยเพียง 17.2 พันล้านดอลลาร์ (ให้เป็นงวดๆ ) ซึ่งทำให้เจ้าหนี้ต่างประเทศ คาดว่าวงเงินเพียงเท่านั้น แม้จะเพียงพอต่อรัฐบาล แต่จะไม่เพียงพอต่อการคุ้มกันการทวงหนี้ของภาคเอกชน เมื่อวงเงินคุ้มกันไม่มากพอ การทวงหนี้ในภาคเอกชนจึงดำเนินต่อไปอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดการลดค่าเงินอย่างรุนแรง และปัญหาการขาดสภาพคล่องที่นำไปสู่การล้มละลายของธุรกิจจำนวนมากตามมา

    ช่วงเดือน สิงหา ถึงตุลา ได้มีการปลุกกระแสสังคมอย่างหนักว่า ประเทศไทยกำลังจะล้มละลาย เพราะรัฐบาลท่านนายกชวลิต( ใครปลุกกระแส เราๆท่านๆน่าจะรู้ความนัยละนะ คนที่ทำแบบนี้ได้เนียนจริงๆนี่ มีไม่มากครับ ) จากกระแสต่อต้าน ท่านพลเอกชวลิตได้ตัดสินใจลาออก ขณะนั้นเงินบาทอยู่ที่ 36.85 บาท

    มาแล้วครับ รัฐบาล ชวน 2 ( พย. 40 - กพ 44 )

    หลังจากที่ ได้เข้ามาบริหารประเทศ ด้วยเสียงเชียร์อันดังกระหึ่มของบรรดานักวิชาการหน้ามืด และสื่อทั้งหลายแล้ว คนที่ดีใจมากๆอีกคนหนึ่ง คือท่านเจ้าของซีพีครับ ท่านดีใจมาก ขนาดที่ว่า ท่านไปหาและแสดงความยินดีกับคุณชวนถึงพรรค ปชป เลยครับ รัฐบาลชวน ก็ได้พยายามหยุดยั้งการไหลออกของเงิน ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่เนื่องจากขาดความเชื่อมั่น แม้จะขึ้นดอกเบี้ยการไหลออกของเงินก็ยังไม่ลดลง ยังคงมีการเรียกหนี้คืนอย่างหนักจากต่างประเทศ ค่าเงินบาทได้ไหลลงต่อเนื่องและทำจุดต่ำสุดที่ 57.5 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือน มกราคม 2541 ก่อนจะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 40 บาทเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 แต่รัฐบาลก็ยังคงตั้งเป้าที่จะทำให้ค่าเงินให้เข็งขึ้นไปอีก และจะยังคงนโยบายดอกเบี้ยสูงต่อไป ทั้งๆที่เงินบาทได้เข้าสู่ระดับสมดุลแล้ว และเศรษกิจเองก็กำลังชะลอลงอย่างรุนแรงแล้วนะนี่ แต่ความพยายามคือความพยายามครับ

    ความพยายามที่จะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น โดยใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง และควบคุมฐานเงินทำให้เงินฝืดเป็นเวลานาน เพื่อช่วยธุรกิจขนาดใหญ่ และสถาบันการเงิน ที่กู้เงินจากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมากๆ ( นี่คือที่มาของคำว่า การลดน้ำจากยอดส่วนบนสุดและปล่อยให้น้ำไหลลงมายังรากในภายหลัง ทำได้ดี น่านับถือจริงๆครับ ) และยังทำให้ธนาคารของนายทุนพรรค สามารถหากำไร จากการไม่ปล่อยสินเชื่อได้อีกต่างหาก โดยการนำเงินมาฝากกับ ธ.ป.ท. อย่างนี้คนจนก็รับไปละกัน

    ช่วงปลายเดือน ก.ค. ปี 2541 รัฐบาลได้เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารลงเรื่อยๆ ธนาคารเองก็ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน และยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเงินกู้เข้าสู่ระบบเศรษกิจ เพิ่มขึ้นแต่อย่างไร เนื่องจากธนาคารถูกบังคับให้ต้องกันสำรองหนี้เสียให้ได้ ตามเกณฑ์ 8.5% ต่อสินทรัพย์เสี่ยง

    สำหรับสถาบันทางการเงินที่ถูกปิดกิจการชั่วคราวและอยู่ในการดูแลของ ป.ร.ส. นั้น มี 56 แห่ง ไม่สามารถสำรองตามเกณฑ์ 15 % (หลังจากถูกตรวจสอบบัญชีและประเมินราคาสินทรัพย์โดย บ.สอบบัญชีต่างชาติแล้ว) จึงถูกปิดกิจการถาวร ปล่อยรอดมาเพียง BIC และ KK ซึ่งแข็งแรงถึงขนาดเข้าประมูลสินทรัพย์ ป.ร.ส. แข่งกับต่างชาติได้ (กรณีที่ใช้เกณฑ์การสำรองหนี้เสียที่เข้มงวดกว่าปกตินี้รัฐบาลอธิบายว่า เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่กลับมาเป็นปัญหาอีก คิดและพูดได้ดีครับ) จากนั้นรัฐได้รีบจัดให้ประมูลขายสินทรัพย์และหนี้ที่ติดอยู่กับ ป.ร.ส. ออกไปทั้งหมด ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาชาวต่างชาติ โดยไม่มีการประนอมหนี้แต่อย่างไร

    ด้วยผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ที่ปรึกษาต่างชาติได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่เอื้อให้พวกตัวเองและกีดกันคู่แข่งขัน ในการประมูลขายสินทรัพย์ในปี 2541 เราขายได้ราคาต่ำมาก เพียงแค่ 20% เท่านั้นครับ (รัฐบาลให้เหตุผลว่า ที่รีบขายออกไป เพราะต้องการขายก่อนประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาเช่นกัน เช่นเกาหลี อินโด และจะทำให้ได้เงินเข้าประเทศได้ดี คิดและพูดได้ดีอีกแล้วครับ น่ายกย่องมากครับ)

    การปิดสถาบันการเงิน ทำให้ธุรกิจที่กู้เงินถูกปิดวงเงินลง ทรัพย์สินถูกยึดติดไปกับหนี้ ก็ทำให้ไม่มีเงินหมุนเวียน กลายเป็นหนี้เสีย ลุกลามต่อไปยังสถาบันการเงินอื่น ทั้งสินทรัพย์ที่ได้ถูกประมูลไป แล้วขายออกมาในราคาถูกกว่าท้องตลาดก็มีส่วนทำให้สินทรัพย์ที่ตกต่ำอยู่แล้ว ตกต่ำลงไปอีก และย้อนกลับมาเป็นภาระให้ธนาคารต้องกันสำรองมากขึ้น (สินทรัพย์ที่ราคาต่ำลง ทำให้หลักประกันไม่คุ้มมูลหนี้ หนี้สินที่ให้กู้จึงจัดเป็นหนี้เสีย ต้องตั้งสำรอง นำไปสู่การลดลงของกองทุน ซึ่งธนาคารเกือบทุกแห่งต้องลดทุนลงจนสูญเสียความเป็นเจ้าของ ไปในที่สุด)

    ความเสียหายจากฟองสบู่แตกในครั้งนั้น มีความเสียหายเท่าไรไม่อาจประเมินได้แน่ชัดครับ เฉพาะความเสียหายในภาคสถาบันการเงินก็มีมูลค่านับล้านล้านบาท ยังไม่รวมการที่รัฐต้องยอมลดค่าสัมปทานให้กับธุรกิจเอกชน การล้มละลายของธุรกิจนับหมื่นแห่ง รวมถึงธุรกิจไทยที่ต้องตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

    ต่อจากนี้คือคำถามครับ

    1.) หากรัฐบาลไทยในอดีตได้ตัดสินใจเปลี่ยนนโยบายค่าเงิน หรือได้ทำการชะลอเศรษฐกิจลงบ้าง เมื่อเห็นว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศติดลบมากเกินไป โดยเฉพาะหากกระทำก่อนที่หนี้ต่างประเทศจะอยู่ในระดับสูง สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร และการโจมตีค่าเงินจะเกิดขึ้นหรือไม่
    2.) เมื่อมีการโจมตีค่าเงิน หาก ธ.ป.ท. ตัดสินใจไม่ปกป้องค่าเงินแต่ยอมให้ค่าเงินลดลงในทันที ปัญหาการไหลออกของเงินกู้ การล้มละลายของธุรกิจ อันเนื่องมาจากการขาดสภาพคล่องที่รุนแร งและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น การตกต่ำของสินทรัพย์ หนี้เน่าใน ภาคสถาบันการเงินจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือเปลี่ยนไปอย่างไร

    3.) การใช้ข้อมูลเท็จ ปลุกกระดม สร้างกระแสให้เกิดความหวาดกลัว เพื่อโค่นล้มรัฐบาล พลเอกชวลิต รวมถึงการไปพูดโจมตีถึงต่างประเทศ มีส่วนทำให้ค่าเงินบาทรูดลงไปที่ 57.5 บาทต่อ ดอลลาร์หรือไม่ ใครไปพูดเพื่อเผาบ้านตนเอง ใครครับ แต่น่าจะรู้ๆกันดีนะ เรื่องเลวๆน่าจะมีทำได้อยู่ไม่มากคน และตอนนี้ พลพรรคนี้ ก็กำลังใช้คารมกลับขาวเป็นดำ เพื่อสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติของเราอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีพลพรรคใดๆ จะเลวเท่าพลพรรคนี้อีกแล้วครับ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ พลพรรคพวกนี้ ก็จะยอมทำทุกอย่าง ร่วมมือกับโจรโกงเงินชาวบ้าน เช่น นายเอกยุทธ พลพรรคนี้ก็ทำครับ สุดยอดของความเลวในยุคนี้ ผมขอยกตำแหน่งนี้ให้ไปเลยครับ
    ข้อมูลนี้ ผมนำออกมาเพื่อแก้ข้อหาที่ว่า ทรท เป็นผู้ชักศึกเข้าบ้าน ตามที่คุณชวน ชอบออกมาใส่ความอยู่เรื่อยๆ ชอบหาว่า ทรท ยกเลิก ศอบต จะทำความเสียหายอย่างมาก ในภาคใต้ แต่ตนเองแอบทำบ้าบอ ไม่เคยคิดที่จะบอกออกมา มันน่าทุเรศครับ กระทู้นี้ขอเป็นกระทู้เก็บข้อมูลละกันครับ


    รัฐบาลชวน หลีกภัย แอบไปตกลงกับสหรัฐฯ ให้ CIA ตั้งศูนย์ต้านก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดปูมหลัง ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน หัวหน้ากลุ่มเบอร์ซาตู

    ด้วยฝีมือของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ที่ขุดหลุมล่อ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้หล่นลงไปในกับดัก แล้วงัดหลักฐานขึ้นมาฟาด โดยท่านได้ระบุว่า รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้ไปตกลงลับกับหน่วยงาน Confederete Intelligence Agency ของสหรัฐอเมริกา อันเป็นหน่วยงานข่าวกรองที่คนไทยรู้จักมักคุ้นในชื่อย่อ CIA ข้อตกลงลับที่ว่านั้น คือ การอนุญาตให้ CIA เข้ามาตั้งหน่วยงานที่มีชื่อย่อว่า CTIC หรือ Counter Terrorist Intelligence Center หรือ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยงานนี้ ตั้งมา 4 ปีแล้ว เป็นการตั้งขึ้นมาลับๆ พร้อมๆ กับการตั้งหน่วยเฉพาะกิจ 399 ด้านชายแดนไทย - พม่า ที่รัฐบาลชวน หลีกภัย แอบอนุญาตให้สหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งที่ภาคเหนือ โดยอเมริกันจัดส่งอุปกรณ์ ส่งหน่วยพิเศษเข้ามาร่วมงาน

    และทหารอเมริกัน ที่เข้ามารับผิดชอบ ชื่อ พ.อ.แบร์รี ชาปิโร เป็นเจ้าหน้าที่ CIA หน่วยเฉพาะกิจ 399 ตั้งขึ้นมา เพื่อนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัย เข้าไปจับตาดูสถานการณ์ด้านพม่า และจีนตอนใต้ ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ด้วยเพราะขณะนั้น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชไม่ไว้ใจจีนเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 และสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจบุกอัฟกานิสถาน พ.อ.แบร์รี ชาปิโร จึงถูกย้ายจากเมืองไทยไปอัฟกานิสถาน และยังคงอยู่ที่นั่น อันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โยก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จากผู้บัญชาการทหารบก ไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมกับยุติบทบาทของ พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพภาค 3 ไว้ที่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก อย่าลืมว่านายทหารทั้ง 2 ร่วมกันก่อปฏิบัติการ OVER ACTION ภายใต้ข้ออ้างปราบปรามยาเสพติด จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกับรัฐบาลพม่าอยู่เป็นระยะ

    อันเป็นปฏิบัติการที่เกี่ยวพันแนบแน่น กับหน่วยเฉพาะกิจ 399 ในความรับผิดชอบของ พ.อ.แบร์รี ชาปิโร หลังเหตุการณ์ 11กันยายน 2544 สหรัฐอเมริกา ได้เปิดแนวรบและแนวรุก เพื่อยันไม่ให้ภัยการก่อการร้ายเข้าไปอาละวาดในสหรัฐอเมริกา โดยยกพลเข้าไปอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วโลก อันหมายรวมถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่อยู่ติดกับประเทศมุสลิม คือ มาเลเซีย ด้วยความเชื่อว่ าอาณาบริเวณนี้ มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายหลายกลุ่ม แอบเข้ามาฝังตัวอยู่ เมื่อเข้าไปตั้ง หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย ที่ไหน ก็ต้องใช้คนที่นั่น เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งหน่วยงานนี้ ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องใช้ตำรวจไทย ทหารไทย ต้องใช้คนในพื้นที่ ข้อตกลงอันนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ บอกกับสภาผู้แทนราษฎร เมื่อกลางดึกย่างเข้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2547 ด้วยเวลาเฉียด 01.00 น.ว่า เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

    เป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงปี 2543 ต่อต้นปี 2544 ที่มี นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง
    เป็นข้อตกลงที่ทำให้เกิดหน่วยงานลับนาม Counter Terrorist Intelligence Center : CTIC หรือ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้ นัยและรายละเอียดของหน่วยงานนี้ ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ หรือ Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS ของสหรัฐอเมริกา ในชื่อ http:www.csis.org/tnt/ttu/ttu_0310.pdf โดยมี Link ที่เกี่ยวข้อง คือ http://fpc.state.gov/documents/organization/2753.pdf และ http://www.usembassy.it/pdf/other/RL31152.pdf
    อันเป็นเว็บไซต์ ที่เหมือนกับศูนย์การวิเคราะห์จุดยุทธศาสตร์ของโลกที่ทุกคนเข้าไปดูได้ ในเว็บไซต์นั้น ปรากฏรายงานชิ้นหนึ่งระบุว่า ...

    Working directly with at least a score of CIA operatives, the Counter Terrorism Intelligence Center [CTIC] combines key personnel from Thailand's three main security agencies : the National Intelligence Agency ; the Thai police, and the armed forces.
    The CTIC relies heavily on the CIA for its structure, guidance, and funding. The two agencies share facilities, equipment, and information on a daily basis.

    เป็นรายงานที่ยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ Confederete Intelligence Agency : CIA 10 กว่าคน เข้ามาตั้งศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย ถึง 3 หน่วยงาน มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ระหว่าง CIA กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารของไทย โดย CIA ให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน นั่นคือ หลังจากลงนามในข้อตกลง ในปี 2543 พอต้นปี 2544 หน่วยงานนี้ ก็เข้ามาปฏิบัติการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความลับอันนี้ ถูกเปิดเผยโดยเว็บไซต์ CSIS ของสหรัฐอเมริกา รายงานของ CSIS ถือว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะระบุชัดเจนว่า การจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย เพื่อต่อต้านกลุ่ม Jamaah Islamiah : JI และ Al Qaeda นั้น CIA เป็นคนวางโครงสร้าง วางแผนปฏิบัติงาน และให้เงินสนับสนุนทุกอย่าง

    ประเด็นที่ควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ ก็คือ ในส่วนของการปฏิบัติการ มีตำรวจและทหารไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของ CIA
    ถึงวันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การจับกุมคดี Jamaah Islamiah หรือ JI ในประเทศไทย นับตั้งแต่การจับกุมนายฮัมบาลี ต่อด้วยการจับกุมนายแพทย์แวมะฮ์ดี แวดาโอะ, นายมัยสุรุ อับดุลเล๊าะ, นายมุญาอิด อับดุลเล๊าะ จนมาถึงนายสมาน อาแวกะจิ ที่เข้ามอบตัวในภายหลัง แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของหน่วยงานนี้ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของหน่วยงานนี้ จึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ อันพึงมีพึงได้ พึงปกป้องของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ผลกระทบที่จะมีต่อวัฒนธรรมในพื้นที่ และสังคมของชาวบ้านในภาคใต้ จึงไม่อยู่ในการพิจารณาของหน่วยงานนี้ และรัฐบาลไทยแม้แต่น้อย


    ในเมื่อศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายอันนี้ กระทำการภายใต้คำสั่งของ CIA การกระทำใดๆ ของศูนย์แห่งนี้ ที่อาจจะเกิดความขัดแย้งภายในขึ้น ก็ไม่มีความหมายให้ต้องเก็บรับมาพิจารณา เจ้าหน้าที่ของศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งนี้ จึงสามารถไล่ล่าจับกุมคุมขังใครก็ได้ ที่ถูกกล่าวหาว่า ต่อต้านสหรัฐอเมริกา โดยไม่ต้องมีหมายศาล
    ด้วยเพราะ นี่คือ การทำงานของ CIA ภายใต้ภารกิจ war on terrorism ถึงแม้ในอนาคต บรรดาตำรวจและทหารไทย อาจจะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธว่า CIA ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถสั่งการตำรวจไทย - ทหารไทยได้ก็ตาม ทว่า ประเด็นที่สำคัญที่สุด ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ก็คือ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย หรือ CTIC และ CIA เป็นหน่วยงานต่างชาติ ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้ จึงไม่ใช่ปัญหาระดับชาติอีกต่อไป ด้วยเพราะรูปลักษณ์ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นลักษณะของ จักรวรรดินิยม อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เหยียบย่างเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศไทย ชนิดแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งแล้ว

    นี่ถ้าถามถึง และชอบหาเรื่อง แบบไม่ลืมหูลืมตากันเลยละนะ ปชป คงโดนถล่มไปพร้อมกับความมั่นคงของชาติเราอีกแน่ๆ แต่ด้วยความเป็นคนที่โตพอรู้จักแยกแยะ คำสั่งที่มีออกมาจากปาก ของท่านนายกทักษิณคือ ทำอย่างไรชาติของเราจะได้ประโยชน์ นี่คือธงที่ท่านตั้งไว้

    ไม่มีการนำเรื่องแบบนี้มาเล่นลิ้นอย่างเด็ดขาด นึกแล้วเสียวโว้ย นี่ถ้ากลับกันละครับ ลองเรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของ ท่านนายกทักษิณ มันคงดูไม่จืดละนะท่านนะ นี่แสดงให้เห็นถึงอะไรได้บ้างครับ ขนาดเขียนจดหมายไปบอก คนที่มีประโยชน์ต่อชาติเรา ในแนวคิดของเรื่อง PRIMAL LEADERSHIP ในข้อที่ว่าด้วย management relationship พวก ปชป มันยังแกล้งทำโง่ หาเรื่องมาเล่นกันได้อย่างหน้าดำคร่ำเครียด เห็นแล้วอนาจใจจริงๆ อายุขนาดนี้แล้ว ยังคงคิดแบบเด็กๆ สงสารประเทศไทยอีกแล้วครับ

    ตอนนี้เห็นคุณพิเชษฐ์ ออกมาเต้นตีข่าวเรื่องการดักฟังโทรจากบ้านของพลเอกเปรมอีกแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ความอีกตามเคย แทงหวยได้เลย สุดท้ายไม่ได้ความเหมือนร้อยเรื่อง ที่พยายามหามาประเคนเข้าใส่ ทรท สุดๆเลยครับ กับความเลวที่มีอยู่

    จากคุณ : chiangraiplus- [ 2 ส.ค. 49 14:55:08 ]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×