ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #2 : ข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือน และ ความคิดเห็นของผมที่มีต่อการเมืองและสังคมไทยในขณะนี้

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 50


    ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ได้ติดตามข่าวการเมืองมาโดยตลอด นับวันเข้าเหตุการณ์ก็ยิ่งบานปลาย
    ชนวนของเรื่องนี้เริ่มจากคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิน เนื่องจากเสียผลประโยชน์
    หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ซื้อขายหุ้น Shin corp ซึ่งเป็นการซื้อขายหุ้น ผ่านตลาดหลักทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ทำให้ภาพลบของทักษินแพร่กระจายไปในวงกว้าง
    กลุ่มคนที่ต่อต้านทักษินได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนี้กลุ่มของสนธิได้ปล่อยข่าวออกมามากมาย
    ทั้งข่าวจริงบ้าง การบิดเบือนข่าว สร้างข่าวลวงบ้าง เพื่อมุ่งเป้าโจมตีนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิน ชินวัตร
    ให้พ้นจากตำแหน่งให้ได้ เมื่อเหตุการณ์เริ่มขยายวงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง กลุ่มคนต่างๆ ที่มีอุดมการณ์อย่างเดียวกันกับสนธิก็เริ่ม ออกมาเคลื่อนไหว สนับสนุนสนธิ เช่น พลตรีจำลอง ศรีเมือง นำกลุ่มสันติอโศกออกมาสมทบกับกลุ่มสนธิเดิม เมื่อการเมืองตึงเครียดจนถึงจุดหนึ่ง ทักษินได้ตัดสินใจยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน

    พรรค ปชป. ที่ต่อต้านทักษินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เริ่มออกมาเล่นเกมส์การเมืองเพื่อขับไล่ทักษินโดยการจับมือ พรรคฝ่ายค้านร่วมกันทั้งสามพรรคบอยคอต การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยมีเหตุผลและข้อเรียกร้องต่างๆ นาๆ สำหรับ กลุ่มอื่นๆ เช่น นักวิชาการ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย นักศึกษา ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน ประชาชนในประเทศเริ่มแตกแยกกันออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายสนับสนุนให้ทักษินอยู่ต่อ และ ฝ่ายต่อต้านทักษิน นับวัน เหตุการณ์ก็ขยายวงกว้างออกไปทุกที จนบรรยากาศคล้ายๆ กับสงครามเย็นที่ต่างฝ่ายต่างก็โฆษณาชวนเชื่อ โจมตี หรือใช้จิตวิทยามวลชนสารพัดรูปแบบ เพื่อช่วงชิงจำนวนประชาชนให้เห็นด้วย กับฝ่ายตนมากที่สุด

    ผมเห็นสภาพบ้านเมืองเป็นแบบนี้ก็ค่อนข้างหดหู่นะครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่างฝ่ายยังไม่ยอมลงให้กัน จะเอาชนะกันให้ได้ ไม่ยอมลดราวาศอก เล่นแต่เกมส์การเมือง น่าเป็นห่วงอนาคตประเทศไทยนะครับ เพราะเหตุการณ์ที่เป็นอย่างนี้มันส่งผล ต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ สภาพบ้านเมืองอย่างนี้ ใครจะอยากลงทุนด้วย ตลาดหุ้นก็ดิ่งลงเรื่อยๆ
    ประเทศไทยเพิ่งฟื้น จากวิกฤติเศรษฐกิจไม่เท่าไหร่ กำลังจะเริ่มลืมตาอ้าปากได้ กำลังจะวิ่งก็ต้องสะดุดขาตัวเองหกล้มอีกเ พราะผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศมัวแต่กัดกันเอง สมมุติว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ... ท่านภูมิใจเหรอครับที่ท่านชนะบนซากปรักหักพังของประเทศไทย

    ช่วงนี้การเสพข้อมูลข่าวสาร ต้องใช้วิจารณญาณให้มากนะครับ เพราะมีหลายๆ ข่าว ได้บิดเบือนมาให้ผู้คนได้หลงเชื่อ แหล่งข่าว เช่น นสพ. เว็บต่างๆข้อมูลลวงเยอะ เอาง่ายๆ ตัวเลขผู้คนบนท้องสนามหลวงแต่ละครั้ง เชื่อได้ที่ไหนครับ ผมได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ยืนยันแหล่งที่มาได้ว่าเป็นความจริง และความคิดเห็นส่วนตัว อยากเอามาแชร์ให้อ่านกันโดยพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด เพื่อว่าเราจะได้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนบางกลุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนอันไหนเป็นความคิดเห็นส่วนตัวผมจะระบุบอกไว้ครับ

    1. เกี่ยวกับการเลือกตั้ง

    สิ่งที่เกิดขึ้นมีหลายๆ คนบอกว่า การยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่นั้นไม่ชอบธรรม ทำไมทักษินถึงไม่ลาออก เพราะเหตุต่างๆ เกิดจากตัวนายกคนเดียว ทำไมต้องผลาญงบประมาณชาติเป็นพันล้าน เพื่อฟอกตัวคนๆ เดียว เพราะนายกรู้ดีว่าเลือกตั้งใหม่ ทรท. ต้องได้กลับมาเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว

    ความคิดเห็นของผม
    แต่ผมกลับเห็นด้วยที่ทักษินยุบสภา เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งใหม่นะ เพราะว่า คนที่เรียกร้องให้ทักษินลาออกไม่ใช่คนทั้งประเทศ แต่เป็นแค่คนกลุ่มหนึ่ง ยังมีอีกหลายคนที่ต้องการให้ทักษินอยู่ต่อ ถ้าหากว่าทักษินต้องลาออกเนื่องจากโดนชนกลุ่มน้อยกดดัน รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย จะยังศักดิ์สิทธิ์อีกไหม ถ้าหากในอนาคตไม่ว่าจะมีนายกเป็นใคร หากมีกลุ่มคนที่ไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยมาเคลื่อนไหว ให้นายกออกโดยอ้างบรรทัดฐาน ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แล้วประเทศจะยังมีความเป็น ประชาธิปไตยอยู่หรือเปล่า เพราะใจความสำคัญของประชาธิปไตยคือ เสียงส่วนน้อย ต้องยอมรับในมติของเสียงส่วนใหญ่ แล้วสิ่งที่จะตัดสินกรณีนี้ได้ดีที่สุด คือ การเลือกตั้งไม่ใช่เหรอ


    สิ่งที่เกิดขึ้น
    หลายคนอาจจะบอกว่า ... ทรท. ใช้เงินซื้อเสียงนี่... ยังไงก็ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว การเลือกตั้งชี้วัดอะไรไม่ได้หรอก เพราะ ทรท. มีทุนหนา ...

    ความคิดเห็นของผม
    แต่ผมเห็นว่า ถ้าผู้สมัครคนไหนซื้อเสียง เรารวมตัวกันไม่เลือก ผู้สมัครคนนั้นๆ เป็นรายคนไปดีกว่า
    ที่จะเหมารวมทั้งพรรค เพราะพรรคไทยรักไทยเองก็มีผู้สมัครที่ตั้งใจ เข้ามาทำงานจริงๆ โดยซื่อสัตย์สุจริต ผสมไปกับพวกเขี้ยวลากดินหวังกอบโกย
    ผลประโยชน์ มีด้วยกันอย่างนี้ทุกพรรคการเมือง การเหมารวมว่าพรรคนั้นพรรคโน้นซื้อเสียง ผมว่าไม่แฟร์กับคนที่เค้าตั้งใจเข้ามาทำงาน

    2. เรื่องการขายหุ้น Shin corp


    สิ่งที่เกิดขึ้น
    ประเด็นนี้เป็นประเด็นใหญ่เลย ที่ผู้คนถกเถียงกันมาก เรื่องของเรื่องมาจากทักษิน ต้องการขายหุ้นของบริษัทในเครือ Shin corp ที่ตนเองถืออยู่ทั้งหมดให้กับกลุ่มทุนเทมาเสกของสิงคโปร์ โดยทำการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็มีคนมาโจมตีว่าทักษินขายหุ้น (ซึ่งอยู่ในชื่อลูกๆ) ได้เงินจากการขายหุ้น ทั้งหมดเจ็ดหมื่นกว่าล้านบาท แต่ไม่เสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว รวมถึงการไปเปิดบริษัท Ample Rich Investment (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ARI) ที่หมู่เกาะ British Virgin Island (ต่อไปนี้จะเรียกว่า BVI) เพื่อดำเนินการหลบเลี่ยงภาษีในรูปแบบต่างๆ มีหลายคนไม่พอใจมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งข้อมูลต่างๆ คนส่วนใหญ่จะรู้แค่นี้ จริงไหมครับ

    ความเป็นจริง
    ก่อนอื่นต้องขออธิบายขั้นตอนทั้งหมดของการย้ายหุ้นของทักษินก่อน

    (1) ทักษินโอนหุ้น SHIN ของตัวเองเป็นจำนวน 10% ไปให้บริษัท ARI แล้วทักษินเองถือหุ้น ARI ไว้ 100% (ทำก่อนเป็นนายกแล้ว เหตุผลของการโอนหุ้นจริงๆ ผมไม่ทราบหรอกครับ แต่ทักษินให้เหตุผลว่าเตรียมไว้เพื่อจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ของอเมริกา) หุ้นที่โอนโอนไปในราคาพาร์ 10 บาท

    (2) ก่อนจะเข้ามาเป็นนายก ทักษินได้โอนหุ้นตัวเองรวมถึงหุ้นใน ARI ด้วย ให้อยู่ในชื่อลูกๆ ตามกฏหมายการโอนให้โดยเสน่หาไม่ต้องเสียภาษี และสามารถทำได้โดยชอบธรรม จะเสียภาษีเฉพาะกรณีที่เป็นมรดก หลังจากนั้น ARI ก็ได้มีการปรับสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างชื่อลูกๆ จนสุดท้าย พานท้องแท้ และ แพรทองธารถือคนละครึ่ง

    (3) หุ้น SHIN ได้มีการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท ส่งผลให้หุ้นที่ ARI ถือไว้มีจำนวนเพิ่มขึ้น 10 เท่า แต่มีต้นทุนเหลือหุ้นละ 1 บาท เพราะฉะนั้นมูลค่าหุ้นที่ถือครองยังคงเท่าเดิม ระหว่างนี้โครงการจะเข้าตลาด NASDAQ ล้มพับไป ARI จึงถือหุ้นไว้อยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ดำเนินการใดๆ ระหว่างที่ถืออยู่ ARI จะมีรายได้จากเงินปันผล ตามกฏหมายต้องเสียภาษี แต่ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ARI ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีจำนวนนี้อีก

    (4) ก่อนหน้าการขายหุ้นให้เทมาเสกไม่กี่วัน ได้มีการโอนหุ้นคืนจาก ARI คืนกลับมาให้กับลูกๆ สองคน คนละครึ่ง โดยการโอน ปรากฏเป็นรายการขายจาก ARI ให้กับทั้งสองคนในราคาพาร์ 1 บาท ลูกๆ ก็เอาหุ้นในต้นทุน 1 บาทไปขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ราคา 49.25 บาท กำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคาหุ้นคือ 48.25 บาทต่อหุ้น หรือที่เรียกว่า Capital Gain กฏหมายระบุชัดว่าไม่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกัน (เฉพาะกรณีของบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคล) และบังคับใช้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    แต่ถ้าถามว่าการซื้อขายนี้เป็นการซื้อขายปกติไหม? ก็ตอบได้ว่า " ผิดปกติอยู่ส่วนเดียว" คือ กรณี ARI ขายหุ้นคืนให้ ลูกๆ สองคน ในราคาต้นทุน คือ 1 บาท เพราะถ้าขายให้ลูกๆ ในราคาตลาด 49.50 บาท ARI มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีทันที แต่ขายคืนให้ลูกในราคาต้นทุน ทำให้บริษัทไม่มีกำไร ไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้อาจถือได้ว่าเป็นช่องโหว่ ของกฏหมายที่ผมเข้าใจว่า ครอบครัวทักษินใช้เพื่อไม่ให้ต้องเสียภาษีจำนวนนี้

    ความผิดอีกอย่างหนึ่งคือ ขั้นตอนในการปรับสัดส่วน การถือครองและการโอนหุ้นคืนในข้อ (2) และ (4) ลูกๆ นายกไม่รายงานต่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะตามกฏหมายระบุว่าหากผู้ถือหุ้นใหญ่ เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองหุ้น ต้องรายงานต่อ ตลท. เสมอ ทำให้ โอ๊ค โดนปรับไปห้าล้านกว่าบาทตามที่เป็นข่าว

    ความคิดเห็นของผม
    ความผิดที่กล่าวมาของทักษิน อาจจะไม่ผิดในทางกฏหมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะถือเป็นการเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี และก็อาจเป็นเหตุผลที่เป็น ชนักติดหลังทักษินอยู่จึงไม่กล้าที่จะ ดีเบตกับฝ่ายต่อต้านตรงๆ แต่ถ้าถามว่ารุนแรง อย่างที่กลุ่มสนธิพยายามประนามไหม ก็คงไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึงขั้นโกงชาติ และไม่เกี่ยวกับกรณีข้อกล่าวหา ที่ว่าเปิดบริษัทเพื่อใช้ประโยชน์ ด้านภาษีของ BVI เลย เพราะ บริษัท ARI ของทักษินไม่ใช่สำนักงานใหญ่ ไม่ได้ดำเนินการทางธุรกิจใดๆ นอกจากถือหุ้น SHIN ไว้อย่างเดียว ส่วนใหญ่คนที่มีเป้าหมาย ในการหลบเลี่ยงภาษีจะไปเปิดบริษัท ที่เป็นสำนักงานใหญ่ที่นั่น มีการดำเนินกิจกรรมที่มีรายได้ทางธุรกิจ ทำให้บริษัทมีสัญชาติเป็นของที่นั่น ไม่ต้องเสียภาษีให้ประเทศตัวเอง ซึ่งต่างกับกรณีของทักษิน

    บริษัทหลายๆ บริษัทที่เปิดในไทยแท้ๆ ยังมีการเลี่ยงภาษีลักษณะนี้ หรือซับซ้อนกว่านี้เป็นจำนวนมาก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดที่ BVI ที่ทักษินไปเปิดที่ BVI คงเป็นเหตุผลของการนำเข้าตลาด NASDAQ มากกว่า เพราะเปิดที่ BVI มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ดำเนินการง่าย และบริษัทในเครือชิน ได้มีการเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องมาทุกปี ทำรายได้ให้รัฐมหาศาลแล้ว

    และผมไม่อยากบอกเลยว่า แกนนำของม๊อบสนามหลวงบางคน ไม่ขอบอกล่ะว่าใครเพราะเดี๋ยวจะโดนฟ้อง คนนั้นได้เคยไปเปิดบริษัทที่ BVI เช่นเดียวกัน แต่ทำไปในลักษณะเลี่ยงภาษีอย่างเต็มรูปแบบ กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง คอรัปชั่นในบริษัทตัวเอง จนบริษัทตัวเองขาดทุนมหาศาล จนต้องอยู่ในหมวดฟื้นฟูกิจการ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คงตรงกับสำนวนไทย ปากว่า ตาขยิบ แต่อันนี้ไม่คอนเฟิร์มนะครับ ไม่มีหลักฐาน เป็นแค่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา

    3. เกี่ยวกับบริษัทในเครือชินคอร์ป


    สิ่งที่เกิดขึ้น
    ระหว่างที่ทักษินดำรงตำแหน่งนายกฯ มูลค่าหุ้น SHIN ที่ครอบครัวทักษินถืออยู่ได้เพิ่มจาก 20000 ล้าน เป็น 70000 ล้านบาทกว่าๆ ทำให้เกิดข้อครหาว่า เพราะโกงชาติถึงได้รวยขนาดนี้

    ความเป็นจริง
    หากมองด้วยใจที่เป็นกลาง SHIN เติบโตไปพร้อมกับตลาดหลักทรัพย์โดยรวม มิได้มีการโตอย่างผิดปกติแต่อย่างใด
    ถ้าพิจารณาสถิติในรอบห้าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2001 ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2006
    - หุ้นชินคอร์ป (SHIN) จากราคา 16.60 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 45.00 บาท หรือโต 2.71 เท่า
    - ตลาดรวม หรือ ดัชนี SET Index (SET) จาก 312.06 จุด เพิ่มขึ้นเป็น 728.18 จุด หรือโต 2.33 เท่า
    - หุ้น ปตท. (PTT) จากราคา 35.50 เพิ่มขึ้นเป็น 244 บาท หรือโต 6.87 เท่า เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้น ธุรกิจพลังงานจึงเติบโตเร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ และปตท. หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการลงทุนอย่างมหาศาล จึงเติบโตเร็วมากอย่างที่เห็น
    - เครือยูคอม บริษัทแม่ของดีแทค (UCOM) จากราคา 30.75 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 50.50 บาท หรือโต 1.64 เท่า
    - กลุ่มธนาคาร ธ.กรุงเทพ (BBL) จากราคา 37.25 เพิ่มขึ้นเป็น 110.00 บาท หรือโต 2.9 เท่า
    แหล่งที่มา : เว็บตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    สิ่งที่เกิดขึ้น
    มีข้อกล่าวหาว่า ทักษินแก้ พรบ กิจการโทรคมนาคมให้ต่างชาติถือหุ้นได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วน 49% การขายหุ้นของ SHIN ส่งผลให้ สัมปทาน ดาวเทียมไทยคม และคลื่นวิทยุ ตกอยู่ในมือของต่างชาติ สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ เท่ากับขายชาติ ขาย สมบัติชาติ คนขายชาติ ออกไปๆๆ

    ความเป็นจริง
    การแก้กฏหมายเรื่องการถือหุ้นของต่างชาติให้เพิ่มเป็น 49% ได้ริเริ่มดำเนินการในสมัยนายกชวน ไม่ใช่นายกทักษิน และอย่างไรเสียกฏหมายฉบับนี้ ก็ต้องแก้ เพราะมีนักธุรกิจร้องเรียนเข้ามามาก จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยรวม เพราะเวลานี้เราต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติค่อนข้างมาก ไม่ทราบยังจำกันได้หรือเปล่า กฏหมายขายชาติ 11 ฉบับที่ร่างขึ้นสมัยรัฐบาลชวน โดยดำเนินการร่วมกับ IMF ก็ถูกยกเลิกในสมัย รัฐบาลทักษิน ช่วยให้ประเทศพ้นจากการควบคุมโดย IMF

    สำหรับเรื่องดาวเทียม และคลื่นความถี่วิทยุ (มือถือใช้ความถี่วิทยุที่ 900MHz และ 1800MHz) เป็นสัมปทานที่ได้จากรัฐบาล ในข้อตกลงของ การให้สัมปทานแก่องค์กร เอกชนจากรัฐบาล ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ทรัพย์สินต่างๆ อันได้แก่ดาวเทียม เสาส่งสัญญาณ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง กับการรับส่งสัญญาณ คลื่นความถี่วิทยุ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนจัดหา และให้โอนทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ บริษัทเอกชนมีสิทธิ์เพียงการแสวงหากำไรจากทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้เท่านั้น รัฐบาลสามารถยกเลิกสัมปทานได้ หากเอกชนละเมิดข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นของประเทศ ต่อให้เปลี่ยนผู้ถือหุ้น กฏหมายสัมปทานได้บัญญัติขึ้น อย่างรอบคอบและรัดกุมแล้ว ไม่มีช่องโหว่ให้ต่างชาติ มาครอบงำสมบัติชาติเหล่านี้แน่นอน การขายหุ้น SHIN จึงไม่เกี่ยวกับการขายชาติเลยแม้แต่น้อย และเทมาเสกเป็นเพียงกองทุนที่กระจายการลงทุนใน บ.ต่างๆ ทั่วโลก ไม่เข้ามาบริหารงานเอง ทีมบริหาร SHIN Corp ยังคงใช้ชุดบริหารที่เป็นคนไทย

    4. กรณีสุนทรพจน์ของทักษินที่มีต่อ British Virgin Island

    สิ่งที่เกิดขึ้น
    ประเด็นนี้เป็นประเด็นร้อนเลย คือมีคนบอกว่าทักษินได้เคยพูดไว้เมื่อ20 พ.ค.2545 "เมื่อวานผมได้ดูข่าวจากCNNทราบว่า ขณะนี้สภาของสหรัฐกำลังแก้ไขกฏหมายใหม่ ทั้งนี้เพราะบริษัทต่างๆไม่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐ แต่ไปจดทะเบียนในประเทศอื่นๆ เช่นหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทไม่รักชาติ เป็นการเลี่ยงภาษี เห็นได้ว่าแม้สหรัฐตะเป็นประเทศที่มีเสรีภาพสูง ยังมีการดำเนินการเช่นนี้ ก็อยากฝากให้คนไทยและบริษัทต่างๆมีความรักชาติ"
    ข้อความนี้หลายคนคงได้ผ่านตามาแล้ว เพราะได้มีการแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง และเป็นแผ่นป้ายติดใน มธ. ด้วย นักศึกษา มธ. คงได้เห็นกันทุกคน และหลงเชื่อกันไปไม่น้อยว่าทักษินพูดอย่างนี้จริง ในรายการถึงลูกถึงคน สรยุทธก็ได้เคยถามทักษิน เกี่ยวกับประเด็นนี้ รู้ไหมครับทักษินตอบว่าอะไร

    ทักษินตอบว่า "ผมพูดถึงขนาดนั้นเลยเหรอ... ผมว่าผมไม่ได้พูดขนาดนั้นนะ ตอนนั้นผมคิดว่าผมน่าจะหมายถึง บริษัทที่ไปเปิดสำนักงานใหญ่ที่ BVI ทำให้บริษัทมีสัญชาติ BVI ไม่ต้องเสียภาษีให้ประเทศแม่นะ ผมคิดว่าผมไม่ได้พูดถึงขนาดนั้นหรอก"

    อันนี้คือเท่าที่ผมจำได้ หลายๆ ท่านที่ดูรายการถึงลูกถึงคน อาจจะเห็นนายกพูดทำนองนี้ เลยยิ่งดูว่านายกแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ และจนมุม

    ความเป็นจริง
    ข้อความป้ายในรูปข้างบนได้ถูกตัดต่อคำพูดขึ้นมาจากผู้ไม่หวังดี และขบวนการโค่นทักษิน เพราะข้อความที่ทักษินพูดไว้วันนั้น คือ "อีกเรื่องคือ เรื่องการเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง หรือ nationalism อันนี้เราอ่อน (weak)กันมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ( key ingredient for success ) ของความสำเร็จของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ผมเห็นตัววิ่งใน CNN ปรกฏว่าสภาของหสรัฐอเมริกากำลังพิจารณาแก้กฎหมาย ที่มองว่าบริษัทอเมริกาที่เอา head quarter ไปตั้งที่ ประเทศที่เป็นสวรรค์ด้านภาษี (tax heaven country) บอกว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ( non-patriotic ) เห็นมั้ยครับว่าอเมริกากำลังจะแย่เพราะมีบริษัทอเมริกาเลี่ยงไปตั้งสำนักงานใหญ่ ( head quarter ) ทางทะเบียน ทางกฎหมาย ที่ปานามา ที่ British Virgin Island บ้าง ส่วนสำนักงานใหญ่ ( Head Quarter ) จริงๆตั้งอยู่ที่อเมริกาเพื่อเลี่ยงภาษี อเมริกาเรียกพฤติกรรมเช่นนั้นว่า non-patriotic เขาจึงแก้กฎหมาย นี่คืออเมริกาที่ซึ่งเป็นประเทศที่มีเสรีภาพสูงมาก เป็นประเทศที่ให้โอกาสคนทั่วโลก ไปช่วยกันสร้างอเมริกาให้เข้มแข็ง เราต้องสร้าง เครื่องจักรกลทางเศรษฐกิจ (new economic engine) ต้องสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ และ ปรับปรุงยกเครื่อง (overhaul) เครื่องยนต์เก่าๆ ที่ยังพอ overhaul ได้อยู่ ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถจะอยู่บนโลกที่เปลี่ยนไปได้อย่างดี "
    อ้างอิงจาก
    http://library.uru.ac.th/webdb/images/tuksin160_files/sp20may45.html

    5. ผลงานทักษินที่ผ่านมาของรัฐบาล : มองต่างมุม

    สิ่งที่เกิดขึ้น
    รัฐทำให้คนจนเป็นหนี้ มีแต่หาหนี้ให้ประชาชน นโยบายประชานิยมทำให้คนไทยเสียนิสัย ทำให้คนมีหนี้มากขึ้น

    ความเป็นจริง
    สภาพเศรษฐกิจก่อนที่ทักษินจะ มาบริหารประเทศถือว่าตกต่ำมาก เงินไหลเวียนน้อย คนตกงานเยอะ บ.ต่างๆ ขาดทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ดีมาตรการหนึ่งในภาวะนี้ คือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ทำให้เงินไหลเวียนในระบบมากขึ้น เมื่อเงินไหลเวียนมาก ส่งผลให้ บ.ต่างๆ เริ่มมีผลประกอบการมีกำไร เกิดการจ้างงานมากขึ้น รัฐก็เก็บภาษีสำหรับพัฒนาประเทศได้มากขึ้น การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระดับรากหญ้าในนโยบายต่างๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน ได้ประโยชน์สองต่อ คือ หนึ่ง ส่งผลให้คนระดับรากหญ้า มีเงินทุนที่จะนำไปทำมาหาเลี้ยงชีพ และสองทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น สร้างงาน สร้างรายได้ผ่านนโยบายต่างๆ เช่น OTOP หรือ พักหนี้เกษตรกร ทำให้ชนชั้นรากหญ้าสร้างเนื้อสร้างตัวกันได้เยอะนะครับ เมื่อเศรษฐกินโดยรวมดีขึ้น ในที่สุดก็จะส่งผลดีกลับไปถึงคนไทยทั้งประเทศ อย่างโครงการบ้านเอื้ออาทร ถ้าเรามองลึกไปกว่านั้น จะเห็นว่าผลจากการสร้างบ้านจำนวนหลายๆ พันยูนิต ส่งผลให้ธุรกิจก่อสร้างมีกำไร เกิดการจ้างงานมหาศาล เมื่อคนเข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว ก็จำเป็นต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้ามา ยิ่งทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวรอบนี้ ชนชั้นรากหญ้ามีบทบาทสำคัญ

    ความเห็นของผม
    รัฐบาลนี้มีฝีมือด้านเศรษฐกิจ ผมยอมรับ สำหรับเรื่องคนมีหนี้มากขึ้น ผมว่าไม่เกี่ยวนะครับ รัฐบาลสร้างโอกาสให้แล้ว ถ้าคุณเอาโอกาสนั้นไปก่อเป็นหนี้ นั่นอยู่ที่ตัวคุณเองแล้วครับ เพราะคนได้ประโยชน์ มีอาชีพ มีรายได้มั่นคง มีชีวิตที่ดีขึ้นจากโครงการต่างๆ เหล่านี้ก็เยอะสังเกตไหมครับ คนที่ทักท้วงและโจมตีเรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นคนชั้นกลาง ชนชั้นสูง กลุ่มคนบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่านักวิชาการและพวกขาประจำทั้งนั้น

    คนเหล่านี้กลุ่มนี้พวกเขาสบายแล้ว มีอยู่ มีกิน มีเงิน มีโอกาส ชีวิตไม่เดือดไม่ร้อนอะไรมากมายนัก ตอนเช้าก็ดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ ไปทำงานก็นั่งรถไฟฟ้า ขับรถเก๋ง เลิกงานเดินห้างสบายใจ อยากกู้เงินก็เข้าแบงค์ที่ไหนก็ได้ เจ็บป่วยไม่สบายก็มีประกันสังคม มีประกันชีวิต มีสวัสดิการอื่นๆครบถ้วน

    ดังนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาไม่เห็นถึงความเดือดร้อน และความลำบากยากแค้นของชาวบ้านรากหญ้า ไม่เห็นถึงความลำบากยากจนของคนอื่นๆ ไม่เห็นถึงความด้อยโอกาสและการถูกเอารัดเอาเปรียบของพี่น้องคนไทยด้วยกัน

    อีกเรื่องหนึ่งที่คนพวกนี้ไม่เคยมองหรือไม่คิดจะมอง หรือมองเห็นแต่แกล้งเป็นไม่เห็นก็คือการบริการจัดการเรื่องงบประมาณแผ่นดิน เมื่อก่อนรัฐจัดงบให้ชาวบ้าน กว่าจะถึงชาวบ้านก็โดนโกงกินเป็นขั้นเป็นตอนจนแทบจะไม่เหลืออะไร เคยได้ยินคำ "งบประมาณแบบไอติม" ไหมครับ

    กว่าจะถึงมือชาวบ้าน "ไอติม" ก็โดนกัดคนละคำจากรมต. จากอธิปบดีกรมและหน่วยงานอื่นๆ เหลือให้ชาวบ้านแค่ไม้ไอติมเท่านั้น

    ทักษิณแก้ปัญหาตรงนี้ได้โดยการประกาศให้รู้ทั่วกันว่าเอาไปเลยหมู่บ้านละล้าน ทำแบบนี้ตั้งแต่หัวถึงหางก็โกงไม่ได้เพราะชาวบ้านรู้ ทุกคนรู้ว่าต้องได้หนึ่งล้าน ถ้าจะรั่วไหลจะโกงก็เป็นเพราะชาวบ้านเขาเล่นกันเอง อันนี้ยังดีเสียกว่าระบบเดิมๆมาก


    สิ่งที่เกิดขึ้น
    ชนชั้นกลาง มองว่านโยบายรัฐบาลไม่ได้ผล ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เช่นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ยาห่วย โรงพยาบาลขาดทุน หมอท้อแท้

    ความเป็นจริง
    ชนชั้นรากหญ้า คนจน คนด้อยโอกาสได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ได้คุยกับคนหลายๆ คน มีปัญหาด้านสุขภาพ ได้มีโอกาสรักษาดีๆ เพราะโครงการ 30 บาทนี่แหล่ะ จากค่าใช้จ่ายเป็นแสน เสียแค่ 30 บาท หลายๆ คน ได้มีชีวิตอยู่ มีลมหายใจต่อ เพราะโครงการนี้ มีเพื่อนคนนึง พ่อป่วยต้องผ่าตัด ไม่มีเงินค่ารักษา ได้โครงการสามสิบบาทที่ช่วยพ่อเค้าไว้ได้ ชีวิตคนระหว่างคนจนและคนชั้นกลางมีค่าเท่ากันไหมครับ? เป็นรัฐบาลแรกที่เอาใจใส่ คนรากหญ้าขนาดนี้ มีนโยบายต่างๆ มากมายเพื่อคนรากหญ้า สร้างงาน สร้างรายได้ คนจนส่วนใหญ่จึงรักนายก
    ความคิดเห็นผม
    คนชั้นกลางส่วนใหญ่ที่ติโครงการเหล่านี้ คุณไม่ควรลืมว่ารากเหง้าประเทศไทย เรามาจากอะไร คนส่วนใหญ่ของประเทศคือใคร เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ ฟื้นตัวจากไหน ถ้าคุณต้องการยาดีๆ การเอาใจใส่จากโรงพยาบาลมากๆ คุณก็ไปโรงพยาบาลเอกชนสิครับ โรงพยาบาลรัฐจะได้มี โอกาสช่วยเหลือคนจนคนด้อยโอกาสได้มากขึ้น สำหรับเรื่องโรงพยาบาลขาดทุน ผมอยากให้มองในอีกมุมนึงนะครับ
    ปตท. กำไรมหาศาล โดนด่าครับ ว่าคนจนเดือดร้อน รายได้เข้านายทุน
    แล้วการที่โรงพยาบาลรัฐยอมลดรายได ้ตัวเองลงโดยมีทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ทำเพื่อชนชั้นรากหญ้า มันเลวร้ายเหรอครับ
    ถ้าโรงพยาบาลรัฐกำไรมหาศาล โดยคนรากหญ้าเดือดร้อน อย่างนี้สิ น่าตำหนิกว่า

    คุณหมอบางท่านที่ออกมาประท้วงครับ อาชีพคุณมองแต่ตัวเงินที่เป็นผลประโยชน์หรือครับ หรือมองว่าความสุขของคุณคือการได้ช่วยเหลือคน อย่าละทิ้งอุดมการณ์เดิมสิครับ คุณก็ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอาชีพอื่น สามารถอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนอยู่แล้วนี่ครับ บางสิ่งบางอย่างผมว่าเราน่าจะ เสียสละให้คนที่ด้อยโอกาสก่อน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

    สิ่งที่เกิดขึ้น
    การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เช่น แปรรูป กฟผ. เป็นการเอาใจนายทุน แต่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ค่าไฟจะแพงขึ้น ต่างชาติมีโอกาสมาครอบงำ รัฐวิสาหกิจไทย ขายชาติอีกแล้ว จะทำให้ประเทศไทยล่มจมเหมือนอาเจนติน่า และจะเอาเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น เพื่อดันดัชนีให้สูงขึ้นโดยไม่สนใจว่า ประชาชนจะติดเหล้าแค่ไหน

    ความเป็นจริง
    การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้ประเทศล่มจมเหมือนอาเจนติน่าเป็นการมองอย่างอคติเกินไป ประเทศอื่นๆ เค้าแปรรูปกันเกินกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ไม่ใช่แค่อาร์เจนติน่า ประเทศกำลังพัฒนาอย่างแม๊กซิโก ชิลี ก็ยังได้รับการชื่นชมว่าประสบความสำเร็จในการทำ privatisation อย่างมาก อาเจนติน่ายังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ทำให้ประเทศล้มละลาย และการแปรรูปไม่เกี่ยวกับราคาค่าไฟเลย การแปรรูปทำให้ระบบการจัดการภายในองค์กรดีขึ้น บริหารงานคล่องตัวขึ้น มีการตรวจสอบบัญชี โปร่งใสกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ การนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ ทำให้กิจการใหญ่โตขึ้น ราคาค่าไฟจะเพิ่มหรือไม่อยู่ที่มติของคณะกรรมการ ถ้าหากรัฐบาลยังถือหุ้นในสัดส่วนที่เกินครึ่งอยู่ นายทุนไม่สามารถกำหนดราคาค่าไฟตามใจชอบได้
    การแปรรูปอาจจะเกิดโอกาสให้มีการทำกำไรเกินควรจากสาธารณูปโภคพื้นฐานจริง ซึ่งอันนี้เราไม่ต้องการ แต่ถ้าเราดำเนินการกันอย่างรัดกุม โดยให้ภาครัฐคุมสัดส่วนการถือหุ้นไว้ และพยายามปฏิรูปองค์กรให้โปร่งใส อย่าให้มีกันกินกันภายในเหมือนก่อน ผมว่าธุรกิจไฟฟ้ายังไงก็มีกำไรให้ผู้ถือหุ้นโดยที่ค่าไฟฟ้ายังคงเดิม เพราะเรื่องไฟฟ้าเป็นธุรกิจเกือบผูกขาดอยู่แล้ว ใช้หลักการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเข้ามาลดต้นทุนไร้สาระต่างๆ ออกไป พยายามใช้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่อย่างเกิดประโยชน์เต็มที่ ไม่ใช่มีคนว่างงานแต่ได้เงินเดือนอย่างที่เคยเป็น ผมว่าต้นทุนพวกนี้น่าจะลดได้เยอะมากนะ ไม่ใช่ว่าต้นทุนสูงกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วมาขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    และจะดีมากเพราะคนทั่วๆ ไป ก็จะมีสิทธิได้เงินปันผลจากการไฟฟ้า แทนที่เงินจะไปจมอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่เป็นมุมมืดข้างใน

    สิ่งที่ผมกลัวมีอยู่อย่างเดียว คือ กลัวหุ้นจะตกอยู่ในมือนักการเมือง เหมือนหุ้น ปตท. ถ้าจะทำคงต้องมีนโยบายการขายหุ้น กระจายหุ้นที่ดีกว่า โปร่งใสกว่าที่เคยทำมาสมัย ปตท.


    ความเห็นของผม
    กฟผ. ควรแปรรูป แต่ให้รัฐบาลถือสัดส่วนหุ้น 75% และอีก 25% กระจายในตลาดหลักทรัพย์ กฟผ. ใครๆ ก็รู้ แต่เดิมมาข้างในองค์กรไม่โปร่งใสนัก ผู้บริหารระดับสูงมีสิทธิพิเศษหลายๆ อย่าง เงินเดือนกับหน้าที่ไม่สมเหตุสมผล การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ พนักงานข้างในเอะอะก็ขู่ประท้วงหยุดงาน การแปรรูปจะช่วยให้องค์กรทำงานอย่างโปร่งใสมากขึ้น เงินกำไรสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาได้เต็มที่ ไม่ใช่ตกอยู่กับผู้ใหญ่ คนใหญ่คนโตบางกลุ่มใน องค์กร เมื่อเข้าตลาดหุ้น กฟผ. จะได้เงินทุนอีกมหาศาลสำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้า เพื่อสร้าง supply ให้มากขึ้น รองรับ demand ที่จะเพิ่มในอนาคต (หลักของ demand-supply ที่มีผลต่อราคาขาย คนที่เรียนเศรษฐศาสตร์มาก็คงรู้กันดี)

    ความเห็นของคุณฟ้าใหม่วันใหม่
    การที่รัฐวิสาหกิจกลายเป็นบริษัทมหาชน สร้างกำไรเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นนั้นเป็นมุมมองที่เลี่ยงไม่ได้ค่ะ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่กิจการสาธารณูปโภคไม่ได้เป็นสิ่งผูกขาด ย่อมทำให้เกิดมีการแข่งขัน

    ผู้มีเงินทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกทุนนิยมนี้) สามารถซื้อเอาเทคโนโลยีที่ล้ำนำสมัยกว่าและจัดตั้งบริษัทขึ้นให้บริการ เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ย่อมหมายความว่าเกิดการแข่งขันกันด้านบริการ เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรและการจัดการ รวมไปถึงวัตถุดิบ เครื่องมือ เทคโนโลยี ความรู้ของบุคคลากร ด้วย องค์กรจะไม่อยู่นิ่ง เพราะถ้าอยู่นิ่งหมายถึงไม่สามารถแข่งขันได้

    ถึงวันนั้นหากแม้คิดต้องการเรียกราคาค่าบริการสูงเพียงไรก็ใช่จะทำได้ค่ะ เพราะมีคู่แข่งที่ต้องการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด และพร้อมที่จะเสนอราคาที่ต่ำกว่าเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ดิฉันจึงมองในมุมส่วนตัวว่าดิฉันได้ประโยชน์มากกว่า

    อย่างเช่นตัวอย่าง องค์การโทรศัพท์ และ TRUE นะคะ ลองเปรียบเทียบกันดูเล่นๆ เมื่อก่อนนี้เราขอติดตั้งโทรศัพท์ ต้องมีค่าใช้จ่าย และรอเป็นเวลานาน บางครั้งเป็นเดือน เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ วันนี้เรามีเอกชนเป็นคู่แข่ง TRUE เสนอไม่เก็บค่าประกันหมายเลข ติดตั้งรวดเร็วระบบบริการแบบสะดวกแก่ผู้ใช้

    เท่านี้ล่ะค่ะ จำนวนผู้ใช้ TRUE เพิ่มขึ้นมหาศาล คุณคิดว่าใครได้ผลกระทบคะ แน่นอนองค์การโทรศัพท์ เช่นเรื่อง ADSL TOT เมื่อ 5 ปีก่อน ดิฉันติดต่อไปสอบถามได้รับคำตอบว่าไม่ได้มีไว้ให้เอกชนใช้ บุคคลธรรมดายิ่งไม่ได้ เมื่อตอนนี้ TRUE ให้บริการ ADSL TOT จึงต้องปรับค่ะ จะแพงกว่าก็ไม่ได้ หวังว่าคงเข้าใจนะคะ


    แปลกดีเหมือนกัน ลองเปรียบเทียบดู ไม่ทราบว่าคนพูดต้องการอะไร
    "กรณี กฟผ. เข้าตลาดหุ้น ทุกอย่างจะเป็นธุรกิจ ค่าไฟจะแพงขึ้น ประชาชนจะเดือดร้อน"
    "กรณี เบียร์ช้าง เข้าตลาดหุ้น จะทำให้เหล้าเบียร์ถูกลง มอมเมาประชาชน"
    ความเหมือนที่แตกต่าง?

    กรณีเบียร์ช้าง การระดมทุนทางธุรกิจ กับเรื่องทางสังคม การติดเหล้าเบียร์ คนละเรื่องกัน เบียร์ช้างต้องการระดมทุนเนื่องจากจะรุกตลาดต่างประเทศ หารายได้ให้ประเทศไทยมากขึ้น ถ้าจะให้คนเลิกเบียร์ก็ควรทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ เบียร์ช้างเข้าตลาดไทยไม่ได้ กำลังวางแผนเข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์ เสียหายไหมครับ มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยหายไปแสนล้าน เสียดายกันไหมครับ กำไรจากการขายเหล้าเบียร์ให้คนไทย เข้าสู่กระเป๋านายทุนสิงคโปร์ ภาษีค่านายหน้าในการซื้อขาย หุ้นเบียร์ช้างมูลค่ามหาศาล ก็เข้ารัฐบาลสิงคโปร์ ค่าคอมมิสชั่น ในการซื้อขายหุ้นเบียร์ช้าง ก็ตกอยู่กับโบรกเกอร์ของสิงคโปร์ แทนที่จะไหลเวียนให้กับคนไทยด้วยกัน คนไทยทั้งนั้น ทำกันเอง กัดกันเอง สุดท้าย เป็นชัยชนะบนความเสียหายของประเทศ นายทุนเค้าไม่เสียหายกับคุณ ด้วยหรอกครับ คนเสียหายก็เราๆ คนชั้นกลางถึงรากหญ้าทั้งนั้น

    ทักษินพยายามพัฒนาหลายๆ อย่างของประเทศ แต่คนหลายๆ คนกลับปิดหูปิดตามองไม่เห็น บอกว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าเรามองอย่างเป็นกลาง

    - ปราบยาเสพติด หลายคนออกมาประท้วง ว่าตำรวจฆ่านักค้ายาเป็นพันศพ แต่พันศพนี้ แลกกับ เด็กๆ ที่เลิกยาได้เป็นพันคน ผมว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ถ้าเราไม่รุนแรงจะได้ผลเหรอครับ คนจะหวาดกลัวเหรอครับ ทำเรื่องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มาเฟียพวกนี้ผมมองว่า เด็ดขาดไว้ ดีแล้ว ถ้าปล่อยพวกนี้ไป วันดีคืนดีกลับมาขายยาอีก แลกกับอนาคตของชาติผมว่าไม่คุ้ม ผมเลือกรักษาคนดีไว้ก่อนคนเลว และได้ผลจริงๆ นะครับ หลายๆ พื้นที่มีคนชมว่า ยาเสพติดหายไปจริงๆ ลูกๆ เค้าก็เลิกยาได้ มีชีวิตใหม่ ดีขึ้น

    - สนามบินสุวรรณภูมิ เมกะโปรเจ็กต่างๆ รถไฟฟ้าสิบสาย จะมีรัฐบาลไหนกล้าทำ ถ้าไม่ใช่ทักษิน สิบปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยได้อะไรจากรัฐบาลเป็นชิ้นเป็นอันเลย เพิ่งเห็นผลงานใหญ่ๆ มากๆ จากรัฐบาลนี้ และโครงการเหล่านี้เป็นรากฐาน ที่ดีให้เศรษฐกิจไทยในอนาคต คิดดูสิครับ พื้นที่บริเวณรอบๆ สนามบิน พื้นที่บริเวณรอบๆ รถไฟฟ้า จะมีการก่อสร้าง มีการไหลเวียนของเงินทุนมากขึ้น ขยายขอบเขตความเจริญ ของกรุงเทพชั้นในออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ให้ทั่วถึง อีกสองสามปีน่าจะเห็นผลที่ได้อย่างชัดเจน

    จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:06:52 ]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×