ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซีรีย์ฮาร์ดคอร์ลากไส้สื่อเน่า

    ลำดับตอนที่ #11 : แทงกั๊กสไตล์ไทยรัฐมีตั้งแต่เหลืองอื๋อไปยันแดงแปร๊ด

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 53


    โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย และบ้านตุลาไทย
    20 ตุลาคม 2551

    เปิด โฉมสิริอัญญาผู้เขียนบทความหมิ่นเหม่“โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว เห็นแล้วว่าประทับอยู่ข้างไหน”ลงผู้จัดการกระบอกเสียงพันธมิตร ที่แท้คือไพศาล พืชมงคล ฝ่ายซ้ายเก่าคนแต่งเพลงศักดิ์ศรีกรรมกรที่มีวรรคทองว่า"ปวงนายทุนขุนศึก ศักดินา มันกดขี่บีฑากินเลือดเรา เอ้าเอาพวกเราโค่นล้มมันเถิดเอย" เผยคนร้องและวง"คนจน"ถูกสังหารยุค6ตุลา19 แต่คนแต่งรอดมาเขียนประกาศคณะปฏิวัติ19กันยา49 แถมส่งน้องชายเป็นการ์ดใกล้ชิดสนธิลิ้ม ล่าสุดร่วมก๊วนซ้ายเก่าที่เคยคิดโค่นล้มสถาบันนำสถาบันเป็นเครื่องมือทางการ เมืองสร้างความแตกแยกร้าวฉานให้ประเทศชาติ

    ประนามานุกรมบุคคลอันตรายสำหรับประชาธิปไตย:ไพศาล พืชมงคล

    ปฏิบัติการตอกลิ่มล่าสุดของสื่อเครือผู้จัดการ กระบอกเสียงของพันธมิตรต่อสังคมไทยคือการเขียนบทความหมิ่นเหม่ว่า"โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว เห็นแล้วว่าประทับอยู่ข้างไหน”โดย อ้างกรณีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไปพระราชทานเพลิงศพ"น้องโบว์"เมื่อ13ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ถูกวิจารณ์วิจารณ์อย่างมาก แม้แต่ผู้อ่านของผู้จัดการเอง

    สำหรับ สิริอัญญาผู้เขียนบทความนี้เป็นนามปากของนายไพศาล พืชมงคล นามปากกาสิริอัญญานำมาจากชื่อภรรยาของเขา นายไพศาลเป็นเจ้าของสำนักกฎหมายธรรมนิติ ได้ชื่อว่าเป็น"ฝ่ายซ้ายเก่า"หรือผู้นิยมเลื่อมใสลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ผู้หนึ่ง โดยหลังเหตุการณ์14ตุลาคม 2516 ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้แทรกซึมเข้ามายังขบวนการนักศึกษาและ กรรมกร นายไพศาลได้ตั้งวงดนตรี “คนจน” เพื่อหนุนช่วยงานกรรมกร และเป็นผู้แต่งเพลงศักดิ์ศรีกรรมกรอันโด่งดัง เป็นนักเขียนบทความตั้งแต่เป็นนักศึกษา หลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นผู้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายคือ “อธิปัตย์” และ “ประชาธิปไตย"


    เพลงศักดิ์ศรีกรรมกร

    (สร้อย) เสียงครวญของมวลกรรมกร
    ใช่เสียงอ้อนวอนขอความปรานี
    แต่เป็นเสียงเพื่อสิทธิ์เสรี
    ที่ถูกย่ำยีกดขี่มานาน

    อาบเหงื่อแทนน้ำเช้าค่ำ
    ทนลำบากยากเข็ญ
    ชีวีเราแสนเศร้าลำเค็ญ
    มองไปไม่เป็นดังเช่นคน
    ผอมซูบโซโอ้อับจน
    ผองเราทุกคนต้องสู้เพื่อเสรี
    (สร้อย)
    ทำงานทุกวันขันกล้า
    ค่าเลี้ยงชีพไม่พอ
    ลูกและเมียร้องเรียกหาพ่อ
    หิวข้าวตัวงอระงมไป
    ดวงเดือนดาวพราวสดใส
    แม้สอยกินได้ จะสอยไว้ให้ลูกกิน
    (สร้อย)
    หยาดเหงื่อไหลรินสรรค์สร้าง
    ทั่วโลกกว้างงามตา
    ปวงนายทุนขุนศึกศักดินา
    มันกดขี่ บีฑา กินเลือดเรา
    ทำเท่าไรได้พวกเขา
    เอ้าเอา พวกเราโค่นล้มมันเถิดเอย
    (สร้อย)
    กรรมกรจงรวมกันเข้า
    ร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณ
    สามัคคีน้องพี่คนงาน
    ร่วมแรงฝ่าฟันไม่พรั่นใคร
    แอกบนบ่าปลดออกไป
    สร้างความเป็นไท สดใสนิรันดร
    (สร้อย)

    เพลง ศักดิ์ศรีกรรมกร นี้ปรากฏครั้งแรกในหลังยุค 14 ตุลา2516 เมื่อ ปี 2517 แสดงครั้งแรกโดย วงดนตรีคนจน ณ โรงงานย่านอ้อมน้อย ขับร้องครั้งแรกโดย นิรุตติ์, จำนูญ, ระพิน และ แอ๋ว วงดนตรีเฉพาะกิจวงนี้ร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวชุมนุมของผู้ใช้แรงงานใน พื้นที่ กรุงเทพมหานคร -ปริมณฑล และ สลายตัว ไปหลังเหตุการณ์ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 เนื่องจาก จำนูญ สมาชิกคนสำคัญ ถูกยิงเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นาน แอ๋ว ก็ ถูกยิงเสียชีวิต ส่วน ระพิน สมาชิกอีกคนหนึ่ง หายสาบสูญ แต่ไพศาลที่เป็นคนแต่งเหลือรอดมาเขียนบทใหม่และอุดมการณ์ใหม่คือ"โอ้ว่าทูลกระหม่อมแก้วฯ"

    น้องไพศาล-ไพศาล ส่งนายพิธาน พืชมงคล เป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยใกล้ชิดที่สุดให้สนธิ ลิ้มทองกุลมา 3 ปีแล้วนับแต่สนธิก่อกลียุคขึ้นในบ้านเมืองเป็นต้นมา สะท้อนสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นของทั้งสอง

    อย่างไรก็ตามต่อมาไพศาลมาทำ งานให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นักปราบคอมมิวนิสต์ และมาเขียนบทความให้ผู้จัดการของสนธิ ลิ้มทองกุล เขายังส่งนายพิธาร พืชมงคล เป็นบอดี้การ์ดใกล้ชิดที่สุดให้กับสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำสูงสุดของพันธมิตร ต่อมาในการรัฐประหาร19กันยายน 2549 ไพศาลเป็นคนเขียนแถลงการณ์คณะรัฐประหารฉบับแรกๆจากการเปิดเผยของคำนูณ สิทธิสมาน และเขาได้ตบรางวัลเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสายของนายสนธิ ลิ้มทองกุลด้วย

    ไพศาลก็เช่นเดียวกับฝ่ายซ้ายเก่าจำนวนมากรอบตัวนาย สนธิ ไม่ว่าจะเป็นคำนูณ สิทธิสมาน สำราญ รอดเพชร ประพันธ์ คูณมี สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พิภพ ธงชัย อมร อมรรัตนานนท์ กระทั่งแจ๊ค-วัชระ เพชรทอง และสุริยะใส กตะศิลา ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยสมาทานอุดมการณ์สังคมนิยม หรือแม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เคยประกาศจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์มาก่อน แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป พวกเขากลับเชิดสถาบันขึ้นบังหน้าแล้วนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อ กำจัดปฏิปักษ์ทางการเมือง รวมทั้งกำจัดอำนาจของประชาชนไทยที่ต้องการประชาธิปไตย แล้วนำบ้านเมืองถอยหลังลงคลองด้วยการเมืองโควต้า70:30

    *อ่าน “โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว เห็นแล้วว่าประทับอยู่ข้างไหน”ที่สิริอัญญาเขียน คลิ้กที่นี่

    โดย คุณรักในหลวงห่วงลูกหลาน
    ที่มา บอร์ดฟ้าเดียวกัน
    7 พฤษภาคม 2552


    ตอน นี้ว่าด้วยคอลัมนิสต์ไทยรัฐ ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ชี้เป็นชี้ตาย จิกหัวใครด่าไอ้นั่นต้องกลายเป็นโจร เชียร์ใครก็กลายเป็นเทวดา พวกนี้มันเป็นใคร อยากรู้ก็ล้อมวงกันเข้ามา

    สมชัย กตัญญุตานันท์(ชัย ราชวัตร)

    เริ่ม ทำงานด้านหนังสือโดยการเป็นฝ่ายศิลป์ให้หนังสือกีฬา ชื่อ เดอะเกม และหนังสือพิมพ์การเมือง ชื่อ ธงไชย และหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ ซึ่งชัยได้เริ่มต้นการเขียนการ์ตูนการเมืองชิ้นแรก ชื่อ “ใครจะเอากระพรวนไปแขวนคอแมว” จากนั้นได้วาดภาพประกอบ 'งิ้วการเมือง' ข้อมูลจากwiki

    ชัย ราชวัตร แกสร้างชื่อสมัย6ตุลาครับ ก็เหมือนๆคนหนังสือพิมพ์เอียงซ้ายทั่วไปที่เห็นอกเห็นใจคนยากจน ต่อต้านชนชั้นปกครอง พื้นเพชัยเป็นคนอุบล ก็จะเก็ตเรื่องชนชั้นง่ายหน่อย แกก็สร้างตัวละครไอ้บักจ่อยเป็นตัวแทนของชาวบ้านที่โง่ จน เจ็บ เซอะซะถูกเอาเปรียบ แต่ก็ออกแนวศรีธนญชัยในการแก้เผ็ดชนชั้นปกครอง แล้วผู้ใหญ่มาก็เป็นตัวแทนของชนชั้นปกครอง แต่ก็เป็นชนชั้นปกครองที่ไม่ได้กดขี่ขูดรีด คือเป็นตัวประสานระหว่างทางการกับคนบ้านๆแบบไอ้บักจ่อย

    ตัวละครชุดนี้ก็เลยดังมาก ถึงขั้นเคยเอาไปสร้างเป็นหนังของพวกที่เคยทำหนังครูบ้านนอก ก็ล้านแล้วจ้ามาแล้ว

    ดัง มากๆเข้าชัยก็ไปเข้าตาผู้ใหญ่ เลยได้ไปวาดการ์ตูนพระมหาชนก ตอนนั้นมีปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา(ย้อนขึ้นไปอ่านที่ผมเขียนไว้)เป็นแม่งานโต้โผ ชัยก็เข้าไปรับงาน แล้วก็ต้องฟังบรี๊ฟจากท่านผู้พระราชนิพนธ์ใกล้ชิดมาก ก็ทำให้ชัยค่อยๆเคลื่อนจุดยืนมาเรื่อยๆ

    หลังๆตัวละครไอ้บักจ่อยเลย ไม่ค่อยมีบทบาท อาจเพราะว่ามันโง่ ขายเสียง คลั่งเหลี่ยม ชัยก็สร้างตัวละครใหม่เป็นชนชั้นกลางมีอายุพอสมควร ตื่นเช้ากินกาแฟดูข่าว สายขับรถไปทำงานออฟฟิศ ไปออฟฟิศก็นั่งด่าพวกรากหญ้าว่างี่เง่า ว่าเหลี่ยมกระหลั่วสั่วตีน


    ลม เปลี่ยนทิศ

    ลม เปลี่ยนทิศตามการเมือง-ลม เปลี่ยนทิศ หรือ ใต้ฝุ่น เป็นนามปากของสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ เขายังเป็นเจ้าของนิตยสารการเงินการธนาคารอีกด้วย เลยได้พื้นที่คอลัมน์เขียนเชียร์หนังสือตัวเองไปในตัว

    ทั้งยังอาศัย เส้นสายความเป็นเจ้าของการเงินการธนาคาร และเจ้าของนามปากกาบิ๊กเนม ไปเป็นเจ้าของงานMoney expoอีกด้วย โดยได้อาศัยทางกระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์ แบงก์ต่างๆ บริษัทโบรกเกอร์เปิดงานชวนคนมาเล่นหุ้น หรือกองทุน จัดมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ก็เพิ่งจัดไปหมาดๆ

    เขายังเป็นเจ้าของนามปากกาใต้ฝุ่นเขียนคอลัมน์สังคมหน้า4ไทยรัฐด้วย

    ด้วย ความที่เป็นนักธุรกิจด้วย เป็นคอลัมนิสต์ด้วยก็เลยทำให้ใต้ฝุ่น หรือลม เปลี่ยนทิศต้องอิงๆกับใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลแหละนะครับ เพราะมันไปเกี่ยวกับการทำมาหากินของเขา

    กิเลน ประลองเชิง

    เป็น นามปากกาของประกิต หลิมสกุล สมัยก่อนใช้นามปากกาทแกล้ว ภูกล้าจนโด่งดัง พอป๊ะกำพลเจ้าของไทยรัฐตายก็ออกไปร่อนเร่ในยุทธจักรอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหวนคืนไทยรัฐมาใช้นามปากกานี้ครับ ผมรู้จักมักคุ้นพี่ประกิตในระดับหนึ่ง แกเป็นคนอัธยาศัยใจคอดีทีเดียว ชอบไปทางพระทางเจ้า พระเครื่องอะไรงี้ แกเป็นคนสมถะนะ อันนี้หมายถึงสมัยที่รู้จักกัน แกเป็นคอลัมนิสต์ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่มีรถส่วนตัวใช้(แต่ตอนนี้ไม่รู้ยังไงนะ ผมไม่ได้เจอแกนานพอสมควร)

    ผมว่าก็เหมือนคอลัมนิสต์แก่ๆทั่วไป คือไม่รู้จักทำการบ้าน ไม่รู้จักหาข่าว เขียนตามใจกูเป็นหลัก กูรักปชป.กูเกลียดเหลี่ยม ก็จะเขียนงี้แหละ มึงมีปัญหาอะไรกับกู....ไทยรัฐเค๊าก็ให้อิสระ ถือว่ายกเนื่อที่สัมปทานให้ทำมาหาแดกไป แต่เวลาจะรวมการเฉพาะกิจตีเมืองขึ้น ก็ต้องรับงานนายด้วยอะไรยังงี้

    แม่ลูกจันทร์

    เป็นปลายปากกาจากอารมณ์ขันของชูพงศ์ มณีน้อยครับ แต่ก่อนแกเขียนนี่แม่งฮาก๊ากทุกเม็ด พักหลังๆนี่ไม่ค่อยฮาหวะ

    กระสุนทอง

    เป็น นามปากกาของสุนทร คันธพิศาล เขาไม่ค่อยเล่นบทตัวทางเปิด แต่เป็นอันรู้ว่าคนผู้นี้เขียนคอลัมน์สังคมหน้า4ไทยรัฐ ปกติกระสุนทองจะสมคบกับพวกกํวน18อรหันต์อย่างพวกพญาไม้,บารอน,ตรีศูล,มดคัน ไฟ อะไรอย่างนี้ไปกินข้าวเย็นกับพวกนักการเมือง ทหาร ผู้ใหญ่แวดวงต่างๆ เป็นที่มาของข่าววงในมั่ง หรือพวกคอลัมนิสต์อรหันต์เหล่านี้จะกำหนดทิศทางของบ้านเมืองว่าจะไปทางไหน จะตีเมืองขึ้นใคร หรือจะเชียร์ใครให้ล้ำเลิศเป็นเทวดา

    กระสุนทองเลยนับเป็นคอลัมนิสต์ 18 อรหันต์อีกคนในวงการ

    สายล่อฟ้า

    สายล่อฟ้า เป็นนามปากของ ลิขิต จงสกุล ที่เขียนสับรางวันอาทิตย์ในไทยรัฐนะฮะ

    สาย ล่อฟ้าก็เริ่มต้นที่รายวันหัวขาวดำคือมาตุภูมิ ของชัชรินทร์ ตอนหลังก็มาอยู่ไทยรัฐ เป็นเขยไทยรัฐแล้วก็เป็นบอร์ดไทยรัฐ เขาเรียนรัฐศาสตร์ เชียงใหม่รุ่นเดียวกับเมพเมือกครับ ก็คงมีใจให้กันไม่น้อย

    แต่ความที่เรียนรัฐศาสตร์รุ่นเดียวกับเม พเมือก มันก็ปลูกฝังกันด้วยระบบโซตัส หรือซิเนียริตี้ให้รักเพื่อน ถึงเพื่อนจะเหี้ยยังไงก็พวกกู เอาพวกไว้ก่อน ก็ไม่แน่ลิขิตอาจพอมีใจให้เมพเมือกมั่ง แต่ว่าสมัยไทยรัฐถล่มเมพเมือกสปก.นี่ลิขิตก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่หรอก นะ

    ส่วนเสี่ยจ้อนนี่มันถึงลูกถึงคนกับพวกนักข่าวนะ ไอ้นี่สมัยลงเล่นการเมืองใหม่ๆมันบุกไปเยี่ยมถึงทุกโรงพิมพ์ กราบงกๆให้ช่วยเชียร์มันหน่อย มันบอกสู้กับเจ้าพ่อเมืองเพชรคือพี่แป๋ง ผมเองยังเคยหลงเชียร์มันด้วยความสงสารมาแล้ว ก็คิดดู

    ว่าไปแล้ว มาตุภูมินี่มีอายุซัก3-4ปีเองนะครับ แต่นักข่าวที่เริ่มที่นั่น และยังมามีชื่อเสียงในวงกามตอนนี้ก็หลายคน นอกจากสายล่อฟ้าแล้วก็ยังมีฉลามเขียว-วีรจักร ก้อนทอง ที่เคยเขียนหน้า3ไทยรัฐนี่อีกคน เข้าใจว่า"งานเข้า"เลยโดนปลดพ้นหน้า3ไป

    ลิขิตนี่เขาเป็นเขยไทยรัฐอ่ะนะ
    เขา จะเขียนสับรางวันอาทิตย์ ก็ไม่ค่อยมีอะไรลึก ไปเรื่อยๆเปื่อยๆ ผมว่าเขาน่าจะคุมวิเคราะห์ข่าวหน้า3วันอาทิตย์ด้วย ก็จะไปตามกระแสเป็นหลัก ก็สไตล์ไทยรัฐคือไม่แหลมคม แบบบ้านๆแล้วก็ไปตามกระแสซะมาก


    นอก นั้นที่คุ้นๆชื่อกันก็มีสำราญ รอดเพชร โฆษกเวทีเหี้ยเหลือง, สุนันท์ ศรีจันทรา พิธีกรรายการหุ้นที่ชอบด่าเหลี่ยมเป็นอาชีพหลัก, อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ บก.กรุงเทพธุรกิจ, พงษ์ศักดิ์ ศรีสด บก.เนชั่นสุดสัปดาห์, นาตยา เชษฐ์โชติรส หัวหน้าข่าวบางกอกโพสต์ อดีตนายกสมาคมนักข่าวเมื่อปีกลาย, คมทวน คันธนู-อัศศิริ ธรรมโชติ กวี/นักเขียนซีไรต์, เหยี่ยวถลาลม-มติชน,วงศ์ ตาวัน-ข่าวสด, ณรงค์ ชื่นชม เจ้าของรายการกรองสถานการณ์ ช่อง 11, อายุษ ประทีป ณ ถลาง อดีตบก.แนวหน้า และอดีตบก.ข่าวไทยโพสต์, สุรวิชช์ วีรวรรณ-ผู้จัดการ, ปาริชาติ ประคองจิตร์ เป็นอาทิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×