ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความเลวของสื่อ

    ลำดับตอนที่ #1 : นี่คือสงครามสื่อ "ของจริง" จาก เจ้าพ่อที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 50


    ในยุคสมัยหนึ่ง อเมริกัน เคย ใช้สงครามสื่อกับรัฐบาลกัวเตมาลา
    ผลที่ออกมาได้ดีเกินคาด นั่นคือ ผู้นำกัวเตมาลา (ประธานาธิบดี อาร์เบ๊นซ์) ถูกล้มลงในพริบตาเนื่องจากการใช้สงครามสื่อ จาก ทางรัฐบาลอเมริกา

    นี่คือบทพิสูจน์ให้เห็นว่า "สื่อ" มีอิทธิพลครอบงำคนทุกชนชั้น คนรวย คนจน คนรู้เยอะ คนรู้น้อย ทุกคนต่างบริโภคสื่อ

    และสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของการบริโภคสื่อของคนเหล่านั้นคือ"พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเรื่องที่เขียนในสื่อเป็นเรื่องจริง แท้ทุกประการ!!"ทุกคนคงเคยเจอมาแล้ว ที่ว่า เรื่องเดียวกันหัวข้อเดียวกัน

    แต่รายละเอียดของเรื่องราวเหล่านั้น ที่ลงในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับกลับไม่เหมือนกันเลย

    ผมจึงย้อนกลับมาคิดว่า "เฮ่ยแล้วที่กรูอ่านข่าวไปทั้งหมดนั้น กรูจะรู้ได้ไงว่าอันไหนเรื่องจริงวะ"

    แต่คนก็ยังเชื่อ ข่าวเหล่านั้นเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่อย่างงั้นจะไปเชื่อใครละ(วะ?)

    และเช่นกัน นี่คือจุดอ่อนของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่นายทักษิณ มองข้ามไป หรือ จงใจที่จะมองข้ามไป

    ยังจำกันได้ใช่ไหมครับ เมื่อก่อนมีดาราคนนึงเคยมีเรื่องมีราวกับนักข่าวโยนนักข่าวออกไปจากบ้าน ด้วยความสะใจ

    สุดท้ายเจอ นักข่าว ทุกสำนัก บอยคอต ร่วมหัวกันไม่ลงข่าวของดาราคนนี้

    ผ่านไปเกือบปี ดาราคนนั้น ไม่มีชื่อได้ลงในหนังสือพิมพ์อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว...ส่งผลให้ดาราคนนั้น แทบจะเครียดยิ่งกว่าเดิมอีก สุดท้ายดาราต้องออกมาขอโทษนักข่าวแล้วบอกว่า "ผมขอโทษครับ ผมรู้แล้วว่า สื่อสำคัญแค่ไหน"

    รัฐบาล ทักษิณ ก็เช่นกัน เราน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่า รัฐบาลมักจะเป็นศัตรูกับสื่ออยู่ตลอด โดยเฉพาะรัฐบาลนี้

    รัฐบาลทักษิณ ไม่เคยก้มหัวให้สื่อเลยแม้กระทั่งสักครั้งเดียว

    และแล้วเรื่องราววุ่นวายมันก็เกิดขึ้น จากจุดนี้ เมื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล นักพูดชื่อดัง และเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการประกาศสงครามกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการและออกหน้าออกตา ส่งผลให้ เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลไปทั่วทุกแห่งหน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    นี่คือความจริงที่เราไม่สามารถปฎิเสธได้ไม่ว่าคุณจะบอกว่า"ผมไม่ได้ชอบสนธิ..แต่สนธิเอาความจริง รัฐบาลมาแฉ ผมเชื่อเขา" "สนธิเป็นแค่คนๆหนึ่ง เขาจะเลวยังไงผมไม่รู้แต่เขาออกมาแฉความจริงของบ้านเมือง ผมเชื่อเขา"
    สุดท้าย ไม่ว่าใครจะพูดยังไงทุกคนต้องลงท้ายด้วยคำว่า"ผมเชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล"

    คุณเคยลองย้อนกลับไปคิดหรือไม่ว่าสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นใคร? ทำไมคุณจึงเชื่อเขา "ถ้ามีคนออกมาพูดเรื่องเดียวกัน ด้วยวาจาที่น่าเบื่อ ไม่น่าฟัง คุณจะเชื่อเขาไหม?"

    แน่นอน ใครจะไปเชื่อ ถ้ามีคนออกมาพูดติดๆขัดๆ เลิกๆลักๆ แต่ใช้คำพูดคำเดียวกันกับสนธิลิ้มทองกุล แน่นอน ว่าไม่มีใครเชื่อ

    แต่ทุกคนเชื่อ เพราะ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นนักพูดตัวฉกาจ ที่สามารถโน้มน้าวใจคนได้ทุกแห่งหน ทำไมเมื่อตอนที่สนธิ ยังไม่มีปัญหากับรัฐบาล เมื่อเขาพูดชมรัฐบาล คุณเชื่อ! เมื่อเขาด่ารัฐบาล คุณเชื่อ!..

    เขาออกมาบอกว่า ผมกลับใจได้เมื่อก่อนผมเลวแต่ตอนนี้กลับใจแล้ว คุณก็เชื่อ!

    ผมเชื่อว่าถ้า สนธิ กลับมาพูดชมนายกแล้วบอกว่า "ที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดไป"พร้อมกับพูดจาโน้มน้าวตามประสา นักพูดพวกคุณก็จะเชื่อ และ ม้อบก็จะสลายตัวหายไปกว่า เกือบครึ่ง

    คำถามของผมคือพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย จะเกิดกระแสรุนแรงขนาดนี้หรือไม่ ถ้าไม่มีสนธิ ลิ้มทองกุล?

    สื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ เว็บไซด์ หรือตัวเขาเอง ต่างเขียนข่าวโจมตีรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอ่ะไร สนธิ ลิ้มทองกุลรู้ดีว่า คนไทยอ่อนไหว กับสีของธงชาติ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

    หากคุณสังเกตคุณจะพบว่า เรื่องที่สนธิโจมตีรัฐบาลในช่วงต้น ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริยั ทั้งหมด

    โดยเฉพาะ สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพยิ่งของคนไทย สนธิ รู้จุดนี้ดี จึงออกมาใช้สโลแกนว่า
    "เราจะสู้เพื่อในหลวง!"
    "เราจะกู้ชาติ"
    "ทำไมต้องมีพระสังฆราช สอง องค์"
    "นายก จาบจ้วงเบื้องสูง"

    คุณไม่สังเกตหรือว่า ข่าวที่สนธิ นำมาประโคมให้ดัง นำมาจุดให้ไฟติดล้วนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทั้งสิ้น นอกจากนั้น สนธิยังพยายาม จุดกระแสแห่ง "คนหมู่มาก"ให้เกิดขึ้น เพราะสนธิรู้นิสัยคนไทยดี ที่ชอบทำอ่ะไร "ที่ใครๆเขาก็ทำกัน " สนธิพยายาม ปั่นกระแสตัวเลขที่เยอะแยะมากมาย เข้ามาในสื่ออาทิเช่น
    "ม้อบวันนี้ มีคนมากว่า ครึ่งล้านแล้ว!!!"
    "นักวิชาการนักพูด นักธุรกิจมากมาย ร่วมกันขับไล่นายก"
    "นักวิชาการ ผู้มีชื่อเสียงหลายท่านออกมาขับไล่นายก"
    "ตอนนี้ คนไทยทั้งประเทศ เค้าไม่ต้องการนายกแล้ววววว!!"

    สนธิใช้วาจา ที่แสนจะปลุกใจ พูดให้คนไทยคิดว่า คนส่วนใหญ่คิดแบบเขาแน่นอน!!! และนั่นก็ได้ผลในระดับที่ดีเกินคาด กลายเป็น วงจร อุบาทว์ ที่กำลังกลืนกินความจริง เมื่อคนๆหนึ่งเชื่อว่ามีคนทั้งประเทศที่ไม่ได้คิดเหมือนเขานะ จิตใจเขาก็จะเริ่มสับสนและเอนเอียงไปอย่างไม่รู้ตัวว่า "เฮ่ย นี่กูกำลังคิดอ่ะไรผิดรึเปล่าวะ?"

    คนฉลาด คนโง่ คนเก่ง คนห่วยทุกๆคน หาก "ขาดสติ ที่มั่นคง" เมื่อฟังวาจา ของสนธิ ลิ้มทองกุลย่อมต้องคล้อยตาม และการครอบงำทางความคิดก็ยิ่งมากขึ้น

    "วงจร ของ สนธิลิ้มทองกุลจึงเกิดขึ้น" เมื่อ "คนฉลาด แต่ขาดสติ โดนสนธิ ปั่นหัวจนติด"

    เมื่อคนฉลาด ที่เต็มไปด้วยความรู้เหล่านั้น ออกมาโจมตีรัฐบาล ด้วยความคิดที่ถูกปลูกฝังจาก วงจร สนธิ คน ปกติ ก็จะเริ่มเชื่อ และเอนเอียงขึ้นเรือยๆ เพราะพวกเขาเชื่อ คนฉลาดเหล่านั้น

    คนฉลาด เมื่อขาดสติ เมื่อโดนสื่อครอบงำ ก็ไม่ต่างอ่ะไรกับ นักรบที่เต็มไปด้วยอาวุธ แต่กำลังเมาเหล้า สามารถฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้โดยไม่รู้ตัวและทั้งหมดนี้ก็คือที่มาของกระแสต่อต้านนายกในทุกวันนี้

    Website manager กลายเป็น Website ติดอันดับ 1 ใน 2 ที่มีคนเข้าชมมากที่สุด แต่Website นี้กลับลบความคิดเห็น ที่ไม่ตรงกับตนทั้งหมดทิ้ง (เรื่องนี้ ไม่มีหลักฐาน แต่คุณสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง เลยครับ) ทำให้ผู้คนที่เกลียดชังนายกอยู่แล้ว ยิ่งปักใจเชื่อเข้าไปอีกว่า คนส่วนใหญ่ ไม่มีใครชอบนายกอีกต่อไปแล้ว เพราะมีแต่ความคิดเห็นที่เกลียดชังนายก อยู่เต็ม Website ไปหมด ก่อให้เกิดกระแสแห่งความเกลียดชังที่ หลงงมงาย คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ถูกต้องเพราะเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม

    ถามตัวเองดูคุณเป็น เหยื่อ ของนายสนธิ หรือเปล่า คุณกำลังเชื่อ สิ่งที่คุณเห็นจริง หรือคุณกำลังเชื่อกระแส แห่ง สื่อ กระแสแห่งนักวิาการผู้น่าเชื่อถือ ที่มันกำลังพาคุณไป

    คุณอาจจะบอกว่า "เพราะตัวผมเองนี่แหละ ผมเห็นแล้วว่าทักษิณ มันเลว มันโกงชาติ มัน..." ผมอยากให้คุณลองหลับตา
    แล้วนึกภาพดูว่าถ้าไม่มีหนังสือพิมพ์ ในเครือผู้จัดการ ถ้าไม่มี นักวิชาการ นักพูด(ที่ก็ บริโภคแต่ตำรา +หนังสือพิมพ์) ถ้าไม่มี สนธิ ลิ้มทองกุล

    พวกคุณ จะเกลียดนายกคนนี้หรือไม่ หากคำตอบในใจของคุณคือ "ผมเกลียดนายก ทักษิณ ครับ ผมเห็นว่านายกทักษิณไม่ดีจริง ผมไม่ชอบนโยบายของเขา..." ผมขอแสดงความยินดี คุณคือผู้มีความคิดเป็นของตัวเอง

    แต่หากคำตอบคือ "..ผมไม่แน่ใจ...แต่ผมก็อ่านข่าว ผมก็ฟังนักวิชาการ..ผมเห็นคนส่วนใหญ่ ก็ออกมด่านายกทั้งนั้นนี่..มันจะไม่จริงได้ไงละ" คุณกำลังตกเป็นเครื่องมือของเขาไปแล้วเรียบร้อย


    ผมไม่ได้บอกว่า สิ่งที่สนธิ พูดหาความจริงไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า เรื่องกว่าครึ่ง จากสื่อของสนธิลิ้มทองกุล เกิดจากการ ปั่นกระแสแห่งความเกลียดชังด้วยวาจาที่เฉียบคบมาแล้วทั้งนั้น

    เรื่องเดียวกัน หากใช้คำพูดที่ต่างกัน อาจกลับจากถูกเป็นผิด และ ผิดเป็นถูกได้ทันที หากผมลงพาดหัวข่าวว่า
    "สยาม พารากอน ปิด ห้างหนีม้อบ เป็นเวลา2 วัน " แน่นอน จะมีกระแสที่บอกว่า "เห็นไหม ห้างเขายังปิดหนีม้อบเลย"

    แต่ สื่อผู้จัดการกลับเลือกที่จะลงข่าวว่า"สยามพารากอน เปิดทาง พันธมิตร ปิดห้าง2 วัน" กระแสก็จะกลายเป็น "เห็นมั้ย เค้าปิดห้างเพื่อม้อบเลย"


    บทความที่ผมเขียนนี้ผมแค่อยากจะมาบอกทุกๆคนว่า การเล่นสงครามสื่อโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ เป็นเรื่องที่ เลวทราม ต่ำช้าที่สุด ของมนุษยชาติยิ่งกว่าระบอบเผด็จการ มากมายนัก การทำให้ คนๆหนึ่งถูกเกลียดชังโดน วาจา ที่โน้มน้าว ปลุกระดมคนหมู่มาก เพื่อเข้าร่วมอุดมการณ์ ของตน โดยไม่สนว่า สิ่งที่ตนพูดจะเป็นเรื่องโกหก เพื่อทำลายคนอีกคนหนึ่ง

    คุณคิดหรือว่า คนๆนี้คุณสมควรที่จะมอบหน้าที่ให้เขาเป็นผู้ "สื่อสารความจริง" ให้กับคุณคนที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล คือผู้มีอิทธิพล จอมบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จอมปลุกระดม ความเกลียดชัง

    คุณไว้ใจคนๆนี้หรือว่าเค้าจะนำสิ่งที่ดีกว่า มาให้ประเทศชาติของคุณ?

    การเกลียดชังคนหนึ่งคนแล้วมาตะโกนด่าเขาได้อย่างสะใจ ถ้า เขาคนนั้นไม่ได้มาทำร้ายร่างกายคุณหรือเคยทำให้ คุณได้รับความเสียหายโดยตรงละก็ ยากครับ

    แต่หากคุณสามารถเกลียดเขาเข้าใส้ขนาดนั้นได้ แปลว่า "คุณกำลังเชื่อว่าเขาคนนั้นเลวทรามสุดๆ..ด้วยอิทธิพลของบางสิ่งบางอย่าง..และกำลังเชื่ออย่างสนิทใจ"

    ตัวอย่างของประเทศ กัวเตมาลาที่ถูก อเมริกาเล่น สงครามสื่อคงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องๆนี้ลองไปศึกษาอ่านดูนะครับ

    คุณมีสิทธิ์ ที่จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างเพราะมันคือ "ประชาธิปไตย"

    แต่คุณ "ห้าม" ตกเป็นเครื่องมือของ คนชั่ว ที่ใช้ประชาธิปไตยเครื่องมือเด็ดขาด เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังเป็น ส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมคนชั่วเหล่านั้นโดยบริสุทธิ์ใจ

    อเมริกา เจริญ มาได้ถึงทุกวันนี้ เพราะคนของเขา "เลือกที่จะเชื่อ และ ไม่เชื่อ " ได้โดยไม่มีใครชักจูงเขาได้

    "คนชั่วไม่มีวันหมดไปจากโลกใบนี้ แต่สิ่งที่เราทำได้คืออย่าให้คนชั่วเหล่านั้นมีอำนาจเหนือคนดี"

    อำนาจ ที่ว่านี้ไม่ใช่อำนาจนายกรัฐมนตรี แต่อำนาจ ของจริงในยุคนี้ คืออำนาจสื่อที่คุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าตกอยู่ในมือคนดี หรือ คนชั่วช้าสามาญ ขนาดไหน

    บริโภคสื่อด้วยสติ คุณจะกลายเป็นคนทันโลก บริโภคสื่อโดยขาดสติ คุณจะกลายเป็น ไอ่โง่ทันที

    ฝากกลับไปคิดนะครับ
    จากคุณ : OscaMee- [ 29 มี.ค. 49 01:51:01 ]

    ในชีวิตผมเพิ่งเคยเห็น
    คนแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน
    ไม่ยอมรับกติกา บางคนอาจจะบอกว่าเป็นสิทธิที่แสดงได้ตามระบอบ
    แต่ก่อนเรามีพรรคการเมืองมีการเลือกตั้ง
    แฟนอีกฝ่ายค้าน อาจะไม่ชอบฝ่ายรัฐบาล
    แต่ทุกอย่างก็จบลงตรงการเลือกตั้ง และก็จะมากันตอนเปิดสภาอภิปาย แต่ไม่เคยมีแบ่งกันเป็นสองฝ่าย
    อย่างนี้มากมายมาก่อน
    สนธิทำให้คนไม่ยอมรับในกฏหมาย ไม่ยอมรับในระบบศาล
    แต่สนธิตั้งคำถาม และตัดสินเองหมด
    การเลือกตั้งไม่มีความหมาย เพราะต่อให้ทำตามระบบอย่างไง ก็จะมีการออกมาเดินประท้วงกันอยู่อย่างนี้
    ต่อให้มีการตั้งคนกลางตรวจสอบ ถ้าตัดสินว่าทักษิณไม่ผิด หรือผิดบางเรื่องลงโทษไม่รุ่นแรง
    สนธิก็จะไม่ยอมเลิก

    บ้านเมืองการเป็นแบ่งฝักฝ่าย ร่วมทั้งจำลองผู้ดื้อรั้น
    ใช่จำลองจะไปสนอะไร ตนเองไม่กินเนื้อกินแต่ผัก
    อยู่ยังไงก็ได้ จำลองเคยคิดถึงคนที่เค้ามีลูกมีเมีย
    มีครอบครัวตัองดูแล แล้วเศรษฐกิจที่ผมคิดว่ากำลังจะไปดีต้องมาหยุดชะงัก

    ผมไม่โทษท่านทักษิณ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็ไม่อยากจะทำงานต่อหรอกเจออย่างนี้ แต่ถ้าจะให้ลงเพราะคนมาไล่นอกระบบแบบนี้ ผมก็สู้ตายเหมือนกัน

    แถวบ้านผม ๆ เคยฟังคนขายหนังสือพิมพ์ คุยกับคนขับรถมอร์เตอรไซค์ คนขายหนังสือพิมพ์ ดู AST ทีวีทุกวัน เหมือนยาเสพติด วันหนึ่งคนขับรถมาซื้อหนังสือแล้วพูดว่า
    น่าสงสาร ทักษิณ เนอะ
    คนขายหนังสือพิมพ์ผู้หญิง บอก "สงสารมันทำไม มันเลวขายชาติ"
    ผมได้แต่สะท้อนใจ และอยากถามว่าเลวเรื่องอะไร

    ได้ยินผู้หญิงคนขายหนังสือพิมพ์ บอกว่า เอาธงทรงพระเจริญมาเชียร์ตนเอง
    และบอกว่าให้ในหลวงมากระซิบข้างหู้

    ดูแล้วกันเรื่องอย่างนี้ มีการใส่ไข่กันจน
    คนไม่รู้เท็จจริง เกลียดกันไปหมด

    เหมือนล่าสุด ที่ละลายทรัพย์ ผมดูแล้วอนาจใจ
    กับท่าผู้หญิงที่ตะโกนไล่ แล้วทำตัวสั่น
    เหมือนผู้นำประเทศนี้มันเลวร้ายมากถึงขนาดนี้

    ตอนหลังมีคนไปถาม บอกว่าเรื่องหุ้น ให้อภัยได้ แต่เกลียดเรื่อง เอฟต้า ซึ่งตัวผมอยากถามเธอว่า ที่เธอว่าเลวร้ายนั้น เค้าตกลงกันแล้วหรือ และเลวร้ายยังไง

    ในที่สุดเหมือน จขกท สื่อ มีผลต่อชีวิตคนมาก
    ถ้าคนขาดความคิด คิดว่าสื่อยังไง ๆ ก็ต้องลงเรื่องที่ถูกต้องเสมอไป
    ดังนั้นผู้เสพ จึงตรงเป็นเหยื่ออย่างง่าย หากไม่รู้จักค้นคว้า และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

    จากคุณ : หน้าดำเปา- [ 29 มี.ค. 49 03:09:46 ]
    จิตวิทยาสนธิ ทำลายทักษิณ ด้วยประเด็น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    ความสำเร็จในการเคลื่อนไหวของสนธิว่า เพราะเหตุใดจึงสามารถก่อกระแสสูงได้ขนาดนี้ หัวใจหลักนั้น ผมเข้าใจว่า อยู่ตรงที่คุณสนธิตีโจกท์แตกกระจุยถึงความเป็น"รัฐชาติ" และอ่านขาด "จิตวิทยามวลชนชาวไทย" ได้อย่างล้ำลึก แม้จะช้าไปหน่อย กว่าจะอ่านขาดก็เถอะ...

    รัฐชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)

    คุณสนธินั้นมีปูมหลังเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ในยุคก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาก่อน หนังสือพิมพ์ในพ.ศ.นั้นถ้าไม่ซ้ายก็ขวา ในฐานะผู้บริหารกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ผมคิดว่าคุณสนธิ(รวมทั้งฝ่ายซ้ายร่วมสมัย) ตระหนักดีถึงสิ่งที่ก่อรูปเป็น รัฐชาติ ในเวลานั้นที่แสดงผ่าน คำขวัญ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ฝ่ายขวา และฝ่ายกลางๆมีชัยชนะเหนือฝ่ายซ้ายด้วยการชูคำขวัญนี้ให้สูงเด่นขึ้น และบดขยฝ่ายซ้ายที่ชูคำขวัญ "เชิดชูประชาชน ต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกา" อย่างเด็ดขาด ทั้งในสนามรบ และในสงครามเย็นที่เน้นการปฏิบัติการทางจิตวิทยาทั่วประเทศ คนรุ่นนั้น ที่มีตำแหน่งแห่งหนในสังคมเวลานี้ คงไม่ต่จากดอน กิโฮเต้ ที่เคยฟาดฟันกังหันยักษ์ในนามคำขวัญ"ชาติ ศาสน์ กษัตริย์"...ทว่าเวลานี้ต่างก็เลิกขบถหมดแล้ว และไม่น่าเชื่อว่า วันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาต้องชูคำขวัญนี้เสียเอง ชูคำขวัญนี้ขึ้นสูงเด่น ในฐานะที่เป็นยุทธวิธี!


    เริ่มโจมตีด้วย ศาสนา

    คุณสนธินั้นรู้ดีว่า "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" มีความอ่อนไหวเพียงใดสำหรับจิตวิทยาของประชาชนชาวไทย ดังนั้นเขาจึงชิมลางก่อน ในการเปิดฉากทางยุทธวิธีด้วยการชูประเด็น "ศาสนา" ขึ้นมาก่อน เปิดประเด็นด้วยเรื่อง"สังฆราช2พระองค์" ได้แนวร่วมตามสมควรจากกลุ่มของทองก้อน และศิษย์ของหลวงตามหาบัว แต่เป็นแนวร่วมที่แทบจะไม่ขยายในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพเลยก็ว่าได้ การตีโต้แบบมีเชิงจากฝ่ายรัฐบาล นอกจากจะทำให้ประเด็นนี้เป็นไม้ขีดชื้นน้ำที่จุดไม่ติดแล้ว ก็ยังเลือนหายกับสายลม ปลุกไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งหลักฐานที่พยายามมัดตัวทักษิณ ปลุกไม่ขึ้น กระแสไม่สูง และทำท่าจะย้อนศรบูมเมอแรงมาใส่ตัวซะด้วย...เพราะมีเสียงวิพากษ์เรื่องสังฆเภท อันเป็นการกระทำอนันตริยธรรม ขั้นสูงสุด

    ถัดไปโจมตีด้วย พระมหากษัตริย์

    เมื่อศาสนาจุดไม่ติด ประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่สุดก็คือ "พระมหากษัตริย์" ทุกท่านจำภาพนี้ได้ดีอยู่แล้ว และรู้แล้วว่าคุณสนธิได้ทุ่มเทในการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) และเล่นกับจิตวิทยามวลชนชาวไทยมากเพียงใด และผลลงเอยเป็นอย่างไร...? ผมเข้าใจว่าวันนี้ เวลานี้คุณสนธิคงไม่อยากเอ่ยถึง เพราะต้องจำนนด้วยหลักฐานทุกประการ ครับ...ปลุกไม่ขึ้นอีกครั้ง ในยุคสังคมข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ ไม่มีใครที่จะเป็นเจ้าของ"ความจริงสัมบูรณ์"ได้ หากมันเป็นความเท็จ!



    จึงเหลืออยู่ที่คำขวัญสุดท้ายคือ "ชาติ"

    อาจเป็นเพราะคำว่าชาตินั้น เป็นประเด็นที่ปลุกเร้าได้ง่ายที่สุด และส่งต่อ"สาร" ไปถึงมวลชนได้ดี ง่ายที่สุดและกว้างขวางที่สุด ใครที่ถือธง "ชาติ" อยู่ในมือ คนนั้นก็ย่อมดูดีขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้ว่าคุณสนธิกว่าจะคลำเจอ "จุดอ่อน" และหยิบยกขึ้นมานำเสนอช้าไป แต่ก็ไม่สายเกินไป ที่จะปลุกเร้ามวลชนให้ยืนอยู่ข้างตนด้วยความชอบธรรม พร้อมกับ โยนความผิดทั้งมวลให้ฝ่ายรัฐบาล จนก็เกิดคำที่ว่า นายกขายชาติ และ ม็อบกู้ชาติ ขึ้น

    จากกระทู้:" ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ" กับความสำเร็จในการปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนโดยการโฆษณาชวนเชื่อของคุณสนธิ

    สนธิ ลิ้มทองกุล (7 ตุลาคม พ.ศ. 2490—)เป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ผู้ดำเนินรายการกลางแจ้ง เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร และเคยเป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ก่อนที่ถูกระงับการถ่ายทอดเนื่องจากการกล่าวถึงพระราชอำนาจ

    ในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2546 สนธิได้เขียนข่าวทำนายว่าเงินดอลล่าร์สหรัฐจะตกต่ำในปี พ.ศ. 2553 พร้อมทั้งสนับสนุนให้ลดการส่งออก[1] และขณะเดียวกันแนะนำให้ผู้คนลงทุน ด้วยการซื้อทองสะสมไว้

    ชีวประวัติ
    สนธิ ลิ้มทองกุล (ชื่อเดิม โกตั๊บ แซ่ลิ้ม) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2490 เป็นลูกของนายวิเชียร แซ่ลิ้ม อดีตสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง และเป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างผู่ ที่เมืองจีนไคเช็ค มีมารดาชื่อ ไชยย้ง แซ่ลิ้ม ตั้งรกรากอยู่ในกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นทำกิจการโรงพิมพ์ และพิมพ์หนังสือจีน จำหน่ายให้กับชาวจีนที่มาอาศัยอยู่ในในกรุงเทพฯ

    สนธิ จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยม จากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา รุ่น18 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับทนง พิทยะ หลังจากจบจากโรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญศรีราชา สนธิ ถูกส่งตัวไปเรียนภาษาจีนที่ไต้หวัน พร้อมกับเรียนวิชาวิศวกรรมเครื่องกลที่เมืองไถ่ต้า เป็นเวลาปีเศษ ก่อนที่จะไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา ศึกษาปริญญาตรีที่ยูซีแอลเอ เมืองลอสแองเจลีส และศึกษาปริญญาโท สาขาประวัติศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยยูทาห์สเตต เมืองโลแกน รัฐยูทาห์ นอกจากนี้ยังได้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาอักษรศาสตร์ ที่วิทยาลัยฮาร์ตวิคก์ เมืองโอนีโอนตา รัฐนิวยอร์ก และได้รับปริญญาสาขาประวัติศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายหลังจบการศึกษาได้ศึกษาต่อ MBA ที่ประเทศออสเตรเลีย

    สนธิ เข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย เมื่ออายุได้เพียง 27 ปี จากนั้นได้ร่วมกับพอล สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอสกรุ๊ป ออกหนังสือดิฉัน แต่ประสบปัญหาขาดทุน จึงได้ขายกิจการให้กับนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา สนธิกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ด้วยการตั้งบริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526 และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำของผู้จัดการรายสัปดาห์และรายเดือน ทำให้สนธิ นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2533

    ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ อาจารย์พิเศษ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    สนธิได้บริจาคเงินสร้าง The Sondhi Limthongkul Center for Interdependence (The S.L. Center for Interdependence) ให้แก่วิทยาลัยฮาร์ตวิคก์

    ชีวิตส่วนตัว
    ภายหลังจากจบการศึกษาา สนธิเดินทางกลับเมืองไทย เมื่อปี 2516 และแต่งงานอยู่กินกับนางจันทร์ทิพย์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 9 ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แต่ปัจจุบันแยกกันอยู่

    ระหว่างที่สนธิ ศึกษาในมหาวิทยาลัยยูท่าห์ สนธิใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า ”Sondy” แต่โดยส่วนใหญ่คนไทยและเพื่อนในมหาวิทยาลัยจะไม่ค่อยคบค้าสมาคมด้วย เพราะในเวลานั้นนายสนธิยังเป็นคนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว จะทำอะไรให้ใครต้องมีผลประโยชน์ตอบแทน สนธิชอบทำตัวลึกลับ ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เรียนคณะอะไร เพราะสนธิ จะไม่พูดถึงภูมิหลังของตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยมีใครทราบถึงเรื่องครอบครัวและเรื่องประวัติการศึกษาที่แท้จริงของสนธิมากนัก

    สนธิ กับ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร

    สัญลักษณ์เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรจุดเริ่มต้นของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เกิดจากในขณะนั้น รุ่นน้องของสนธิ ได้เข้าไปทำรายการชื่อ "เมืองไทยรายวัน" ณ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. โดยนำเสนอเป็นรายการความรู้ ข่าวสาร และปกิณณกะ อยู่ จนกระทั่งเกิดปัญหาทางด้านการเงิน เมื่อบริษัทของรุ่นน้องสนธิ ได้ค้างชำระกับทาง ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. จนในที่สุดรายการก็ถูกถอดออก และรวมเวลาทั้งหมดไปออกอากาศในวันศุกร์แทน ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เมืองไทยรายสัปดาห์" แต่ก็ยังคงนำเสนอเนื้อหาเดิมแบบเมืองไทยรายวัน จนกระทั่งทาง อสมท. ได้ปรับผังใหม่ประมาณสองปีที่แล้ว ทำให้ สนธิ ลงมาเป็นผู้ดำเนินรายการเอง ร่วมกับ พิธีกรสาว นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์

    ในเดือน กันยายน พ.ศ. 2548 หลังจากที่ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และถูกฟ้องร้องโดยนายกรัฐมนตรีขณะนั้นทักษิณ ชินวัตร ทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา เป็นจำนวนเงินรวม 2,000 ล้านบาท ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และดูหมิ่น เพื่อให้หยุดกล่าวพาดพิงถึงการคอรัปชันของรัฐบาล สนธิได้จัดรายการของตนเองขึ้นมาใหม่ ในชื่อว่า เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร โดยจัดเป็นเวทีนอกสถานที่ ณ หอประชุมเล็ก และ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ลุมพินีสถาน เวทีลีลาศ สวนลุมพินี ทุกคืนวันศุกร์ โดยเนื้อหาของรายการเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นการกล่าวถึงการคอรัปชันของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และเครือญาติมิตร เพียงอย่างเดียว ภายใต้สโลแกน "เราจะสู้เพื่อในหลวง" "ถวายคืนพระราชอำนาจ" และ "ขอแค่เป็นยามเฝ้าแผ่นดิน" ทำให้มีผู้สนใจเข้าชมรายการเป็นจำนวนมาก[1] ในขณะเดียวกัน สนธิก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงการกล่าวอ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย เพื่อให้รายการของตนเองมีผู้ชมเข้าชมเป็นจำนวนมาก และหวังผลในด้านอื่นๆ ด้วย

    รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ได้มีเก็บข้อมูลบทสนทนาในรายการที่ผ่านมาทั้งหมด รวมทั้งเสียงบันทึกรายการ ด้วยระบบออนไลน์ รวบรวมไว้ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทำให้ผู้คนเข้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้นประมาณเกือบสองเท่า จากประมาณ 80,000 เป็น 150,000 คนต่อวัีน[2] นอกจากนี้ ได้มีการแจกฟรีซีดีบันทึกเสียงจากรายการที่ผ่านมา ให้แก่ประชาชนทั่วไป ที่บริเวณหน้าวัดพระแก้วและบริเวณต่างๆ ในเกาะรัตนโกสินทร์

    การวิพากษ์วิจารณ์
    ปลายปี พ.ศ. 2548 นายกทักษิณได้ฟ้องร้องต่อนาย สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ, นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการร่วม เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร และพวก เป็นจำนวนสูงถึง 2,000 ล้านบาทและตามมาด้วยคดีอาญามากมาย เพื่อให้หยุดการกล่าวถึงการคอรัปชัน โดยจุดนี้ทำให้ดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลก (World Press Freedom) ที่จัดอันดับโดย รีพอร์ตเตอรส์วิทเอาต์บอร์เดอรส์ (Reporters Without Borders) ตกลงจากอันดับ 59 ไปที่อันดับ 107

    นักวิจารณ์หลายท่านให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายสนธิ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลประโยชน์ของประชาชน อย่างไรก็ตามบางท่านกล่าวว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเคลื่อนไหวเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว แต่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราโชวาทเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พุทธศักราช 2548 ทาง พตท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ดำเนินการสั่งให้ทนาย คือ นายทนา เบญจาธิกุล ไปที่ศาลอาญาและศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ดำเนินการถอนฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกทั้งหมด และทางนายสนธิเองก็มิได้ฟ้องกลับแต่อย่างใด การวิพากษ์วิจารณ์เกือบจะเป็นปัญหาบานปลายเมื่อ วันที่ 13 มกราคม พุทธศักราช 2549 ได้มีการประท้วงคัดค้านจนไปสู่การบุกทำเนียบรัฐบาล

    จากคุณ : Unlimitedheart- [ 3 เม.ย. 49 02:32:41 ]

    ผมเป็นคนนึงที่ชอบสนธิมากๆ ดูเมืองไทยรายสัปดาห์ทุกครั้งที่มีโอกาส อ่านหนังสือพิมพ์ผู้จัดการมาตลอด หลายปี เวปผจกก็เข้าไปออกความเห็นก็เยอะ ดูไปดูมาและอ่านไปอ่านมาชักเบื่อการเมือง เพราะมีแต่ข่าวสารหน้าเดียวที่บอกออกมาคนเขียนข่าวอยากให้การเมืองไปทางไหนก็เขียนเอา ชี้ไปโน่นชี้ไปนี่ตลอด ดูทีวีก็แสนจะเก่งโครตๆไม่มีใครเกิน รู้จริง(โกหกก็มาก)รู้ไปซะทุกเรื่อง ประวัติคนนู้นคนนี้รู้ไปหมด มีแต่เรื่องเลวๆของคนอื่นทั้งนั้น ของตัวเองไม่มีเรื่องเลวเลย เข้าไปอ่านเวปก็มีแต่เรื่องด่านายกฯ พอโพสเป็นกลางเข้าไปก็โดนลบเหมือนไม่จริงใจ หารู้ไม่ว่าเวปที่ผมเล่นเป็นเวปแรกที่ผมเล่นนี่เองที่เป็นกลาง พอได้รับข่าวสารอีกแง่หนึ่งจากเพื่อน(แรกๆอ่านอย่างเดียว) เริ่มไม่ชอบสนธิแล้วนะ พอมีเรื่องหมิ่นเล่นออกตัวซะเลย ชมรมคนเกลียดสนธิเริ่มแล้ว อ่านประวัติสนธิอีกรอบ
    ประวัติของสนธิ ก่อนทีจะมาเกลียดทักษิณ
    นายสนธิ เป็นคนฉลาดเกมโกง พูดเก่ง ความรู้สูง เป็นลูกน้องเก่าของนาย พอล สิทธิอำนวย ซึ่งโกงเงินธนาคาร ๒๐๐๐ พันล้านบาท ก่อนที่จะหลบหนีมาอยู่อเมริกาเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วนายสนธิเลยได้ผลประโยชน์โดยรับกิจการมีเดียต่อจากนายพอลโดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียวเพราะนายพอลโอนชื่อกิจการทั้งหมดมาให้แก่นายสนธิก่อนจะหลบหนีมาเสบสุขในอเมริกาพร้อมกับเงินที่ปล้นมาได้หลังจากนั้นนายสนธิก้ได้สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าแห่งมีเดียของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก็ว่าได้
    (King of Media of Southeast Asia)กิจการมีเดียของนายสนธิก็เจริญขึ้นเรี่อยๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์ แมกกาซีนรายการวิทยุและโทรทัศน์ท้งในและนอกประเทศจนเป็นที่ประทับใจของนักธุรกิจที่อยู่ในวงการมีเดียเป็นอย่างมากเมื่อขอเงินจากธนาคารก็มักจะไม่มีปัญหานายสนธิเลยซื้อกิจการทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่ามีเดีย
    มีกำไรหรือขาดทุนขอให้มีชี่อเป็นเจ้าของหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Publisher นายสนธิหมดตัวอย่างที่ดังที่สุด ครั้งสุดท้าย คือการซื้อแมกกาซีนอเมริกันที่มีฐานในนิวยอรค์และลอส แอนเจลสีส ชื่อ Buzz Magazineซี่งเป็นแมกกาซีนที่จะเจ้งอยู่แล้วแต่ความกะสันของนายสนธิที่อยากจะเห็นชื่อของตัวเองว่า Publisher: Sondhi Limthongkul
    เป็นเจ้าของแมกกาซีนฝร้งซึ่งลอบล้อมไปด้วยนักเขียนที่มีชื่อฝรั่งทั้งนั้นและการที่อยากโก้อวดฉลาดเลยซื้อด้วยราคาที่สูงลิ่ว ในราคา ๑๖๐๐ ล้านบาทหรือ ๔๐ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคนขายก็ไม่เชื่อกับตาเพราะโฆษณาขายแมกกาซีนนี้แต่ไม่มีหน้าไหนกล้ามาซื้อแม้แต่คนเดียวยังจำได้ว่าตอนเปิดตัวเจ้าของใหม่มีการกินเลี้ยงกันที่โรงแรมหรูใน Beverly Hills นายสนธิเดินชนแก้วนบันรีไวน์กับนักหนังสือพิมพ์ไทยในแอลแอด้วยความโก้หรูนายสนธิโก้อยู่ได้แค่ หนี่งปีสองเดือน Buzz ก้ต้องปิดกิจการเพราะไม่มีเงินจ่ายให้กับพนักงานฝร้งทั้งหลายนายสนธิพยายามจะขายต่อให้คนอื่นแต่ไม่มีใครอยากซื้อ เงิน ๑๖๐๐ล้านบาท ก็คือเงินจากแบ๊งไทยนั่นเอง

    นายสนธิมักจะกล่าวว่าเป็นคนสนับสนุนและช่วยให้คุณทักษินเป็นนายกเพราะฉะนั้นเขาก็คิดว่านายกทักษิณคงจะตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งตั้งบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวของซึ่งบุคคลนี้เป็นคนสนิทของนายสนธิและคงจะมีสิทธิ์ปรุงแต่งให้เป็นหนี้ลดลงจาก๖๐๐๐ล้านบาทให้เหลือแค่๓๐๐ล้านบาท นายกตอบปฎิเสธทันทีและบอกว่านั่นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายถ้าเป็นนายกบางคนในอดีตที่อยากได้เงินก็ไม่แน่อาจจะมีการต่อลองกับนายสนธิก็ได้หลังจากนั้นมานายสนธิก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายกทักษิณออกจากตำแหน่งให้ได้โดยหวังว่าผู้นำคนใหม่อาจจะมีส่วนช่วยให้หนี้ก้อนโตนี้ออกจากอกของนายสนธิปัญหาของนายสนธิเป็นปัญหาที่เขาสร้างขั้นมาทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับการขาย้ชาติที่เขาเอามาอ้างกับประชาชน แลเขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้านายกทักษิณได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งนายสนธิจะไม่มีแผ่นดินอยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน และอาจจะต้องเผ่นหนีมาอยู่อเมริกา เฉกเช่นเจ้านายเก่าของเขา เมี่อ ๓๐ ปีที่แล้ว

    ปล. ความจิงเมื่อก่อนผมเป็นคนชอบดูรายการของสนธิมากคนนึง แต่ว่าตั้งแต่ผมพยายามรับข่าวสารหลายๆด้านเนื่องจากเห็นว่าข่าวสารที่สื่อมาจากบุคคลผู้นี้และคณะเป็นข่าวสารด้านเดียว และพยายามยกตัวเองขึ้นเป็นผู้รู้หรือทางชาวบ้านเรียกว่าพหูสูตร ซึ่งคิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่องรู้ทุกอย่าไม่มีอะไรที่ตนไม่รู้ อะไรที่ไม่รู้ก็ต้องหามาให้ได้ไม่ว่าจะจริงจะเทจ หนักเข้าก็ถึงขนาดที่ว่า ไม่ว่าจะมีใครถามเรื่องอะไรก็จะตอบได้ทันใด แล้วไปสืบหาข่าวจริงเอาทีหลัง หากไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป ท่านทั้งหลายคิดสิว่าพหุสูตรปลอมๆผู้นี้จะทำอย่างไร
    มีให้เลือกสองข้อคือ 1.ออกมาขอโทษในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป และ 2.ทำให้สิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเป็นเรื่องจริงเสีย ในเมื่อมีสื่ออยู่ในกำมือจะกลัวอะไรเรื่องจริงก็ทำให้เป็นเรื่องเทจได้ เรื่องเทจก็ทำเป็นเรื่องจริงได้
    สังเกตคนรอบข้างบุคคลนี้ดูสิครับว่าตอนนี้มีของจริงกี่คน
    ใช่ว่าผมจะชอบทักษิณนะครับ แต่ผมอยากให้เพื่อนๆคิดสักนิดว่า ท่านทั้งหลายได้รับข่าวสารทางเดียวเหรอป่าว สื่อของข่าวสารนั้นเป็นกลางไหม ผมได้รับฟังสื่อของคุณสนธิมาจนเบื่อแล้วยังไม่เห็นความเป็นกลางจากสื่อพวกนี้เลย
    ปล. อีกครั้ง คนดีไล่คนเลวมีด้วยหรือ คนเลวไล่คนดีมีถมไป คนเลวไล่คนเลวช่างปะลัย คนดีไล่คนดีไม่มีเลย
    (ชมรมคนเกลียดสนธิ)

    จากคุณ : kaikoun - [ 5 เม.ย. 49 12:18:06 ]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×