ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #156 : วิวาทะของคำผกาต่อเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนาของค่ายทีวีบูรพา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 223
      0
      13 เม.ย. 54

     คุณธรรมนำไทยให้ล่มจม โดย คำผกา ลงในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับ 14-20 มกราคม 2554

    "ชาวนา คุณธรรม คือ กลุ่มชาวนาอาชีพ ที่พากันลุกขึ้นมารวมกลุ่มกัน เพื่อเดินทวนกระแสโลก ประกาศตัวที่จะธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของชาวนา และสิทธิในการรักษาฐานอาหารซึ่งเป็นความมั่นคงของชีวิตและสังคมด้วยการผลิต ข้าวอินทรีย์ ไร้สารพิษ ที่เกื้อกูลต่อโลก ต่อสรรพชีวิตในระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อม ทวนกระแสการผลิตในระบบทุนนิยม บนวิถีของการพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง บนฐานของ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณธรรม

    จากจุดก่อเกิดของกลุ่มข้าวคุณธรรม ที่เกิดขึ้นเพื่อมุ่งมั่นพัฒนาคน ไปสู่การประกอบสัมมาชีพ ที่มีคุณธรรมเป็นฐาน ชาวนากลุ่มนี้ จึงไม่เพียงปลูกข้าวอินทรีย์ที่ไม่ทำร้ายโลก ทำร้ายตนเอง และได้รับรองมาตรฐานสากล (IFOAM) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2538 เท่านั้น แต่ชาวนาคุณธรรม ยังเป็นชาวนาที่ไม่ได้ทำนานเพียงเพื่อให้ได้ ข้าว แต่เป็นชาวนาที่ "ทำนาเพื่อเอานา" ทำนาเพื่อบ่มเพาะความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ ทั้งยังทำนาเพื่อยกระดับจริยธรรมและจิตวิญญาณ

    ด้วยการมองเห็นปัญหา ว่า แม้ชาวนาจะปลูกข้าวอินทรีย์ แต่หากไม่สามารถพัฒนาจิตใจด้านใน ยังมัวเมา หลงใหลอยู่กับอบายมุขร่ำสุรา สูบบุหรี่ ตีไก่ชน บริโภคแบบไม่บันยะบันยัง และใช้ชีวิตไปในทางละเมิดศีลธรรม ชาวนาก็ไม่มีหนทางที่จะเดินออกจากกรอบกรงขังเดิมๆ ของระบบทุนนิยม ที่ส่งเสริมให้ผู้คนบริโภคแบบล้างผลาญทำลายทรัพยากรด้วยความโลภได้ และหาเป็นเช่นนี้ หนี้สินของชาวนาก็ไม่มีวันลด ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมาเป็นลูกโซ่ ไม่มีหนทางแก้ไข เมื่อถึงวันหนึ่งชาวนาก็ต้องสิ้นนา และผู้สืบทอดมรดกการทำงานก็จะสูญหายไป" http://www.tvburabha.com/tvb/rice/r_k.html



    ข้อความข้างบนนั้นคัดมาจากเว็บไซต์ของ "เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา" ที่ขยายความว่าเป็น "ข่ายแห่ความเกื้อกูล" กรี๊ด!! มีทั้งคำว่าข่าย ทั้งคำว่า แห ไม่ทราบว่าคนคิดคำนี้ขึ้นมาจะไปทำประมงน้ำตื้นที่ไหนกัน?

    ฉันฟังแล้วกล้ามเนื้อกระตุก หวาดเสียวว่าตนเองจะไปติดใน "ร่างแห" แห่งความเกื้อกูลเมตตาจนแหและตาข่ายนั้นบาดเนื้อ เหวอะหวะเป็นพันธนาการอันเจ็บปวด ไร้ทางออก ไม่นับว่าคนเขวี้ยงแหลงมาจะปลิ้นเอาเนื้อพวกเราไปลงหม้อแกงด้วยหรือไม่ก็ยาก จะหยั่งรู้

    นั่งอ่านบทร่ายอันเพ้อเจ้อทุเรศทุรังของข่ายแหกับดัก แห่งความเกื้อกูลอาทร ที่ว่านี้ด้วยความปวดตับว่า พวกมึงเป็นใครมาจากไหน มานั่งวิเคราะห์ ออกความเห็น แถมฟันธงอย่างมั่นใจว่าปัญหาความยากจนและหนี้สินของชาวนาไทยนั้นเกิดจากการ การดื่มสุรา ชนไก่ เล่นการพนัน บริโภคไม่บันยะบันยัง ละเมิดศีลธรรม

    บุคคล ใดก็ตามที่เขียนข้อความดูถูกสติปัญญาชาวนาเช่นนี้ออกมาโปรดแสดงหลักฐาน ทางตัวเลขที่ช่วยยืนยันว่าการละเมิดศีลธรรมนั้นพัวพันกับปัญหาหนี้สินของ ชาวนาอย่างไร? ฟูมฟายน้ำลายเปื้อนหมึกมานั่งปั้นคำสวยๆ ออกมาอย่างไร้สมองแบบนี้

    ฉันขอฟันธงบ้างว่า มันเป็นข้อเขียนที่ขาดความรับผิดชอบและชุ่ยอย่างยิ่งยวด


    การ ทำการเกษตรนั้นพึงได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็นธุรกิจประเภทหนึ่ง ชาวนาคือนักธุรกิจเหมือนคุณตันโออิชิ หรือ เจ้าสัวเจ้าของธนาคารนั่นแหละ เพียงแต่ค้าขายสินค้ากันคนละอย่าง

    ชาวนาจะกินเหล้าหรือไม่กินเหล้า จะอยากทะเยอทะยานเลี้ยงลูกให้เป็นชาวนา หรือเลี้ยงลูกให้เป็นกะหรี่ เป็นสิทธิส่วนบุคคลของชาวนา ไม่ใช่เรื่องที่พวกมึงชนชั้นกลางพึงไปเสือก ชนชั้นกลางเป็นผู้บริโภคข้าวที่ชาวนาปลุกไว้ขาย พึงสัมพันธ์กันในฐานะ ผู้ผลิต และผู้บริโภค ไม่ต้องมาทำกระแดะอ่อนไหวมาเกื้อกูลกัน

    ถ้าฉัน เป็นชาวนา ฉันก็อยากจะบอกว่า กูปลูกข้าวขาย กูอยากได้เงิน กูไม่ได้อยากได้ข่ายแหบ้าบออะไรของมึง ที่บ้านมีเยอะแล้วทั้ง แห ทั้ง ตาข่ายนั่นแหละ

    ส่วนผู้บริโภคอยากกินข้าวขาว ข้าวแดง ข้าวหอม ข้าวเหม็น ข้าวดำ ข้าวอินทรีย์ ข้าวอาบยาฆ่าแมลง เหล่านั้นล้วนแต่เป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่ต้องกดดันต่อผู้ผลิต (ไม่ต้องกระแดะไปสงสาร เกื้อกูลอะไรเค้า เข้าใจป่าว?) ให้ผลิตสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค กลไกการตลาดเบื้องต้น ง่ายๆ

    ชีวิตใครชีวิตมัน ใครอยากทำอะไรก็ทำ เงินของใครก็เงินของคนนั้น ใครเขาจะเอาไปทำไปซื้อไปใส่โอ่งฝังดินก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของเจ้าของเงิน คนอื่นไม่เกี่ยว ชาวนาเขาขายข้าวได้ จะเอาไปกินเหล้าจนตายหรือหมดตัวก็เป็นเรื่องของเขา ยุ่งอะไรด้วย

    ชาวนากินเหล้าตายไปคน ก็มีชาวนาคนอื่นปลูกข้าวมาขายอยู่ดี จะมาเดือดร้อน วุ่นวายอะไรกับระดับคุณธรรมของคนอื่น

    เอา ล่ะ ฝ่ายที่เชิดชูศีลธรรมอาจจะบอกว่า ชาวนาติดเหล้า ขี้เกียจ บ้าวัตถุ ไม่มีวินัยทางการเงิน ทะเยอทะยาน อยากมีรถกระบะ อยากปลูกบ้านหลังใหญ่ เป็นเหตุแห่งความยากจนและวงจรหนี้สินอันไม่มีที่สิ้นสุด ส่งผลให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น ลูกติดยา อาจต้องอพยพเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่ เกิดสลัม เกิดคนจนในเมือง ทั้งหมดนี้คือปัญหาของสังคมโดนรวมที่เราไม่อาจเพิกเฉย

    ดังนั้น เราจึงต้องไปเสือกว่าชาวนาควรกินอะไรไม่กินอะไร ซื้ออะไร ไม่ซื้ออะไร ปลูกข้าวอย่างไร ถือศีลกี่ข้อ แถมลามปามไปไกลถึงขั้นให้การทำนาเป็นกระบวนการกล่อมเกลาและยกระดับทางจิต วิญญาณ

    ถุยส์

    แน่จริง พวกคุณๆ ท่านๆ ที่นั่งพ่นน้ำลายอยู่ในห้องแอร์ ออกมาทำนากันให้หมดเลยสิ จะได้ยกระดับ จริยธรรม จิตวิญญาณกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน

    ฉันถามจริงๆ ว่า ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ว่าสาเหตุความยากจนและหนี้สินของชาวนาอยู่ที่ไหน โปรดศึกษาประวัติศาสตร์การถือครองที่ดินในประเทศไทย โปรดดูเรื่องระบบการจัดเก็บภาษีที่ดิน มรดก โปรดดูอุปสรรคการปฏิรูปที่ดิน และโปรดไตร่ตรองสักนิดถึงระบบการผูกขาดอุตสาหรรมการเกษตรโดยกลุ่มทุนใหญ่ไม่ กี่กลุ่มในประเทศไทย โปรดดูว่าธุรกิจ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เมล็ดพันธุ์ นั้นผูกขาดกันที่กี่บริษัท โปรดดูว่าใครเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าเหล่านั้น

    และชาวนามีอำนาจการต่อรองในตลาดแค่ไหนอย่างไร?


    ทางออก ของปัญหาเหล่านี้คือการสร้างตลาดที่มีการแข่งขันได้ ชาวนาต้องมีสิทธิเลือกซื้อปุ๋ย ยาฆ่าแมลง จากตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนนำเข้าได้มากกว่า 1 ราย อีกทั้งวัตถุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการผลิต

    พวก เราต้องมานั่งคิดว่า คนไทยที่ว่าเก่งกาจกันนักหนา ถึงทุกวันนี้นอกจากรถอีแต๋น เราสามารถผลิตเครื่องจักกลทางเกษตรใดๆ ได้ด้วยตนเองบ้าง รถเกี่ยวข้าวที่นำเข้าจากญี่ปุ่นราคาล้านห้า-เราจะลดภาษีการนำเข้า หรือเราจะพัฒนาศักยภาพให้ประเทศเราสามารถผลิตรถไถ รถดำนา รถเกี่ยวข้าว และเครื่องจักรทางเกษตรอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถซื้อหาปัจจัยทางการผลิตเหล่านี้ได้ในราคาที่เอื้อมถึง

    และนี่คือการพัฒนาศักยภาพในการผลิตอย่างแท้จริง

    ในวัน ที่ค่าแรงงานสูง แถมยังหายาก ฉันยืนยันว่า วิถีชีวิตของเกษตรกรไทยจะดีขึ้น ไม่ใช่เพราะเราเลิกกินเหล้าและถือศีลห้า แต่ด้วยการเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่จะมาช่วยทำให้ผลผลิตในไร่นาของเราสูงขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (ไม่ใช่ด้วยการเลิกปุ๋ยเคมีเพียงประการเดียว แต่ต้องให้มีการขายปุ๋ยที่การแข่งขันตัดราคากันอย่างเสรีด้วย) และด้วยศักยภาพที่จะศึกษาแนวโน้มของตลาดสินค้าเกี่ยวกับการเกษตร

    นั่นหมายถึงการเข้าถึงข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจว่าปีไหนจะผลิตอะไร จะปลุกอะไร ปลูกมากปลูกน้อย และการคาดการณ์เช่นนี้ของชาวนาก็เหมือนการการทำตลาดในธุรกิจการค้าประเภทอื่นๆ นั่นเอง

    เราควรมีความทะเยอทะยานที่จะได้เห็นเกษตรกร และชาวนาไทยนั่งจิบไวน์ ดูกราฟตลาดหุ้น หรือศึกษาราคาสินค้าการเกษตรจากอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่ให้พวกเขาดักดานปลูกพออยู่พอกินเป็นสัตว์เลี้ยงทางจินตนาการของชนชั้นกลางที่ถวิลหาทุ่งนาอันแสนโรแมนติก ชาวนานะ ไม่ใช่ทามาก็อตจิ

    สิ่งที่เกษตรกรและชาวนาต้องการ ไม่ใช่ข่ายแหแห่งความเกื้อกูลจากผู้กินข้าวที่นอนห้องแอร์ แดกไวน์ ขับรถโฟร์วีลหาที่กางเต้นท์ในวันหยุดกลางอุทยาน

    ชาวนาและเกษตรกรต้องการการเข้าถึงแหล่งทุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ระบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง การเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต

    (พึงรู้ ว่าการดำนำโดยใช้รถดำนานั้นนอกจากลดต้นทุนเรื่องค่าแรงแล้วยังลดการ ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง และโปรดทราบเราผ่านยุคลงแขกกันมานานนม โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ชุมชนเปลี่ยน เครือญาติเปลี่ยน โปรดยอมรับข้อเท็จจริงและกรุณา realistic กันหน่อย)

    เกษตรกร ชาวนา ต้องการเห็นเอกชนแข่งขันการขายปุ๋ย ขายเมล็ดพันธุ์ ขายยาฆ่าแมลง โดยปราศจากการผูกขาด ชาวนาต้องการศึกษา ต้องการข้อมูล ต้องการอัพเดทนวัตกรรมทางการเกษตรใหม่ๆ เหมือนผู้คนในสาชาอาชีพอื่นๆ ทั่วไป

    อย่ามาพยายามสตาฟฟ์ชาวนาให้เป็นสัตว์สงวน ที่ยังต้องใช้ควายไถนา ยังนอนแคร่ อยู่กระต๊อบกับแสงเทียนริบหรี่

    อย่า บอกว่าชาวนาไม่ยกระดับจิตวิญญาณ ละเมิดศีลธรรม อย่ามาโทษชาวนาว่าพร่าผลาญทรัพยากรโลก ดังนั้น วงจรหนี้สินของชาวนาจึงยาวเหยียดออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะหากจะพูดกันเรื่องการละเมิดศีลธรรม เพราะฉันไม่คิดว่าระดับทางศีลธรรมของเจ้าสัวเจ้าของธุรกิจอุตสาหรรมการเกษตร อันดับหนึ่งของเมืองไทยจะมีสูงกว่าชาวนาคนไหน

    เพราะฉะนั้น ระดับศีลธรรม ไม่ใช่ตัวชี้วัดระดับความจน!!!

    มากไปกว่านั้น ฉันไม่แน่ใจว่า ระดับความเลือดเย็นในการขูดรีด และความได้เปรียบของต้นทุนทางสังคม อันเกิดจากเครือข่าย (ซึ่งมิใช่ข่ายแห) นักธุรกิจกับชนชั้นนำต่างหากที่จะช่วยชี้ระดับความมั่งคั่งของพ่อค้า!!

    เพราะฉะนั้น หากต้องการจะสั่งสอนศีลธรรมก็โปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ


    ขอย้ำว่า การเกษตรต้องทำในฐานะที่เป็นธุรกิจ ต้องอิงอยู่กับระบบตลาด หาไม่แล้วชาวนาจะเอา "เงิน" ที่ไหนมาส่งลูกเรียนหนังสือ ไปหาหมอ และถามต่อไปว่า เวลาป่วยไข้ไปโรงพยาบาล เอาข้าวเปลือกอินทรีย์เป็นถังๆ ไปจ่ายค่าหมอได้หรือเปล่า? พวกคนอยู่ในเมือง ฉีดเสต็มเซลล์กันเข็มละหมื่นหรือแสน ชาวนาป่วย พวกคุณจะให้เขาลำผีฟ้า ประทับทรง พ่นน้ำมนต์ หรือขุดรากไม้มาฝนกินอย่างนั้นหรือ

    ความฉิบหาย ของชาวนาไม่ได้เกิดจาก "ความไม่พอเพียง" แต่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่ฉ้อฉล ขาดการตรวจสอบ ไม่โปร่งใส การปิดบังข้อมูล และการใช้กลไกรัฐทุกประการมาหยุดยั้งมิให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งจากชน ชั้นนำลงสู่ราษฎร

    ขอประณามการงานเขียนที่ว่าด้วย "เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา" ว่านอกจากรสนิยมทางวรรณกรรมจะต่ำแล้ว ยังสมควรถูกตั้งคำถามในฐานะที่มันเป็นกลไกทางอุดมการณ์ในการทำความปรารถนาใน ความมั่งคั่งทางวัตถุของประชาชนให้กลายเป็น "บาป" และผลักดันให้ประชาชนจำนนต่อความยากไร้และระบบโครงสร้างทางสังคมที่ไร้ความ เป็นธรรมด้วยการใช้วาทกรรมเมตตามหานิยมและปลอบใจตนเองว่าความมั่งคั่งทางจิต วิญญาณต่างหากที่เราปรารถนา

    อันเป็นวิธีการที่นอกจากจะไม่แนบเนียนแล้วยังน่ารังเกียจอย่างยิ่ง


    หาก ฉันจะมีความอนุรักษ์นิยมอยู่บ้างทางภาษา สิ่งที่รบกวนจิตใจอาจจะไม่ใช่คำว่า "ชิม" หรือการเขียนภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ แต่คือกิมมิกแห่งการสร้างจุดสนใจด้วยการไปดึงเอาพยัญชนะที่ไม่มีใครใช้อีก ต่อไปแล้วอย่าง ฅ กลับมาใช้อย่างจงใจจะบอกว่า "สิ่งที่เคยมี เคยเป็น เคย อยู่ในอดีต นั้นดีกว่าปัจจุบันเสมอ" หรือในอีกนัยหนึ่งคือการบอกว่า "คนสมัยใหม่ไม่เข้าใจ ไม่เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาของไทยโบราณ บังอาจมาตัด ฅ ออกจากพยัญชนะไทย" ทั้งๆ ที่สาเหตุของการตัด ฅ ออกไป อาจเป็นเพียงเพราะเครื่องพิมพ์ดีดในสมัยแรกเริ่มไม่มีแป้นสำหรับ ทั้ง ฅ และ ฃ ปัญหาเชิงเทคนิคอันเรียบง่าย จึงลามปามไปสู่คำอธิบายที่ว่า เป็น ฅน อยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบไปเป็น คนที่ใช้ ค ควาย แต่การใช้ ฅ ฅน อย่างจงใจของบริษัททีวีบูรพาก็สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะโหยหาอดีตของพวกเขา อย่างชัดเจน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×