ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความการเมือง

    ลำดับตอนที่ #129 : วิธีคิดแบบป่าเถื่อนของ"ปัญญาชนแบบไทยๆ";การยกเลิกรัฐประหารโดยการเลือกตั้ง=ทำเพื่อตัวเอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 399
      1
      9 ก.พ. 53

    โดย phuttipong
    ที่มา บอร์ดคนเหมือนกัน

    หมายเหตุ : บทความนี้ ผมได้เรียบเรียงจากข้อเขียนที่ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์คอมเม้นท์โต้ตอบกับ คุณ "ชายขอบ" ที่ประชาไท( ดูที่นี่) ซึ่งเป็นการโต้ตอบที่ อ.สมศักดิ์ อธิบายกรณีรัฐประหาร กับความบิดพลิ้วของปัญญาชน(แบบไทยๆ) ไว้อย่างน่าสนใจมาก 

    ผมจึงได้รวบรวมข้อเขียนเหล่านั้น มาเป็นบทความชิ้นนี้ครับ โดยที่ ผมเพียงลำดับเรื่องก่อน-หลัง (ตัดบางส่วน ซึ่งน้อยมาก) , ใส่คำเชื่อมต่างๆ และปรับถ้อยคำนิดหน่อยในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เท่านั้น โดยปรับให้เป็นกิจจลักษณะ เป็นทางการมากขึ้น

    เมื่อเรียบเรียงเสร็จ ก็ได้ส่งบทความไปยังอีเมล์ของ อ.สมศักดิ์ ให้ช่วยตรวจความถูกต้องแม่นยำ แต่อาจารย์ไม่มีเวลาตรวจละเอียด จึงอนุญาตให้ผมนำมาโพสต์ได้เลย ครับ

    -------------------------------

    วิธีคิดแบบป่าเถื่อนของ"ปัญญาชนแบบไทยๆ";การยกเลิกรัฐประหารโดยการเลือกตั้ง=ทำเพื่อเอง !!!

    ความชอบธรรมของทักษิณ - ความไม่ชอบธรรมของ(กระบวนการต่างๆ)คณะรัฐประหาร

    ทักษิณ ถูกรัฐประหาร (ที่โทษประหารชีวิต) ล้มไป ทักษิณ เป็นนายกฯที่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบธรรมคนสุดท้าย การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ จะถือว่า "ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง" ได้อย่างไร 

    "คดีความต่างๆ" ที่ว่า ทักษิณโดนอยู่มันมาจากอะไร ไม่ใช่จากการรัฐประหาร หรือ?

    แม้ว่า รัฐบาลที่ถูกคณะรัฐประหารล้ม จะ"คอร์รัปชั่น" จริงหรือไม่ , มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ประเด็นเลย เพราะคนที่ทำรัฐประหาร ไม่มีสิทธิแม้แต่น้อยในการทำรัฐประหาร ถ้ามีการ "คอร์รัปชั่น" ของ รัฐบาลที่ถูกเลือกจากประชาชน กระบวนการจะหาทางจัดการตามวิถีทางประชาธิปไตยเอง

    การที่ คณะรัฐประหารล้มรัฐบาลไป ประชาชนไม่เพียงมีสิทธิ แต่ยังเป็นหน้าที่ด้วย ที่จะ defend คนที่ถูกรัฐประหารไป ไม่ว่าคนนั้น จะถูกข้อหาอะไร (คอร์รัปชั่น, ฆ่ากษัตริย์ ฯลฯ)

    การกล่าวหาว่า ที่ รัฐบาลพลังประชาชน พยายามจะนิรโทษกรรมทักษิณ เป็นเรื่อง "เพื่อตัวบุคคล" ความจริงคือ พลังประชาชน หาทาง "ยกเลิก" การรัฐประหาร ด้วยวิธีเลือกตั้ง ที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้ออะไร (หรือจะให้เขารัฐประหาร จับพวก คมช. ไปประหารชีวิต?)

    นั่นเป็นการชอบธรรมทุกประการ

    ปัญญาชนไทยส่วนใหญ่ ปากบอกว่า ไม่เอารัฐประหาร แต่ความจริง คือ เอารัฐประหาร เอาการล้มทักษิณ ถ้าจะให้ทักษิณพ้นจากการล้มของรัฐประหาร หรือ พ้นจาก "กระบวนการยุติธรรม" (นี่คือ คำที่เขาใช้กับสิ่งที่ คมช. สร้างขึ้นมาเล่นงานทักษิณ) ปัญญาชนเหล่านั้นไม่เอาครับ เขาจะเอาสิ่งต่างๆที่คณะรัฐประหารสร้างไว้ (ล้มทักษิณ, [คำเรียก]"กระบวนการยุติธรรม" , ครส. , ปปช.) 

    นี่คือ การปากว่าตาขยิบ คือ การหน้าไหว้หลังหลอก ที่น่าเสียดายที่คนระดับ "ปัญญาชน"ส่วนใหญ่ที่อ้าง ประชาธิปไตย เป็นกันอยู่ในหลายปีนี้ ในที่สุดแล้ว คือ คิดว่า ตัวเองเป็น "ประชาธิปไตย" แต่กลับเอารัฐประหาร รับทุกสิ่งที่คณะรัฐประหารทำ แล้วยังมีหน้ามากล่าวหา คนที่เขาพยายาม "ยกเลิก" สิ่งที่คณะรัฐประหารก่อ ว่า "ทำเพื่อบุคคล" คือ ขอให้ได้ผลที่ตัวเองต้องการ ตัวเองก็ยอมรับ ในกรณีนี้คือ คณะรัฐประหารทำให้ทักษิณล้มไป แล้วตั้ง "กระบวนการยุติธรรม" มาเล่นงาน ปัญญาชนพวกนี้ก็ยอมรับ 

    คนที่บอกว่า ไม่ defend รัฐประหาร แต่ยอมรับสิ่งที่รัฐประหารทำ คือ การล้ม ทักษิณ ออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่ ไม่ defend หรอกครับ เรียกว่า เอา รัฐประหาร ยิ่งกว่า เอา เสียอีก คือ เอา จนไม่รู้สึกตัว ไม่ยอม defend สิ่งที่คณะรัฐประหารล้มไปอย่างไม่ถูกต้อง ,ไม่ยอมพยายามรื้อฟื้นสิ่งที่คณะรัฐประหารทำไป แต่กลับยอมรับมา แล้วยังพูดโดยไม่รู้ตัวอีกว่า ถ้าเขาพยายามกลับไปก่อนรัฐประหาร เขา "ทำเพื่อตัวเอง" ใครอย่าบังอาจมาพยายาม "ใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภา" !! เลิก สิ่งที่ คณะรัฐประหารที่กูรักทำไว้ มันผู้นั้น กำลัง "ทำเพื่อตัวเอง" น่าสมเพช ไหม คนประเภทนี้?

    ไม่เอารัฐประหาร คืออะไร คือ การกลับไปก่อนรัฐประหาร กล่าวคือ กลับไปก่อนที่ทักษิณถูกล้มนั่นเอง (แล้ว คุณจะไม่เห็นด้วยกับทักษิณยังไง ก็ตามใจคุณ มาว่ากันไป) แต่การยอมรับ ผลการรัฐประหาร ก็คือ ล้มทักษิณ แล้วยังมีหน้า มาพูดซ้ำ เหมือนพวกรัฐประหาร ว่า "ทักษิณทำเพื่อตัวเอง พยายามกลับสู่อำนาจ ฯลฯ ฯลฯ" 

    "กระบวนการยุติธรรม" due process ในประเทศเจริญแล้ว ต่อให้สมมุติว่า เจ้าหน้าที่จับใครมาขึ้นศาล ถ้าจับด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไม่มีหมายค้น, ไม่อ่าน "คำเตือน" ("คุณมีสิทธิไม่ให้การ คุณมีสิทธิมีทนายได้...") อย่างนี้ ต่อให้ "สังคม" "เชื่อ" ว่า คนที่ถูกจับมานั้น ผิด ศาลยังต้องสั่งให้คดีเป็นโมฆะเลยครับ

    ความสำคัญของ due process อย่าว่าแต่ "หลักฐาน" เลย แม้แต่ "คำสารภาพ" ของจำเลย ที่ดูเหมือนจะไม่มีข้อเถียงได้ ("ถ้าไม่ผิดจริง จะสารภาพทำไม") ถ้าไม่ได้มาจาก due process ก็เป็นดำเนินคดีไม่ได้ครับ (มันมีเหตุผล ความเป็นไปได้เยอะว่า ทำไม คนที่ไม่ได้ทำผิด จึงสารภาพ เช่น กรณีคดีต่างประเทศ เขามี pre-bargain คือ มีการตกลงกันล่วงหน้า ระหว่าง อัยการ กับ จำเลยว่า ถ้าจำเลยรับสารภาพ จะลดโทษ ทีนี้ ถ้าจำเลยคนนั้น ไม่ได้ทำผิดเลย ตอนแรก ก็ยืนยันว่า ไม่ได้ทำๆๆ แต่ด้วยการที่ ตำรวจ และอัยการ ใช้วิธีหลอกล่อ เช่น ไม่เตือนว่า "คุณไม่จำเป็นต้องให้การใดๆเลยก็ได้" หรือ "คุณมีสิทธิมีทนายด้วยเสมอ" จำเลย โดนหว่านล้อมว่า ถ้าคุณสู้ อาจจะถึงประหารชีวิต แต่ถ้า "สารภาพ" ผมจะ recommend ศาล แค่ 20 ปี ฯลฯ" อย่างนี้เป็นต้น ... due process จึงสำคัญ ไม่ว่า "หลักฐาน" หรือ "ความเชื่อ" ของ สาธารณะ ของตำรวจ ของ ฯลฯ จะเชื่อแค่ไหนว่า x ทำผิด 

    ถ้าละเมิด due process กรณีอย่างนี้ ศาลที่ยุติธรรม ต้องปล่อย คนถูกจับ และ "คืนสถานะ" ทุกอย่างที่เขามีก่อนถูกจับให้ ถือว่า เขาบริสุทธิตามกระบวนการยุติธรรม ถ้าไม่ due process แล้ว ไม่มีคำว่า "โปร่งใส" ได้เลยครับ กระบวนการสืบสวนทางอาญา มันซับซ้อนมาก และ ละเอียดอ่อน ใครเป็นคนทำ มีเบื้องหลัง หรือเป็นศัตรูทางการเมือง กับจำเลย นิดเดียว ก็ทำให้ "โปร่งใส" แต่มีข้อสรุปไม่เป็นธรรมกับจำเลยได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะดู "โปร่งใส" ขนาดไหน ก็รับไม่ได้ครับ 

    สรุปแล้ว สิ่งที่มาจากคณะรัฐประหาร ย่อมไม่ใช่ due process จึงไม่สามารถรับได้เลย

    การยอมรับให้ "คดีความต่างๆ" ที่มาจากวิธีรัฐประหาร ใช้เล่นงานทักษิณได้ ก็คือ คุณยอมรับการรัฐประหาร ก็คือ คุณเป็นพวกปากอ้างประชาธิปไตย แต่เอาจริงๆ คือเอารัฐประหารยอมรับการตั้ง "คดีความต่างๆ" ของรัฐประหาร 

    ต่อให้เป็นคนที่คุณจับมา คุณเชื่ออย่างเต็มที่ ดูเหมือนมีหลักฐานเต็มที่ว่า เขา "ผิด" ถ้าการจับนั้น ทำโดยผิด due process "คดีความ" ยังต้องยกเลิก (และไม่สามารถ double jeopardy คือ ไม่สามารถฟ้องซ้ำได้อีกเลย) อธิบายรวบประเด็น คือ 

    1. ไม่มีใครผิด จนกว่า จะได้รับการพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม 

    2. ดังนั้น จุดเริ่มต้น premise ที่ว่า "ถ้าทักษิณโกงจริง" ก็เอาเทียบกับการรัฐประหาร ไม่ได้แล้ว เพราะ การรัฐประหาร เป็นการกระทำที่ผิดแน่นอน ล้มล้างกฎหมาย โทษถึงประหารชีวิต ไม่มีข้อยกเว้น ว่า "ถ้าผิด โดยเพื่อล้มรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่า คอร์รัปชั่น ก็ไม่ถือว่าผิด" เลย ประเด็นคือ เอามาเทียบกับในลักษณะนี้ไม่ได้

    3. ดังนั้น ก็มาประเด็นที่อธิบายไปแล้ว x เป็นคนผิด ข่มขืน ฆ่า ฯลฯ แต่ตำรวจไม่มีหลักฐานจะเล่นงานเขา ก็เลยใช้วิธีการนอกกฎหมายมา (เช่น ค้นโดยไม่มีหมาย ฯลฯ) คดีขึ้นถึงศาล ... ศาลในประเทศศิวิไลซ์ เขาทำยังไง เขาปล่อย x เพราะมันผิด due process(เทียบกับการรัฐประหาร เขาก็ throw out คือ ยกเลิก โยนมันทิ้งเลย) และเนื่องจากหลัก double jeopardy คือ ห้ามฟ้องซ้ำในคดี เดียวกัน ดังนั้น x จะไม่มีวันถูกฟ้องซ้ำอีกในกรณีข่มขืน ฯลฯ "กระบวนการ" ที่เอา x มาขึ้นศาล ต้องล้มทั้งหมด เช่นกัน นี่ไง ถึงเรียกว่า ไม่เอา รัฐประหาร (ไม่เอา การละเมิด due process โดยแท้จริง ไมใช่ ไม่เอาแต่ปาก)

    ทำไม เขาต้องเคารพกติกา ต้องเคารพ due process แบบนี้ ก็เพราะ มันมาจาก premise ที่วา "ไม่มีใครผิด จนกว่า จะตัดสินโดยกระบวนการยุติธรรม" ดังนั้น จึงต้องปล่อย ไม่ว่า x จะ "ผิด" ยังไง ถ้ายอมรับการทำผิด due process ได้ ในกรณีที่ x ผิด แบบนี้ ในกรณีอื่นๆ ก็ทำผิด due process ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก

    กรณีทักษิณก็เช่นกัน ไม่ว่า คุณจะเห็นว่า เขา "โกง" ยังไง ก็เอามาเปรียบเทียบบรรทัดฐานเดียวกับ การรัฐประหารไม่ได้ เหมือนกับ ไม่สามารถบอกว่า ในเมื่อ x ผิด ตำรวจก็ทำผิด = ผิดทั้งคู่ ไม่ใช่เลย ในระบบกฎหมาย ถ้า x ผิด แต่ตำรวจทำผิดกระบวนการ = ตำรวจผิด และต้องปล่อย x = x ไม่ผิด (เพราะไม่ถูกตัดสิน และ double jeopardy) 

    เช่นกัน คอร์รัปชั่น คือการ ผิดกฎหมาย แต่การรัฐประหาร คือ ล้มทั้งระบอบ ล้มกฎหมายสูงสุด คุณทำผิดกฎหมาย ผิดใช่ แต่การไม่มีกฎหมายเลย เลิกกฎหมายเลย กรณีนี้ ถือว่าผิดกว่า และต้องเลิกสิ่งที่ตามมาจากการทำผิดลักษณะนี้ 

    ตรรกะที่ว่า ห้ามเลิกกระบวนการ-คดีความต่าง ๆ ที่คณะรัฐประหาร ทิ้งไว้ให้ ตรรกะแบบนี้ ทำให้ ผู้ก่อการรัฐประหารได้ใจ ขอแต่ให้ รัฐประหารไว้ (แล้วนิรโทษกรรมตัวเองก็ได้ "ปัญญาชนจอมปลอม" ก็ไม่กล้า เรียกร้องให้ประหารพวกเราอยู่แล้ว มันเชื่อใน กฎหมายนิรโทษกรรมของเรา) แล้วก่อนลงจากตำแหน่ง ก็ออก กระบวนการ เล่นงานรัฐบาล ที่ล้มไปไว้ ผลคือ ถึงเวลา พวก "ปัญญาชนจอมปลอม" มันก็จะ ยืนยันว่า ห้ามเลิก "กระบวนการ" ต่างๆ ที่เราตั้งไว้นะ จะเป็นการ "ทำเพื่อบุคคล" 

    ความลักลั่นของปัญญาชนที่อ้างว่าปรีดีชอบธรรมกว่าทักษิณ

    สมัยที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้ปรีดี จะเรียกว่า "ทำเพื่อบุคคลคนเดียว" หรือ? 

    เรื่อง "ทำเพื่อทักษิณคนเดียว" ด้านหนึ่งเป็นข้ออ้างของพวกรัฐประหาร ขณะเดียวกันก็สะท้อน ความปัญญาอ่อน ของ"ปัญญาชน" 

    การยัดข้อหา "คอร์รัปชั่น" แล้วทำรัฐประหาร ใครต้องการ defend รัฐบาลเลือกตั้ง ที่ถูก คณะรัฐประหาร ล้ม ก็ต้องกลายเป็น "ทำเพื่อตัวบุคคล" เพราะ "ตัวบุคคล" นั้น "ถูกข้อหาคอร์รัปชั่น" กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าใคร "มีข้อหาคอร์รัปชั่น" สู้ defend คนนั้น ไม่ได้ ไม่ว่าจะโดน รัฐประหารยังไง เพราะจะ = ทำเพื่อบุคคล 

    เพราะฉะนั้น ถ้าทุกครั้ง พวกนี้ ทำรัฐประหาร ก็ยัดข้อหา คอร์รัปชั่น แล้วว่า ดังนั้น จึงชอบธรรมที่จะรัฐประหาร อย่างนั้นหรือ

    รัฐบาลปรีดี เป็นรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น อาจจะมากที่สุดใน ประวัติศาสตร์เลยก็ได้ (โดยสัมพัทธ์) คำ "กินจอบกินเสียม" ของนักการเมือง มาจากการกล่าวหา รัฐบาลปรีดี นี่แหละ ในสมัยปรีดี-ธำรง ไม่มีคนระดับรัฐมนตรีโดนลงโทษหรือสอบสวน ต่อ "การกินจอบกินเสียม" แต่อย่างใด แล้วก็เลยกลายเป็นประเด็นที่ถูกโจมตีอย่างหนักจาก ประชาชนในขณะนั้น


    และข้ออ้างสำคัญหนึ่ง ของ รัฐประหาร2490 ก็เรื่อง คอร์รัปชั่นนี่แหละครับ

    แน่นอน อีกข้ออ้างคือ กรณีสวรรคต จะเห็นว่า ตอนนั้น "คนส่วนใหญ่" "สังคม" ฯลฯ ล้วนแต่เชื่อว่า "ปรีดีมีลับลมคมใน" เพราะอะไร เพราะท่าทางพระบรมศพบอกชัดว่า คนอื่นยิง ปรีดี ก็ยังยืนกรานหัวชนฝา ว่า "อุบัติเหตุ"(โดยพระองค์เอง) แล้ว คณะรัฐประหาร ก็ตั้ง กรรมการขึ้นมาสอบสวน หลังโค่นปรีดีไป โดยใช้คนที่เป็นศัตรูกับปรีดี เป็นคนดำเนินการ พอขึ้นศาล จำเลยคดีสวรรคต ก็แย้ง ร้องเรียนต่อศาลประเด็นนี้ ว่า ไม่ควรรับคดีนี้เลย เพราะมาจากการรัฐประหาร ศาลก็ไม่ยอมฟัง ยืนยันว่า โดยรัฐประหาร หรือไม่ ไม่สำคัญ ถ้าดำเนินการตามสมควรแล้ว ฯลฯ ก็ถือว่า รับคดีได้ อะไรประมาณนี้ คือยอมรับ คดีที่ถูก "ชง" ขึ้นโดย คณะรัฐประหาร ไม่ว่า ฝ่ายจำเลยจะประท้วงอย่างไรก็ตาม และในกรณีปรีดีนี้เอง ช่วงทศวรรษ 2490 ทุกครั้งที่มีข่าวว่า ปรีดี ต้องการจะกลับ หรือ แม้แต่ตอนที่ปรีดี พยายามยึดอำนาจ(ด้วยกำลัง) คืนเมื่อ กุมภา 2492 พวกรัฐประหาร ก็จะใช้ข้ออ้าง "ถ้าปรีดีอยากกลับมาจริงๆ ต้องพร้อม เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน" ต้องขึ้นศาลคดีสวรรคตก่อน.... เหมือนกันเลย แม้แต่ข้อกล่าวหาที่วา ปรีดีหรือคนเชียร์ปรีดี พยายาม"ทำเพื่อตัวเอง" (ให้กลับมามีอำนาจ) ก็เหมือนกันเลย 

    พวกขี้ข้า รัฐประหาร ไม่ว่าสมัยไหน นิสัยสันดานเหมือนกันหมด (มีแต่พวกกูเท่านั้น ที่อยู่ใน "กระบวนการยุติธรรม")

    เรียนรู้ "ประชาธิปไตย" แต่เปลือก ไม่เข้าใจแก่น

    นายกฯที่มาจากเลือกตั้ง ที่ถูกล่มไปด้วยการรัฐประหาร เรียกร้องให้คืนสิ่งที่ถูกล้มไป (ทั้งเรียกร้องเองและประชาชนที่สนับสนุนเรียกร้อง) เป็นความชอบธรรมทุกประการ

    เรื่อง หลักการ ("ไม่ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับคุณอย่างไร ผมจะ defend สิทธิตามประชาธิปไตยของคุณ" ในกรณีนี้ คือ ไม่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับทักษิณอย่างไร ก็ต้อง defend สิทธิที่ทักษิณถูกคณะรัฐประหารล้มไป) 

    ผมพูดตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ผม defend ทักษิณ ด้วยเหตุผลที่ทักษิณได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน และถูกล้มไปด้วยรัฐประหาร ถ้าเปลี่ยนชื่อจาก ทักษิณ เป็นอภิสิทธิ์ แล้วอภิสิทธิ์ โดนอย่างเดียวกัน ผมก็ defend อภิสิทธิ์เช่นกัน

    ผมไม่เคย defend ทักษิณในเรื่องอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ที่เขาถูกรัฐประหารเลย อำนาจตำแหน่งของเขา และเงินทองของเขา รวมทั้งคดีความต่างๆ ที่ คณะรัฐประหาร สร้างไว้ สิ่งเหล่านี้ ผมยินดี defend อย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะชื่อทักษิณ แต่เพราะ นี่เป็นหลักการ คือ ไม่มีใครมีสิทธิมาใช้การรัฐประหาร ล้ม choice ที่ประชาชนเลือกอย่างเสรีขึ้นมา

    สิ่งที่ปัญญาชน แคร์เหลือเกินคืออะไร? .. "คอร์รัปชั่น" ผมพูดไม่ใช่บอกว่า เรื่องนี้ ไม่สำคัญ แต่ความสำคัญของทุกเรื่อง ต้องมี proper perspective การเอาเรื่อง "คอร์รัปชั่น" มาเปรียบเทียบกับการ ?รัฐประหาร? ตลอดเวลา แสดงความ ทุเรศ จนน่าเศร้า ถ้าเป็นประเทศอื่น ที่เขาเข้าใจ ประชาธิปไตยจริงๆ การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของประชาชน , การล้มรัฐธรรมนูญ ฯลฯ นี่ต้องสู้คืน ต้องแลกด้วยเลือดด้วยชีวิตเลยยอมไม่ได้ แต่ปัญญาชนอีกหลายคนในประเทศนี้ ที่ปกติเคยชินกับการกราบตีนศักดินามาเป็นสิบๆปี ทนได้ ไม่รู้สึกอะไรกับการกราบตีนนั้น แย่ จนไม่รู้จะแย่ยังไง ยัง"ห่วง" เรื่อง"คอร์รัปชั่น"!! คือ เอามาเปรียบเทียบด้วยความห่วงตลอดเวลา ว่า "แหม นะ น่าห่วงจัง คอร์รัปชั่น ไม่ถูกลงโทษ รัฐประหารไม่ถูกลงโทษ" มันน่าสมเพชขนาดไหน

    รัฐบาลโจร ตั้งกรรมการทั้งหลายมา ปัญญาชนแบบไทยๆ กลับบอกว่า เป็น "กระบวนการยุติธรรม" แล้ว เงินเดือนที่ รัฐบาลโจร ใช้ ที่ กรรมการที่ตั้งโดยรัฐบาลโจร ที่ไม่มีสิทธิในการตั้งใครนั้น มันเงินปล้น-เงิน คอร์รัปชั่น แท้ๆ

    แล้วนี่หรือคือการ "สอบสวน คอร์รัปชั่น ตามกระบวนการยุติธรรม"

    กรรมการทั้งหลาย ที่ คมช.ตั้งขึ้น คอร์รัปชั่น อยู่ทุกวัน ไมใช่ในความหมาย อุบอิบ เลยครับ แต่ในความหมาย เอาเงินเดือนนี่แหละ นี่คือ คอร์รัปชั่น คือเอาเงินของรัฐทั้งๆที่ไม่มีสิทธิจะเอา เพราะได้อำนาจมาโดยไม่ชอบ

    ประชาชน defend คนที่ถูกละเมิดอย่างผิดประชาธิปไตย ไม่ว่า บุคคลนั้นจะเป็นใคร ก็ถือเป็นการ defend ประชาธิปไตย นายกฯเลือกตั้ง ถูกคณะรัฐประหารล้มไป defend "กติกา" ในทีนี้คืออะไรไม่ทราบ ไม่ใช่ว่า defend ว่า "มึงล้ม x ซึ่งเป็นนายกฯเลือกตั้ง ด้วย คณะรัฐประหาร ไม่ได้นะโว้ย" ดังนั้น จึงเท่ากับ defend ตัวนายกฯคนนั้นด้วย (หรือในทางกลับกันการ defend นายกฯเลือกตั้ง ว่า ห้ามคณะรัฐประหารเอา นายกฯ ออก เพราะ ประชาชนเลือกมา จะไม่เป็นการ defend กติกาได้อย่างไร? ในทางปรัชญา เขาเรียกว่า การ set up fault dichotomy (คู่ขัดแย้งปลอมๆ คือ ระหว่าง "บุคคล" กับ "กติกา" ว่าเป็นคู่ที่ขัดแย้งกัน ต้องเลือก)

    ความไม่ประสาของคนไทยส่วนใหญ่ และ ปัญญาชนแบบไทยๆ

    สิ่งที่ คนไทยส่วนใหญ่ และปัญญาชนแบบไทยๆ ไม่เข้าใจ คือเรื่อง "กระบวนการ" เป็นเรื่องสำคัญสุดยอด ละเมิดไม่ได้ สำหรับ พวกเขา คิดแบบ pragmatism ทำนองว่า โอเค การรัฐประหารมันผิด แต่ถ้าหลักฐานต่างๆ ที่ได้มา มันยืนยันว่า x ผิดจริง ก็เอาหลักฐานนั้น มาดำเนินการได้ (ก็เหมือนกรณีตัวอย่าง x ฆ่าข่มขืน โอเค ตำรวจที่จับ อาจจะทำผิดกระบวนการ ก็ลงโทษตำรวจไป แต่ x ยังผิดอยู่ดี ตามหลักฐานที่ได้มา ก็ตัดสินให้ผิดได้ ดำเนินการต่อได้)

    วิธีคิดแบบป่าเถื่อน (ป่าเถื่อนจริงๆ ประเทศศิวิไลซ์เขาสรุปเป็นสิบเป็นร้อยปีแล้วว่า คิดแบบนี้ไม่ได้) ผิด เพราะ

    1. ไม่ว่า ในขณะใดของ ประวัติ ศาสตร์ เราอาจจะเห็นว่า x ผิดแน่ๆ 10000000% รวมทั้ง "หลักฐาน"ที่ได้ ก็ยืนยันเช่นนั้น มีโอกาสเสมอ แม้จะ 1% ที่ x อาจจะไม่ผิดก็ได้ (อย่าว่าแต่ ต่อให้ตัดสินไปแล้ว ก็ยังมีเปอร์เซ็นต์นี้อยู่) ดังนั้น 1% นี่แหละสำคัญ (นี่พูดให้ตัวเลขเว่อร์เลยนะ ความจริง โอกาสที่ว่า x ไม่ผิด โดยทั่วไปสูงกว่านั้นเยอะ กรณีคอร์รัปชั่นนี่แหละตัวดีนัก) การมี due process ก็คือ เพื่อให้โอกาสกับคนที่ไม่ผิด ได้สู้อย่างแท้จริง ให้ความเป็นไปได้ว่า 1% นี้ อาจจะเป็นเรื่องถูก

    หลายสิบปีก่อน คนก็เชื่อ 90 กว่า % ว่า ปรีดี เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต แม้แต่ปัญญาชน อย่าง สุลักษณ์ยังเชื่อ ใครต่อใครก็เชื่อ แล้วไงตอนนี้? ปัญญาชนทั้งหลายยืนกรานเด็ดขาดว่า ทักษิณ คอร์รัปชั่น ไม่ "คิดตื้น" ไปหน่อยหรือ?

    สรุปแล้ว เรื่อง due process จึงสำคัญ ไม่ว่า จะขัดความรู้สึกว่า x ผิดอย่างไรก็ตาม

    2. ไม่มีสิ่งที่ว่า ต่อให้กระบวนการผิด แต่หลักฐานที่ได้จากกระบวนการนั้น (ดูที่เขายอมรับมาตรงๆว่า สิ่งที่ได้จากรัฐประหาร สามารถใช้ยืนยันความผิดทักษิณได้) ไม่มีเรื่องเช่นนี้ในโลก ความถูกต้องของ"หลักฐาน" มาจากกระบวนการที่ถูกต้อง มีโอกาสเสมอ (อันนี้ ไม่ใช่ 1% ด้วยซ้ำ อาจจะถึง 100%) ที่หลักฐาน ซึ่งได้จากกระบวนการที่ถูก จะไม่ตรงเลยกับหลักฐานที่ได้จากกระบวนการที่ผิด

    x ข่มขืนฆ่า ทุกอย่าง ชี้ไปที่อันนี้หมด ตำรวจไม่รู้จะทำยังไง เพราะไม่มีหลักฐานมัดตัว ก็ใช้วิธีผิด เช่น หลอกล่อให้สารภาพ โดยไม่ยอมเตือนล่วงหน้าว่า คุณมีสิทธิที่จะไม่สารภาพ หรือไม่ให้การเลยก็ได้ ปรากฏว่า x สารภาพ "ผมข่มขืน" เองครับ หลังจาก ศาลพบความจริงเรื่องนี้ ก็เลยลงโทษตำรวจ ถ้าคิดแบบคนไทย หรือคนป่าเถื่อน หรือปัญญาชนงี่เง่า ก็จะคิดว่า โอเค ตำรวจผิด ก็ลงโทษตำรวจไป แต่คำสารภาพ มันเป็นหลักฐานชัดว่า x ผิด ก็เจ้าตัวสารภาพมาเอง จะมีอะไรทีเถียงได้อีก ดังนั้น ก็เอาคำสารภาพ มาดำเนินคดีใหม่

    แต่ในประเทศศิวิไลซ์ เขาทิ้งคดีนั้นเลย (และ double jeopardy อีกต่างหาก) เพราะอะไร เพราะมันไม่มีเรื่องนิทานประเภท "หลักฐานที่ถูก ยังไงก็เป็นหลักฐานที่ถูก ไม่ว่าจะได้มายังไง" (นี่คือวิธีคิดแบบ "ชายขอบ" แหละ เขาจึงพร้อมจะเอาหลักฐานหรือ"กระบวนการ" ที่ คณะรัฐประหารทำไว้ มาทำต่อ) เช่น กรณี x สารภาพ ใครจะรู้ (นี่ไมใช่สมมุติ เกิดขึ้นจริง) x อาจจะไม่ได้ข่มขืนฆ่าเลย แต่ทุกคนชี้ไปที่เขาหมด สังคมพร้อมใจกันตัดสิน สื่อมวลชน ฯลฯ แม้แต่ญาติเขา เมียเขาก็ไม่เชื่อ พอตำรวจจับเขาไป ตำรวจก็ยืนยัน สร้างบรรยากาศแวดล้อมให้เขารู้สึกถึงเรื่องนี้ ชี้ช่องให้เขาว่า สารภาพเถอะ จะได้จบๆ ทุกคนจะได้ให้อภัยเขา เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากเต็มที่ (เช่น แม้แต่คนที่เขารัก และมีความหมายตอเขามากๆ เช่น แฟน ลูก พ่อ แม่ ก็เชื่อตาม"หลักฐาน") เขาก็เลยสารภาพไป เขาไม่มีทนายอยู่ด้วย ถ้ามีทนาย ทนาย ก็อาจจะพูดเตือนสติเขาได้ ว่าไม่ต้องให้การ ... อย่างนี้ จึง "สารภาพ" ไป และโดนลงโทษไปทั้งๆที่ไม่ได้ผิด ถ้าเป็น"ปัญญาชนแบบไทยๆ" ก็เอาสิ คำสารภาพ มันชัดๆอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้มาด้วยการละเมิด due process อย่างไร (ตำรวจไม่ยอมเตือนว่า เขาไม่พูดเลยก็ได้ เขามีทนายอยู่ด้วยได้)

    เห็นไหม ว่ามันสำคัญขนาดไหน เรื่อง due process แม้แต่ "หลักฐาน" ที่ดูเหมือน 1000000% ว่า x ผิด ก็ยังสามารถเป็นคนละเรื่องได้ ถ้าไม่ใช่ due process 

    และเมื่อประกอบกับข้อ 1 ข้างต้นแล้ว จึงสำคัญมากๆ อาจจะหมายถึงความแตกต่างระหว่าง ความเป็นความตาย ของคนบริสุทธิ์ (และนี่คือวิธีคิดเบื้องหลัง ที่มีการพูดๆกันว่า "ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่า ลงโทษคนบริสุทธิ์ 1 คน" กระบวนที่ว่ามานี้ ใช่ มีโอกาสทำให้คนผิดหลุด - แต่นี่เป็นความผิดของ เจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมทำตามกระบวนการเอง - แต่ในระยะยาว มีความสำคัญมาก เพราะมันประกัน ไม่ให้คนบริสุทธิ์ ต้องถูกอำนาจตามใจชอบเล่นงาน โดยอ้าง "ผล" ไม่ดูวิธีการ - คมช. ทำผิดวิธีการ แต่ผลที่ออกมาก็ถูกนี่ ทักษิณผิดตามหลักฐานที่ คมช.ค้นมาจริงๆ นี่ไงวิธีคิดของปัญญาชนแบบไทย ๆ)

    ในประเทศเจริญแล้ว เขาจึงไม่รับใดๆเลยทั้งสิ้น กระบวนการที่ได้มาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่คิดแบบ pragmatism ว่า เออน่าๆ ถึงจะได้มาไม่ถูก ก็ลงโทษไอ้คนทำไม่ถูก (ลงโทษ ตำรวจ ผู้ก่อรัฐประหาร ฯลฯ อันที่ "ปัญญาชนแบบไทยๆ" ขี้ขลาดเกินกว่าจะเขียนเรื่องนี้ด้วยซ้ำ) .. แต่"หลักฐาน" ที่ได้จากการทำไม่ถูกนั้น มัน"ถูกต้อง" ได้นี่ เอามาใช้ต่อได้ ไอ้คนที่ถูกจับอย่างไม่ถูก จึงยังต้องถูกจับต่อไป "คดีความต่างๆ" ที่ได้มาอย่างไม่ถูก ก็ดำเนินต่อไป

    มันเรื่องน่าเศร้า ที่ประเทศนี้ ป่าเถื่อนทางความคิดขนาดนี้


    ปล. โปรดสังเกตว่า arguments ของผมทั้งหมด ไม่มีตรงไหนเลยทีอ้างถึงเรื่อง "เสียงส่วนใหญ่" เพราะ มันไม่เกี่ยวเลย การไม่เอารัฐประหารไม่เกี่ยวกับ "เสียงข้างมาก" หรือไม่ข้างมากในสภา อย่างเป็นรูปธรรม ต่อให้ ในปี 2551 พลังประชาชน ไม่ได้เป็นเสียงข้างมาก ไม่ได้เป็น รบ. ก็มีความชอบธรรมเต็มที่ ที่จะหาทางยกเลิก "คดีความต่างๆ" ที่คณะรัฐประหารทำไว้ (ที่จริง ทักษิณและพลังประชาชน มีสิทธิใช้กำลังอาวุธ รัฐประหารคืนด้วยซ้ำ เหมือนที่ปรีดี ทำเมื่อปี 2492)

    นี่เป็นปัญหาหลักการว่า จะเอา หรือไม่เอา รัฐประหาร และกล้าพอจะ ไม่เอา รัฐประหาร จริงๆหรือไม่ หรือ เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ปากว่าตาขยิบ แม้แต่กับตัวเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×