คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 - ทำใจไม่ได้
-2-
กลิ่นโรงพยาบาลและความเงียบที่โรยตัวมาเป็นเวลาเกือบชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่านั้น มีเพียงแค่เสียงล้อของเตียงคนไข้ที่ทำลายบรรยากาศอึดอัดในตอนนี้ ผมยืนมองพี่เขยที่นั่งก้มหน้าเงียบ ๆ ตามลำพังหลังจากเข้าไปพบภรรยาและ ‘ลูกสาว’ ที่เพิ่งจากเขาไปเป็นครั้งสุดท้าย
ผมไม่กล้าพูดอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปถามไถ่ว่าเขาโอเคหรือเปล่า ในสถานการณ์แบบนี้ผมคิดว่าคงไม่มีใครทำใจได้ง่าย ๆ จะนั่งก็ไม่กล้า จะหายใจก็ยังลำบาก รู้สึกว่าความผิดทั้งหมดมันเป็นเพราะผมคนเดียว...ผิดอย่างที่ไม่น่าให้อภัย
ผมขอโทษ...พี่อี้ฟาน
“นายกลับไปเถอะ”
“...................”
“เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการต่อเอง” เขาพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้นโดยที่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปสักคำ ผมได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินจากผมไปนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว้าเหว่จนน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างเหลืออด พี่สาวเพียงคนเดียวของผมเธอได้จากไปแล้ว...จากไปโดยที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีก กลิ่นคาวเลือดยังคงติดอยู่ที่จมูก ผมมองคราบเลือดแห่งความสูญเสียที่เกราะกรังอยู่บนฝ่ามือพลางกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ
“พี่เหม่ยซิง...”
“เฮ้” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นผู้ชายผิวสีแทนคนนั้นที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ไม่ห่างจากผมสักเท่าไหร่ เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับยื่นซองทิชชู่มาให้
“พอดีว่าผมไม่ใช่พระเอกที่จะได้พกผ้าเช็ดหน้าไว้ตลอดเวลา”
“..............”
“ไม่ต้องทำซึ้ง ผมซื้อมาจากมินิมาร์ทข้างล่างนี่แหละ”
“คุณยังอยู่อีกเหรอ” ประโยคนี้ทำเอาเขาทำหน้างิดไปในทันที เขาหันไปทางอื่นแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะหันกลับมามองผมอีกครั้ง
“จริง ๆ ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่หรอกนะ กลิ่นเหม็นสาบโรงพยาบาลมันเป็นอะไรที่ผมเกลียดที่สุดเลยล่ะ และผมจะไม่มายืนตรงนี้เลยถ้าไม่มีคนบ้าคนหนึ่งวิ่งมาตัดหน้ารถเข้าให้”
พอได้ยินเขาพูดผมก็ถึงนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ผมได้ก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้ ผมสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ชายคนนี้ด้วยสินะ เขาถอนหายใจแล้วดึงทิชชู่สามสี่แผ่นยัดใส่มือผม
“ผมขอโทษจริง ๆ ครับ ตอนนั้นผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” ผมโค้งหัวขอโทษอีกฝ่าย เขาดูเก้ ๆ กัง ๆ ตอนที่เห็นผมโค้งหัวให้เขา “ผมคงทำคุณเสียเวลามาทั้งวัน ถ้ายังไงผมจะรับผิดชอบเรื่อง...”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ผมเอารถไปล้างแล้ว” เขาพูดแทรกขึ้นมานั่นทำให้ผมเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย
“อะไรนะครับ ล้างรถเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ คราบเลือดเต็มเบาะหลังซะขนาดนั้นเห็นทีล้างเสร็จคงได้เปลี่ยนยกเซ็ท”
“อ่าใช่...ผมลืมนึกถึงเรื่องนั้นไปเลย” ผมขมวดคิ้วพลางกัดเล็บนิ้วหัวแม่มือ
“ลืม? แล้วที่คุณบอกว่าจะรับผิดชอบนั่นน่ะไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้หรอกเหรอไง?” เค้าก้มหน้ามองขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องค่าใช้จ่าย ให้ตายเถอะ...ผมยังมีเรื่องที่ต้องคิดอีกเยอะนะ
“มันจะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าผมจะขอชดเชยค่าเสียหายของคุณทั้งหมดหลังจากงานศพของพี่สาวผม...” ผมพูดเสียงแผ่ว ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองแบกทุกอย่างเอาไว้บนบ่า จะทิ้งมันลงก็ไม่ได้
“เรื่องของผมน่ะคุณอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ตอนนี้ก็จัดการเรื่องงานศพของพี่สาวคุณให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”
“ขอบคุณครับ...”
“ผู้ชายคนเมื่อกี้น่ะพี่เขยของคุณใช่ไหม?” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ท่าทางเขาจะสติแตกไปกว่าครึ่งแล้ว ถ้าคุณเป็นเหมือนเขาไปอีกคนแล้วใครจะจัดการเรื่องงานศพ”
“.................” พอนึกถึงหน้าพี่อี้ฟานความรู้สึกผิดทุกอย่างก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“ขอโทษนะครับ คุณชื่อ...”
“คิมจงอิน ผมคิดว่าครั้งแรกที่บอกไปคุณคงไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่” เขายิ้มบาง ๆ ส่วนผมก็ได้แค่ยิ้มฝืนตอบกลับไป
“ผมจางอี้ชิงครับ”
อย่างน้อย...ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เมินผมเหมือนพี่อี้ฟาน...
----------------------------------
ผมเคยได้ยินใครหลาย ๆ คนบอกว่า...
ความเศร้ามักจะอยู่กับเรานานกว่าความสุขเสมอ...
หลังจากจัดการงานศพของพี่เหม่ยซิงกับหลานสาวเรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่อี้ฟานก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ลงมากินข้าว ไม่ไปทำงาน ผมคงไม่ต้องห่วงว่าพี่อี้ฟานจะถูกไล่ออกเพราะที่เขาทำงานอยู่นั่นมันก็คือกิจการของครอบครัวของเขา ผมเคยคิดว่าบ้านหลังนี้มันเล็กเกินไปสำหรับเราสี่คนรวมถึงเด็กตัวเล็กในท้องของพี่เหม่ยซิงด้วย แต่พอเธอจากไป...ผมก็รู้สึกได้ว่าบ้านมันกว้างขึ้นจนดูเงียบเหงาไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
กี่วันแล้วที่ผมต้องนั่งกินข้าวคนเดียวโดยที่ไม่มีพี่เหม่ยซิงและพี่เขยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กี่วันแล้วที่ผมตัดใจไม่ทำกับข้าวแล้วซื้ออาหารสำเร็จรูปมากินคนเดียว ผมพยายามจะเข้าไปคุยกับพี่อี้ฟานแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากคุยกับผมสักเท่าไหร่...
“ฮัลโหล...สวัสดีครับคุณจงอิน”
/ เรื่องงานศพผ่านไปได้ด้วยดีหรือเปล่า? /
“ครับ...”
/ เป็นอะไรไป เสียงคุณดูไม่ค่อยดีนะ? /
“อ๋อ...ผม”
/ พี่เขยหน้าตายนั่นไม่ยอมคุยด้วยอีกแล้วล่ะสิ? /
“...................”
/ เขายังคิดว่าคุณเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอตายอยู่เหรอ จะไปกันใหญ่แล้วมั้ง ใครจะอยากให้พี่สาวตัวเองตายกันวะ /
“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณจงอิน ผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะอยู่ในช่วงทำใจ”
/ ไม่อึดอัดหรือไงที่ต้องอยู่บ้านกับหมอนั่นสองคนน่ะ /
อึดอัดสิ...
อึดอัดจนจะสำลักมันออกมาอยู่แล้ว...
ผมลดหูโทรศัพท์ลงเมื่อเห็นร่างสูงเดินลงมาจากบันได นัยน์ตาคมที่ดูมีเสน่ห์บวมช้ำราวกับว่าร้องไห้มาทั้งคืน ผมวางสายคุณจงอินทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วเข้าไปหาพี่อี้ฟานที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าตู้ไม้ชั้นสูง
“พี่อี้ฟาน”
“................”
“หิวไหม เดี๋ยวผมทำกับข้าวให้กินนะ” ผมนั่งลงข้าง ๆ เขาพร้อมกับมองไปยังมือแกร่งที่กำลังค้นตู้อย่างตั้งใจ
เขาไม่ได้ฟังที่ผมพูด
“พี่...”
“................” ไม่มีเสียงตอบกลับมานอกจากการกระทำที่เฉยชาของร่างสูง พี่อี้ฟานถืออัลบั้มรูปกองใหญ่ขึ้นมาก่อนจะเดินออกไปโดยที่ไม่สนใจเลยว่าผมที่นั่งอยู่ตรงนี้จะรู้สึกอย่างไร
ที่ผมพยายามคุยกับเขา ที่ผมพยายามทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเพราะผมไม่อยากปล่อยให้ตัวเองนอนร้องไห้ฟูมฟายกับเรื่องนี้ พี่สาวแท้ ๆ ของผมจากไปทั้งคนทำไมผมจะไม่เสียใจ พี่อี้ฟานคือญาติคนเดียวที่ผมเหลืออยู่ในโซล ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ผมก็รักเขาเหมือนกับพี่ชายแท้ ๆ
แต่ทำไม...เขาถึงได้ทำแบบนี้กับผม
----------------------------------
หนึ่งคนยึดติดอยู่กับความทรงจำ...
หนึ่งคนพยายามจะเดินต่อไปข้างหน้า...
ผมค่อย ๆ หมุนลูกบิดประตูแล้วเปิดออกอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกตัว พอมองเข้าไปในห้องก็พบกับคน ๆ หนึ่งที่ฟุบหลับอยู่บนเตียงทั้งที่กอดอัลบั้มรูปไว้แนบอก กองอัลบั้มรูป กรอบรูป ตุ๊กตา เสื้อผ้าเด็กกองระเกะระกะอยู่บนเตียงเต็มไปหมด พี่อี้ฟานไม่ยอมลงไปกินข้าวมาหลายวันแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ได้ยังไง ผมได้แต่คิดว่าเขาคงลงมาหาอะไรกินตอนที่ผมหลับ ซึ่งผมอยากให้เป็นอย่างนั้นเสียมากกว่า...
ผมวางโจ๊กร้อน ๆ ลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง มองใบหน้าของใครอีกคนที่กำลังหลับอยู่ ผมเข้าใจว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน ความเข้มแข็งและภูมิต้านทานความเจ็บปวดมันมีไม่เท่ากันอยู่แล้ว พี่อี้ฟานเกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่เคยสูญเสียคนที่รักมากไปแบบนี้ก็เลยทำใจไม่ได้
ผมถอนหายใจแล้วรวบอัลบั้มรูปมากอง ๆ กันก่อนจะเอาไปวางไว้ข้าง ๆ เตียง ไม่ว่าจะเป็นผมหรือพี่อี้ฟาน...เราทั้งคู่ก็คงต้องการเวลาเพื่อเยียวยาความเจ็บปวดในครั้งนี้ทั้งนั้น...
----------------------------------
ผมลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องก่อนจะลุกไปเปิดผ้าม่านออกเล็กน้อยแล้วก็พบว่าฝนกำลังตกลงมา พอเห็นอย่างนั้นก็เลยรีบวิ่งลงไปหลังบ้านเพื่อเก็บผ้าที่ตากเอาไว้ กระแสลมพัดเสื้อผ้าจนแทบปลิวออกจากราว ยิ่งผมรีบเท่าไหร่ผมก็ยิ่งช้าเท่านั้น พอหันกลับไปมองตะกร้าก็พบว่าผ้าที่เพิ่งเก็บไปเมื่อครู่นั้นเปียกไปหมดแล้ว ผมหยุดยืนนิ่ง ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วปล่อยให้หยาดฝนตกลงมากระทบกับใบหน้าโดยที่ไม่คิดจะวิ่งกลับเข้าไปหลบฝนในบ้าน...
เหมือนกับวันนั้นเลยสินะ...
‘อี้ชิง!!!!!!!!!’
ผมก้มลงเก็บตะกร้าผ้าขึ้นมาแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านทั้งที่สภาพเปียกโชกไปทั้งตัว ทันทีที่ประตูปิดเสียงฝนก็ซาลงตามไปด้วย ผมคิดว่าเสียงฝนข้างนอกนั่นมันอาจจะทำให้ผมรู้สึกดีกว่าความเงียบในบ้านนี่ก็ได้...
เอาผ้าที่เพิ่งเก็บมาใส่เข้าไปในเครื่องซักผ้าก่อนจะเดินถอยหลังไปจนชิดกับพนัง ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีต่อจากนี้ ในตอนนี้ผมกับพี่อี้ฟานเราสองคนไม่ได้ต่างอะไรไปจากคนอื่นเลย ผมสมควรอยู่ที่นี่ต่อไปไหม ถ้าผมย้ายออกไปพี่อี้ฟานจะรู้สึกดีกว่านี้หรือเปล่า?
ผมหลับตาแล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น งอขาเข้าหาตัวแล้วฟุบหน้าลง
ผมควรทำยังไงดีครับ...
----------------------------------
[Wufan’s Part]
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องตื่นมาโดยไม่มีเหม่ยซิงนอนอยู่ข้าง ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะจากผมไปหลายวันแล้วแต่ผมกลับไม่รู้สึกคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงนี้เลยสักนิดเดียว...และคงไม่อยากชินกับมันด้วย ในมือของผมมีถุงมือสีชมพูขนาดพอเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด ผมกำเอาไว้แน่นแล้วกอดมันไว้แทนตัวลูกสาวผมที่เพิ่งจากไป...
ผมไม่อยากแม้แต่จะลุกออกจากเตียง ไม่อยากตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงที่โหดร้ายแบบนี้ น้ำตาของผมมันไหลออกมาแทบทุกครั้งที่กระพริบตา ผมรู้ว่าผมควรเดินต่อไปข้างหน้าแม้ว่าผมจะไม่มีเหม่ยซิงกับลูกสาวอีกแล้ว
ผมเพิกเฉยไม่สนใจอี้ชิง ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาเองก็คงเศร้าเหมือนกัน ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของอี้ชิงแต่ผมกลับอคติ ในหัวของผมมันตีกันไปหมด...
ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ข้าง ของที่ผมเคยวางไว้บนเตียงปัจจุบันมันกองอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงคิดว่ามันเป็นฝีมือของเหม่ยซิง ผมเดินลงบันไดเพื่อหาอะไรทานในครัว แต่พอลงมาถึงชั้นล่างผมก็พบกับความว่างเปล่า อี้ชิงไม่อยู่เหรอ?
ครืด........
ผมเดินตามเสียงเครื่องปั่นผ้าไปแล้วก็พบอี้ชิงนั่งฟุบหลับอยู่ตรงนั้น ผมเข้าไปหาเขาพร้อมกับนั่งยอง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปวางลงบนหัวอีกคน
“อี้ชิง”
“...................”
“นี่...” ผมจับแขนเขาแต่ก็ต้องเลิกคิ้วมองเมื่อเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเปียกชุ่ม ผมประคองอี้ชิงให้เงยหน้าขึ้นแต่เขาก็ยังหลับอยู่ พอทาบหลังมือลงบนหน้าผากมนก็ได้คำตอบ
เจ้าเด็กนี่ไม่สบายซะแล้วสิ...
ผมช้อนตัวอี้ชิงขึ้นมาแล้วอุ้มเขาไปที่ห้อง วางร่างผอมบางลงบนเตียงแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เลือกเสื้อผ้าหนา ๆ ก่อนจะเอามาวางไว้บนเตียงแล้วจัดแจงเปลี่ยนให้คนที่กำลังหลับอยู่ แต่พอผมถอดเสื้อเขาออกก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นดวงหน้าหวานที่อยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของผมสักเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่ วูบหนึ่งผมรู้สึกได้ว่าอี้ชิงหน้าเหมือนเหม่ยซิงมาก
“..................” ผมหลุบสายตาลงแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อี้ชิงต่อ ผมพยายามไม่มองหน้าเขาเพราะนั่นมันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผมลงไปแต่สุดท้ายผมก็หันกลับไปมองเขาอีกครั้งอยู่ดี
ประคองหัวอีกคนไว้แล้วเอาหมอนซ้อนรองคอให้อย่างเบามือเหมือนกับที่เคยทำให้ภรรยาทุกคืนก่อนนอน จ้องมองใบหน้าเรียวที่ยังคงหลับใหลอยู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัส
ไล้หลังมือไปตามดวงหน้าขาวพร้อมกับยิ้มออกมา เพียงชั่ววินาทีชายหนุ่มก็โน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปากอิ่มเพียงเบาบางโดยไม่รู้ตัว อี้ฟานหยุดชะงักก่อนจะผละตัวออกทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มือแกร่งลูบใบหน้าตัวเองพลางสบถด่าในใจ บ้าจริง! วูบหนึ่งเขาเห็นอี้ชิงกลายเป็นเหม่ยซิงไปได้ยังไงกัน?
ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกไปจากห้องก่อนที่คนที่หลับใหลเมื่อครู่จะลืมตาขึ้นมา เด็กหนุ่มดูตระหนกเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากที่เพิ่งถูกจูบไปเมื่อครู่เบา ๆ
เมื่อกี้...พี่อี้ฟานจูบเขางั้นหรือ?
TBC
จะเขียนจบหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ
พล๊อตมึนและอึนมาก มาแบบรวบรัด (โผล่มาตอนแรกก็มีฉากตายเลย ฮะฮะ)
ความคิดเห็น