คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 - สูญเสีย
-1-
ถ้าเป็นไปได้...
ผมอยากได้เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวผมเอง...
“ตื่นแต่เช้าเลยนะวันนี้”
ขณะที่ผมกำลังเดินสะลึมสะลือเข้าไปในครัวก็เห็นใครคนหนึ่งยืนยิ้มบาง ๆ อยู่ตรงหน้าซิงค์ล้างจาน ในมือของเขาสวมถุงมือยางสีเขียวอีกทั้งยังใส่ผ้ากันเปื้อนลายหวานแหววที่มันควรจะเป็นของผู้หญิง ชุดที่เขาสวมใส่อยู่มันอาจจะตลกไปสักหน่อยในสายตาผมแต่มันคงไม่ดูแปลกตาไป เท่ากับการเห็น ‘อู๋อี้ฟาน’ ซึ่งเป็นพี่เขยของผมในเช้านี้
“พี่ต่างหากที่ตื่นเช้า” ผมปรือตามองผู้ชายตัวสูงคนนั้นที่กำลังยืนง่วนอยู่กับการทำครัว ผมได้กลิ่นหอมที่โชยมาจากหม้อที่ตั้งไฟอยู่ ดูเหมือนเขากำลังจะ ‘พยายาม’ ทำซุปให้พี่สาวผมที่กำลังท้องอยู่ได้ทาน
“มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง” เขาถอดถุงมือออกแล้วพาดไว้กับซิงค์ล้างจานก่อนจะหันมาเลิกคิ้วมอง ผมยักไหล่น้อย ๆ แล้วเปิดตู้เย็นก่อนจะหยิบนมแกนลอนออกมาเทใส่แก้วใบใส
“ผมก็แค่เดาว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่” พูดจบก็ดื่มนมจนหมดแก้วในรวดเดียว เขายกยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปมองหม้อที่กำลังเดือดได้ที่
“หมายถึงในหม้อนี่น่ะเหรอ?”
“เปล่า ผมหมายถึงว่าพี่จะทำกับข้าวหรือจะเผาบ้านต่างหาก โอ๊ะ!!” ผมผงะถอยหลังสองก้าวเมื่อพี่อี้ฟานทำท่าจะมาเบิ้ลกระบาล ผมยกมือขึ้นตั้งการ์ดยิ้มร่าทำตาปริบๆ
“โอ๊ย ๆ เจ็บ!” ผมร้องโอดครวญเมื่อถูกพี่อี้ฟานล็อคคอให้เดินเข้าไปใกล้หม้อที่กำลังเดือด ผมเหลือบมองคนที่ตัวโตกว่าแล้วกระพริบตาปริบ ๆ
“พี่จะทำอะไรผมเหรอ -.-”
“จับนายโยนลงหม้อซุป” เขาตอบ ผมหัวเราะน้อย ๆ แล้วแกะแขนแกร่งที่กำลังล็อคคอผมออกแล้วชะเง้อหน้าเข้าไปดมกลิ่นนั่นใกล้ ๆ
“ซุปหัวไชเท้าน่ะ”
“ผมรู้น่า หัวไชเท้าลอยเต็มหม้อแบบนี้ลิงใส่แว่น 3D ยังดูออกเลย โอ๊ย!” ผมกุมหัวตัวเองเมื่อถูกคนข้าง ๆ เขกหัวเข้าให้ ผมถอนหายใจแล้วเหล่มองเขาด้วยสายตาเคือง ๆ
“เพราะพี่เขกหัวผมแบบนี้ไง ผมถึงเกรดตกทุกปี ๆ ”
“หืม? มันเป็นความผิดของพี่หรอกเหรอจางอี้ชิง?” พี่อี้ฟานหัวเราะ
“แน่อยู่แล้ว ผมล่ะสงสารหลานผมที่อยู่ในท้องพี่เหม่ยซิงจริง ๆ ”
“สงสารทำไมครับ?” พี่อี้ฟานใช้ทัพพีคนซุปพลางมองหน้าผม
“ก็พ่อของมันน่ะชอบใช้กำลังกับน้าชายสุดหล่อ กะโหลกจะแตกอยู่ละ” ผมชี้ขมับตัวเอง พี่อี้ฟานหัวเราะอีกครั้งแล้วตักน้ำซุปมาตรงระดับริมฝีปากผม
“ชิมดูหน่อย พี่ไม่รู้ว่ามันโอเคแล้วหรือยัง”
ผมขมวดคิ้วแล้วมองซุปในทัพพีก่อนจะมองหน้าหล่อ ๆ ของพี่เขย ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจิบมันเพียงหน่อยเดียว สีหน้าของเขาลุ้นกับปฏิกิริยาของผมมาก
“เป็นไงบ้าง พอใช้ได้ไหม?”
“ก็ไม่แย่”
“ก็ไม่แย่ของนายนี่...เหม่ยซิงพอจะทานได้หรือเปล่า?” สีหน้าดูเป็นกังวลกับว่าที่คุณพ่อที่ส่งมายังผมนั้นผมพอจะเข้าใจ
“ผมจะรู้ไหมเล่า ผมไม่ได้ท้องเหมือนพี่เหม่ยซิงสักหน่อย”
พี่สาวของผมเธอท้องมาได้แปดเดือนกว่า ๆ แล้วและคิดว่าอีกไม่นานเธอคงให้กำเนิดกามเทพตัวเล็กที่มาเติมเต็มให้กับครอบ ครัวของเรา พี่เหม่ยซิงแต่งงานกับพี่อี้ฟานมาได้ปีกว่า ๆ ในทีแรกผมคิดว่าชีวิตที่อยู่กันแบบสามคนมันคงอึดอัดพิลึก แต่ผิดคาด...ผมกับพี่อี้ฟานกลับสนิทกันได้ง่าย ๆ และเขาก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของบ้านหลังนี้
เราเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในกรุงโซล พ่อกับแม่ผมแยกกันอยู่มาตั้งแต่ผมเรียน ม.ต้น จนกระทั่งตอนนี้ผมอยู่มหาลัยปีสี่แล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าพ่อกับแม่จะกลับมา คืนดีกันเลย
ผมก็พูดติดตลกไปอย่างนั้นแหละ ที่ผมมาอยู่กับพี่เหม่ยซิง ก็เพราะว่าที่จีนผมไม่เหลือใครแล้วก็เท่านั้น
“พี่ไม่ได้ทำให้เหม่ยซิงทานคนเดียวสักหน่อย”
“หือ?” ผมเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่กำลังยิ้มให้ก่อนจะขยี้หัวผมเบา ๆ
“ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบลงมาทานมื้อเช้าล่ะ” พี่อี้ฟานหยิบแก้วนมที่ผมดื่มหมดไปเมื่อครู่แล้วเอี้ยวตัวหันกลับเข้าหาซิงค์ล้างจานก่อนจะเปิดน้ำในก๊อกเพื่อล้างแก้ว
เสียงฮัมเพลงในลำคอเบา ๆ บ่งบอกถึงความสุขที่มีอยู่ล้นใจของผู้ชายคนนี้ ผมยังคงยืนนิ่งและไม่ได้ขยับขาเดินออกไปแล้วทำตามที่เขาบอก พี่อี้ฟานทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า...
การที่จะได้เป็นพ่อคน...มันมีความสุขมากขนาดนั้นเลยหรือไงนะ?
------------------------------------------
“ไม่เป็นไรค่ะอี้ฟาน ฉันเดินเองได้นะ”
“เดินเองได้ยังไงกันหืม?”
“โอเค~ ฉันเข้าใจแล้ว~”
ผมได้ยินเสียงพี่สาวและพี่เขยของผมสวีทกันตั้งแต่เช้า ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แต่มันคงเปลี่ยนแปลงไปตรงที่ท้องของพี่สาวผมที่ยื่นออกมาตามกาลเวลานั่นแหละ ผมคีบผัดผักบุ้งที่พี่อี้ฟานเป็นคนทำใส่ปากก่อนจะใช้ตะเกียบคีบข้าวตามสามคำ พร้อมกับมองคู่รักตรงหน้า
"ค่อย ๆ นั่งนะ"
“จ้าคุณพ่อ ฉันยังเดินได้ปกติดี คุณไม่ต้องประคบประหงมฉันขนาดนี้ก็ได้นะ”
“ปล่อยให้เขาดูแลพี่ไปเหอะ เพราะตอนที่เขาไม่อยู่ผมเนี่ยต้องเป็นคนดูแลเจ้าเด็กอ้วนในท้องนั่นทั้งวัน” ผมเอาตะเกียบชี้ท้องโต ๆ ของพี่เหม่ยซิงนั่นทำให้ทั้งคู่หัวเราะ
“ไว้พี่จะให้ค่าขนมนายเพิ่มแล้วกัน”
“อย่างนี้ค่อยฟังขึ้นหน่อย” ผมยิ้มพอใจแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้าต่อ วันนี้ผมไม่ต้องไปมหาลัย โชคดีที่เดือนนี้มันไม่ใช่ช่วงปีสี่วิกฤติของผม เพราะช่วงทำโปรเจคจบก็อีกสามเดือนข้างหน้า พอถึงตอนนั้นพี่เหม่ยซิงคงคลอดพอดี
ช่วง หลัง ๆ มาเนี่ยผมกับพี่อี้ฟานต้องผลัดกันรีบกลับบ้านมาดูแลพี่เหม่ยซิงตลอด ก็นะครับ...ผู้หญิงใกล้คลอดลูกจะปล่อยให้อยู่คนเดียวก็คงไม่ได้
“ผมสายแล้วล่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทลุกขึ้นยืนขยับเน็กไทให้เข้าที่ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มภรรยาท้องโตเสียฟอดใหญ่ “ผมไปนะ แล้วจะรีบกลับ”
“ค่ะ ขับรถดี ๆ นะ”
“ฝากดูแลพี่สาวแล้วก็หลานในท้องด้วยล่ะ” พี่อี้ฟานเดินผ่านมาข้างหลังแล้วก็ไม่ลืมที่จะยีหัวผมจนทรงผมที่ผมเซ็ทไว้เสียทรงไปหมด ผมจิ๊ปากพลางหันไปมองแผ่นหลังของพี่เขยที่กำลังเดินออกจากประตูบ้านไป
ให้ตายเถอะ...ผู้ชายคนนี้เห็นหัวของผมเป็นของเล่นหรือไงนะ
------------------------------------------
สิ่งที่โหดร้ายสำหรับผมในตอนนี้ก็คือ...
ความจริง
พรึ่บ!
สะบัดผ้าที่เพิ่งปั่นหมาดสองสามทีแล้วใส่กับไม้แขวนก่อนจะพาดกับราวตากผ้า มันนานแล้วล่ะครับที่ผมต้องทำหน้าที่นี้แทนพี่สาว ทั้งเสื้อผ้าของพี่เหม่ยซิง เสื้อผ้าของผม และของพี่อี้ฟาน
เงย หน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วก็ต้องทำหน้าเนือยเมื่อเมฆสีเทากำลังลอยผ่านมาใกล้เต็มที ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างจางอี้ชิงเสียแล้วล่ะครับ ตอนเอาผ้าเข้าเครื่องแดดยังเปรี้ยง ๆ อยู่เลย พอเอามาแขวนไม้ตากเท่านั่นแหละ...ฝนทำท่าจะลงทันที
“อี้ชิง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ผมสะดุ้งก่อนจะหันหลังกลับไปตามเสียงเรียก ผมไม่รอช้าเมื่อเสียงนั่นกำลังโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทันทีที่ประตูเปิดออกผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่เหม่ยซิงกำลังยืนพิง พนังอยู่ด้วยท่าทางอิดโรยอีกทั้งยังมีน้ำใส ๆ ไหลออกมาตามหว่างขาของเธอจนเลอะพื้นไปหมด
ผมรีบเข้าไปประคองพี่เหม่ยซิงเอาไว้ เธอเอนหัวซบลงกับไหล่ผมอย่างหมดแรงแล้วพึมพำอะไรสักอย่าง ซึ่งผมไม่ค่อยได้ยิน
“พี่...พี่ไม่ไหวแล้ว...”
“พี่หายใจเข้าลึก ๆ นะ ผมจะพาพี่ไปโรงบาลเดี๋ยวนี้” ผมทำตัวไม่ถูก ทั้งที่เคยคิดไว้แล้วว่าถ้าเกิดเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วผมควรจะทำยังไง แต่สุดท้ายผมก็ลนลาน มือสั่น ทำอะไรไม่ถูก
พอตั้งสติได้ผมก็เลยประคองพี่เหม่ยซิงออกมาหน้าบ้านอย่างทุลักทุเล ลำพังผมคงอุ้มเธอออกมาไม่ได้ ผมวิ่งออกไปข้างนอกแล้วมองหาแท็กซี่แต่ก็ไร้วี่แวว...เสียงโอดครวญของพี่ เหม่ยซิงเป็นนาฬิกาจับเวลาที่ดังก้องอยู่ในหัวผมอยู่ตลอดทุกวินาที
“พี่แข็งใจไว้ก่อนนะ ผมจะไปหาแท็กซี่!” ผมตะโกนบอกเธอที่นั่งอยู่กับม้านั่งหน้าบ้านก่อนจะออกตัววิ่งไปปากซอยด้วยความ เร็วทั้งหมดที่ผมมี หยาดเหงื่อไหลซึมจนเสื้อยืดเปียก ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้ผมโชคดีได้เจอแท็กซี่สักคันแต่ก็ไม่มีคันไหนว่างเลย หัวใจผมเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมตัดสินใจเดินลงจากฟุตบาทแล้ววิ่งเข้าไปดักหน้ารถคันหนึ่งโดยที่ไม่คำนึง เลยว่าผมอาจจะโดนรถชนตายก็ได้ถ้าเขาเบรคเอาไว้ไม่ทัน
“เฮ้!!!”
“ได้โปรด ช่วยผมด้วย....ด....ได้โปรด” ผมเข้าไปกุมหัวไหล่ผู้ชายผิวสีแทนที่เพิ่งเปิดประตูรถออกมา สีหน้าของเขาเหมือนอยากจะซัดหมั่นลุ่น ๆ ใส่หน้าผมเต็มแก่เพราะความบ้าระห่ำของผม
“นี่คุณอยากตายหรือไงถึงได้วิ่งตัดหน้ารถผมแบบนี้น่ะ?” น้ำเสียงและสีหน้าของเขาดูแล้วคงโกรธผมเอาเรื่อง แต่นี่มันไม่ใช่เวลาที่ผมจะต้องมายืนแนะนำตัวหรือบอกเล่าอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น
“คุณช่วยพี่สาวผมที พี่สาวผมกำลังจะคลอดลูก นะครับ ได้โปรด...ผมขอร้อง” ผมทรุดลงไปคุกเข่าต่อหน้าเขาท่ามกลางสายตาคนที่ขับรถผ่านไปมา เขาดูตกใจกับการกระทำของผม ผู้ชายผิวสีแทนคนนี้ถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะยกมือป้องปาก
“ได้โปรด ผมขอร้องล่ะ!!” หน้าผากของผมจรดกับพื้นคอนกรีต น้ำตาผมไหลออกมาจนพื้นเปียกเป็นต่างดวง แค่คิดว่าพี่เหม่ยซิงกำลังเจ็บปวดผมก็แทบบ้าแล้ว ผมขับรถไม่เป็น ก่อนหน้านี้พี่อี้ฟานเคยบอกว่าจะสอนให้ผมขับรถแต่ผมปฏิเสธเพราะฝังใจ ผมเคยประสบอุบัติเหตุเมื่อตอนยังเป็นเด็กจนทำให้ผมต้องใส่เฝือกที่แขน
ถ้าผมรู้อย่างนี้...
ผมจะหัดขับรถไว้เสียก็ดีหรอก...
“ลุกขึ้นสิ พี่ของคุณอยู่ที่ไหนล่ะ?!” เขาประคองผมที่กำลังร้องไห้น้ำตาอาบแก้มขึ้นมา ผมชี้เข้าไปในซอยก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในรถแล้วผมก็เดินเข้าไปในที่นั่งคน ขับอย่างรู้งาน
ใช้เวลาไม่นานเราก็ขับเข้ามาจนถึงหน้าบ้าน ผมรีบวิ่งลงไปหาพี่เหม่ยซิงที่กำลังร้องไห้เพราะความเจ็บปวดที่เธอได้พบเจอ และผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาช่วยผมประคองเธอไปที่รถ
“คุณชวนเธอคุยไปก่อนนะ เผื่อเธอจะลืมความเจ็บไปได้บ้าง” ผู้ชายคนนั้นมองผมผ่านกระจกมองหลังขณะที่เรากำลังตรงไปที่โรงพยาบาล
“พี่เหม่ยซิง พี่ได้ยินผมไหม พี่หายใจเข้าลึก ๆ นะ ผมอยู่นี่แล้ว...” ผมลูบน้ำตาออกจาแก้มเธอก่อนจะเลื่อนมากุมมือเธอเอาไว้ พี่เหม่ยซิงบีบมือผมไว้แน่นซึ่งผมคิดว่ามันคงไม่หนักหนาเท่ากับความเจ็บปวด ที่เธอกำลังเจออยู่หรอก
“คุณครับ ช่วยขับเร็วกว่านี้ได้ไหม?”
“ถ้าผมขับเร็วกว่านี้เราทั้งสามคนอาจได้เป็นผีเฝ้าสี่แยกก็ได้นะ”
“......................”
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว มันอาจจะไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าเวลาผ่านไปนานเกินหนึ่งชั่วโมง ผมมองปลายทางที่ไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงสลับกับใบหน้าที่มีหยาดเหงื่อที่เกาะ กรังอยู่แล้วก็สงสาร
“อ...อี้ชิง...อี้ชิง...”
“พี่ครับ ผมอยู่นี่...”
“อ๊า!!!!!”
“พี่เหม่ยซิง!! คุณครับ ช่วยขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม!!”
“ผมรีบอยู่!!!”
“พี่จะ...จะไม่ไหวแล้ว...”
“นี่!! คุณต้องทำอะไรสักอย่างกับเธอนะ”
“ผมต้องทำยังไง ผมไม่รู้!!” ผมหันไปถามความเห็นกับคนขับที่ดูร้อนรนไม่ต่างจากผมเลย
“วางเธอนอนราบลงกับเบาะ หลังจากนั้นคุณก็จับขาเธอทั้งสองข้างตั้งขึ้น...”
“ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย?!!”
“บ้าเอ๊ย! ผมกำลังบอกให้คุณทำคลอดให้เธอไงเล่า!”
“................”
“อี้ชิง!!!!!!!!!!!!!!”
“พี่เหม่ยซิง! ...โธ่เว๊ย!!!” ผมสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับจับขาทั้งสองข้างของเธอตั้งชันขึ้น มันดูทุลักทุเลไปสักหน่อยเพราะแรงส่ายของรถที่กำลังเคลื่อนที่
“เอาล่ะครับคุณผู้หญิง...คุณฟังผมให้ดีนะ”
“อ๊า!!!!”
“ผม ชื่อคิมจงอินทำงานเป็นครูสอนเต้นและแน่นอนว่าผมไม่เคยเรียนด้านหมอมาเลย แต่ฟังผมนะ ผมกับน้องชายคุณกำลังจะช่วยกันทำคลอดให้คุณบนนี้เพราะบางทีเราอาจจะไปโรง พยาบาลไม่ทัน!”
“...............” ผมเม้มริมฝีปากแน่นแล้วจับขาของพี่เหม่ยซิงเอาไว้ในขณะที่เสียงกรีดร้องของเธอดังไปทั่วทั้งรถ
“เอาล่ะ...น้องชายของคุณจะคอยนับหนึ่ง สอง สาม พอถึงตอนนั้นให้คุณเบ่งออกมานะครับ”
“คุณจะบ้าเหรอ! จะให้พี่สาวผมคลอดลูกบนนี้ได้ยังไง!”
“ไม่ได้ก็ต้องได้ คุณมีทางเลือกอื่นหรือไง!?”
“อี้ชิง...พี่เจ็บ!!!”
“นับเร็วเข้า!”
“..............”
“หนึ่ง สอง สาม...เบ่งเลยครับ” กลายเป็นผู้ชายคนนั้นที่นับแทนผมและพี่เหม่ยซิงก็ทำตามแต่โดยดี เธอพยายามเบ่งลูกออกมาอย่างยากลำบาก พอเห็นอย่างนั้นแล้วน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาไม่หยุด
“ฮึก...อื้ออออ!!!!”
“หนึ่ง...สอง...สาม!!!”
“อี้ฟานนนนนน!!!!”
“....แง้...แง้...แง้...”
“.................”
เอี๊ยดดดด!!!!
รถ หยุดตัวลง เสียงของพี่เหม่ยซิงเงียบไป...มีเพียงแค่เสียงเด็กทารกที่ร้องไม่หยุด...ผม เบิกตากว้างเมื่อเห็นเด็กเปื้อนเลือดในมือตัวเอง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะพร่ามัว สมองของผมกำลังจะหยุดทำงาน ผมได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้นพูดอยู่ใกล้หูหากแต่ผมกลับทำอะไรไม่ถูก
“นี่คุณผู้หญิง!”
“................”
“ฮัลโหล! มีผู้หญิงคลอดลูกบนรถย่านชองดัมดง ครับ! รีบส่งรถพยาบาลมาด่วนเลย!”
“................”
“นี่คุณ!” ผมสะดุ้งจากความคิดพลางเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายคนนั้นที่เปิดประตูอีกฝั่ง เขาโน้มตัวเข้ามาดูอาการพี่เหม่ยซิงจนกระทั่ง...
------------------------------------------
“ขอโทษนะครับที่ผมช่วยทั้งแม่และลูกเอาไว้ไม่ได้...”
โลก ของผมหยุดหมุนไปในทันทีที่ได้ยินหมอบอก ผมแทบทรุดลงไปกับพื้นแต่ก็ได้ผู้ชายคนนั้นเข้ามาประคองเอาไว้ ในหัวผมเอาแต่บอกว่าไม่จริง มันไม่ใช่เรื่องจริงเด็ดขาด ภาพพี่เหม่ยซิงตั้งแต่ตอนเป็นเด็กจนมาถึงปัจจุบันมันฉายเป็นฉาก ๆ ในหัวของผม
มันต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ ๆ
“หมอครับหมอ...ภรรยาผมอยู่ไหน?!!!”
ยิน เสียงฝีเท้าที่เร่งเข้ามาใกล้พร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือของคนที่ผมเพิ่งโทร หาเขาเมื่อก่อนหน้านี้ ผมถูกประคองให้หันกลับไปมองผู้ชายร่างสูงในชุดสูทที่กำลังยืนคุยกับหมออยู่ จากสีหน้าที่ดูตื่นตระหนกค่อย ๆ ลดลง...จนกระทั่งหมอเดินจากไป
แล้วเขา...ก็เซถอยหลังจนไปติดผนัง
พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างไม่แคร์สายตาใคร...
ผม แกะมือของผู้ชายที่ช่วยขับรถพาผมมาที่นี่ออกแล้วเดินเข้าไปหาพี่อี้ฟาน ผมยืนมองคนที่กำลังทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นราวกับคนสูญสิ้นทุกสิ่ง ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ซึ่งผมเอง...ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขาเหมือนกัน...ผมเอื้อมมือที่มีคราบเลือด ไปตรงหน้าก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตากับผมด้วยแววตาที่ต่างไป จากทุกครั้ง
“พี่อี้ฟาน...”
“.................”
“ผม...ขอโทษ...”
ผม ไม่รู้ว่าผมขอโทษเขาเรื่องอะไร อาจจะเป็นเรื่องที่ผมไม่ยอมหัดขับรถตั้งแต่ตอนนั้นหรืออาจจะเป็นเพราะ ผม...ช่วยชีวิตพี่สาวแท้ ๆ ของตัวเองไว้ไม่ได้
ผม...รู้สึกผิด
“คำขอโทษของนาย...มันทำให้เหม่ยซิงฟื้นขึ้นมาได้หรือเปล่าล่ะจางอี้ชิง...”
TBC
สวัสดีค่ะ
นี่เป็นฟิค EXO เรื่องแรกที่เขียน ไม่รู้จะมีคนสนใจอ่านมากน้อยแค่ไหน
ติชมต่อว่ากันทางคอมเมนท์ได้เลยนะคะ จะได้เป็นแนวทางเอาไปปรับปรุง
ขอบคุณมากค่ะ ~
ความคิดเห็น