ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ความมืดที่ปกคลุม
  เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำลง แสงสว่างเริ่มจางลงเรื่อยๆ แสงที่เคยทอดผ่านหน้าฉันตอนนี้เริ่มต่ำลงเรื่อยๆ อากาศที่ร้อนกับเย็นสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันซึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งพยายามที่จะใฝ่หาและค้นพบความรักนั้นเหมือนเจอกับความรักที่เป็นความฝันอยู่ตลอดเวลา เหมือนเจอความรักที่หลอกลวงแล้วก็ไม่มีความจริงใจ ขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านกลับบ้านนั้น ฉันได้เดินทางผ่านสถานที่แห่งนั้น ซึ่งเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าสำหรับฉัน ตอนนี้มันกลับว่างเปล่าเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น แต่พอมองดีๆกลับเกิดมโนภาพขึ้นมันยังติดตาตรึงใจฉันถึงในขณะนี้ แล้วเริ่มจะชัดขึ้นทุกๆทีในใจฉัน วันนั้นฉันยังจำได้ว่าเป็นวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆเริ่มจะดำ คล้ายๆฝนกำลังจะตก สายฝนได้โปรยปรายแล้วเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อยๆขณะนั้นฉันกำลังจะเดินกลับบ้าน ฉันพยายามจะเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ผลปรากฏว่า เจ้ากรรมฝนก็กำลังตก ฉันจึงต้องเดินเข้ามาหลบฝน สถานที่นั้นเป็นพื้นกว้าง มีที่นั่งวางเรียงรายเป็นทางยาว มีต้นไม้น้อยใหญ่แล้วมีแปลงดอกไม้อยู่รอบๆ ประกอบไปด้วย ดอกเข็ม ดอกจำปาแซมนิดหน่อย แล้วก็มีหญ้าขี้นเต็มคล้ายกับสวนสาธารณะขนาดย่อมที่ติดกับถนน เมื่อกล่าวถึงหญ้านั้นดูมันไม่มีความหมายอะไร ไร้ประโยชน์สำหรับคนบางคน แต่สำหรับบางคนนั้นหญ้าอาจจะมีประโยชน์ คุณลองคิดดูว่าหญ้ามีประโยชน์อะไรบ้างคุณก็คงคิดไม่ออกหรอกหรือกล่าวว่าไม่มีประโยชน์อันใดเลย แต่สำหรับฉันคิดว่าหญ้ามีประโยชน์อย่างน้อยประโยชน์ที่เห็นได้ชัดก็คือเวลาคุณมองพื้นดินที่มีสีน้ำตาลกับพื้นดินที่มีสีเขียวคุณจะชอบแบบไหนมากกว่า ดังนั้นคุณก็คงเริ่มจะรู้ประโยชน์ของหญ้าบ้างแล้ว ก็เหมือนกับความรักนั่นแหละบางคนที่คุณคิดว่าไม่มีคุณค่าก็อาจจะมีค่าแต่คุณไม่สามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเขาได้เท่านั้น ของมีค่าไม่จำเป็นต้องอยู่สูงเสมอไป ของมีค่านั้นอยู่ต่ำก็ได้ แต่ถ้าคุณมองว่ามีคุณค่ามันก็จะกลับมามีคุณค่าจริงๆ นอกเรื่องไปมากฉันก็จะเล่าต่อถึงวันนั้น ต่อมาฉันจึงคิดว่าควรจะเข้าไปหลบฝน ณ ที่แห่งนั้น แต่ไม่รู้ว่าโชคชะตาดลใจหรือเวรกรรมอันใด เพราะสถานที่แห่งนั้นไม่มีที่หลบฝนแต่แล้วปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้นกับฉัน มีคนชูร่มขึ้นเหนือศีรษะฉัน ฉันมองเห็นมืออันเรียวยาวจับร่มที่มีก้านสีน้ำตาล พร้อมทักทายฉันด้วยเสียงอันอ่อนนุ่ม
\" สวัสดีครับ น้องแก้ว\" เสียงสั่นๆแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
  พอฉันเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นเต็มตา ฉันเห็นผู้ชายหน้าตาคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีโทนดำแล้วมีสีที่นุ่มนวลอ่อนโยนถือร่มสีอะไรไม่อาจจะทราบได้เพราะในขณะนั้นมืดมากเห็นแต่ก้านซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นสีน้ำตาล แต่ถึงจะมืดมากแต่ฉันก็ยังจำหน้าเขาได้อย่างติดตาตึงใจเหมือนกับว่าเห็นหน้าเขาทุกวินาทีด้วยซ้ำไป ผู้ชายคนนี้ก็คือ รุ่นพี่ที่รู้จักกับเพื่อนของฉันนั่นเอง สาเหตุที่เพื่อนฉันได้รู้จักรุ่นพี่เขาจะกล่าวให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้จะกล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก่อน
\"ขอบคุณมากนะค่ะสำหรับร่มค่ะ พี่สาม\" ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนาวสั่นเพราะได้ตากฝนมานานเต็มที
\"นี่ น้องแก้ว ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ\" พี่สามกล่าวด้วยความสงสัยเสียเต็มประดา ฉันจึงต้องตอบเพื่อนให้เขาหายขัดคล่องใจ
\"คือวันนี้แก้วมีประชุมเรื่องงานที่โรงเรียนค่ะ เลยเพิ่งจะได้กลับบ้านค่ะ แต่พอดีฝนดันมาตก แก้วเลยมาหาที่หลบฝนแถวๆนี้ค่ะ\"
“หนาวหรือเปล่าครับ” พี่สามถามอย่างห่วงใยเพราะขณะนั้นฉันเริ่มจะออกอาการปากสั่น ตัวซีดขึ้น
“ หนาวค่ะ” ฉันตอบด้วยเสียงเครือเหมือนจะมีอาการไข้ขึ้น
“เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวพี่จะพยายามบังฝนให้ เดี๋ยวพี่ขออนุญาตน้องแก้ว เข้าไปใกล้สักนิดนะครับ” พี่สามพูดขึ้น พร้อมกำลังเบียดตัวมาใกล้ฉัน
“จะดีเหรอค่ะ” ฉันถามเชิงกลัว
พอฉันพูดจบก็จบการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ แล้วก็จมอยู่ในความเงียบทั้งสองคนได้ยินเสียงฝน เสียงฟ้าร้องและเสียงลมหายใจของเราทั้งสองคนเท่านั้น มันช่างเป็นบรรยากาศที่ดีจริงๆสำหรับฉัน ไม่อาจจะบรรยายได้ แต่ฉันจะพยายามบรรยายความรู้สึกตอนนั้นให้ทุกคนได้รับรู้ ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก ความอบอุ่นในร่างกายของเขาทำให้ฉันผ่อนคลายความหนาวสั่นพร้อมทั้งความหนาวและละอองฝนรอบกายได้อย่างมาก ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หัวใจพองโต ฉันก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำไป ฉันเลยไม่รับรู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ ณ ขณะนั้น ความรู้สึกนี้มันไม่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวไม่เหมือนกับเพื่อนสนิทแต่มันรู้สึกแปลกไปกว่านั้นมาก
  พอเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว ความเงียบก็ถูกทำลายลง
\"งั้น เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวพี่จะเป็นคนไปส่งน้องแก้วที่บ้าน เราจะได้ไม่ต้องยินรอฝนให้หยุดตกอยู่อย่างนี้\" พี่สามกล่าวเป็นเชิงขอความคิดเห็น
ฉันเริ่มหัวใจเต้นแรงขึ้นไม่เป็นจังหวะ อยากจะตอบว่าได้ แต่ก็เหมือนมีคำพูดอะไรมาขัดว่าจะดีเหรอ เราเป็นผู้หญิงนะและเขาก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับเรามากมาย หลังจากความคิดตีกันอยู่นานก็ได้คำตอบอันเหมาะสม
\"ก็ดีเหมือนกันค่ะ พี่สามจะได้ไปทำธุระของพี่ต่อด้วย\" ฉันตอบ
จากนั้นเราก็เดินไปท่ามกลางฝนที่ตกหนัก ฉันยังจำความรู้สึก ความอบอุ่นที่ผู้ชายคนหนึ่งให้กับฉัน แต่มันเป็นแค่ความทรงจำที่มืดแล้วปกคลุมหัวใจของฉันเท่านั้นเพราะความรู้สึกถึงคำว่ารักได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ นี่ก็เป็นความทรงจำอันมืดมิดของฉันที่ซ่อนและปกคลุมในหัวใจ จนไม่อาจจะออกไปได้ จนแล้วในที่สุด ฉันก็ต้องติดอยู่ในความทรงจำนั้นอยู่จนถึงปัจจุบัน
  คุณคงคิดว่าทำไมฉันจึงถึงมีความทรงจำอันแสนเศร้าเป็นเพราะตัวฉันหรือเป็นเพราะใคร ฉันไม่ทราบจะหาคำตอบของปริศนานี้ได้ บางครั้งฉันก็เคยโทษตัวเองว่าอาจจะเป็นฉันเองที่ผิดหรือไม่บางทีฉันก็เคยโทษว่าเป็นเขาที่ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวฉันเลยหรือบางทีฉันก็โทษฟ้าดินที่ไม่กำหนดให้เรามาคู่กัน แต่สรุปแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้นที่จะต้องมานั่งโทษตัวเองหรือคนอื่นอยู่นั้น  เราควรจะยอมรับความจริงถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ต้องพยายามไม่ให้ความมืดมาบดปังและปกคลุมหัวใจให้ออกสู่แสงสว่าง ออกสู่หนทางที่จะทำต่อไป เราควรจะมีความเข้มแข็งต่อสถานการณ์ต่างๆแล้วไม่ควรนำความเศร้ามาทำลายความสุขในหัวใจ อนึ่งเราควรที่จะจดจำความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันให้ยาวนานแล้วอยู่ในความทรงจำของเราต่อไปถึงจะดีที่สุด
  จากนั้นฉันก็เดินออกจากสถานที่แห่งความทรงจำนี้แล้วก็เดินไปสู่หนทางแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันพร้อมกับความหวัง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:+: อ่านต่อตอนหน้า :+:
\" สวัสดีครับ น้องแก้ว\" เสียงสั่นๆแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
  พอฉันเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นเต็มตา ฉันเห็นผู้ชายหน้าตาคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีโทนดำแล้วมีสีที่นุ่มนวลอ่อนโยนถือร่มสีอะไรไม่อาจจะทราบได้เพราะในขณะนั้นมืดมากเห็นแต่ก้านซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นสีน้ำตาล แต่ถึงจะมืดมากแต่ฉันก็ยังจำหน้าเขาได้อย่างติดตาตึงใจเหมือนกับว่าเห็นหน้าเขาทุกวินาทีด้วยซ้ำไป ผู้ชายคนนี้ก็คือ รุ่นพี่ที่รู้จักกับเพื่อนของฉันนั่นเอง สาเหตุที่เพื่อนฉันได้รู้จักรุ่นพี่เขาจะกล่าวให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้จะกล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก่อน
\"ขอบคุณมากนะค่ะสำหรับร่มค่ะ พี่สาม\" ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนาวสั่นเพราะได้ตากฝนมานานเต็มที
\"นี่ น้องแก้ว ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ\" พี่สามกล่าวด้วยความสงสัยเสียเต็มประดา ฉันจึงต้องตอบเพื่อนให้เขาหายขัดคล่องใจ
\"คือวันนี้แก้วมีประชุมเรื่องงานที่โรงเรียนค่ะ เลยเพิ่งจะได้กลับบ้านค่ะ แต่พอดีฝนดันมาตก แก้วเลยมาหาที่หลบฝนแถวๆนี้ค่ะ\"
“หนาวหรือเปล่าครับ” พี่สามถามอย่างห่วงใยเพราะขณะนั้นฉันเริ่มจะออกอาการปากสั่น ตัวซีดขึ้น
“ หนาวค่ะ” ฉันตอบด้วยเสียงเครือเหมือนจะมีอาการไข้ขึ้น
“เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวพี่จะพยายามบังฝนให้ เดี๋ยวพี่ขออนุญาตน้องแก้ว เข้าไปใกล้สักนิดนะครับ” พี่สามพูดขึ้น พร้อมกำลังเบียดตัวมาใกล้ฉัน
“จะดีเหรอค่ะ” ฉันถามเชิงกลัว
พอฉันพูดจบก็จบการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ แล้วก็จมอยู่ในความเงียบทั้งสองคนได้ยินเสียงฝน เสียงฟ้าร้องและเสียงลมหายใจของเราทั้งสองคนเท่านั้น มันช่างเป็นบรรยากาศที่ดีจริงๆสำหรับฉัน ไม่อาจจะบรรยายได้ แต่ฉันจะพยายามบรรยายความรู้สึกตอนนั้นให้ทุกคนได้รับรู้ ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก ความอบอุ่นในร่างกายของเขาทำให้ฉันผ่อนคลายความหนาวสั่นพร้อมทั้งความหนาวและละอองฝนรอบกายได้อย่างมาก ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หัวใจพองโต ฉันก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำไป ฉันเลยไม่รับรู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ ณ ขณะนั้น ความรู้สึกนี้มันไม่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวไม่เหมือนกับเพื่อนสนิทแต่มันรู้สึกแปลกไปกว่านั้นมาก
  พอเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว ความเงียบก็ถูกทำลายลง
\"งั้น เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวพี่จะเป็นคนไปส่งน้องแก้วที่บ้าน เราจะได้ไม่ต้องยินรอฝนให้หยุดตกอยู่อย่างนี้\" พี่สามกล่าวเป็นเชิงขอความคิดเห็น
ฉันเริ่มหัวใจเต้นแรงขึ้นไม่เป็นจังหวะ อยากจะตอบว่าได้ แต่ก็เหมือนมีคำพูดอะไรมาขัดว่าจะดีเหรอ เราเป็นผู้หญิงนะและเขาก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับเรามากมาย หลังจากความคิดตีกันอยู่นานก็ได้คำตอบอันเหมาะสม
\"ก็ดีเหมือนกันค่ะ พี่สามจะได้ไปทำธุระของพี่ต่อด้วย\" ฉันตอบ
จากนั้นเราก็เดินไปท่ามกลางฝนที่ตกหนัก ฉันยังจำความรู้สึก ความอบอุ่นที่ผู้ชายคนหนึ่งให้กับฉัน แต่มันเป็นแค่ความทรงจำที่มืดแล้วปกคลุมหัวใจของฉันเท่านั้นเพราะความรู้สึกถึงคำว่ารักได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ นี่ก็เป็นความทรงจำอันมืดมิดของฉันที่ซ่อนและปกคลุมในหัวใจ จนไม่อาจจะออกไปได้ จนแล้วในที่สุด ฉันก็ต้องติดอยู่ในความทรงจำนั้นอยู่จนถึงปัจจุบัน
  คุณคงคิดว่าทำไมฉันจึงถึงมีความทรงจำอันแสนเศร้าเป็นเพราะตัวฉันหรือเป็นเพราะใคร ฉันไม่ทราบจะหาคำตอบของปริศนานี้ได้ บางครั้งฉันก็เคยโทษตัวเองว่าอาจจะเป็นฉันเองที่ผิดหรือไม่บางทีฉันก็เคยโทษว่าเป็นเขาที่ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวฉันเลยหรือบางทีฉันก็โทษฟ้าดินที่ไม่กำหนดให้เรามาคู่กัน แต่สรุปแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้นที่จะต้องมานั่งโทษตัวเองหรือคนอื่นอยู่นั้น  เราควรจะยอมรับความจริงถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ต้องพยายามไม่ให้ความมืดมาบดปังและปกคลุมหัวใจให้ออกสู่แสงสว่าง ออกสู่หนทางที่จะทำต่อไป เราควรจะมีความเข้มแข็งต่อสถานการณ์ต่างๆแล้วไม่ควรนำความเศร้ามาทำลายความสุขในหัวใจ อนึ่งเราควรที่จะจดจำความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันให้ยาวนานแล้วอยู่ในความทรงจำของเราต่อไปถึงจะดีที่สุด
  จากนั้นฉันก็เดินออกจากสถานที่แห่งความทรงจำนี้แล้วก็เดินไปสู่หนทางแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันพร้อมกับความหวัง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:+: อ่านต่อตอนหน้า :+:
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น