ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『 แฟนเด็ก 』 l ╯#สามหกสิบแปด╰

    ลำดับตอนที่ #3 : กุ๊งกุ๊งที่ 2 : ชุดนักเรียน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 56.67K
      4.31K
      22 พ.ย. 61

    2

    ห๊ะ

     

     

     

                    “ถามจริงพี่ไม้ น้ำฝากซื้อเครื่องรางความรักได้เครื่องรางคลอดลูกโดยปลอดภัย พี่บ้าป่ะเนี่ย” ผมจ้องเครื่องรางสีแดงที่น้องสาวชูขึ้นใส่หน้าผม

     

                    อย่าว่าแต่น้องสาวผมจะอยากรู้เลย

                    ตอนไอ้เด็กบ้านั่นบอกว่าเป็นเครื่องรางคลอดลูกผมยังร้องห๊ะในใจดังมาก

     

                    “หยิบผิด”

                    “ส่งรูปไปให้เป็นสีชมพู”

                    “แม่ชีเขาหยิบให้ผิด”

                    “เขาเรียกมิโกะไม่ใช่แม่ชี โว้ยยยยยย พี่ไม้!! เสียเวลาน้ำต้องฝากเพื่อนซื้อมาอีกป่ะเนี่ย!!” ถอนหายใจยาวเหยียดกับความน้องสาว ด้วยความที่ผมกับสีน้ำห่างกันสิบกว่าปี ทำให้บางทีก็เข้าไม่ถึงความคิดของเด็กสมัยนี้

                    “อย่าพูดโว้ยสิน้ำ”

                    “ซื้อมาผิดยังจะมาดุน้องอีกอ่อ”

                    “เดี๋ยวเช่าพระให้แทน ที่พึ่งทางใจเหมือนกัน”

                    “ไม่เอา พี่ไม้ไม่อินอ่ะพี่ไม้ไม่เข้าใจหรอก”

                   

                    เออ

                    เถียงไม่ออก

                    ใครมันจะไปอินกับถุงผ้าเล็กๆ อันละสี่ห้าร้อยวะ  

     

                    “รู้อยู่แล้วว่าต้องโกรธ เลยซื้ออย่างอื่นมาแทน” ผมยื่นถุงกระดาษซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่ไอ้ยามะพีสาขาบางนาบอกว่าวัยรุ่นฮิตมาก สาวในสต๊อกของมันอยากได้กันเกือบทุกคน สีน้ำตาโตก่อนจะรีบคว้าถุงไปเปิด

                    “พี่ม้ายยยยยยยยยยยยย น่าร้ากกกกกก”

      โอ้โห ได้ผลจริงว่ะ เสียงสองมาเลย   

                    “ให้เพื่อนเลือกให้ ไม่รู้จะชอบไหม ถือเป็นของขวัญรับปริญญาไปด้วยเลยแล้วกัน”

                    “ชอบบบ โอ๊ยยย คอลเลคชั่นใหม่ด้วย พี่ไม้สุดยอด รักพี่ไม้เลยอ่ะ เครื่องรางเดี๋ยวน้ำฝากเพื่อนน้ำซื้อก็ได้เพิ่งเห็นว่ามันไปเที่ยวญี่ปุ่นกับที่บ้านพอดี โอ๊ยยยยยยยยยยย ดีใจอ่ะ กอดทีดิพี่ไม้ รักน้า” ได้ทีก็อ้อนใหญ่ ผมลูบหัวสีน้ำที่พุ่งตัวเข้ามากอดอย่างรุนแรง ดูท่าทางจะดีใจจริงสมที่ยามะพีมันบอกไว้ เดี๋ยวคงต้องโทรไปขอบคุณมันสักหน่อยแล้ว


                    “เรียนจบก็โตขึ้นอีกสเตปแล้วน้ำ โวยวายให้น้อยลงหน่อย” เขกหัวไปหนึ่งที แต่เจ้าตัวก็หาได้รู้สึกผิดไม่ ยังจะเงยหน้ามาหัวเราะแห้งอีก

                    “พี่ไม้ก็สามหกแล้วนะ หาเมียได้แล้ว น้องรอรับช่อดอกไม้อยู่”

                    “ก่อนรอรับช่อดอกไม้ หาแฟนให้ได้ก่อนเถอะ”

                    “โห พี่ไม้ร้ายมาก ก็เนี่ย น้องรอเครื่องรางอยู่นี่ไง จะได้มีแฟนสักที”

                    “น้ำ ถ้ายังชอบเรอดังๆ ในที่สาธารณะแบบนี้ ต่อให้ซื้อเครื่องรางมาร้อยอันก็หาไม่ได้หรอกแฟน”

                    “พี่ไม้ ทำตัวปากร้ายเหมือนพระเอกหนังเลย”

                    “หือ”

                    “เรื่องมะหมาสี่ขาครับอ่ะ”

                    “มันมีพระเอกด้วยหรอ คิดว่าตัวเอกเป็นหมาซะอีก”

                    “ปิ๊งป่อง!!!

     

                    อ๋อ มันด่าว่าปากหมา

                    ผมชี้หน้าดุสีน้ำ เดี๋ยวนี้แข็งข้อเริ่มมีแอบด่าแล้วนะ ร้ายนักเด็กสมัยนี้

     

                    “เดี๋ยวก็ยึดสร้อยคอคืนเลย”

                    “ไม่ใช่สร้อยคอมันเป็นกำไลจ้ะคุณลุง โวะ ไม่ซื้อเครื่องรางมาให้ยังจะมาปากร้ายกับน้องอีก”

                    “ก็นั่นไง เครื่องราง” ผมชี้เครื่องรางสีแดงในมือสีน้ำ

                    “พี่ไม้เก็บไว้เถอะ น้ำรออันความรักจากเพื่อนดีกว่า” พูดจบก็เอาไปแขวนกระเป๋าผมเสร็จสรรพแบบที่ไม่มีการถวามความสมัครใจ

                    สีน้ำขอตัวเอาของขวัญไปถ่ายรูปอวดเพื่อนลงแอพไอจีหลังจากที่แขวนเครื่องรางกับกระเป๋าหนังของผม ถุงผ้าสีแดงดูขัดกับหนังสีดำสุดๆ สมควรแกะเอาไปทิ้ง แต่พอเห็นมันแกว่งไปแกว่งมาแล้วก็พานทำให้นึกไปถึงเจ้าของที่แท้จริงของมัน

                    ไอ้โจรขโมยจูบผมนั่นวัยมันคงกำลังพอๆ กับสีน้ำเพราะเพิ่งจบใหม่เหมือนกัน เผลอๆ ไม่แน่อาจจะจบมหาลัยเดียวกับสีน้ำผมก็เป็นไปได้ เสียดายที่ไม่ได้จำลักษณะครุยมันกลับมาให้ชัดไม่งั้นคงแอบพอจะเดาๆ มหาลัยได้หน่อย

                   

    ... แต่ช่างเถอะ

                   

                       

                    “พี่ไม้ เพื่อนน้ำจะกลับมาจากญี่ปุ่นพรุ่งนี้ พี่ไม้แวะไปเอาเครื่องรางแทนน้ำหน่อยดิ”

                    “พี่หรอ? ทำไมน้ำไม่ไปเอาเอง”

                    “ก็พรุ่งนี้เพื่อนจะแวะไปรับน้องมันแถวบริษัทพี่ไม้อ่ะ ว่าจะนัดให้มันไปรอสตาร์บั๊คใต้ตึกพี่ไม้ ตอนประมาณสี่ห้าโมงว่างป่ะ” พูดมาก็นึกได้เลยว่าหมายถึงโรงเรียนชายล้วนชื่อดังที่ตั้งอยู่ติดบริษัทผม พวกเด็กกางเกงน้ำเงินที่ชอบกระโดดรั้วโรงเรียนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำบริษัทผมนี่แทบจะเป็นภาพที่ชินตาแล้ว

    จริงๆ บริษัทผมเคยจับเด็กได้คนหนึ่งกะเอาให้หายซ่าเชือดไก่ให้ลิงดู หวยดันออกที่เป็นลูกชายเจ้าของบริษัทแม่ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครอยากจะจับไอ้เด็กพวกนี้อีกเลย ปล่อยเป็นปัญหาของโรงเรียนที่ไม่ทำระบบความปลอดภัยต่างๆ ให้รอบคอบเอาเอง

                    “งั้นก็ได้”

                    “ใจดีอ่ะ รักพี่ไม้จังโว้ย”

                    “อย่าพูดโว้ย เป็นผู้หญิงนะเราหน่ะ” ต้องดุหน่อยเมื่อได้ยินคำระคายหู แล้วคิดว่าวัยรุ่นสมัยนี้จะฟังไหมหล่ะครับ นู่น แล่บลิ้นปลิ้นตาเดินกลับเข้าห้องไปแล้ว ผมส่ายหัวให้กับความดื้อของสีน้ำ โตจนอายุยี่สิบสามยังทำตัวเหมือนเด็กอายุสิบแปดไปได้ คิดว่ามันเข้ามหาลัยแล้วจะโตขึ้น ที่ไหนได้นิสัยไม่ได้ต่างไปจากตอนมัธยมเลยสักนิด ผมหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาเพื่อดูเครื่องรางโง่ๆ ที่แกว่งตัวอย่างไร้ประโยชน์

                    


                     ไว้ค่อยถอดพรุ่งนี้แล้วกัน...

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

                   

                    วันธรรมดาสำหรับนักธุรกิจอย่างผมก็จะวนๆ อยู่แค่การนั่งเซ็นเอกสารและออกไปคุยกับลูกค้าพันธมิตร ดูเหมือนจะง่ายเหมือนในละคร แต่เชื่อเถอะครับ เจรจาธุรกิจเนี่ย เผาผลาญพลังชีวิตพอๆ กับวิ่งลู่วิ่งสิบกิโลเลยเถอะ เหนื่อยจิตใจจนพาลไปเหนื่อยร่างกายด้วย ผมยกมือขึ้นคลายเทคไทด์ที่คอพรางมองตัวเองในกระจกห้องน้ำ

                    ดูแก่ขึ้นิดหนึ่งรึเปล่าวะ

                    เนี่ย เพราะทำงานหนักเกินไปแน่เลย กลับบ้านไปต้องยืมไอ้น้ำตบๆ ของสีน้ำมาใช้บ้างแล้ว อุตส่าห์ดึงหน้ามาทั้งวันกลัวยิ้มแล้วตีนกาขึ้น

                    ระหว่างที่ผมกำลังนวดคลายตีนกาก็มีกลุ่มเด็กนักเรียนกางเกงน้ำเงินสองสามคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องน้ำ คนหนึ่งที่ใส่ชุดธรรมดารีบวิ่งจุ๊ดเข้าห้องน้ำไป ส่วนอีกสองคนในชุดนักเรียนยืนหอบแฮ่กๆเหมือนวิ่งกันมาสิบเมตร ว่าแต่ใครปล่อยให้คนนอกเข้ามาใช้ห้องน้ำพนักงานชั้นนี้ได้เนี่ย

                    “เชี่ย เราขึ้นมาชั้นนี้ไม่โดนด่าแน่นะโว้ยไอ้กัน”

                    “เออน่า อากูเป็นรองประธานบริษัทเลยนะโว้ย ไม่โดนด่าหรอก”

     

                    หรอวะ

                    ก็นี่ไงรองประธานยืนหัวโด่อยู่นี่ ไม่เห็นจำได้ว่าเป็นญาติกัน

                   

                    “ใช่คนที่มารับมึงที่โรงเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วป่ะ”

                    “เออ อาเก่งนั่นแหล่ะ”

     


                    ผมขมวดคิ้วทันทีทันใดที่ได้ยินชื่อปริศนานั่น

                    อาเก่ง ?

                    พิจารณาหน้าไอ้เด็กคนนี้แล้ว ตั้งแต่ ปากที่ดูกวนส้นตีนเล็กน้อย จมูกก็ดูกวนส้นตีนเล็กน้อย ดวงตาก็ดูกวนส้นตีนเล็กน้อย รวมๆกันแล้ว

     

     เออ ดูกวนตีนไปทั้งตัว

    สงสัยจะเป็นหลานไอ้เก่งจริงๆ มันน่าจับเข้าห้องปกครองไหมวะ เพิ่งจะบ่ายโมง เด็กนักเรียนพวกนี้มาทำอะไรนอกโรงเรียนกัน 

     



                    “ไอ้เน ให้ไวเลยมึง ได้เวลาที่นัดไอ้นาถมาเปิดรั้วหลังแล้ว”

                    “ฮึ้ยย อย่าเร่งดิ เห้ย! กูใส่เสื้อนักเรียนแทนกางเกงเฉยเลยยยย” เสียงตอบมาจากในห้องน้ำดูคุ้นจนต้องขมวดคิ้ว

                    “ไวเลยมึง แล้วพี่แนนมาทำอะไรแถวนี้เวลานี้วะ ปกติมารับมึงสายตลอดไม่ใช่หรอ”

                    “ถามกูจะให้กูถามใคร กูยิ่งล่กๆ อยู่ อย่าพูดถึงพี่แนนดิวะ”

                    “ถ้าไอ้นาถไม่มาเปิดรั้วหลังให้นี่มึงซวยแน่ๆ ไอ้เน”

                    “มึงอย่ามาขู่กูนะไอ้กัน” เสียงตะโกนดุดังตอบกลับ

                    “มึงจะทำไมไอ้เน”

                    “กูจะ... ร้องไห้ แงงงงงงงงง กูติดกระดุมผิดเม็ดดดดดด”

                  

     

                    พิจารณาผ่านบทสนทนาแล้ว เดาเอาว่าพี่ของไอ้เด็กในห้องน้ำคงอยู่แถวนี้ กลัวโดนจับได้เลยต้องใส่เครื่องแบบปีนกลับเข้าโรงเรียนเพื่อจะทำเนียนๆ ว่าไม่ได้โดดเรียนออกไปไหน หึ พานเอาทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองตอนมัธยมเลย ที่บอแม่ว่าไปเรียนพิเศษแต่โดดไปเดินเล่นแล้วค่อยกลับมาที่โรงเรียนสอนพิเศษสิบนาทีก่อนเลิก เพื่อที่ตอนแม่มารับจะได้ดูเนียนๆเหมือนเพิ่งเรียนมา แต่ก็ทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหล่ะครับ แม่ผมรู้ทัน มารอก่อนสามสิบนาที ตอนเดินกลับไปเจอนี่ผมก็มีหน้าแห้งไปเลยเหมือนกัน 


                    ว่าแต่

     

                    ชื่อเน...


                    เสียงงอแงจนเกือบอ้อน...


                    ถ้าไม่ติดว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กมัธยม ผมคงคิดว่าไอ้ตัวในห้องน้ำนั่นต้องเป็นไอ้โจรขโมยจูบผมแน่ๆ แอบส่ายหัวให้ความคิดตัวเองแล้วรีบเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่ลืมหยิบมือถือขึ้นมาไลน์ไปบอกไอ้เก่งเรื่องหลานมันโดดเรียนด้วย เผื่อมีการลงโทษนอกรอบ  

                 





            เดินออกมาได้สักพักถึงเริ่มรู้สึกว่าทำไมมือโล่งๆ ละลึกชาติว่าขาดอะไรไปในชีวิตถึงค่อยนึกออกมาลืมกระเป๋าเอกสารไว้ในห้องน้ำ ผมถอนหายใจยาวเหยียดให้กับความขี้ลืมของตัวเองก่อนจะหันตัวเดินกลับไปที่ห้องน้ำซึ่งตอนนี้เงียบกริบไร้เงาความวุ่นวายของไอ้เดอะแก็งโดดเรียน

                    กระเป๋าหนังของผมที่ควรจะตั้งอยู่ตรงที่ล้างมือตอนนี้กลับโดนทับด้วยกระเป๋านักเรียนเน่าๆ ขาดๆ ผมหนีบไอ้กระเป๋าเหี่ยวขึ้นชู ใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อหรอวะ มันถึงเหี่ยวแล้วก็ขาดได้ขนาดนี้ ผมยกคิ้วแปลกใจเล็กๆ ที่ตรงซิปมีเครื่องรางแบบที่สีน้ำฝากซื้อห้อยอยู่แถมยังมีหมึกเขียนตัวเบ้อเร่อว่า ของเน!! ’ เออ ก็ดูน่ารักสมวัยนักเรียน  สอดส่องสายตาหาเจ้าของกระเป๋าก็เหมือนจะวิ่งกลับรั้วโรงเรียนไปแล้ว

                   

                    คนชื่อเนนี่มันวุ่นวายแบบนี้ทุกคนไหมวะ

     

                    สุดท้ายก็จำใจต้องหนีบไอ้กระเป๋าเน่าออกมาด้วย เดี๋ยวคงต้องเอาไปฝากไว้ที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์หน้าตึกหลังจากเอาเครื่องรางให้สีน้ำเสร็จเพราะใกล้เวลาที่นัดแล้ว ผมรีบเดินไปที่สตาร์บั๊ค สถานที่ที่นัดไว้ สอดส่องสายตาหาผู้หญิงใส่เสื้อสีขาวตามที่สีน้ำบอก

                


                 “พี่ไม้!!!” ผมหันขวับไปข้างซ้าย

                    “อ้าว เราเพื่อนสีน้ำใช่ไหม”

                    “ใช่ค่า สวัสดีค่ะพี่ หนูแนนเอง” ผมยิ้มตอบ พอจะจำได้ เพราะเห็นอยู่ในรูปกับสีน้ำอยู่บ่อยๆ

                    “เป็นไงบ้างชีวิตหลังจบมหาลัย”

                    “ว่างมากกกกกกก ยังหางานไม่ได้เลย” เพื่อนสีน้ำเดินนำไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งมีแก้วกาแฟวางไว้ เหมือนมานั่งได้สักพักแล้ว

                    “อ้าว มานานแล้วหรอ”

                    “สักพักแล้วค่ะพี่ พอดีแนนติดรถแฟนออกมาแล้วมันไปทำธุระต่อ” ผมพยักหน้ารับรู้

                    “แล้ว... ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาเป็นไงบ้าง”

                    “คือจริงๆ แนนไปถ่ายรูปรับปริญญาอ่ะพี่ มัวแต่หามุมถ่าย ส้นสูงก็กัดเท้าเลยไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่ แต่กินเยอะมาก”

                    “ไปคนเดียวหรอ”

                    “อ๋อ ไปกับแฟนกับน้องชายค่ะ พอดีน้องชายมันถ่ายรูปสวย แถมยังคอยรับหน้าที่เป็นลูกสมุนถือชุดครุยให้แนนด้วย เนี่ย น้องชายแนนเรียนอยู่โรงเรียนตรงข้างๆ นี่เอง วันนี้เลยมารอรับมันกลับบ้านด้วยเลย” แนนชี้นิ้วไปตรงรั้วโรงเรียนข้างๆ 


                   พานให้นึกถึงไอ้กระเป๋าเน่าที่ผมหนีบไว้กับกระเป๋าเอกสาร  หวังว่าน้องของแนนจะไม่ได้เป็นพวกเด็กชอบโดดเรียนจำพวกนั้นแล้วกัน



                    “อ้อ”

                    “จริงสิ นี่เครื่องรางค่ะพี่ ฝากให้น้ำมันด้วยนะ บอกมันด้วยว่าให้จ่ายคืนเป็นเลี้ยงชาไข่มุก” แนนยื่นถุงเครื่องรางสีขาวปั๊มตราภาษาญี่ปุ่นสีแดง แบบเดียวกับที่ผมได้มาตอนซื้อ

                    “รบกวนแย่เลย  ขอโทษทีนะ”

                    “ไม่เลยพี่ไม้ ที่พักแนนใกล้วัดอาซากุสะอยู่แล้ว แล้วนี่พี่ไม้ทำงานอะไรคะเนี่ย”

    “อ๋อ พี่หรอ...”

     จากเครื่องรางก็ลามไปคุยต่อยันหน้าที่การงาน งี้แหล่ะครับเด็กจบใหม่ สงสัยในทุกอย่าง ผมคุยต่ออยู่กับแนนสักพักใหญ่ก็เริ่มเห็นเด็กกางเกงนักเรียนเดินกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนแสดงว่าโรงเรียนเลิกแล้ว  

                    “โรงเรียนเลิกแล้ว แนนนัดน้องไว้ที่ไหน”

                    “ที่นี่นี่แหล่ะค่ะ เหมือนจะกำลังเดินมา”

                    “โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ พอดีมีไปทำธุระต่อ” ผมลุกขึ้นติดกระดุมสูท หยิบกระเป๋าเอกสารตัวเองขึ้นถือ เลยแผลอทำกระเป๋าเน่าของไอ้เด็กโดดเรียนตก ผมย่อตัวลงไปเก็บพอลุกขึ้นมาก็เห็นว่าแนนเองก็ลุกขึ้น แต่สายตาแนนดูจะมองเลยไหล่ผมไป

                    “อ้าว!! พี่ไม้ น้องชายแนนมาพอดีเลยค่ะ”

                    “อ้อ” ผมค่อยๆ หันหลังไปเตรียมจะรับไหว้น้องชายแนน

     

    เหมือนกับภาพสโลว์โมชั่นที่ผมเคยเห็นตามหนัง ใบหน้าดื้อๆ ที่ติดอยู่ในความจำผมตั้งแต่วันที่กลับมาญี่ปุ่น ปอยผมเปียกเหงื่อที่ลู่แนบไปกับหน้าผาก ดวงตากลมจ้องหน้าผมอย่างสงสัยไม่ยิ้มจนตาปิดเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน และอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคงหนีไม่พ้น

     

     

    ชุดนักเรียนมัธยมปลาย?

     

    ...

     

    ชุด

     

     

    นัก

     

    เรียน

     

     

     

    “พี่ไม้ นี่เน น้องชายแนนค่ะ เนไหว้พี่ไม้สิ”

     

     

    ทันใดนั้นบทสนทนาที่ญี่ปุ่นวันนั้นก็ดังขึ้นในหัวผม

     

    “นี่ มากับใคร เมาแล้วรู้ตัวไหม”

    “หึ่ย ไม่เมา ไม่อ่อน”

    “มาคนเดียวหรอ”

    “หึ เนมากับพี่ อย่ายุ่ง”

     

    ประกอบกับบทสนทนาวันนี้ของแนน....

     

     

    “คือจริงๆ แนนไปถ่ายรูปรับปริญญาอ่ะพี่ มัวแต่หามุมถ่าย ส้นสูงก็กัดเท้าเลยไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่ แต่กินเยอะมาก”

                “ไปคนเดียวหรอ”

                “อ๋อ ไปกับแฟนกับน้องชายค่ะ พอดีน้องชายมันถ่ายรูปสวย แถมยังคอยรับหน้าที่เป็นลูกสมุนถือชุดครุยให้แนนด้วย เนี่ย น้องชายแนนเรียนอยู่โรงเรียนตรงข้างๆ นี่เอง วันนี้เลยมารอรับมันกลับบ้านด้วยเลย”

     

     

                ไม่หน่ะ ....

                  นั่นหมายว่า ...

     

     

                    “สวัสดีครับพี่”

     

     

     

    นี่ผมจูบกับเด็กที่ห่างกับผมเกือบสองรอบเลยหรอวะ!!!!!!!

     

     




    --- 

                                                                つづく




    ------------------------------------------------

    TALK 


    ช่วงนี้ชีวิตยุ่งมากแบบไม่ได้นอนไม่ได้กินข้าว สุขภาพคือกกลายเป็นทุกข์ภาพสุดๆไปเลยค่ะ 5555555555555555555555555

    วันนี้ก็วันลอยกระทงงง ขอให้ทุกคนมีความสุขเหมือนกับกระทง(ห๊ะ)นะคะะะะะ

    งุบงิบงุบงิบ 

    อย่าลืมกันนะงับ ถ้าลืมกัน



    แล้วจะเอาอะไรยิง!!!


    นั่น GUN!!!



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×