ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『 แฟนเด็ก 』 l ╯#สามหกสิบแปด╰

    ลำดับตอนที่ #5 : กุ๊งกุ๊งที่ 4 : ตัวปัญหา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 55.08K
      3.98K
      9 ธ.ค. 61

     

    ตอนที่ 4






     

    เป็นประธานบริษัทสบายจะตาย แค่นั่งเซ็นเอกสารเอง

     

    ถ้าเป็นสมัยก่อนผมคงเถียงขาดใจงานประธานบริษัทไม่ได้สบายเหมือนในละครหรอกนะ เอกสารที่ว่าเนื้อหาต้องอ่านให้ดีก่อนที่จะเซ็นตัดสินใจอะไรลงไป รายละเอียดบางครั้งก็ยาวสามถึงสี่หน้าขนาดให้เขียนเป็นสรุปมาแล้ว ยังไม่อยากจะพูดถึงตัวเอกสารที่เป็นตัวเลขและในขณะเดียวกันก็ต้องบริหารเวลาในการไปพบลูกค้าที่จะต้องดีลกับมนุษย์หลากหลายประเภท พบได้ลองมาเป็นเลขาพ่ออยู่ช่วงสมัยมหาลัยถึงค้นพบว่ามันไม่ใกล้เคียงคำว่าสบายเลยสักนิด แต่หลังจากที่พ่อแต่งตั้งผมขึ้นเป็นรองประธานบริษัทแล้วโยนงานทุกอย่างตั้งแต่เซ็นเอกสารยันรับฟังปัญหาทั้งภายในและภายนอกบริษัทส่วนตัวเองก็บินไปโพสท่ากูลิโกะอยู่ญี่ปุ่นสบายใจเฉิบ ตอนนั้นแหล่ะที่ผมเพิ่งจะมาเห็นด้วย

     

    เออ ประธานบริษัทนี่สบายจะตาย


     

    แต่รองประธานนี่สิ!!!


     

    นอกเหนือจะต้องมาเครียดเรื่องงานที่ถามโถมเข้ามาไม่เว้นวันแล้วยังจะต้องมีพนักงานที่สร้างปัญหาและก่อกวนในทุกวันทำการอย่างไอ้หน้าแป้นที่มานั่งกินเคเอฟซีในห้องเจ้านายแบบไม่สนใจโลกที่ชื่อเก่งนี่อีก

     

     “หน้าเครียดเชียววะไอ้ไม้”

    “อืม” ตั้งแต่มีมึงในชีวิตเนี่ย ไม่เคยหายเครียดเลย

    “แดกกาแฟไหม กูบอกเลขามึงให้”

    “มึงหน่ะหยุดเลย เรื่องหลานมึงนี่ยังไม่เคลียร์นะ” ผมย้ายนิ้วออกจากขมับไปชี้หน้าโง่ๆ ของมัน

    “โถ่ไอ้ไม้มึง ทำไมขี้หวงเป็นแม่น้ำหวงโหเลยนะ หลานยืมห้องน้ำนิดห้องน้ำหน่อยไม่ได้เลย”

    “ถ้ามีแค่หลานมึงกูคงไม่หงุดหงิดหรอก”

    “ตบมุกหวงโหกูหน่อยสิเพื่อนๆๆๆ”

    “...”

    “แฮ่ๆๆๆ”

    “...”

    “นั่นฮวงโห!! สัดเอ๊ย กูตบเองก็ได้ แม่ง ใจร้ายฉิบหาย”

    “เออ แล้วตกลงหลานมึงนี่... อายุเท่าไหร่” ผมเกาจมูกอ้อมแอ้มเหมือนไม่จริงจังเท่าไหร่ มือก็เปิดเอกสารไปมาเหมือนกำลังยุ่ง

    “ไอ้กันนี่น่าจะสิบเจ็ดสิบแปดมั้งมึง ม.หกอ่ะ กูไม่แน่ใจ”

    “ตกลงสิบเจ็ดหรือสิบแปด”

    “หน้ากูเหมือนอาที่รักหลานมากเรอะ ไม่รู้โว้ย ขนาดวันเกิดมันยังจำไม่ได้เลยต้องรอเฟซบุ๊คเตือน มึงจะอยากรู้อายุหลานกูไปทำไม ถ้าจะแทงหวยกูบอกเลยว่าช้าไปสิบปี กูแทงมาแล้ว ทั้งบนทั้งล่าง โดนแดก...”

    “ช่างเถอะ มึงออกไปได้แล้ว” ผมถอนหายใจยาวแล้วโบกมือไล่มันออกไปจากห้องซึ่งมันก็โวยวายว่าผมใจดำเป็นแพนโทนสีดำอะไรวุ่นวายแต่ก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี น่าจะเพราะว่ามันบดมันหมดถ้วยแล้วด้วย



                    ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาเปิดข้อความที่โดนส่งมาขู่เมื่อวาน ดีนะที่ให้นามบัตรอันที่เบอร์ติดต่อเป็นเครื่องผมไป ถ้าหยิบผิดให้อันเป็นของบริษัทไปเจ้าเด็กเนอาจจะต้องโดนตามตัวข้อหาส่งข้อความมาป่วนบริษัท

                     “เด็กเวร” แค่อ่านข้อความก็สัมผัสได้ถึงความแสบผ่านตัวอักษร ไม่เห็นทำหน้าอ้อนเป็นลูกแมวเหมือนตอนเจอที่ญี่ปุ่นเลย ผมสะบัดความคิดไล่หน้าลูกแมวออกจากหัวเตรียมกดปุ่มโฟนบอกให้เลขาไปสั่งกาแฟใต้ตึกให้แต่อะไรสักอย่างก็ดลใจให้ผมตัดสินใจลุกออกไปเอง

                    “อ้าว คุณไม้จะไปไหนหรอครับ”

                    “ร้านกาแฟใต้ตึกหน่ะ”

                    “หือ? ให้ผมไปซื้อให้ก็ได้นะครับ ไม่ต้องลำบากเดินไปเองหรอกครับ”

                    “ไม่เป็นไร ผมกะว่าจะไปดูอะไรสักนิดหน่อยด้วย”

                    “ให้เรียกผู้ติดตาม...”

                    “ไม่ต้อง ผมอยากไปส่วนตัวหน่ะ ขอบคุณมาก” ผมโค้งหัวเล็กน้อยเป็นการตัดบทแล้วรีบเดินเข้าลิฟต์ออกมา อยากจะคลายเนคไทด์ตรงคอออกแต่เนื่องจากยังอยู่ในบริษัทเลยทำไม่ได้ นึกถึงวัยรุ่นที่ใส่เสื้อยืดนอนยาวยันบ่ายสามชะมัด


                    ร้านกาแฟโลโก้สีเขียวชื่อดังที่ตั้งใจเลือกมีสาขาอยู่ใต้ตึกยังคงคนแน่นอยู่เต็มร้านอาจจะเพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนมัธยมข้างๆ ด้วย ถึงได้มีผู้ปกครองกับเด็กมัธยมนั่งกันเต็มไปหมด ผมถอนหายใจเตรียมหันหลังกลับเข้าลิฟต์ แต่จู่ๆ ปลายรองหนังของผมก็หยุดชะงัก

     

     

                    ชุดนักเรียนงั้นหรอ...

     

                    ป่านนี้ไอ้เด็กที่ส่งข้อความมาขู่เขาจะอยู่ที่ไหนนะ

     

    .

    .

    .

    .

       

     

                    รู้ตัวอีกทีไหงตรงหน้าผมถึงกลายเป็นกำแพงโรงเรียนไปได้นะ...

     

                    ผมก้มหน้าเกาจมูกเพราะกลัวว่าตัวเองที่ใส่สูทมายืนอยู่หน้าโรงเรียนจะดูแปลกไปหน่อย แต่พอเงยหน้ามองความจริงก็ดันเนียนเข้ากับสถานการณ์พ่อแม่มารับลูกไปเฉยเลย ซึ่งมันไม่ควรเนียนหรือเปล่าวะ สามสิบหกมันไม่ใช่อายุพ่อเด็กมัธยมปลายมั้ง ยืนไปยืนมาเริ่มเห็นสายตาผู้ปกครองที่จดจ้อง อยู่ไม่ได้กลัวโดนสมาคมพ่อบ้านลากเข้ากรุ๊ปไลน์เลยเลี่ยงออกจากหน้าประตูโรงเรียนเตรียมเดินกลับบริษัท พอดีผ่านร้านน้ำปั่นตักๆ ที่ขายแก้วละสิบบาทเลยซื้อรสกาแฟติดมือมาหนึ่งแก้ว หวานบาดคอจนต้องหยีตา หวานขนาดนี้ไม่ต้องทำรสกาแฟก็ได้มั้ง  

     

    “กันมึงโทรหาเนยังวะ”

     

                    หือ?

                    ผมชะงักตัวแล้วหันไปข้างตัว

                    รู้สึกช่วงนี้ชื่อเด็กเนจะปรากฏเข้าหูผมบ่อยเหลือเกิน

     

                    “แม่งไม่รับเลยว่ะ หายไปไหนของมันวะ”

                    “มึงโทรหาเรื่อยๆ เลย ไม่ใช่โดนพวกไอ้เทลลากไปไหนแล้ว” ได้ยินคำว่าลากก็เหมือนคิ้วผมจะขมวดเข้าหากัน

                    “มึงก็ไม่น่าปล่อยมันอยู่คนเดียว ก็รู้ว่าไอ้เนปากหมาแค่ไหน”

                    “สัด กูทิ้งมันไปสามวิเพื่อไปซื้อโค้ก ใครจะไปรู้ว่าแค่สามวิก็หาตีนเข้าปากได้วะ”

                    กำลังจะเอ่ยปากถามว่าหมายถึงเนไหน กลุ่มเด็กข้างๆ ก็รีบออกตัววิ่งออกไปกันเสียก่อน ปล่อยให้ผมหงุดหงิดใจอยู่คนเดียว

     

                    เอาเถอะ

     

                    ปัญหาของเด็กมันไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่อย่างเราอยู่ดี

     

     

     

                    คิดแบบนั้นแต่ปลายเท้าผมก็เปลี่ยนทิศทันที จากตรงกลับบริษัทเป็นเลี้ยวเข้าตรงตรอกแคบๆ ข้างโรงเรียน ถ้าสมัยผมอยู่มหาลัย สถานที่ที่เราเลือกจะมีเรื่องกับศัตรูก็ต้องหนีไม่พ้นตรงที่ลับตา ตรงที่จะไม่มีตัวประกอบมาคอยกรี๊ดเรียกตำรวจเหมือนในหนัง

    ผมหยุดสายตาลงกับพื้นเมื่อเห็นเหมือนถุงผ้าสีแดงตกอยู่ พอเดินไปหยิบดูก็เห็นหมึกสีดำที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ

     

    ของเน

     

    ภาษาไทยไม่ถึงสิบตัวอักษรที่เปลี่ยนจังหวะเท้าผมจากเดินเป็นวิ่งโดยไม่รู้ตัว


                     ผมวิ่งเข้าซอยลึกเข้าไปนิดเพื่อที่จะเจาทางแยก ก่อนจะเริ่มได้ยินเสียงทะเลาะกันมาจากด้านซ้ายซึ่งส่งผลให้ผมออกตัววิ่งทันที

                    ภาพที่ผมเห็นเมื่อปลายเท้าหยุดวิ่งคือภาพของกลุ่มนักเรียนชายที่ล้อมใครสักคนไว้ ภาพคุ้นตาพอที่จะทำให้นึกถึงสมัยมัธยมและมหาลัยของตัวผมเองที่ผ่านทั้งการเป็นคนที่ล้อมและตกอยู่ในวงล้อมมาหลายครั้งในชีวิต จากคำพูดของเด็กกลุ่มเมื่อกี้ เดาได้เลยว่าไอ้ที่ถูกล้อมอยู่คงหนีไม่พ้นเจ้าของเครื่องรางในมือผมแน่ๆ 

                    “ปากเก่งนักไม่ใช่หรอวะไอ้ตุ๊ด เงียบทำเหี้ยไรหล่ะ”

                    “พ่อมึงดิตุ๊ด”

                    “ไอ้เหี้ยเน!!!

     

                    ปั้ก!!

     

                    อูย...

     

                    ท่าทางจะเจ็บนะนั่น...

                    ผมส่ายหัวมองสภาพเด็กเวรที่นอนสะบักสะบอมอยู่บนพื้นถนนหลังจากโดนนันยางเตะหน้าเข้าให้จนกลิ้งไปชนกับกำแพง เจ็บตัวขนาดนั้นยังคงปากหมากลับได้ ไม่รู้จะชื่นชมหรือหนักใจดี ผมวางแก้วกาฟลงกับพื้นก่อนจะยกมือขึ้นป้องปาก

     

                    “เฮ้”

                    ได้ผลแหะ หันขวับกันมาทั้งกลุ่ม           

     

                    “ใครวะมึง”

                    “พ่อไอ้เนป่ะวะ” คิ้วผมขมวดเข้าหากัน นี่หน้าผมแก่ขนาดเป็นพ่อมันได้เลยหรอวะ ถามจริง

                    “มึงเป็นใครวะ!!” หนึ่งในกลุ่มตะโกนถามผม

                    “ระวังปากหน่อย” ผมขมวดคิ้วกลับ มาขึ้นมึงกับใครวะไอ้เด็กพวกนี้ ห่างกันเกือบสองรอบ

                    “ปัญหาของเด็ก ไม่ต้องเสือกครับพี่”

                    “เออ ไม่ได้อยากจะยุ่งกับปัญหาของเด็กหรอกนะ”

                    “...”

                    “แต่ไอ้เด็กคนนั้น...” ผมชี้นิ้วไปที่ร่างเล็กที่นั่งเลือดกลบหน้าเอนตัวพิงกำแพงอยู่

                    “...”

                    “เหมือนจะเป็นปัญหาของฉัน”

     

                    ใช่

     

                    ปัญหาตัวใหญ่เลยด้วย

     

     

                    “อะ อะ... อะไรวะ พ่อไอ้เนจริงด้วย ฉิบหายแล้ว ทำไงดีวะ”

                    “มึงกูไม่เอาด้วยนะ กูติดทัณฑ์บนอยู่ ถ้าเข้าห้องเย็นอีกนี่กูซวยแล้วนะ”

                    “กูไม่เอาด้วยคน”

                    “มึง เขาดูมีอิทธิพลจังวะ”

                    “กูไปดีกว่า พวกมึงเอาเลย”

                    “เห้ย กูไปด้วย”  

     

                    เด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่เอาศอกตีกันอยู่สองสามวิก็วงแตกคว้ากระเป๋าวิ่งหนีกันไปคนละทางโดยที่ไม่ต้องออกแรงสักหมัด นับว่าวงแตกง่ายดี ไม่เหมือนเวลาอยู่ในวงชกต่อยตอนมหาลัยที่ต่อให้ตำรวจมาก็ยังฟัดกันนัวไม่มีปล่อย ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปย่อตัวหน้าเด็กที่ขดตัวพิงกำแพงอยู่

                    “ไง”

                    “...”

                    “จำกันได้ไหมบุคคลไม่ระบุนาม”

                    “...ฮึก” ตากลมๆ เหมือนจะมีน้ำตาขึ้นมาทันที

                    “ทำไมวันนี้ไม่เก่งเหมือนเมื่อวานเลย” ผมยกมือขึ้นจับคางเน จับหันซ้ายหันขวา ดูท่าทางแผลไม่ได้ลึกอะไรมาก มีช่วงคิ้วที่เหมือนจะหนักหน่อย เหลือบตามองแขนที่มีแต่รอยช้ำน่าจะพยายามเอามาป้องกันตัวสุดชีวิตแล้วแต่ยังไงก็หลบตีนคนเกือบจะสิบคนไม่ไหวหรอก

                    “ลุง”

                    “เดี๋ยวซ้ำอีกหมัดเลย อายุสามสิบกว่าไม่ได้แก่ขนาดนั้น”   

                    “อย่าบอกพี่แนนนะ” มือเล็กยกขึ้นจับแขนเสื้อสูทผมแน่น

                    “...”

                    “ขอร้อง อย่าบอกพี่แนนนะ”

     

                    ทำไมถึงดูอ้อนเหมือนจะขาดใจได้ขนาดนี้วะ

                   

    ...เรื่องเล็กแค่ชกต่อยแค่นี้

                    ทำไมต้องทำหน้าจะร้องไห้ขนาดนี้นะ

                    ผมหายใจเข้าลึกจนสุดปอดก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด

     

                    “ต่อให้ฉันไม่บอก แผลเธอก็บอกอยู่ดี”

                    “...”

                    “แนนมารับหรือเปล่าวันนี้”

                    “...” หัวเล็กสะบัดส่ายเล็กน้อย “...แต่ถ้าหกโมงกลับไม่ถึงบ้าน พี่แนนจะโทรหา”

                    อา...

                    เคอร์ฟิวกลับบ้าน เป็นอะไรที่ลืมไปแล้วว่าเคยมีอยู่บนโลก นานเกินกว่าจะจำได้แล้วว่าตอนมัธยม หกโมงนี่ก็ถือว่ากลับบ้านดึกมาแล้วจริงๆ  

                    “เดี๋ยวค่อยคิด ตอนนี้ไปทำแผลก่อน ยืนไหวไหม”

                    “ไม่”

                    “หือ” ผมขมวดคิ้วมองไปที่ขาที่ก็ดูไม่ได้จะหักอะไร แต่แขนเล็กกับพยายามดึงตัวผมไว้

                    “ไม่ทำแผล”

                    “เพิ่งมากลัวเจ็บเอาตอนนี้หรือไง ทีตอนที่ปากดีสวนกลับไปไม่เห็นจะกลัวตาย”

                    “ก็... แต่...”

                    “เน” ผมเรียกชื่อด้วยเสียงดุ หน้าเล็กๆ นั่นถึงเงยขึ้นมองหน้าผม

                    “ไม่มีตังค์  แล้วก็... ไม่ไปโรงพยาบาลได้ไหม เนกลัว” ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้หมดลุคไอ้เด็กปากหมาที่เพิ่งสวนศัตรูจนโดนเตะปากหน้าหันไปเลย

     


                    ว่าแต่แทนตัวเองด้วยชื่องั้นหรอ

                    ... เหมือนตอนเจอกันครั้งแรกเลยแหะ

     

                    “แผลเยอะขนาดนี้ยังไงก็ต้องทำแผล ตรงคิ้วนี่อาจจะต้องเย็บ เลือกระหว่างพยาบาลทำกับให้ฉันทำ คิดว่าใครจะมือหนักกว่ากัน อ่อ หรือจะเลือกแผลติดเชื้อตายก็ได้นะ ทรมาณหน่อย” จากประสบการณ์จริงผู้ผ่านการมีเรื่องมาหลายครั้ง เอาจริงผมว่าผมน่าจะมือเบากว่าพยาบาลด้วยซ้ำนะ แต่ดูท่าไอ้เด็กตรงหน้าจะกลัวผมมากกว่าถึงยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ผมพยุงเนขึ้นยืนก่อนจะถอดสูทออกคลุมร่างมันให้กันเดินออกไปหน้าปากซอยแล้วเจอผู้ปกครองคนอื่น

                    “ค่อยเดินได้ไหม เจ็บท้อง” ดูท่าทางจะเดินเร็วไปหน่อย เสียงงุ้งงิ้งถึงดังขึ้นขัด

                    “ขาสั้น”

                    “บอกว่าเพราะเจ็บท้อง” หน้าดื้อหันขวับมาทันที

                    “คิดจะปากดีก็อย่าอ่อนให้เขากระทืบได้ แล้วนี่ดีแค่ไหนที่ตอนนี้แค่โดนรุมตีนด้วยวัยเดียวกัน ถ้าไปปากดีที่อื่นเจอคนพกอาวุธ เขาไม่ใจดีให้แค่ปากแตกคิ้วแตกหรอกนะเน”

                    “รู้แล้วน่า”

                    “ให้มันจริง” ผมถอนหายใจก่อนจะยกมือถือขึ้นมาต่อสายหาเลขาให้เตรียมรถไปคลินิกที่ใกล้ที่สุด เนดูตกใจเล็กน้อยที่ผมมีคนขับรถส่วนตัวแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งรถจอดลงหน้าคลีนิค หน้าดื้อถึงหันขวับมาหาผม

                    “ฮือ”

                    “อะไร”

                    “ลุงเข้าไปด้วยกันนะ”

                    “ทำไมต้องเข้า”

                    “จะปล่อยให้เด็กเข้าไปทำแผลคนเดียวได้ไง เนกลัวนี่นา เหมือนเวลาไปทำฟัน ลุงไม่เคยให้พี่สาวเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนหรอ”

                    “ฉันไม่มีพี่สาว”

     

     ... แล้วก็ไม่เคยให้ใครเข้าไปนั่งเวลาทำฟันด้วย

    อ้อ

    ไม่ลุงด้วย!!

     

                    “ฮือ นั่นแหล่ะ” นั่นแหล่ะอะไรวะ ถึงจะงงๆ แต่ก็โดนลากเข้าห้องทำแผลไปด้วยเฉยเลย พอได้เข้ามาอยู่ในห้องที่สว่างจากแสงสีขาวแล้วยิ่งเห็นรอยแผลสีแดงตามตัวเนได้ชัด อาจจะเพราะผิวขาดจัดมากด้วยเลยยิ่งทำให้สีแดงจนผิวชัดเข้าไปใหญ่

                    “ปล่อยแขนก่อน เดี๋ยวพยาบาลทำแผลไม่ถนัด”

                    “ไม่เอาๆๆๆๆ”

                    “เน”

                    “ไม่เอานะลุง เนกลัว กลัวจริงๆ นะเนี่ย ไม่เคยเย็บแผลเลย มันจะยังไง เหมือนเย็บผ้าไหม เคยเรียนวิชาคหกรรมแต่เข็มทิ่มมือเลยจ้างเพื่อนทำแทน มียาชาไหม ทำไงดีอ่ะ กลัวเข็มอ่ะ” เสียงงอแงพ่นรัวๆ พร้อมกับรั้งแขนเสื้อเชิ้ตผมไว้แน่นจนยับเป็นรอยนิ้ว

                    “ใจเย็นๆ อาจจะไม่ลึกขนาดเย็บก็ได้”

                    “อ้าวหลอกกันหรอ ไหนเมื่อกี้บอกต้องเย็บไง”

                    “ไม่ได้หลอก แค่คิดว่าอาจจะต้องเย็บ”

                    “คนแก่หลอกเด็กนี่นา”

                    “เห้ยๆ ” ผมรีบยกมือขึ้นชู่ๆ ใส่ทันที ไอ้เด็กบ้า เดี๋ยวคนนอกห้องเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำยังไง จะปิดปากก็กลัวเจ็บแผลที่ปาก พอหายใจได้นิดหน่อยนี่ปากเริ่มเก่งขึ้นมาแล้วนะเนี่ย


                    “ลุง แล้วเรื่องพี่แนนจะทำยังไงดีอ่ะ”

                    “มีทางออกอื่นนอกจากบอกไปตรงๆ หรือไง แผนขนาดนี้”

                    “ช่วยคิดหน่อยสิ เนคิดไม่ออก”

                    “พูดความจริงง่ายที่สุดแล้วเน โกหกจนเคยตัวแล้วเราหน่ะ”

                    “ก็ถ้าเนพูดความจริงแล้วมันไม่ซวยเนก็พูดแล้วป่ะ”

                    “...” ผมกระดกคิ้วให้กับเสียงที่เถียงกลับมา

                    “แค่นี้เนก็ไม่มีที่ยืนพอแล้วป่ะพี่ เรียนก็ไม่เก่งสักวิชา สอบก็ตก ไม่เคยทำให้ที่บ้านภูมิใจได้เหมือนพี่แนน ยิ่งเพิ่งโดนจับได้เรื่องโดดเรียน ถ้ามีเรื่องชกต่อยเข้าไปอีก แค่นี้เนก็ไม่มีอะไรดีแล้วป่ะ” เสียงเล็กพูดไปพร้อมกับน้ำตาคลอไป มือเล็กกำแน่นด้วยอารมณ์

                    “แล้วยังไงต่อ”

                    “หือ...”

                    “ก็ที่พูดออกมา...”

                    “ห๊ะ...”

                    “ทำตัวเองทั้งหมดเลยไม่ใช่หรอ”

                    “...”   

                    “เรียนไม่เก่งสักวิชา สอบก็ตก ไม่เคยทำให้ที่บ้านภูมิใจแต่โดดเรียน แต่หาเรื่องชาวบ้าน เหมือนถามเองตอบเอง ไม่มีอะไรดีหรือไม่คิดจะทำให้ดีตั้งแต่แรก” ผมกอดอกจ้องเนที่นั่งห้อยขาบีบตัวเองจนเล็ก ถ้ามีหูก็คงลู่ตกไปหมดแล้ว เนพยายามจะเถียงผมกลับแต่สุดท้ายก็กลืนคำลงคอเพราะน่าจะหาเหตุผลดีๆ ตอบกลับไม่ได้

                    “ก็...”

                    “ก็อะไร”

                    “ก็.. ก็...”

                    “ก็ถ้ารู้ว่าทำอะไรก็ไม่เก่ง ตัวเองห่วย ไม่มีอะไรไปสู้คนอื่น มัวแต่คิดแต่ไม่ทำอะไร มันจะดีขึ้นได้ไง ก็ห่วยต่อไปแบบนี้แหล่ะ”

            


            ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ใช้น้ำเสียงดุอะไรแต่คนตรงหน้ากลับงอคิ้วหดตัวจนแทบจะจมหายไปกับเตียง ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ผู้ช่วยของคลินิกก็ขออนุญาตเข้ามาทำแผลพอดี ผมเลยต้องหลบไปยืนข้างเนแทน แค่เห็นขวดแอลกอฮอลล์ที่ตั้งอยู่ในถาดผมก็แสบแผลขึ้นมาแทนเลย สัมผัสสุดท้ายที่ทำแผลแบบนี้คงประมาณปีสองตอนอยู่มหาลัย พยายามทำเป็นไม่เจ็บเผื่อเอาลุคแมนๆ แต่สุดท้ายก็ต้องร้องออกมาอยู่ดีเพราะกลไกลของร่างกาย ทนยังไงให้ไหวกับแอลกอฮออล์ที่ถูลงแผลสดกันนะ

     

                    ผมที่เซียนสนามยังต้องมีซู้ดปากเวลาทำแผล

                    ตัดภาพมาที่มือใหม่หัดมีแผลอย่างเน ไม่ต้องคิดมากครับ

     

                    “ฮืออออออออออออ แสบมากกกกกกกกกกกกกกก แม่ช่วยเนด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”     

     

                    ร้องไห้ลั่นคลินิก...

                    ผมมองหน้าที่เบะจนเสียรูปแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ น้ำตาน้ำมูกปนกันไปหมด กว่าจะทำแผลเสร็จแขนเสื้อผมก็แทบจะโดนน้องจิกขาดติดมือ เสื้อเชิ้ตขาวบัดนี้ได้กลายสภาพเป็นผ้าขี้ริ้วทั้งน้ำตา น้ำมูก น้ำลาย เลือด สกปรกกว่าผ้าปูเตียงคลีนิคอีกมั้ง ดีนะที่ถอดเนคไทด์ไว้บนรถ ไม่งั้นอาจจะโดนเด็กตรงหน้าเอาไปเช็ดอะไรอีก

                    “รับยาที่หน้าเคาท์เตอร์เลยนะคะ”

                    “ขอบคุณมากครับ”

                    ผมเดินจูงเนออกมาจากห้องทำแผลพร้อมกับไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ยามาสองสามแผง คงหนีไม่พ้นพวกยาแก้ปวด ผมรับยามาถือพร้อมกับขอบคุณคุณเจ้าหน้าที่ไปอีกครั้ง ซึ่งก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มหวานกับคำชมที่ไม่อยากได้ยิน

                    “คุณพ่อยังหนุ่มอยู่เลยนะคะเนี่ย”

                    “...”

                   

     

                    อย่างน้อยก็พี่ชายได้ไหม...

     

     

     

     

     

     

     

                    ออกมาจากคลินิกผมก็พาเนมายืนรอรถอยู่ริมถนน เนคว้าถุงยาไปดูเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดแลวหันหน้าดื้อๆ มาหาผม

                    “ลุง”

                    “พี่”

                    “ลุง”

                    “พี่”

                    “ลุง”

                    “... อะไร” สุดท้ายก็แพ้ ผมถอนหายใจแล้วจ้องหน้าเนกลับ

                    “เนสัญญาว่าเนจะโกหกพี่แนนให้น้อยลง”

                    “ก็ดี”

                    “แต่...”

                    “...”

                    “วันนี้เนยังไม่กล้าเจอหน้าพ่อกับแม่”

                    “...”

                    “เนไปนอนบ้านลุงได้ไหม”

                   

    แค่กๆๆๆๆ

     

     ถึงกับสำลักน้ำลาย ผมไอโขลกอยู่สองสามทีโดยมีมือเล็กยื่นมาช่วยลูบหลังอยู่เบาๆ

                   

    “แง ลุงเป็นไรอ่ะ แก่แล้วสำลักหมากหรอ ฮือออ”

                    “แค่กๆ เด็กเวร แค่ก เดี๋ยวก็เตะกลิ้งเลย เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ” ผมลูบหน้าลูบตาดึงสติกลับมา เอาใหม่สิ อาจจะฟังผิด ผมอาจจะฟังที่เนพูดมาเมื่อกี้ผิดไปเอง

                    “เนไปนอนบ้านลุงได้ไหม”

     

     

     

                    "ผู้เยาว์" หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งจะบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ 

    ผู้เยาว์ คือ บุคคลที่อ่อนอายุ อ่อนประสบการณ์ และขาดการควบคุมสภาพจิตใจ จึงถือว่าเป็นผู้หย่อนความสามารถ เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่อาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของตน ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองช่วยเหลือจนกว่าบุคคลนั้นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะ

     

    เนื้อหาเกี่ยวกับผู้เยาว์ในอินเตอร์ที่เนทที่เสิร์ชมาเมื่อเช้าถึงกับแล่นรัวเข้ามาในสมอง ผมยกมือขึ้นนวดขมับที่จู่ๆก็เต้นตุบๆ จนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียด

     

    “ลุงเป็นไรอีกอ่ะ แค่ขอนอนบ้านเอง”

    “นี่ บ้ารึไง จะขอนอนบ้านคนอื่นแบบนี้ง่ายๆ ได้ยังไง”

    “ก็ไม่คนอื่นนี่ พี่สีน้ำมานอนบ้านเนบ่อยจะตาย ทำไมเนไปนอนบ้านลุงบ้างไม่ได้”

    “แล้วทำไมต้องเป็นบ้านฉัน บ้านเพื่อนไม่มีหรือไง”

    “ถ้าบอกไปนอนบ้านลุง พี่แนนยังพอคุยได้อ่ะ แต่นอนบ้านเพื่อนโดนซักจนซีดเป็นเอ็กเซลล์สูตรผ้าขาวแน่เลย นะนะนะนะนะน้า” มาอีกแล้วไอ้กอดแขนร้องตะแง้วๆ

     

    เด็กผู้ชายมันขี้อ้อนแบบนี้ได้หรอวะ คิดสภาพเพศเดียวกันมาอ้อนนี่มันควรจะน่าขนลุกจนอยากเตะไปไกลๆ แต่พอมองเด็กเนนี่ทำ ทั้งตากลมๆ แขนเล็กๆ เสียงติดงอแงน้อยๆ

     

     

    ควรจะอยากเตะให้กระเด็น

     

     

    ... แต่ทำไมใจผมดันเต้นแรงแทนวะ





       つづく




    -TALK- 


    ต่อไวแบบนี้ มีอะไรแน่นอน

    คิดว่าช่วงฝึกงานน่าจะหายหัวค่ะ เลยชิงอัพก่อนในตอนที่ยังมีเวลา

    มุมคุณลุงนี่น่าเบื่อจังค่ะ 55555555555555555555555555


    หน้าคนเขียนเวลาแต่งมุมคุณลุงครือ...




    Image result for meme gintama

    ถามจีงลุง ยัดมุกไม่ได้สักอันเรย...

    อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก อยากเล่นมุก 


    555555555555555555555555555555555555555555555555เศร้า555555555555555555นะ55555555555คะ555555555555


    #ความทุกข์ของคนเขียนนิยายตลก 

    #เบื่อลุง

    #ลุงขี้บ่น

    #ลุงไม่ตลกเลยอ่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×