คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #54 : แคมเปญสุดท้าย # MINI AREA 1
แบบฟอร์มแคมเปญสุดท้าย
ชื่อ+รหัส : ปีแสง MA3
การตีความเนื้อหา : สิ่งที่ผมอยากจะเล่าออกมาผ่านหนังสั้นเรื่องนี้ก็คือ
เรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแอบหลงรักผู้หญิงคนนึงมาตลอด
ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็คือคนข้างบ้านของเขา เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน ใจดี ยิ้มสวย
ในตอนแรกเขาก็ได้เพียงแต่มองเธอผ่านหน้าตา แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ได้ใกล้ชิดเธอมากขึ้น
เธอคอยเป็นห่วงและช่วยเหลือเขาเสมอ นั่นทำให้เขาคิดว่าเธอก็มีใจให้เขาด้วยเช่นกัน
เขาเชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้รู้ความจริงว่าเธอคนนั้นมีแฟนแล้ว
ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เพราะเขารักเธอมากจึงอยากครอบครองเธอเอาไว้คนเดียว และเมื่อเธอเข้ามาในห้องของเขาตามการชักชวนเหมือนปกติ
แต่เมื่อได้คุยกันก็มีปากเสียงและทะเลาะกันทำให้เขาพลั้งมือฆ่าเธอไปก่อนที่จะเก็บศพเธอไว้เพื่อให้เธออยู่กับเขา
ผมอยากจะแสดงให้เห็นถึงของความรักของเขาที่รักผู้หญิงคนนี้มาก ถึงจะมีตอนที่เขาทำความผิดที่แก้ไขไม่ได้
แต่ความรักของเขาก็ยังคงอยู่ ถึงมันจะเป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ก็ตาม
รายละเอียดการทำแคมเปญ :
ปีแสงเดินเข้าไปคุยกับผู้กำกับและทีมงานทุกคนรวมถึงนักแสดงเกี่ยวกับโครงเรื่องของหนังสั้นซึ่งเป็นแคมเปญที่เขาจะต้องทำ
เขาพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจมากที่สุดเพื่อจะได้ลดปัญหาในการถ่ายทำซึ่งจะทำให้เสียเวลา
เขาเองก็เคยร่วมงานกับลลิตมาแล้วก่อนหน้านี้ทำให้เขาไม่รู้สึกกังวลเท่าไรนัก
เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมตามความต้องการของเขาแล้ว
การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นโดยปีแสงเดินไปนั่งบนโซฟาที่ทางทีมงานจัดเตรียมไว้ให้
ส่วนลลิตและนักแสงชายอีกคนก็ไปเตรียมตัวอยู่ข้างล่างซึ่งอยู่ในส่วนของฉากแรก
ผู้กำกับสั่งคัทก่อนจะเริ่มถ่ายฉากที่สามและห้า
เนื่องจากจะไม่เสียเวลาเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างชั้นล่างและชั้นบนของลลิต
ปีแสงแสดงสีหน้าและท่าทางรวมถึงความรู้สึกผ่านทางดวงตาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรียกได้ว่ารอบนี้เขาปล่อยของเต็มที่เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด
เพราะไม่ต้องการที่จะแพ้คนอื่นๆซึ่งพยายามเช่นกัน
เมื่อถ่ายทำฉากที่สามและห้าจบ
ลลิตก็ขึ้นมาเตรียมตัวที่ชั้นบนเพื่อถ่ายฉากที่เหลือซึ่งมีเพียงฉากในห้องนอนเท่านั้น
โดยเริ่มจากฉากสองและฉากสี่ซึ่งเน้นอารมณ์ที่มีความสุขของทั้งสองคน
สาเหตุที่เลือกถ่ายฉากนี้ก่อนเพราะเป็นฉากที่แสดงอารมณ์ออกมาไม่ยากนัก
ซึ่งทั้งสองคนก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
ส่วนฉากต่อมาที่เขาเลือกก็คือฉากหกซึ่งจะเป็นอารมณ์ที่ส่งต่อไปฉากเจ็ดได้
เขาสูดหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสมาธิเพราะฉากนี้ก็ใช้พลังงานเยอะเอาเรื่องก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มขึ้น
ปีแสงพยายามทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดเช่นเดียวกันกับลลิตทำให้ทั้งสองสามารถส่งอารมณ์กันได้เป็นอย่างดีราวกับเรื่องราวนี้เป็นความจริงระหว่างพวกเขาเอง
ในช่วงที่ลลิตต้องล้มลงก็มีการเอาเบาะมารองไว้เพื่อความปลอดภัยของนักแสดงทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องความอันตรายมากนัก
และความเป็นมืออาชีพของลลิตก็ทำให้ไม่ต้องถ่ายฉากนี้ซ้ำอีกรอบและเริ่มถ่ายทำฉากต่อไปได้เลย
ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำฉากสุดท้ายปีแสงก็รวบรวมสมาธิอีกครั้งเพราะฉากนี้เขาก็ไม่ต่างกับแสดงคนเดียว
เขาต้องสื่ออารมณ์ออกมาโดยไม่มีใครส่งอารมณ์ให้ทำให้เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย
แต่เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นเขาก็ทำมันออกมาได้ดีและไม่ผิดหวังสำหรับทุกคนที่จับตามองก่อนที่เวลาจะหมดลงพอดีกับการที่ผู้กำกับสั่งคัท
ปีแสงกล่าวขอบคุณทุกคนในแบบของตัวเองก่อนจะเดินออกไป
ฉาก1
ในห้องนอนที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรียบง่ายและบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งประกอบไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่อย่าง เช่น เตียง ตู้เสื้อผ้า
โต๊ะทำงาน โดยเจ้าของห้องอย่างปีแสงนั่งอยู่บนโซฟาข้างหน้าต่างซึ่งเป็นที่ประจำของของ
ลมอุ่นๆที่พัดเข้ามาในห้องทำให้ผมสีดำสนิทปลิวเบาๆตามแรงลม
สายตาคมมองออกไปยังบริเวณหน้าบ้านที่อยู่ถัดไปราวกับรอคอยการปรากฏตัวของคนบางคนอยู่
ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆตามระยะห่างที่ลดลงของรถยนต์
เมื่อวัตถุโลหะเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในระยะที่เขาสามารถมองเห็นได้
คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันอย่างประหลาดใจ
เพราะนอกจากรถที่มาส่งนั้นไม่ใช่รถแท็กซี่เหมือนอย่างเคยแล้วเขายังเห็นว่าหลังจากหญิงสาวลงจากรถมาก็มีใครบางคนเดินตามลงมาด้วย
พวกเขาพูดคุยและเล่นกันอย่างสนิทสนมจนเขารู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมา
รอยยิ้มที่เขาเคยได้รับจากเธอนั้นก็ถูกส่งให้กับชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งอยู่ตรงหน้าเธอ
ส่วนผู้รับก็ส่งมือหน้าไปยีผมของเธอเล่นจนคนถูกกระทำต้องตอบโต้ด้วยการตีกลับไปก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ชายหนุ่มคนนั้นดึงตัวเธอเข้าไปกอดก่อนจะกลับเข้ารถและขับออกไปโดยมีหญิงสาวโบกมือลา
ทุกอิริยาบถของพวกเขาอยู่สายตาที่แสดงความเจ็บปวดของปีแสงทั้งหมด
นัยน์ตาที่เรียบนิ่งแต่แฝงลึกไปด้วยความเจ็บปวดจนพูดไม่ออกถูกถ่ายทอดออกมาจนรับรู้ได้ มือของเขากำแน่นโดยไม่รู้ตัวเพื่อระบายอารมณ์ของตัวเอง
เมื่อหญิงสาวได้มองขึ้นมาเห็นเขาก็ยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง
แต่มันกลับไม่หอมหวานเหมือนวันก่อนๆเลยสักนิด
ปีแสงจึงได้แต่ยิ้มฝืนๆกลับไปอย่างยากเย็นก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้านไปโดยไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาเลยสักนิด
ฉาก2
ห้องนอนที่สงบเงียบซึ่งกำลังรอคอยการกลับมาของเจ้าของถูกรบกวนด้วยเสียงพูดคุยของชายหนุ่มและหญิงสาวที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่นานนักประตูที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิด ออกด้วยผู้เป็นเจ้าของ
“ห้องของปีแสงเรียบร้อยจัง” เสียงใสของลลิตดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะมองสำรวจไปรอบห้อง “ดีแล้วที่ไม่ไปห้องของลลิต ไม่งั้นอายตายเลย”
“ลลิตไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” น้ำเสียงปกติของเขาถูกส่งออกมาให้กับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกลับไปกินบ้านก็ได้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาได้เลย” เธอตอบกลับตามมารยาท
“งั้นเดี๋ยวผมมา” ปีแสงบอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อไปนำน้ำขึ้นมาให้ลลิตดื่ม
ในระหว่างรอหญิงสาวก็เดินไปรอบห้องอย่างสนอกสนใจก่อนจะสะดุดตาเข้ากับเครื่องดนตรีที่ถูกตั้งอยู่มุมห้อง
แต่ก่อนที่เธอจะได้แตะต้องมันเจ้าของห้องก็มาถึงก่อน
“ปีแสงเล่นกีตาร์ด้วยเหรอ?” เธอถามก่อนที่เขาจะพยักหน้าแทนคำตอบในระหว่างที่นำถาดน้ำไปวางไว้บนโต๊ะ “งั้นพอลลิตช่วยงานแล้ว ปีแสงต้องเล่นกีตาร์ให้ฟังเป็นการตอบแทนนะ”
“ก็ได้” เมื่อได้รับคำตอบลลิตก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและสดใสจนอีกฝ่ายที่ได้เห็นมันควบคุมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงไม่ได้เลย
“งั้นรีบทำงานกันเถอะ จะได้รีบฟังปีแสงเล่น” ลลิตกระตือรือร้นที่จะทำงาน
อีกฝ่ายจึงเดินไปหยิบอุปกรณ์ออกมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่ถูกตั้งไว้ก่อนที่ทั้งสองคนจะนั่งถัดไปจากมัน แล้วปีแสงก็เริ่มอธิบายงานให้ลลิตฟังและเริ่มต้นการทำงาน
ในระหว่างที่ลลิตกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างตั้งใจอีกฝ่ายก็ได้แต่แอบมองใบหน้าและท่าทางที่กำลังตั้งใจทำงานของเธอ
รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนใบหน้าของปีแสงอย่างที่น้อยคนนักที่จะได้เห็น
ดวงตาของเขาฉายแววอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางดวงตาได้เพียงเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกับมีดอกไม้แห่งความรักกำลังเบ่งบานอยู่ภายในใจ
“ปีแสง!” เสียงเรียกของหญิงสาวดังขึ้นทำให้เขาหลุดจากภวังค์ “ระวังตัวหน่อยสิ”
ลลิตหันซ้ายขวาเพื่อมองหาบางสิ่งก่อนที่เขาจะรับรู้ได้ถึงความแสบที่ปลายนิ้ว
เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างช้าๆก่อนจะรวมตัวกันอยู่บนบาดแผล
หญิงสาวที่ลุกออกไปเมื่อครู่วิ่งกลับมาพร้อมกับกระดาษทิชชู่แล้วซับเบาๆบริเวณบาดแผลที่เจ้าของแทบจะไม่สนใจมัน
“ทำอีท่าไหนให้โดนบาดได้เนี่ย” ลลิตบ่นออกมาด้วยความเป็นห่วงโดยที่ปีแสงได้แต่เงียบเพื่อเก็บรายละเอียดของหญิงสาวตรงหน้าให้มากที่สุด
ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง สีหน้า และทุกๆอย่าง “พวกอุปกรณ์ทำแผลอยู่ไหน?”
ปีแสงชี้ไปยังกล่องพลาสติกที่ถูกวางอยู่ก่อนที่ลลิตจะรีบลุกขึ้นไปนำมันลงมาและใช้อุปกรณ์ที่อยู่ภายในเพื่อปฐมพยาบาลให้กับชายหนุ่มคนนี้
เธอใช้แอลกอฮอล์เช็ดเบาๆรอบแผลพลางเป่าลมใส่เพื่อบรรเทาความเจ็บตามความเชื่อของตัวเองแล้วใส่ยาก่อนที่จะปิดพาสเตอร์เพื่อกันเชื้อโรค
“ขอบคุณนะ” ปีแสงกล่าวเสียงเบาแต่กลับได้รับสายตาตำหนิตอบกลับมา
“ไม่ต้องมาพูดเลย ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ทำไมไม่ระวัง? ถ้ามันติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง?” ลลิตบ่นออกมาอย่างยืดยาว
ถ้าเป็นคนอื่นปีแสงคงจะตอบปัดอย่างหงุดหงิดไปแล้ว
แต่กับหญิงสาวคนนี้เขากลับไม่รู้สึกรำคาญเธอเลยสักนิด กลับกันเขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้รับความห่วงใยจากเธอ “ไม่ต้องมายิ้มด้วย ไม่ยกโทษให้ง่ายๆหรอก”
“เดี๋ยวผมเล่นกีตาร์ให้ฟังก็ได้” เขายื่นข้อเสนอแต่เธอกลับปฏิเสธโดยทันที
“เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก ไว้คราวหน้าแล้วกัน แต่ทีหลังต้องระวังนะ
ห้ามเจ็บตัวอีก เข้าใจมั้ย?” ลลิตขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างน่ารักในสายตาของอีกฝ่าย “แล้วนั่งเฉยๆไปเลยเดี๋ยวลลิตทำต่อเอง”
“แต่ว่า...” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบหญิงสาวก็สวนขึ้นทันควัน
“บอกว่าให้นั่งเฉยๆ” สุดท้ายแล้วเขาจึงต้องทำตามหญิงสาวคนนี้อย่างเต็มใจ
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุด
หัวใจของเขากำลังพองโตและรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวคนนี้กำลังเติบโตขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
ฉาก3
ปีแสงนั่งบนโซฟาข้างหน้าต่างในห้องนอนเหมือนทุกวัน
สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังบริเวณเดิมเหมือนทุกครั้ง
รถที่เคยรู้สึกแปลกตากลับเริ่มคุ้นชินกับมัน
อิริยาบถเดิมๆของลลิตและผู้ชายอีกคนที่เขาเห็นจนชินชา
แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เขายังคงไม่ชินกับมันก็คือความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นที่กำลังแผดเผาดอกไม้ที่เคยเบ่งบานอยู่ในนั้น
ในตอนนี้ลลิตไม่มองมาที่เขาเลย ไม่แม้แต่สนใจเขาเลยสักนิด
ตั้งแต่พื้นที่ในกรอบหน้าต่างของเขาถูกบุกรุกโดยผู้ชายคนนั้น
เวลาของเขากับลลิตก็น้อยลงอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาจนเขารู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง
แววตาที่ไร้ความสุขถูกฉายออกมาอย่างชัดเจน
ความเจ็บปวดที่ถูกปิดบังด้วยความโกรธและไม่พอใจก็ถูกแสดงออกมาเช่นกัน
ถึงแม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่สิ่งที่ถูกบอกกล่าวผ่านสายตาก็สามารถอธิบายความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี
ฉาก4
เสียงของเครื่องสายอย่างกีตาร์ดังกังวานไปทั่วทั้งห้องโดยมีเสียงใสของลลิตและปีแสงร้องคลอไปด้วยอย่างไพเราะ
ปีแสงที่นั่งพิงบริเวณข้างเตียงร้องเพลงพลางดีดกีตาร์อย่างชำนาญโดยที่ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปยังลลิตที่นั่งตรงข้ามโดยพิงโซฟาอยู่บนพื้นซึ่งกำลังร้องเพลงอย่างตั้งใจ
ใบหน้าของเธอดูเป็นธรรมชาติไม่แพ้น้ำเสียงของเธอ
ตอนนี้เขาไม่สามารถละสายตาออกจากเธอได้เลย
“รักแรกพบแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะเธอใช่หรือไม่
เปิดใจใครที่ฉันเป็น จากวันนั้น หัวใจรู้สึกเอง ชัดเจนว่าทุกสิ่ง เกิดขึ้นจริงใช่ฝันไป ได้พบจึงเข้าใจ มีอยู่จริง สุดท้ายก็เข้าใจ
มีอยู่จริง” ปีแสงดีดคอร์ดสุดท้ายเพื่อจบเพลงก่อนที่ลลิตจะปรบมือให้เพื่อเป็นการชมเชย
“ถ้ารู้ว่าเล่นเก่งขนาดนี้นะ จะมาให้เล่นให้ฟังทุกวันแล้ว” เธอพูดทีเล่นทีจริงจนทำให้ปีแสงเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ลลิตก็ร้องเพลงเพราะนะ ผมชอบมากเลย” ปีแสงกล่าวชมอย่างจริงใจก่อนจะวางกีตาร์ไว้ข้างตัว “แล้วก็...ถ้าลลิตอยากให้ผมเล่นให้ฟัง ผมเล่นให้ฟังทุกวันเลยก็ได้นะ”
“ว้าว! จริงเหรอ!? งั้นก็ดีเลย แต่คงไม่ทุกวันหรอกนะ เกรงใจ” ลลิตเอ่ยออกมาอย่างดีใจก่อนจะยิ้มจนตาหยี “ไว้จะมาฟังอีกนะ วันนี้ขอกลับก่อนแล้วกัน”
“เดี๋ยวผมไปส่งนะ” ปีแสงรีบลุกขึ้นตามอีกฝ่ายก่อนจะนำกีตาร์ไปเก็บไว้ที่เดิมแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับลลิตโดยไม่ลืมที่จะปิดประตู
ฉาก5
รถคันเดิมแล่นช้าลงจนหยุดนิ่งตรงที่เดิมอีกครั้งพร้อมกับลลิตและชายหนุ่มคนเดิม
พวกเขาจะกอดกันทุกครั้งก่อนจะกล่าวลา
ท่าทางของพวกเขาดูมีความสุขมากต่างจากปีแสงที่รู้สึกตรงข้าม
ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกและสายตาที่เย็นชาจนน่ากลัวถูกเปลี่ยนก่อนที่เขาจะตะโกนเรียงลลิต
“มาฟังผมเล่นกีตาร์มั้ย?” เขาถามออกไปเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“ไม่ดีกว่า คือวันนี้ลลิตเหนื่อยอ่ะ ไว้วันหลังนะ” หญิงสาวตอบก่อนจะเดินเข้าบ้านของตัวเองไปโดยไม่บอกลาเขาเลยสักนิด
ตอนนี้ปีแสงไม่ต่างจากหุ่นที่ไร้ความรู้สึก
ความรู้สึกภายในใจของเขามันมอดไหม้ไปกับความสุขของเขาแล้ว
เจ็บปวดจนชินชาคงจะเป็นสิ่งที่อธิบายเขาในตอนนี้ได้ง่ายดายและชัดเจนที่สุด
ฉาก6
เสียงพูดคุยของชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังเดินมายังห้องนอนของปีแสง
น้ำเสียงของปีแสงฟังดูมีความสุขมากขึ้นเพราะถูกเติมเต็มด้วยหญิงสาวที่เดินเคียงมาอย่างลลิต
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะทุกข์ใจเพียงใดแต่เมื่อตอนนี้เขาได้มีเธอข้างกาย
เขาก็พร้อมลืมความทุกข์ก่อนหน้านี้ไปทั้งหมด
“ห้องปีแสงยังสะอาดเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงใสของลลิตยังทำให้ใจของเขาพองโตไม่มีเปลี่ยน
แววตาของเขาที่มองไปยังเธอก็ไร้ความเคลือบแคลงที่มีก่อนหน้านี้
“ลลิตเอาน้ำมั้ย” ปีแสงถามขึ้นก่อนที่จะได้รับการปฏิเสธกลับมาเหมือนทุกที
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาคาดการณ์ไว้เท่าไรนัก “งั้นเดี๋ยวผมเล่นกีตาร์ให้ฟังนะ”
“ไม่ต้องหรอก ลลิตไม่ค่อยอยากฟังอ่ะ” เธอพูดเสียงเบาพลางเสมองไปทางอื่น นั่นทำให้ปีแสงเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
แต่เขาก็ทำได้เพียงแสดงออกทางสายตาก่อนจะปกปิดมันแล้วแสร้งทำหน้าปกติเช่นเดิม “พอดีแฟนลลิตเล่นให้ฟังบ่อยแล้ว”
คำพูดของเธอไม่ต่างจากดาบที่ฟันลงมากลางในของเขา
ความเจ็บแปลบที่แล่นไปทั่วร่างกายจนทำอะไรไม่ถูก สมองของเขาว่างเปล่าจนคิดอะไรไม่ออก
การฝืนยิ้มคือสิ่งเดียวที่เขาคิดได้และทำออกไป
แต่ถ้าหากลองมองเข้าไปในดวงตาของเขาสักนิดก็จะมองเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนไม่มิด
“งั้นลลิตอยากทำอะไรเหรอ?” ปีแสงยังคงพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้ปกติที่สุด แต่ถ้าหากตั้งใจฟังก็คงจะรับรู้ถึงเสียงสั่นที่อย่างผิดปกติของเขา
“ลลิตเหนื่อย ลลิตอยากกลับบ้าน” ความเอาแต่ใจนิดๆที่หลุดออกมาทำให้ปีแสงรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วอีกฝ่ายมักจะเป็นคนที่อ่อนโยนและใจดีเสมอทำให้ไม่ค่อยได้เห็นด้านนี้ของเธอ
แต่เขาก็ยังแอบดีใจเล็กๆที่ได้เห็นอีกด้านของหญิงสาวที่ตนรัก
“เดี๋ยวสิ อย่าพึ่งกลับเลย” ปีแสงพยายามจะรั้งเธอไว้อย่างใจเย็นที่สุด แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการ
เขาจึงรีบขวางประตูเอาไว้ก่อนที่ลลิตจะไปถึง
“ปีแสงให้ลลิตกลับเถอะนะ” ลลิตพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยล้าพลางทำสีหน้าไม่พอใจจนทำให้ปีแสงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“ไม่ ผมไม่ให้ลลิตออกไป” ปีแสงพูดชัดเจนแต่น้ำเสียงกลับไม่เข็มแข็งเหมือนอย่างที่แสดงออก
“ปีแสงหลบ” ลลิตเริ่มแสดงท่าทีที่ไม่ยอมพร้อมกับทำท่าเหมือนพยายามจะเดินออกไป
“ไม่ ผมจะไม่ให้ลลิตไปไหน ลลิตต้องอยู่ที่นี่”
คำพูดของปีแสงทำให้ลลิตขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ปีแสงเป็นอะไรเนี่ย?” ลลิตพูดอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นอย่างนี้
“ลลิตนั่นแหละเป็นอะไร ตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นมา
ลลิตก็เปลี่ยนไป” ปีแสงพยายามข่มน้ำเสียงของตนเองให้ปกติ
“ไม่เกี่ยวกันซักหน่อย” ลลิตปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เหวี่ยงเล็กน้อย
“ไม่เกี่ยวตรงไหน? ลลิตไม่รู้ตัวเหรอ?
หมอนั่นมันทำให้ลลิตเปลี่ยนไป! ลลิตที่น่ารักของผมหายไปไหน?
ลลิตที่มีแต่ผมอยู่ไหนล่ะ?” ปีแสงพูดอย่างก้าวร้าวมากขึ้น
“ทำไมเรียกแฟนลลิตว่าหมอนั่น? ถ้าปีแสงเป็นอย่างนั้นก็เลิกพูดเถอะ
ลลิตไม่อยากทะเลาะกับปีแสง” ลลิตพยายามจะออกไปจากสถานการณ์นี้แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
“ทำไมจะเรียกไม่ได้? ผมไม่ชอบมัน
มันแย่งลลิตไป!” น้ำเสียงของปีแสงแข็งขึ้นเรื่อยๆตามอารมณ์ที่ครุกรุ่นของเขา
“ปีแสง! ลลิตไม่ชอบที่ปีแสงเป็นแบบนี้เลยนะ
แล้วอีกอย่างไม่มีใครแย่งลลิตไปทั้งนั้น ลลิตรักเค้า”
อีกครั้งแล้วที่คำพูดของเธอทำร้ายจิตใจของเขาเข้าอย่างจัง
ความเจ็บปวดที่รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขากำลังแหลกละเอียดด้วยคำพูดของเธอทำให้เขาไม่สามารถปกปิดสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดนี้ได้เลย
“ลลิตโกหก ลลิตไม่ได้รักมัน ลลิตรักผม แล้วผมก็รักลลิต”
“ปีแสงพอเหอะ มันไปกันใหญ่แล้ว ลลิตก็รักปีแสง--” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบอีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“เห็นมั้ย!? ลลิตรักผม” เขาพูดออกมาอย่างดีใจและพึงพอใจ
“แต่คนละแบบ ลลิตรักปีแสงเหมือนเพื่อนคนนึง”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นหายไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ตนไม่ถูกใจ
“ไม่เอาสิ ลลิตต้องรักผมเหมือนที่ผมรักลลิต”
แววตาของเขาสั่นเทาราวกับเด็กๆ
ชายหนุ่มเข้าประชิดตัวลลิตก่อนจะใช้มือทั้งสองจับต้นแขนของเธอไว้
“ปีแสงลลิตเจ็บ” ลลิตร้องเสียงหลงพลางพยายามแกะมือของเขาออก
“ผมรักลลิต ลลิตเลิกรักหมอนั่นแล้วมารักผมแทนนะ” แววตาของเขาเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่ปีแสงคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก
พอว่าจบเขาก็ดึงตัวเข้าไปกอดในขณะที่ลลิตก็พยายามดิ้นเพื่อขัดขืน
“พอได้แล้วปีแสง!” ลลิตรวบรวมแรงทั้งหมดก่อนจะพยายามสลัดอีกคนให้หลุดออก
เมื่อหลุดออกจากพันธนาการของปีแสงเธอก็ตบหน้าเขาไปด้วยอารมณ์
ชายหนุ่มหันหน้าไปตามแรงตบของเธอแล้วค้างไว้อย่างนั้นทำให้ลลิตอาศัยจังหวะนั้นจะเดินออกไปแต่ปีแสงเรียกสติตัวเองกลับมาพร้อมกับความโกรธที่เพิ่มขึ้นทำให้เขากระชากแขนเธออย่างแรงก่อนจะผลักเธอให้ล้มลงไปด้วยแรงทั้งหมด
ลลิตล้มลงไปก่อนที่ศีรษะของเธอจะกระแทกเข้ากับขอบเตียงอย่างจังทำให้เธอหมดสติไปทันที
ร่างกายของเธอแน่นิ่งไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้สังเกต
“ทำไมลลิตไม่เคยสนใจผมบ้าง!? ทำไมลลิตไม่เคยรู้ว่าผมรักลลิตมากแค่ไหน?
ทำไมลลิตไม่เคยหันมามองผมเลยทั้งๆที่เราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้? ผมไม่ดีตรงไหนเหรอ?
ผมรักลลิตน้อยกว่าหมอนั่นเหรอ? ผมรักลลิตมากเลยนะ รักมาก มากจนผมไม่รู้จะพูดมันออกมายังไง
ทำไมลลิตไม่รู้สึกถึงมันเลยล่ะ? ลลิตบอกผมสิว่าลลิตรักผม รักผมไม่ใช่มัน!” ปีแสงพรั่งพรูคำพูดที่อยู่ภายในใจออกมาแต่กลับไม่ได้รับเสียงตอบรับจากหญิงสาวเลยทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
“ทำไมลลิตไม่ตอบผมล่ะ? ลลิตตอบผมสิ”
ปีแสงค่อยๆทรุดตัวลงข้างๆร่างไร้สติของเธอก่อนจะค่อยเขย่าตัวเธอเบาๆ
แต่ก็ไร้การตอบกลับ
หัวใจของปีแสงรู้สึกหวิวอีกครั้งเมื่อเขาลองแนบใบหน้าของตัวเองลงบนหน้าอกของเธอบริเวณหัวใจแต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
นิ้วเรียวค่อยๆจ่อบริเวณจมูกแต่ก็ไร้ซึ่งลมหายใจ
ปีแสงถอยตัวออกมาเล็กน้อยอย่างตกใจก่อนจะกอดเข่าด้วยสายตาเลิกลั่ก
“ไม่ ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ฆ่าใคร
ผมไม่ได้ทำให้ลลิตตาย” เขาพูดอยู่กับตัวเองซ้ำๆอย่างนั้น
ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หยาดเหงื่อเม็ดพราวเกาะบนหน้าผากตามอาการ
เขาซุกบริเวณจมูกลงบนหัวเขาแต่สายตาที่หวาดกลัวยังคงจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณของหญิงสาว
เขาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้าไปแววตาที่สั่นเทาถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า
ร่างกายที่เคยสั่นระริกก็นิ่งเสียจนไม่ต่างจากหุ่น
เขาค่อยๆเข้าไปใกล้ร่างกายที่แน่นิ่งของลลิตก่อนจะใช้มืออุ่นของตัวเองลูบบริเวณแก้มที่เย็นเฉียบของเธออย่างแผ่วเบา
“ลลิตจะอยู่กับผมแล้วใช่มั้ย?
ลลิตจะไม่ไปจากผมแล้ว ผมดีใจจัง เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะ ลลิตไม่ต้องกลัวนะผมจะปกป้องลลิตเอง”
ปีแสงพูดอย่างนั้นซ้ำๆพลางลูกศีรษะของลลิตที่ไม่สามารถจะรับรู้สิ่งใดได้อีก
“ผมรักลลิตนะ”
ฉาก7
แสงแดดยามบ่ายส่องลอดเข้ามาตามรอยแยกของหน้าต่างที่ถูกปิดไม่สนิท
เสียงของเครื่องสายและเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังไปทั่วบริเวณห้อง
ถึงแม้ว่าภายในห้องจะปรากฏร่างกายของคนสองคนแต่กลับมีเพียงเสียงของร่างกายที่ยังมีชีวิต
อีกหนึ่งได้เพียงแต่จัดให้อยู่บนโซฟาที่เดิมของเธอด้วยน้ำมือของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้นข้างเตียงไม่ต่างจากยามที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตและมีความสุขกัน
“บอก..รัก.... รักเธอ ทั้งหมดของหัวใจ สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน
เธอได้ยินไหมคนดี อยากขอ.... ให้ความรู้สึกที่ฉันมี ส่งไปถึงเธอที่แสนดี ว่าชีวิตนี้ฉันมีแต่เธอดังความฝัน
แล้วสักวันจะไปหา” เสียงของปีแสงสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงของกีตาร์ก่อนที่เขาจะยิ้มให้กับร่างของหญิงสาวตรงหน้า
แต่นัยน์ตาของเขากลับว่างเปล่าและไร้ความสุข “ลลิตยังร้องเพราะเหมือนเดิมเลยนะ
ผมชอบมากเลย”
“ผมก็ยังเก่งเหมือนเดิมเลยใช่มั้ย?” ปีแสงถามพลางวางกีตาร์ไว้ข้างกายเหมือนทุกครั้ง
ก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อไร้เสียงตอบกลับ “ทำไมลลิตไม่ตอบล่ะ?”
“ผมถามว่าผมเล่นเพราะใช่มั้ย? ลลิตเคยชมผมอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ?
ไหนบอกอยากให้ผมเล่นให้ฟังทุกวันไง? ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” ปีแสงเริ่มไม่พอใจอีกครั้งเมื่อเขาเป็นฝ่ายเดียวที่ชวนอีกคนสนทนา
“เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ ลลิตไม่รักผมแล้วเหรอ? พูดสิ! บอกว่ารักผมสิ!”
ปีแสงยืดตัวไปจับต้นแขนของเธอเอาไว้ก่อนจะเขย่าอย่างแรงพลางถามออกมาซ้ำๆด้วยคำถามเดิมอย่างคาดคั้นคำตอบก่อนที่จะสงบลง
“ผมได้ยินแล้วล่ะ ขอบคุณนะ” ปีแสงทิ้งตัวลงนั่งเช่นเดิมก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง “น่าจะพูดตั้งแต่แรกสิ”
“ไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ได้” เขาเกาแก้มของตัวเองอย่างเขินอาบก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเธอเบาๆ
“ผมก็รักลลิตนะ รักเสมอ และรักตลอดไป”
ความคิดเห็น