ตอนที่ 14 : 14 พายุ
14 พายุ
ถึงจะดูกลมกลืนไปกับสังคมที่ฟอร์คยังไง แต่สุดท้ายเมื่อเวเลอนีลเห็นเฟอร์กัสกับเลฟตัสเดินเข้ามา เธอก็ต้องกลับไปอยู่ในจุดเดิมของตัวเองอยู่ดี
เวเลอนีลรู้จักเลฟตัส ซัลลิแวร์เมื่อช่วงไต่สวนคดีความของลูเซียน เจ้าหมอนี่เป็นคนไม่น่าคบ--อันที่จริงแล้ว นิยามของพวกแผนกค้นคว้าก็ไม่ค่อยจะธรรมดาเท่าไรจนเธอไม่อยากเข้าใกล้ เลฟตัสเป็นเหมือนหัวโจกของความไม่ธรรมดาเหล่านั้น พวกผู้วิเศษส่วนใหญ่มักชอบหมกมุ่นในบางอย่างจนเข้าขั้นบ้า ในส่วนของเลฟตัสคือเขาชื่นชอบที่จะศึกษาอะไรก็ตามที่ตัวเองไม่รู้จัก
ลูเซียนฆ่าครอบครัวฟรีสบูลจริง เวเลอนีลได้เห็นรูปภาพศพของพวกเขาแล้ว มันน่าสยดสยองซะจนเธอทานข้าวไม่ได้ไปหลายมื้อ วันนั้นเวเลอนีลยืนอยู่บนแท่น รั้งรอว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไร มีเสียงกระซิบจากด้านหลังหลายคนที่บอกว่าเธออาจโดนผู้คุมวิญญาณจุมพิต ไม่ก็โดนขังลืมหนึ่งในสองคุกที่แน่นหนาที่สุดของโลกเวทมนต์ พ่อกับแม่นั่งหน้าเครียดไม่พูดไม่จา วีเนอัสถูกหัวหน้าของตัวเองห้ามเข้ามาดูการไต่สวน พวกคณะลูกขุนพูดไม่หยุดจนน่าหนวกหู
ในช่วงที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องของมนุษย์หมาป่าที่ตอนนี้คงอยู่ที่ไหนสักที่บนโลก บางคนก็กำลังเสียใจแทนลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของฟรีสบูลที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
เอริค ฟรีสบลูไม่แม้แต่จะมาร้องไห้ว่าพ่อกับแม่ของตัวเองตาย
เวเลอนีลจำช่วงไต่สวนไม่ค่อยได้แล้ว เพราะสุดท้ายคนที่เข้ามาพังงานในตอนนั้น คือพี่ชายคนรองของเธอที่พึ่งโผล่หัวมาพร้อมหลักฐานข้อเท็จจริงหลายอย่างที่ทำให้โทษของเธอลดลง เลฟตัสที่จ้องจะเข้าใกล้เธอก็เลยชวดโอกาสในการศึกษาของตัวเองไปอย่างน่าเจ็บใจ
เวเลอนีลแทบจะลืมหมอนี่ไปแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ได้มาเจอกันที่นี่อีก และทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ตอนนี้ ที่นี่ ตรงข้ามโซฟาที่เธอใช้นั่งอ่านหนังสือทุกวันก็คือชายหนุ่มสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นแบบน่าส่งกลับมาคูซ่าแทบไม่ทัน
“เชฟชิฟเตอร์”
“เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เชฟชิฟเตอร์”
เวเลอนีลหน้าหงิก เลฟตัสยิ้มกว้างทันที “ครั้งก่อนคุณก็เถียงคดีลูเซียนแบบนี้ บอกว่า ‘ลูเซียนได้รับความไม่เป็นธรรม เป็นเรื่องธรรมดาถ้าเขาจะตามล้างแค้นใครก็ตามที่ทำร้ายเขา’--ชอบแก้ตัวแทนคนอื่นจนเป็นนิสัย”
ขอบคุณที่เจคอบกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเกิดข้อพิพาทระหว่างพ่อมดกับพวกหมาป่าขึ้นมาแน่ๆ เวเลอนีลเกลียดเสียงไม้เท้าเคาะเข้ากับขอบโต๊ะเป็นจังหวะของเฟอร์กัส ทั่วบ้านของเธอกำลังถูกปกคลุมไปด้วยคาถากั้นเสียงและคาถาระวังภัยจากพนักงานมีฝีมือจากมาคูซ่าตรงหน้า จะพูดอีกนัยหนึ่งคือหากเวเลอนีลคิดจะเดินหนีออกไปก็ทำไม่ได้
“เว้นเรื่องไร้สาระเอาไว้ก่อน ตอนนี้มาเข้าเรื่องรายงานที่คุณส่งไปดีกว่า” ในที่สุดเฟอร์กัสก็เข้าประเด็น “ตอนแรกผมได้รับคำสั่งมาแค่ให้ตามสืบแวมไพร์ที่ฆ่าพวกโน-แมจเท่านั้น แต่รายงานฉบับหลังของคุณก็ทำพวกมือปราบมารกระหายอยากลงสนามจนวุ่นเชียว”
เวเลอนีลเริ่มเคาะนิ้วเข้ากับแขนตัวเองเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่พิเศษหนุ่มที่มีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน
“งั้นเรามาเริ่มที่เรื่องของสเกาเรอร์ก่อนเลย...แล้วค่อยไปว่ากันอีกทีกับพวกแวมไพร์”
เป็นไปตามคาดที่ช่วงวันหยุดเจคอบไม่มาที่นี่ เฟอร์กัสกับเลฟตัสกลับไปแล้ว เจ้าตัวดูพอใจกับการสำรวจและรายงานที่ตัวเองได้ไปมากพอๆ กับที่ไม่พอใจที่ไม่ได้เจอกับหมาป่าสักตัวของฟอร์ค เวเลอนีลไม่กล้าเดาว่าการกระทำที่เสียมารยาทของเลฟตัสจะทำให้เจคอบไม่พอใจถึงขั้นไหน อีกฝ่ายอาจจะโกรธถึงขั้นเอาเรื่องนี้ไปบอกหมาป่าคนอื่นหรือไม่ก็คงไม่อยากข้องแวะกับเธออีกแล้ว
และถ้าเป็นเธอ เวเลอนีลคงเลือกอย่างหลัง เหมือนกับที่ครอบครัวเธอชอบทำใส่หน่วยวิจัยทุกคนที่มองมาเหมือนเห็นพวกเธอเป็นของหายากควรค่าแก่การวิจัย
การเป็นผู้วิเศษที่ใช้ไม้กายสิทธิ์ไม่ได้แต่มีจุดยืนที่ไม่ธรรมดาทำให้เธออยู่ไม่สุข ทุกวันนี้หากไม่ได้ยินคำนินทาที่สรรเสริญชื่นชมก็เป็นคำนินทาคลางแคลงต่อสถานภาพความมั่นคงของเดอ ราโรส
พรุ่งนี้เฟอร์กัสคงมาอีก พวกคัลเลนสมควรรู้ว่าตัวเองต้องรับมือกับคนแบบไหน มันประจวบเหมาะพอดีที่พวกเขากำลังจะเล่นเบสบอลกันในช่วงที่พายุกำลังจะมา เวเลอนีลไม่ได้ถามหาเอ็ดเวิร์ดที่หายหัว เอ็มเม็ตกับโรซาลีเป็นคนมารับเธอทันทีที่โทรไปหา หญิงสาวผมบลอนด์ดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไรกับกิจกรรมผ่อนคลายในวันนี้ เวเลอนีลไม่กล้าถามว่าเพราะอะไรจนกระทั่งหล่อนเป็นคนพูดมันออกมาเอง
“เอ็ดเอิร์ดพาแม่นั่นมาด้วย”
เอ็มเม็ตเพียงแค่ยักไหล่
“ปัญหามันอยู่ที่สวอนเป็นมนุษย์หรือว่าเพราะเป็นเธอ?” เวเลอนีลหยอกล้อ
โรซาลีหันมามองเธอ สายตาเฉี่ยวคมดูดุของหล่อนตรงไปตรงมาเสมอและต่อให้ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา คำตอบก็แทบจะแปะอยู่บนหน้าของเธออยู่แล้ว
เวเลอนีลมองสีขมุกขมัวด้านนอก เธอได้ยินเสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะจากที่ไกลๆ นี่เป็นครั้งแรกในฟอร์คที่เวเลอนีลจะเจอกับพายุใหญ่แบบนี้ บรรยากาศในตัวรถเงียบกริบ และโดยไม่ต้องเปิดแอร์ บรรยากาศเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวแวมไพร์ทั้งสองก็แทบทำให้เธอหนาวสั่น
“รู้ใช่ไหมว่าฉันมาแค่ธุระเรื่องเดียว”
เอ็มเม็ตยิ้ม มองผ่านทางกระจกมองหลัง “รู้”
โรซาลีว่าเสียงเรียบ “เด็กเนิร์ดจะได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราหนาๆ ที่เนื้อกระดาษกรอบจนเหลืองบ้าง”
เวเลอนีลหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “เธอมาจากศตวรรษไหนเนี่ย...แต่เอาเถอะ ตำราของฉันก็ยังมีกลิ่นน้ำหมึกอยู่จริงๆ นั่นแหละ”
“พวกเธอควรรู้จักสิ่งที่เรียกว่าปากกาลูกลื่นได้แล้วนะ”
ในรถเงียบต่อไปจนกระทั่งมันจอดที่ชายป่าหลังบ้านของพวกคัลเลน โรซาลีสวมหมวกเบสบอลตัวเก่งปิดผมสลวยสีทองของตัวเอง หล่อนหันหน้ามาหาเธอแล้วยกยิ้มนิดๆ “บอกอะไรให้นะสาวน้อย ผู้หญิงยิ่งมีอายุยิ่งมีเสน่ห์”
ก็ไม่ผิด—เวเลอนีลยักไหล่แล้วก็เดินตามสองคนนั้นเข้าไป
พวกเธอไม่ใช่กลุ่มสุดท้ายที่มาถึง เอสเม่กับคาร์ไลล์ยืนอยู่แถวข้างสนามที่พวกเขาทำขึ้นมาเอง อลิสกับแจสเปอร์ก็ยืนอยู่อีกมุมโดยคุยเรื่องส่วนตัวบางอย่างอยู่ พวกเขารับรู้ทันทีที่เธอมาถึง พวกคัลเลนส่งยิ้มมาให้
“จังหวะเหมาะพอดีที่เรากำลังจะเล่นเบสบอล” หมอคัลเลนว่า
“ฉันก็ว่างั้นแหละค่ะ แต่ฉันคงเล่นด้วยไม่ได้”
“มีเสียงเชียร์จากข้างสนามก็ดี” นั่นเป็นเสียงของอลิส น้องเล็กของบ้านเดินตรงเข้ามาทางนี้เร็วกว่าที่ตาจะมองเห็น “เป็นเพื่อนเบลล่าด้วย เอ็ดเวิร์ดกำลังพาเธอมา”
เวเลอนีลพยักหน้ารับยิ้มๆ หันไปมองหลังของโรซาลีอย่างรู้ความหมาย
มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งจะไม่ชอบผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็มีเหตุผลที่จะทำให้คนๆ หนึ่งไม่พอใจในตัวใครอีกคนหนึ่ง ความคิดของโรซาลีอาจจะค่อนข้างเรียบง่ายหรือมีความซับซ้อนมากกว่านั้น อายุคือประสบการณ์ชีวิตที่ดี มันไม่มีเหตุผลที่จู่ๆ โรซาลีจะแค่เหม็นขี้หน้าเบลล่าทั้งๆ ที่พวกเธอไม่เคยคุยกันสักประโยคหรือสบตากันสักหนึ่งวินาที เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเวเลอนีลเองก็คงโดนเกลียดร่วมไปด้วยตั้งแต่แรก
เสียงรถอีกคันใกล้เข้ามา สองคนที่ลงมาจากรถคือคนคุ้นหน้าที่หนึ่งในนั้นมองมาที่เธอเหมือนแปลกใจปนตกใจอยู่นิดๆ น่าเสียดายที่เบลล่าไม่ได้มีโอกาสถามไถ่ความกระจ่างของตัวเอง หล่อนโดนเอสเม่ดึงตัวไปซะก่อน ในขณะที่เอ็ดเวิร์ดเป็นคนเข้ามาถามเอง
“ไม่คิดว่าเธอจะมา”
“ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะมาเหมือนกัน” เวเลอนีลจ้องไปยังเอสเม่ที่เอ็นดูเด็กสาวมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด “ครอบครัวคัลเลนถือว่าเปิดกว้างจริงๆ”
คนฟังหัวเราะขึ้นจมูกขึ้นมาทีหนึ่ง “ฟังจากปากเธอแล้วฉันไม่แน่ใจเลยว่านั่นเป็นคำชมหรือเปล่า”
“คิดงั้นก็ไม่ผิด” คัลเลนเปิดกว้างก็จริง แต่บางทีสำหรับคนที่คิดมากจนเกือบจะเข้าขั้นวิตกจริตแล้ว จะมองว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปก็ไม่ผิด
และเมื่อกรรมการสาวมาถึง เกมเบสบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจก็เริ่มขึ้น ที่โรซาลีกล่าวมาว่าเธอเป็นพวกเนิร์ดก็คงไม่ผิด เวเลอนีลหาที่นั่งเหมาะๆ ฟังเสียงฟ้าร้องที่ควบคู่ไปกับเสียงหวดกระแทกลูกเบลสบอลให้พุ่งรุนแรงจากการตีของแรงแขนเหนือมนุษย์ของพวกหนุ่มๆ สาวๆ ด้วยความเพลิดเพลิน
เอ็ดเวิร์ดเร็วพอที่จะกลับออกมาจากป่าอีกครั้งพร้อมลูกเบลบอลในมือ เอ็มเม็ตแรงเยอะพอที่จะกระแทกใครก็ตามที่มากระแทกตัวเองจนล้มหรืออาจจะเป็นความสามารถในการขว้างลูกของอลิส ดูโดยรวมแล้วน่าเบื่อพอๆ กับการนั่งดูการแข่งขันไตรภาคีจากคำบอกเล่าของพวกโบซ์บาตงไม่มีผิด สายตาของเวเลอนีลไม่ได้เร็วขนาดนั้น
จนกระทั่งโนเอลบินร่อนลงมาพร้อมจดหมายของวีเนอัส เด็กสาวมองความสนุกสนานของพวกคัลเลนก่อนจะเดินหลบออกมาอยู่แถวรถ เจ้านกฮูกตัวนั้นบินกลับไปแล้วเมื่อเธอเปิดจดหมายอ่าน ในนั้นมีข้อความเกี่ยวกับเลฟตัสทั้งสิ้น
‘เรื่องซัลลิแวร์ฉันไม่รู้จริงๆ เขาคงมั่นใจมากที่จะตัดสินใจว่าพวกหมาป่าที่นั่นเหมาะแก่การศึกษา ทางที่ดีฉันแนะนำให้เธอไปคุยปรึกษากับพวกนั้นก่อน ฉันรู้ว่าเธอไม่ถนัดเจรจา แต่อย่าโหมงานมากไป ลอฟฟี่โทรมาบ่นให้ฉันฟังแล้วว่าทางนู้นเธอไปรู้จักกับหนึ่งในฝูงของพวกเขา ทำไมไม่ขอคำปรึกษาจากเขาล่ะ? บางครั้งมีคนช่วยคิดก็แบ่งเบาภาระเธอได้ไม่มากก็น้อยนั่นแหละ พ่อกับแม่เองก็เป็นห่วงว่าเธอจะฝืนตัวเอง แต่ช่วงนี้พวกเขาไม่ค่อยจะว่างกันเลยมาบ่นให้ฉันฟัง
ทางนี้เริ่มมีคนนินทาเธอเรื่องลูเซียนอีกแล้ว ช่วงนี้ทำอะไรระวังตัวด้วย ไม่ต้องไปคิดมากเรื่องของเขาหรอก เขาเป็นถึงมนุษย์หมาป่าคงเอาทางรอดได้สักทางแหละ ฉันกำลังยื่นเรื่องพิจารณาตรวจสอบคดีบ้านฟรีสบลูอีกรอบ เผื่อว่าเธอจะได้กลับบ้านเร็วขึ้นสักเดือนสองเดือน
รักษาสุขภาพด้วย เป็นห่วง
วีเนอัส ซัน ดี.’
ชัดเจนแล้วว่าพี่ชายเธอไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียงฟ้าร้องดังมาอีกระลอกหนึ่ง เธอเก็บจดหมายเข้าแจ็กเก็ตให้เรียบร้อยแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พี่ชายคนรองทำอะไรไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นรู้เรื่องของเธอไปขนาดไหนแล้ว แต่เวเลอนีลแน่ใจว่าสักครึ่งของคำว่า ‘รู้จัก’ ไม่เคยหลุดออกไปจากเธอเลยสักครั้งผ่านทางโทรศัพท์ตอนที่เขาโทรมาบ่นเรื่องเพื่อนข้างบ้านของตัวเอง
ยอมให้กับการเรียบเรียงความคิดของลอฟฟี่จริงๆ
แต่การจะให้เธอไปหาหมาป่าคนอื่นๆ ก็ไม่เลวเท่าไร บางทีเจคอบอาจจะช่วยอะไรได้บ้างถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาเอง เลฟตัสควรจะตื่นได้แล้วว่าอะไรควรไม่ควร หมอนั่นควรที่จะปล่อยวางความหมกมุ่นของตัวเอง
แต่ยังไม่ทันที่เวเลอนีลจะเดินกลับไป เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าก็กลับเดินมาทางนี้เหมือนกำลังตกใจกับบางอย่างแล้ว
“ขึ้นรถ”
เวเลอนีลถูกลากให้ขึ้นไปนั่งเบาะหลังได้ไม่นุ่มนวลนัก เห็นว่าเบลล่ากำลังหน้าซีด แต่ท่าทีของเอ็ดเวิร์ดกำลังทำให้หล่อนประสาทเสีย
“เกิดอะไรขึ้น?” เธอหันไปถามเด็กสาว “ฉันงงไปหมดแล้ว”
แต่ก็ถูกตัดบทแทบทันที “เอาไว้คุยกันทีหลัง”
ชัดเลยว่าที่เมื่อครู่เธอเดินออกมาแค่แวบเดียวนั้นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เอ็ดเวิร์ด คัลเลนไม่ใช่ผู้ชายที่จะแสดงท่าทางตกใจปนตื่นตระหนกออกมาง่ายๆ ถึงเขาจะเป็นคนอารมณ์แปรปรวนแต่ก็ไม่ใช่คนที่เหมือนจะวิตกจริตแบบนี้
เบลล่านั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่ข้างๆ บรรยากาศในรถเป็นแบบนี้จนกระทั่งเธอถูกพามาส่งที่บ้านคัลเลน ก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะเหยียบคันเร่งพาเด็กสาวพุ่งไปไหนสักที่
ไฟในโรงรถสว่างจ้า แต่ในตัวบ้านกลับมืดสนิท เวเลอนีลพบว่าคัลเลนคนอื่นๆ กลับมาที่นี่กันหมดแล้ว พวกเขามีสีหน้าไม่ต่างจากเอ็ดเวิร์ดเลยสักนิด
“เราเจอแวมไพร์ที่เธอตามหาแล้ว” คาร์ไลล์เปิดประเด็น
เวเลอนีลเบิกตากว้าง “หมายถึงคนที่ฆ่าคนพวกนั้น?”
“ใช่” เขาว่าเสียงเครียด “แต่มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย หนึ่งในนั้นต้องการเบลล่า ตอนนี้เราต้องพาเธอออกจากฟอร์ค”
“ต้องการที่หมายถึงนี่—คืออาหาร?”
“ใช่ โชคดีที่เมื่อกี้เธอไม่อยู่ด้วยสาวน้อย แต่ธุระของเธอวันนี้เราต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าคงคุยกันไม่ได้แล้ว พวกเราจะออกจากเมืองนี้สักพัก ล่อเจมส์ออกไปไกลพอที่เราจะซ่อนเบลล่าไว้”
เรื่องเกิดขึ้นรวดเร็วจนน่ามึนงง เธอไม่มีเวลาได้ซักไซร้อะไรต่อ โรซาลีกับเอ็มเม็ตพาเธอไปส่งที่บ้านและกว่าเวเลอนีลจะหาประโยคสักคำเจอก็เป็นตอนที่พวกเขาขับรถมาได้ครึ่งทางแล้ว
“พวกนายนี่ทุ่มเทกันจริงๆ”
เอ็มเม็ตว่า “คาร์ไลล์บอกว่าเบลล่าเป็นครอบครัวของเราแล้ว และเราไม่ทิ้งครอบครัว”
โรซาลีเพียงแค่ส่งเสียงในลำคอเท่านั้น
เวเลอนีลไม่รู้ว่าพวกแวมไพร์ล่ากันยังไง พวกเขาเร็วเกินกว่าเธอจะรู้ตัว พละกำลังมหาศาลเกินกว่าเธอจะต้านไหว เวเลอนีลไม่อยากจินตนาการเลยว่าถ้าพวกเขาสู้กันขึ้นมาจริงๆ มันจะเป็นยังไง
เธอถูกกันออกมานอกวงตั้งแต่ที่เท้าก้าวออกจากรถ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพาเธอมาส่งถึงหน้าบ้าน—เธอคิดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน บางทีเฟอร์กัสอาจจะอยากรู้ข่าวเรื่องนี้ แต่กว่าเจ้าตัวจะได้อ่านรายงานที่เธอยังไม่ได้เขียนก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า และกว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวพวกคัลเลนก็คงไม่อยู่ในฟอร์คแล้ว ช่างประจวบเหมาะที่ปัญหาถูกแบ่งเบาไปจากสมองได้จริงๆ
แต่ปัญหาของวันนี้ยังไม่จบ และที่เวเลอนีลไม่คาดคิดมาก่อนคือการที่กลับบ้านมาจะเจอเข้ากับหมาป่าตัวใหญ่ที่รอเธออยู่ที่บ้าน
เวเลอนีลมีแค่ไฟฉายอันเล็กในมือ เธอมองเห็นเงาของหมาป่าค่อยๆ กลับกลายเป็นคน
แสงจากไฟฉายอาบไล่ตั้งแต่เท้าเปลือยเปล่าขึ้นไปจนถึงใบหน้า เจคอบเดินเข้ามาคล้ายกับมีบางอย่างอยากจะพูด
ไม่แปลก เพราะปกติถ้าไม่มีธุระเธอก็คงไม่เจออีกฝ่ายหรอก—แต่ทันทีที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าที่จากธรรมดาอยู่แล้วกลับแข็งค้าง ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะถมึงทึงบึ้งตึงขึ้นมาอย่างน่ากลัว เด็กสาวเงียบไม่ยอมเปิดปาก มองดูเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาใกล้ด้วยคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่น
“เธอมีกลิ่นของพวกนั้น”
เสียงของเจคอบมีแววคาดคั้น
“แล้วกลิ่นของเบลล่าก็ติดอยู่กับกลิ่นของคัลเลน”
และนี่คือน้ำเสียงบังคับ ไร้การทักทายและถามไถ่
เวเลอนีลอยากจะหัวเราะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทักทายได้น่ารักมาก555
ตระกูลพระจันทร์ก็มา
ใจเย็นๆนะ-หนุ่ม *ทำเสียงแก่*
ไรท์กลับมาล้าววววววววววว//กราบ
เเละมาทำให้ทุกคนอยากยกเซ็ธขึ้นมาเป็นพระเอก โธ่เอ้ย!//ให้โอกาสพ่อหมาป่าเรานะคะ
อ่านแล้วรู้สึกอยากที่จะกัดเจคให้จมเขี้ยววว มาหาเวเลอนีลถึงที่ แต่ที่ไหนได้ พูดเรื่องเบลล่าา! โว้ยยยย ไอ่เจ้าลูกหมาาา!!! เวเลอนีลกระทืบมันเรย!! เอาบทพระเอกไปโยนทิ้งง !! แทนที่จะทักทายดีๆ แว๊กกกก อยากพ่นไฟใส่ลูกหมา(ป่า) !