ตอนที่ 13 : 13 ทำความรู้จักที่ไม่น่าอภิรมย์
13 ทำความรู้จักที่ไม่น่าอภิรมย์
มีสิ่งหนึ่งที่สามารถแยกคนธรรมดากับไม่ธรรมดาออกจากกันได้—อย่างพวกคัลเลน พวกนั้นเป็นพวกเลือดเย็น ถ้าคนอื่นในโรงเรียนจะสังเกตสักนิดว่าพวกเขากะพริบตาช้ากว่าคนทั่วไปหรือชอบทำท่าเหมือนคนที่พึ่งเดินออกมาจากช่องฟรีทซ์ก็คงตะหงิดใจบ้าง นอกจากจะคิดว่าพวกนั้นแค่ ‘แปลก’
เจคอบเป็นหมาป่า—แน่ล่ะว่ามันก็ต้องมีบางอย่างที่แยกพวกเขาออกมาจากคนอื่นๆ ด้วย ที่เห็นได้ชัดสุดก็คือพละกำลัง...และบางทีอาจรวมไปถึงปัญหาการควบคุมอารมณ์ของหมาป่าช่วงวัยเจริญพันธุ์ที่มักคุมตัวเองไม่อยู่
และทั้งหมดทั้งมวลที่เขาเกริ่นมานั้น มันเป็นเพราะผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เขาอยู่ต่างหาก เจคอบไม่เคยเห็นใครสวมชุดสูทสีดำทั้งตัวแบบนี้แล้วแทบไม่มีเหงื่อออกมาก่อน นอกจากตัวละครเด่นในนวนิยายสืบสวนของดักลาส เพรสตันกับลินคอน ไชลด์ที่เพื่อนของเขาเคยอ่าน—แต่นั่นเป็นตัวละคร อีกอย่างเจคอบก็ไม่คิดว่าในสมัยนี้จะมีใครถือไม้เท้าอย่างดีเดินไปเดินมาหรอกนะ
หนึ่งในคนที่เดินไปมาเอ่ยแซวเล่นๆ “เฮ้ คุณชาย วันนี้มีนัดพาสาวไปดื่มน้ำชาเหรอ?”
และมีอีกคนที่ผิวปากมาจากฝั่งรถยนต์ของตัวเอง “เฮ้พวก นี่เรียกว่ารถยนต์! เผื่อว่านายไม่รู้จักนะ!”
เจคอบเหลือบมองคนโดนแซว ในทีแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงโกรธจนควันออกหูที่มีเด็กมาพูดจาลามปามใส่ แต่เขาคิดผิด ชายหนุ่มสูทดำยังคงท่าทางไว้แบบเดิม เจคอบไม่ปฏิเสธเลยว่าเขาเริ่มกลัวรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากของอีกฝ่ายเสียแล้ว เขาดูเหมือนเป็นผู้ดีเก่าที่หลุดออกมาอยู่ในที่ๆ ไม่ควร แค่เจคอบยืนเทียบกันอยู่ข้างๆ ก็เริ่มทำให้เขาเสียความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
“คุณอย่าเก็บมาใส่ใจเลย” เจคอบเปรยเมื่อเห็นอีกคนที่เตรียมแซวอีกฝ่ายอีกรอบ
ชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ามาหาเขา เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาอีกประโยค
“มันก็แค่คำพูดของเด็ก”
อีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เคาะไม้เท้าลงพื้นทีหนึ่ง “คุณพูดเหมือนตัวเองไม่ใช่เด็ก”
อย่างน้อยความคิดเขาก็ไปไกลกว่าอายุเล็กน้อย—เจคอบยักไหล่ “มารอใครเหรอ คุณยืนอยู่ข้างผมได้สิบห้านาทีแล้ว”
“คนที่ทำงานด้วยกันน่ะ แต่ดูเหมือนเธอจะตั้งใจเบี้ยวผมซะแล้ว” ชายหนุ่มว่า
ในนาทีนั้นเจคอบอยากจะถามออกไปเหลือเกินว่าเด็กไฮสคูลคนไหนกันที่ต้องมาทำงานร่วมกับคนที่อายุดูจะเลยสามสิบไปแล้วบ้าง แต่ก็หยุดตัวเองไว้ทัน
ชายหนุ่มแปลกหน้าหันมาสบตาเขาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองที่เจคอบรู้สึกแปลกๆ เหมือนตัวเองกำลังลอยเคว้งยามจ้องเข้ากับดวงตาสีฟ้าอมเทาคล้ายกับเมฆฝนของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนกำลังสะลึมสะลืมตอนตื่นนอน เสียงจ้อกแจ้กมากมายรอบข้างราวกับมีใครมากดหรี่เสียงให้เบาลง มีเพียงเสียงของชายหนุ่มท่าทางแปลกๆ คนนี้เท่านั้นที่ชัดเจนที่สุด
“คุณพอจะไปนั่งดื่มกาแฟสักแก้วเป็นเพื่อนผมสักครู่ได้หรือเปล่า อีกสักพักเพื่อนผมก็จะมาแล้ว เราคงใช้เวลาไม่มากในการคุยกัน”
เจคอบพยักหน้า มองรอยยิ้มปริศนานั้นอย่างเหม่อลอยแล้วค่อยๆ เดินนำอีกฝ่ายไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ที่สุด มันอยู่ตรงข้ามถนนกับโรงเรียน ในเวลานี้ไม่ค่อยมีคนอยู่ในร้านเท่าไรนัก พวกเขาเลือกที่นั่งที่เป็นส่วนตัวมากที่สุดแล้วสั่งเครื่องดื่มมาสี่แก้ว
ในตอนนั้นเองที่เจคอบพึ่งได้สติ มองตัวเองด้วยความสับสน รู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมเมื่อครู่ตัวเองถึงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่ายโดยไม่อิดออด
“ผมชื่อเฟอร์กัส อัลเล่ย์” ชายหนุ่มแนะนำตัว “ไม่ต้องห่วง ผมแค่มารอคุณเดอ ราโรส—ระหว่างนั้นเราก็มาพูดคุยดั่งเช่นคนทั่วไปเขาคุยกันดีกว่า”
“...เมื่อกี้คุณทำอะไร?”
เฟอร์กัสเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ เจคอบพึ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายสวมใส่ถุงมือหนังสีดำไว้ด้วย อีฝ่ายตรงข้ามไม่ละสายตาจากเขาเลยสักวินาทีเดียว
นี่มันน่าขนลุกชะมัด
“ใจเย็นๆ เราแค่มานั่งคุยกัน—จนกว่าคนของผมจะมา” อีกฝ่ายครุ่นคิด “แต่เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นคนที่คุณมารอด้วยเหมือนกันนั่นแหละ—ผมแค่คิดว่านั่งรออยู่กับคุณ คุณเดอ ราโรสคงยอมมาพบผมสักที”
นี่มันอะไรกัน?--เจคอบสาบานได้ว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรออกไปแน่ๆ เฟอร์กัสเหมือนเป็นคนสติไม่ดีที่พูดอยู่คนเดียว แต่บางอย่างกลับบอกเขาว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ท่าทางอีกฝ่ายมันแปลกๆ เขาพูดเหมือนรู้ว่าเจคอบกำลังคิดอะไรอยู่
แล้วเฟอร์กัสก็ให้คำตอบโดยทันที
“ใช่ ผมรู้”
เจคอบขมวดคิ้ว—เป็นไปไม่ได้
เฟอร์กัสยิ้ม “คุณสนิทกับคุณเดอ ราโรสแล้ว แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเราเลยเหรอ...ถือว่าเด็กคนนั้นยังทำงานได้ดีไม่เปลี่ยนเลยสินะ”
เวเลอนีล?
“ใช่ครับ” อีกฝ่ายเมินท่าทางตกใจของเขา “เวเลอนีล ซัน เดอ ราโรส”
“...” เจคอบกำลังตั้งสติ “งั้นคุณก็เป็น—พ่อมด?”
“ถูกต้อง ผมเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษที่ต้องมาลงตรวจสอบที่ฟอร์ค”
เฟอร์กัส อัลเล่ย์กำลังยิ้มมาให้จากฝั่งตรงข้าม
“และผมอยากรู้เรื่องของพวกคุณมากทีเดียว...เรื่องของหมาป่า”
สิ่งที่แยกเฟอร์กัสออกมาจากคนธรรมดา—นั่นคือเขาสามารถอ่านใจเจคอบได้
พนักงานขมวดคิ้วรอบหนึ่งตอนวางเครื่องดื่มให้พวกเขา แต่ครู่ต่อมาหล่อนก็ถูกน้ำเสียงของเฟอร์กัสล่อลวงแล้วจากไปด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เจคอบได้ประจักษ์ถึงคำว่า ‘ผู้วิเศษ’ อย่างแท้จริง พวกเขามีอำนาจบางอย่าง—บางอย่างที่เจคอบไม่เคยเห็นจากเวเลอนีล
“ผมค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมคุณถึงสามารถสนิทกับคุณเดอ ราโรสได้”
เจคอบขมวดคิ้วทันที “เราไม่ได้สนิทกัน”
เป็นอีกครั้งที่ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เฟอร์กัสยังคงจ้องมาที่เขา ล้วงทุกอย่างที่อยากรู้ออกไปอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเปิดปาก
เสียมารยาท—น่าสงสัยจริงๆ ว่าคนอื่นๆ จะเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ทุกอย่างที่เฟอร์กัสทำมันทำให้เจคอบหงุดหงิด และมันน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าตอนที่เวเลอนีลสบประมาทเขามากมายหลายเท่า
มีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเฟอร์กัส บางอย่างที่เจคอบไม่ชอบ—อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นเด็ก ยุแหย่ตามความพอใจของตัวเองโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นการก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเขามากแค่ไหนก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นเราก็คงรู้จักคุณเดอ ราโรสคนละแบบกันแล้ว” ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นจิบ “หล่อนไม่เคยให้คนที่ไม่ไว้ใจอยู่ใกล้ๆ ซึ่งจุดนี้น่าแปลกใจทีเดียวที่...“
ถูกปรายตามองรอบหนึ่ง—เจคอบแทบอยากถลันเข้าไปต่อยหน้าเฟอร์กัสให้หายหงุดหงิด
“ ‘คนอย่างคุณ’ กลับเป็นคนที่ได้อยู่ใกล้หล่อน” ชายหนุ่มหรี่ตา “ถือว่าหล่อนใจกล้าไม่เบาที่ไม่เห็นข้อบังคับอยู่ในสายตา”
“...หมายความว่ายังไง?”
“คุณแบล็ก—เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำไมถึงต้องมาทำงานที่พวกผู้ใหญ่ทำกัน คุณเคยสงสัยบ้างหรือเปล่า?”
เฟอร์กัสกำลังหย่อนเบ็ดให้ปลา เจคอบเป็นปลาตัวนั้นที่กำลังถูกยั่วยวนด้วยสิ่งที่ตัวเองอยากรู้—เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัย เวเลอนีลไม่เคยบอกเขามากไปกว่าเรื่องของคนอื่น หล่อนบอกทุกอย่างที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับตัวเอง แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่จะพูดถึงตัวเองให้ใครรู้
รวมทั้งเขาด้วย
แต่นี่คือความจริงหนึ่งอย่างที่เจคอบไม่เคยรู้เกี่ยวกับเด็กสาว ความจริงที่เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรรับรู้มันเลยสักนิด
เพียงแต่เฟอร์กัสพูดมันออกมาแล้ว
“ความจริงคุณเดอ ราโรสควรจะไปอยู่ในคุกลูเมนการ์ดแล้วด้วยซ้ำ เพราะความผิดที่หล่อนทำไว้ร้ายแรงมาก--ถ้าผมเป็นหล่อนผมจะไม่เข้าใกล้อะไรก็ตามที่ทำให้นึกถึงความผิดของตัวเองหรอก”
เจคอบเผลอกำหมัดแน่น
“คุณจะบอกว่าเวเลอนีลทำผิดเลยถูกส่งมาที่นี่?”
เฟอร์กัสยิ้ม—อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้ เจคอบพยายามบ่ายเบี่ยงแต่ไม่ได้ผลเลยสักนิด เขารู้ตัวว่าตัวเองกำลังหูผึ่ง รู้สึกร้อนรนปนด้วยเย็นยะเยือกขึ้นมาแปลกๆ
“ใช่—ความผิดที่ช่วยนักโทษต้องขังหลบหนีออกมา จนปัจจุบันนี้ก็ยังตามจับไม่ได้แม้แต่เงาหรือขนสักเส้น”
“เขากำลังจะถูกประหารเพราะก่อคดีฆ่าครอบครัวฟรีสบลู โชคดีที่ลูกชายของตระกูลยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะใช้ชีวิตปกติได้--ฆาตรกรคนนั้นชื่อ ลูเซียน เป็นมนุษย์หมาป่า”
หล่อนทำจริงๆ งั้นเหรอ?—เจคอบไม่อยากจะเชื่อ เวเลอนีลคนที่ไม่เคยแยแสอะไรคนนั้นน่ะเหรอ?
ไม่มีทางหรอก—เธอไม่ทำแบบนั้นแน่
แต่เฟอร์กัสยังคงพูดต่อไป เขาเหมือนเป็นบันทึกเคลื่อนที่ที่กำลังรายงานข้อมูลคดีความของเวเลอนีลไม่มีผิด
“ถึงได้บอกไงว่าถ้าเป็นผมจะถอยห่างจากอะไรก็แล้วแต่ที่ตอกย้ำถึงความโง่เขลาของตัวเอง ถึงจะเป็นจุดร่วมเล็กๆ แต่คุณควรรู้ว่าในโลกของเรามนุษย์หมาป่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและดุร้าย เพราะแบบนั้นทันทีที่เรารู้ว่ามีสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกันปรากฎ เราถึงต้องมาพิสูจน์ให้แน่ใจ”
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เจคอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาแปลกๆ
เขาพึ่งรู้สึกตัวว่ารอบข้างเสียงค่อนข้างเบาบาง และทั้งๆ ที่บทสนทนานี้ออกจะไม่ปกติและพวกเขาพูดในระดับเสียงดังปกติแท้ๆ แต่คนในร้านกลับไม่ได้หันมามองด้วยสายตาแปลกๆ ด้วยซ้ำ
เฟอร์กัสถือไม้เท้าของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
“พิสูจน์อะไร—คุณมาที่นี่เพราะจะตรวจสอบคดีคนตายไม่ใช่เหรอ?” เจคอบขยับตัว
ประตูร้านเปิดออกอีกรอบ มีใครคนหนึ่งเดินตรงมาที่โต๊ะของพวกเขา ประจวบเหมาะกับที่เฟอร์กัสเหยียดยิ้มเยือกเย็นทันที
“ตอนนี้ไม่แล้ว”
ฝ่ามือเย็นเฉียบวางลงบนไหล่เขาทันที เงยหน้าขึ้นไปมองก็พบเข้ากับชายหนุ่มอีกคนที่กำลังยิ้มกว้างให้ความรู้สึกสยองมาให้ ดวงตาสีเขียวสว่างของอีกฝ่ายกำลังมองสำรวจมาที่เขา ดูแล้วเหมือนคนกำลังตื่นเต้นที่ได้ของเล่นใหม่ไม่มีผิด
“เราต้องการศึกษาหมาป่าอย่างพวกคุณด้วย”
เจคอบได้ยินเสียง ‘ป็อบ!’
เขารู้สึกในท้องกำลังพยายามตีตื้นน้ำย่อยและอาหารขึ้นมาทางหลอดอาหาร เท้าของเขาลอยจากพื้นแล้วก็หล่นตุบลงบนพื้นดินชื้นแฉะสักที่ เจคอบอยากอ้วก แต่สัญชาตญาณของเขาทำงานรวดเร็วกว่านั้นโดยการเอื้อมมือไปจับข้อมือคนที่ทำอะไรบางอย่างจนส่งเขามาที่นี่
เขาบีบแน่จนได้ยินเสียงกระดูกหัก จากนั้นเจคอบก็เหวี่ยงชายหนุ่มคนนั้นไปอีกทางด้วยมือข้างเดียว
แต่แทนที่จะเห็นร่างปวกเปียกนั่นกระแทกเข้ากับต้นไม้แล้วร่วงลงพื้น อีกฝ่ายกลับกลายเป็นร่างพร่ามัวแล้วไปโผล่อีกที่แทน “พลังมหาศาลทั้งๆ ที่ยังไม่กลายร่าง—อย่างนี้นี่เอง คนละสายพันธุ์กับมนุษย์หมาป่าสินะ”
“จะดีมากถ้าเลิกพูดเหมือนพวกฉันเป็นตัวอะไรสักอย่าง” ผิวหนังของเขาร้อนผ่าว อยากจะกลายร่างแล้วตะครุบคนตรงหน้าให้จมเล็บเหลือเกิน
แต่คนถูกจ้องไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยสักนิด ในมือของอีกฝ่ายถือเศษไม้เล็กๆ ยาวสิบกว่านิ้วเอาไว้
“โดยส่วนตัวแล้วงานของผู้เชี่ยวชาญด้านสายพันธุ์อย่างผมต้องศึกษาคุณมากกว่านี้นะ—จนกว่าเด็กเดอ ราโรสนั่นจะถูกเฟอร์กัสพาตัวมา เรามีเวลาศึกษากันเหลือเฟือ”
“เสียใจ ฉันไม่อยากเสวนากับคนไร้มารยาทแล้วก็โรคจิตอย่างนายหรอกนะ” เจคอบขู่ “หาเรื่องเราในเขตเราก็อย่าหวังว่าจะได้กลับออกไป”
“ตามกฎหมายแล้วผมมีสิทธิ์ทำอะไรกับคุณก็ได้”
“กฎหมาย-ของ-พวกคุณ!” เจคอบชี้หน้าอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่ใช่กฎของเรา ไสหัวกลับไปซะ!”
อีกฝ่ายส่ายหัว “ช่างไร้อารยธรรมที่ดีจริงๆ” ยกเศษไม้แห้งๆ นั่นขึ้นมาแล้วชี้ใส่เขา
“ยังไงก็ต้องจับพวกคุณไปลงทะเบียนสัตว์สายพันธุ์ใหม่ให้ได้—จะสู้ผมเหรอ? คุณทำอะไรพวกผมไม่ได้หรอก เวทมนต์ก็ไม่รู้สักอย่าง จะจับพวกผมก็หวังเอาชาติหน้าแล้วกัน เวเลอนีลช่วยอะไรคุณได้ไม่มากหรอก หล่อนเองก็ใช้เวทมนต์อย่างพวกผมไม่ได้แม้แต่จะเลือกไม้กายสิทธิ์ด้วยซ้ำ”
อย่างแรกที่เขารู้คือไอ้หมอนี่มันพวกปากมากและอีกฝ่ายดูไม่ชอบใจทุกครั้งที่พูดถึงเวเลอนีล นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงหลังของประโยคจึงเปลี่ยนมาเป็นการคายความลับของเวเลอนีลออกมาเรื่อยๆ แทน
“พวกเดอ ราโรสมีความสำคัญต่อเราก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาแทบจะเป็นสควิปที่ไร้ประโยชน์ที่ทำได้แค่ทำงานเอกสารไม่ต่างจากพวกเอลฟ์ชนชั้นแรงงาน—ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นกลับมีเส้นสายใหญ่จนแม้แต่คดีร้ายแรงยังสามารถรอดตัวออกมาได้” ใบหน้าของอีกฝ่ายบิดเบี้ยวเล็กน้อย “เพราะแบบนั้นนังเด็กนั่นที่ควรจะถูกส่งโอนมาให้ผมวิจัยเรื่องจิตใต้สำนึกของเธอเลยหลุดมือไปได้ น่าเจ็บใจจริงๆ!”
ฟังแล้วรู้สึกแสลงหูขึ้นมาเรื่อยๆ เจคอบมองชายหนุ่มที่จิตไม่ปกติแล้วอยากจะเข้าไปตบปากอีกฝ่ายสักรอบ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำแบบนั้นเขาพลันรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ร่างลอยปลิวไปกระแทกต้นไม้จนจุกด้วยฝีมือของเศษไม้แห้งในมืออีกฝ่าย
พอกันที
เจคอบจ้องเขม็งตาวาวโรจน์ “แกวอนหาเรื่องเองนะ”
แล้วเสียงของเขาก็กลายเป็นเสียงคำราม เจคอบไม่สนดวงตาที่เบิกกว้างเมื่อเห็นร่างหมาป่าของเขาจากฝ่ายตรงข้าม มันน่าขยะแขยงจนเขาอยากตะปบให้ดวงตานั้นไม่สามารถมองตัวเองได้อีก แต่การเข้าโจมตีอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ชายหนุ่มว่าไว้ อีกฝ่ายหายตัวได้และใช้คาถาอะไรก็แล้วแต่เสกใส่เขาทุกครั้งที่มีโอกาส ลำแสงที่พุ่งตรงเข้ามาเจคอบหลบได้หมดและนั่นเหมือนเป็นการยั่วโมโหให้อีกฝ่ายโกรธขึ้นไปกว่าเก่า
“ถ้าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ก็ถือว่ามีความผิด!”
กรร...
เจคอบคำรามใส่ไปอีกรอบหนึ่งอย่างหงุดหงิด หมอนี่มันสมองกลับหรือยังไงที่เอาเรื่องกฎบ้าบอพวกนั้นมาใช้กับเขาน่ะ!?
แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะชี้ไม้แห้งๆ นั่นมาที่เขาอีกรอบ เสียง ‘ป็อบ!’ อีกเสียงก็ดังขึ้นอีกรอบ
เสียงเกรี้ยวกราดของเวเลอนีลดังมาแต่ไกล “แกคิดจะทำอะไร!”
เจคอบไม่เคยเห็นเด็กสาวเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน เธอถลาเข้ามาคั่นกลางระหว่างพวกเขาด้วยร่างที่สั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่ เฟอร์กัสเดินตามเข้ามาติดๆ มองเขาอีกครั้งด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “น่าสนใจ...”
เวเลอนีลกดเสียงต่ำข่มอารมณ์
“ถ้าคุณกล้าอ่านใจฉันหรือแบล็กอีก สาบานว่ามันจะไม่จบลงแค่ฉันส่งรายงานให้มาคูซ่า อัลเล่ย!” แล้วก็ย้ายสายตากลับไปที่ชายหนุ่มที่คิดจะจับเขาเมื่อครู่
“ฉันไม่ได้รายงานขอให้ฝ่ายเชี่ยวชาญอย่างนายมาที่นี่นะ เลฟตัส ซิลลิแวร์”
ชัดแล้วว่าเรื่องนี้เวเลอนีลไม่เห็นชอบด้วยตั้งแต่แรก
เลฟตัสแค่นเสียงขึ้นจมูก “เบื้องบนสั่งมาว่าให้มาตรวจสอบ”
“แค่ตรวจสอบ—อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายใช้คาถาใส่เขาน่ะ” เด็กสาวกดเสียงต่ำ “จะไม่มีการพาใครไปไหนทั้งนั้น พวกนายแค่ต้องมาคุยกับฉันแค่คนเดียว”
“เธอไม่มีสิทธิ์นั้นนะเดอ ราโรส—รู้นี่ว่าตัวเองมีคดีอะไรติดตัว พวกฉันปวดหัวเรื่องของเธอมากพอแล้ว ตอนนี้ที่อังกฤษก็วุ่นวายมากพอแล้ว อย่าทำให้อเมริกามีเรื่องไร้สาระนี่เพิ่มเข้ามาเลย” เลฟตัสย่างเท้าเข้ามาใกล้ “เข้าใจว่าส่วนหนึ่งเธอทำงานให้พี่ชายเธอ แต่ส่วนใหญ่นั้นก็คงรู้นะว่าถูกส่งมาที่นี่เพราะอะไร”
เจคอบส่งเสียงขู่ในลำคอ ก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้เด็กสาวอย่างข่มขู่ เขาสะกดกั้นคำถามทุกอย่างลงไป ยังไงก็แล้วแต่ ความไม่ชอบขี้หน้าเลฟตัสนั้นมีมากกว่าจนเรื่องของเวเลอนีลเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเวเลอนีลเถียงไม่ชนะ เลฟตัสแค่นเสียงหัวเราะอย่างพอใจ “เข้าใจได้ก็ดี เราจะได้ให้เธอนำทางเราไปคุยธุระกันที่บ้านของเธอ”
“และมันจะต้องไม่เกี่ยวกับพวกหมาป่า...”
เจคอบงับชายเสื้อกันหนาวอีกฝ่ายเบาๆ เวเลอนีลคลายมือที่กำแน่นออกแล้วขยำลงมาบนขนของเขาเป็นเชิงบอกว่าห้ามเถียง เธอขบกรามจนได้ยินเสียงลอดออกมา เจ็บใจกับสภาพเป็นรองนี้จนแทบรับไม่ได้
“ไม่รับปาก แต่เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังได้” เฟอร์กัสเปรยขึ้นมา ยิ้มอย่างพอใจ “คิดถูกทีเดียวที่พาเขามาด้วย”
เวเลอนีลมีสีหน้าน่ากลัวทันที เจคอบคำรามข่มขู่อย่างไม่พอใจ เขาแทบจะดันเด็กสาวให้จมหายลงไปในขนของตัวเองอยู่แล้วแต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้
เนิ่นนานกว่าเสียงแผ่วเบาจะหลุดออกมา
“ได้ ตกลง”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เริ่มเข้มข้นและเหมือนกับกาแฟยามเช้า
ปากกับร่างกายสวนทางกันจริงๆ พวกเขา"ไม่สนิท"กันอร้ะ 5555555555555555555555
//คนอื่นบอกไรท์แล้วว่าค้าง เพราะงั้นฉันจะแซวนังสองคนนี้ต่อไป