ตอนที่ 18 : 17 ร้านตัดเสื้อของมาดามมัลกิ้น
17 ร้านตัดเสื้อของมาดามมัลกิ้น
ไดลานานไม่ค่อยชอบบ้านที่เป็นห้องเช่าสักเท่าไร เธอไม่ชอบพวกเพื่อนบ้านชอบโม้หรือมนุษย์ป้าชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ไม่ก็พวกชอบโวยวายและชอบทะเลาะกับภรรยาเสียงดัง—แถวนี้มีครบทั้งสี่แบบเลย
ทอมหายไปตั้งแต่เช้ามืด เขาสวมชุดสูทสีเทาเข้มเรียบๆ และหมวกหนึ่งใบ ไดลานานไม่ได้ถามว่าอีกฝ่ายไปไหน อาจจะเป็นสักที่ในโลกเวทมนต์ หรือไม่ก็ถนนสักเส้นในลอนดอน ผ้าห่มและหมอนถูกพับเก็บเรียบร้อยที่โซฟาที่เจ้าตัวนอน Iรวมทั้งน็ตที่เขียนไว้เรียบร้อยด้วยว่า ‘ออกไปข้างนอกข้างครู่’
ไดลานานรู้สึกอิจฉาเขาชะมัดที่ออกไปก่อนที่จะมีเสียงทะเลาะกันของสามีภรรยาที่อยู่ถัดไปสองห้อง มันทำให้เธอสะดุ้งตื่น ไดลานานไม่ปลื้มเลยสักนิด
บ้านของทอมหายไปแล้ว มันถูกทางธนาคารยึดไปหรืออะไรนี่แหละ เหลือไว้แค่ที่ดินที่มีแต่ผักกับผลไม้ ไดลานานไม่กล้ามองหน้าเขา แต่แค่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ โชคดีที่อีกฝ่ายมีสติพอที่จะไม่ตามไปสาปใครหรือฆ่าใครเพิ่ม สองชั่วโมงต่อมาทอมก็พาเธอมาที่นี่แก้ขัดไปก่อน ครั้นจะถามว่าได้มายังไง ชายหนุ่มก็เอาแต่ยิ้ม
‘คุณไม่อยากรู้หรอก’
พูดแค่นั้นก็เป็นการจบบทสนทนา เฟอร์นิเจอร์ในบ้านหลังนี้ยังพอรับได้ เธอไม่ได้เป็นคนอยู่ยากเท่าไร แต่ก็มีข้าวของบางอย่างที่เธอต้องโละทิ้งและซื้อเข้ามาใหม่ อย่างแรกเลยคือขยะเปียกในห้องครัวและความสกปรกของจานชามที่ยังแช่อยู่ในซิ้งค์น้ำ—โสโครกสิ้นดี
“เพราะแกมันเลี้ยงลูกมาแบบนี้ไง ตำรวจถึงได้มาเคาะประตูทุกวัน!”
“อ๋อ จะโทษว่าเป็นความผิดฉันงั้นสิ!—คุณก็ประเสริฐมากนักล่ะ วันๆ ไม่ทำงาน เอาแต่เล่นพนันเอาเงินไปเททิ้ง!”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียง ‘เพล้ง!’
เยี่ยมเลย—ไดลานานกลอกตา เดินไปเปิดหน้าต่างขึ้น ก่อนจะมุดหัวออกไปดู เสียงมาจากห้องที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เสียงทีวีไม่ได้ช่วยกลบเสียงของพวกเขาได้เลยสักนิด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนอย่างทอมถึงเลือกที่นี่
สุดท้ายพอทำความสะอาดไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเธอก็ทนไม่ไหว เมื่อเช็กของที่จะออกไปซื้อเรียบร้อยก็ตัดสินใจออกจากห้อง ไดลานานไม่ได้ใส่ชุดคลุมออกไป มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังแง้มประตูออกมาดู ดวงตาออกจะคล้ำหน่อยๆ และไม่ได้แต่งตัวเรียบร้อยนัก นั่นเป็นห้องที่ชอบมีปาร์ตี้โต้รุ่ง ไดลานานได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งผู้หญิงกับผู้ชายดังมาจากในนั้น
“เพื่อนบ้านคนใหม่เหรอ?” หล่อนถาม มองสำรวจเธออย่างเสียมารยาท “เมื่อเช้าฉันเห็นผู้ชายออกมาจากห้องนั้น ไม่ใช่คุณ”
“นั่นเจ้าของงห้อง ฉันเป็นคนขออาศัย”
“อย่างนี้นี่เอง”
คิดว่าหล่อนไม่เข้าใจจริงๆ หรอก...ช่างเถอะ—ไดลานานหยิบถุงขยะออกมาเต็มสองมือ แต่ครั้นพอจะเดินผ่านห้องนั้นไปก็ถูกขัดขวางเข้าอีกรอบ เป็นเด็กนั่นคนเดิม
“ฉันอิซซาเบลล่า” ยื่นมือมาให้ ส่งยิ้มซีดเซียวที่ไดลานานลงความเห็นว่าเธอควรไปหาหมอมากกว่ามาทำความรู้จักเธอแบบนี้ “มีอะไรเคาะห้องเรียกฉันได้”
“ไดลา” เธอว่า “โทษทีนะ แต่มือไม่ว่าง ไปล่ะ--”
“โอ ใช่ ฝากทำความรู้จักผู้ชายคนนั้นด้วย”
ไดลานานโครงหัว กำลังคิดว่าจะปกป้องแม่นี่จากความตายยังไงดี
“มีข้อแนะนำให้เธอนะอิซซาเบลล่า—คือแต่งตัว แล้วไปเรียนซะ”
อิซซาเบลล่าหน้าแดงก่ำ แต่ไดลานานไม่ได้รอให้หล่อนโกรธหรือตะโกนด่าตัวเองแน่ๆ หญิงสาวใช้ช่วงเวลานั้นเดินปลีกตัวออกมา รอเวลาให้ทอมกลับมาเธออาจจะขอให้เขาเปลี่ยนที่อยู่ดูถ้าเป็นไปได้ ที่นี่ทำเธอเสียสุขภาพจิตชะมัด
อย่างน้อยก็เป็นพวกของใช้จำเป็น เสื้อผ้ากับวัตถุดิบทำอาหารง่ายๆ ที่เธอพอจะทำได้บ้าง ห้องพักนี่มีดีแค่ร้านกาแฟอร่อยๆ ที่ด้านล่างเท่านั้นเอง เธอแวะซื้อมันก่อนจะกลับขึ้นมาในช่วงบ่าย สองแขนเต็มไปด้วยถุงพลาสติกและกระดาษ เสียงทะเลาะหายเงียบไปแล้ว แต่ทางเดินกลับเหมือนมีรอยเลือดอะไรสักอย่างหยดเป็นทางผ่านหน้าห้องเธอไป
แล้วไดลานานก็พบว่าทอมกลับมาแล้ว เขาหันมาหาเธอพอดีตอนที่ไดลานานเปิดประตูเข้ามา หมวกที่เจ้าตัวใส่แขวนไว้ที่ผนัง ทอมถอดเสื้อสูทตัวนอกออกไป เหลือไว้แค่เชิ้ตสีขาวกับเสื้อกั๊กสีดำเท่านั้น
ห้องรับแขกถูกเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม มันเต็มไปด้วยตู้หนังสือและของศาสตร์มืดบางอย่างที่ไดลานานคิดว่าเธอไม่ควรแตะมัน
“ฉันกำลังคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยนที่อยู่”
“แถวนี้ทำเลดี”
“เรื่องอะไร?”
ชายหนุ่มนั่งลงที่โซฟา เขาขยับมันให้ไปอยู่ใกล้กับหน้าต่าง “ขอชา”
ไดลานานเดินไปที่โซนห้องครัว ก่อนจะพบว่าคราบไขมันที่เกาะแถวผนังหรือคราบสกปรกที่เธอทำความสะอาดไม่หมดหายไปแล้ว หญิงสาวหยิบชุดน้ำชาออกมา หยิบใบชาที่พึ่งซื้อออกมาจากถุงกระดาษ
ทอมอธิบาย “ผมอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกมักเกิ้ล คุณบอกว่าส่วนใหญ่ผู้เสพความตายออกอาละวาดที่นี่ เมื่อเช้าหนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องที่สะพานถล่ม”
“แล้วมันเกี่ยวกับที่ที่เราพักอยู่ยังไง?”
“แถวนี้มีข่าวสาร หูตามีอยู่รอบตัว” ทอมว่า “ห้องข้างเราเป็นคุณป้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ตรงข้ามเราเป็นเด็กวัยรุ่นที่ชอบเข้าสถานที่อโคจร พวกนี้มักมีเส้นสายไม่ธรรมดา แล้วก็ห้องริมสุดเป็นนักข่าวที่ชอบบ่นเรื่องงานของตัวเองให้คนอื่นฟัง”
“อีกสองห้องถัดไปเป็นสามีภรรยาชอบตีกัน” ไดลานานค้าน ถือชาออกมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆ ข้างโซฟาอีกฝ่าย
“เห็นแล้ว เมื่อกี้สามีพึ่งโดนภรรยาของเขาทุบจนหัวแตก คุณคงเห็นรอยเลือดหน้าห้องเราแล้ว” ชายหนุ่มว่า “แต่นั่นไม่น่าเป็นปัญหาหรอก ผมไม่คิดว่าคุณจะชอบอยู่เฉยๆ ใช่ไหม?”
ไดลานานคิ้วกระตุก มองคนผู้ที่ส่งยิ้มอ่านอยากมาให้ด้วยความไม่ชอบใจ “คุณอ่านใจฉัน?”
“ใช่” เขาว่า “เห็นได้ชัดว่าคุณอยากออกตามหาพอตเตอร์—ผมกำลังแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกระทรวง มีตำแหน่งมือปราบมารว่างอยู่พอดี”
ว้าว—ทอม ริดเดิ้ลกับตำแหน่งมือปราบมารงั้นเหรอ?
อดไม่ได้ที่จะทำหน้าแปลกๆ ออกมา ทอมรู้แน่ๆ ว่าไดลานานคิดอะไรอยู่ เขาแค่หัวเราะกับมันเบาๆ แล้วดื่มชาต่อ “ผมคิดว่าเราไม่ต้องหาเขาให้เหนื่อยหรอก”
ไดลานานขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ทอมดูไม่พอใจนิดหน่อยที่ต้องพูดเรื่องนี้
“น่าอัศจรรย์ใจทีเดียวที่ตั้งแต่เรามาที่นี่ ผมรู้สึกเหมือนเชื่อมต่ออยู่กับใครตลอดเวลา—มันอาจจะเป็นผลกระทบที่เศษเสี้ยววิญญาณของผมอยู่ในแผลเป็นของพอตเตอร์ก็ได้...น่ารำคาญเสียจริงที่มีเด็กอารมณ์ร้อนแบบนั้นติดอยู่ในหัวตลอดเวลา”
“นั่นอาจเป็นพอตเตอร์ในช่วงเวลานี้ก็ได้” ไดลานานเถียง “ที่ฉันกำลังหาคือพอตเตอร์ที่มากับเรา”
“ไม่หรอก เท่าที่ผมรับรู้ความรู้สึกของเขาได้ เป็นพอตเตอร์ที่มากับเราไม่ผิดแน่”
“นั่น...” ไดลานานเบิกตากว้าง “เป็นไปไม่ได้ เขากลายเป็นตัวเองในยุคนี้เหรอ?—ได้ยังไง?”
“อย่าลืมว่าผมผลักเขาในช่วงที่เวลากำลังเดินพอดี—มันอาจเป็นบทลงโทษของคนที่เล่นกับเวลาก็ได้” ทอมอธิบาย “ยังไงก็เถอะ พอตเตอร์ในตอนนี้ก็ยังเป็นเขาตอนอายุสิบหกไม่เปลี่ยน ผมแค่หวังว่าจะไม่มีอะไรน่ารำคาญมากไปกว่านี้ก็พอ”
ว้าว—ไดลานานเลิกคิ้ว—พูดได้หน้าตาเฉยเลยนี่ ทั้งๆ ที่เป็นคนแหกกฎเองแท้ๆ
แต่ยังไงก็แล้วแต่ มันก็เข้าทางไดลานานอยู่พอดี เสียงหัวเราะดังลอดเข้ามาในห้องอีกแล้ว คราวนี้คงเป็นห้องของอิซซาเบลล่าที่กำลังจัดปาร์ตี้อีกรอบ เธอคงหมดหวังให้จะให้เด็กนี่ไปเรียนเสียแล้ว ทอมเคาะไม้แค่ทีเดียว ก่อนที่เสียงจะถูกกันออกไป
ไดลานานลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับเขา “ฉันกำลังคิดว่าจะเข้าไปเป็นอาจารย์ที่นั่น”
“ไม่เห็นด้วย” ทอมดูไม่ชอบใจ “ดัมเบิ้ลดอร์อยู่ที่นั่น ถึงจะกระดากปากไปสักนิด แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นตัวปัญหาเวลาเรากำลังมีแผนการในใจ”
“นั่นก็เข้าทางฉันเหมือนกัน เราควรจะรู้การเคลื่อนไหวของทางนั้นด้วย ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครรู้ประวัติ”
ทอมไม่เถียง และไดลานานยิ้มบ้าง รู้ว่าเหตุผลนี้ดึงดูดความสนใจเขาได้
“ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปยังไง—ฉันไว้ใจคาถาสะกดใจของคุณนะ ริดเดิ้ล”
แฮร์รี่ไม่ได้มีความสุขอย่างที่เขาเป็นเมื่อก่อน—อันที่จริงคือค่อนข้างอึดอัดน่าดูที่ต้องมองจินนี่อยู่ตลอดเวลา เธอยังเด็ก...ใช่ จินนี่ในตอนนี้สูงเลยไหล่เขามาแค่นิดเดียว เธอยังตัวเล็กและสดใสตามวัย มันทำให้แฮร์รี่นึกถึงจินนี่ตอนเป็นนักควิดดิชสาวที่ทะมัดทะแมงเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่นและเปล่งประกาย—เขาคิดถึงจินนี่
แต่ตอนนี้พูดได้ไม่เต็มปากแล้วว่าดีใจที่ได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกันอีก แฮร์รี่อยากเข้าหาหล่อนตามปกติ แอบมองเหมือนอย่างที่เคยทำว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาทำไม่ได้—มีบางอย่างมาหยุดเขาไว้ทุกครั้งที่จินนี่ยิ้มมาให้เขา บางอย่างบอกเขาว่าไม่ควรเข้าไปหาเธอ ถ้ายังไม่อยากให้เธอตาย
จินนี่จะไม่ตายถ้าเธอคบกับคนอื่น—และเขาควรตัดใจซะตั้งแต่ที่เห็นว่าตอนนี้เธอกำลังคบอยู่กับดีน โทมัส เพื่อนของตัวเอง มันกลายเป็นความรู้สึกกึ่งๆ ละอายใจที่แฮร์รี่เคยคิดลบกับดีนมาก่อนตอนปีหก เพียงเพราะอีกฝ่ายคบกับเธอ—ใช่ เขาคิดงั้นจริง และมันน่ารังเกียจสิ้นดีที่แฮร์รี่เคยมีความคิดจะแย่งจินนี่มาจากดีน
พวกเขาคบกัน—ใช่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายควรทำตอนนี้อย่างถูกต้องคือ ตัดใจจากเธอและไม่อ่อยเธอเหมือนที่เคยทำซะ...อย่าให้ความหวังอะไรทั้งนั้น—เขาบอกกับตัวเอง และบอกแบบนั้นมาตลอหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา อย่างน้อยก็โชคดีที่รอนกับเฮอร์ไมโอนี่ยังอยู่กับเขา
รอบนี้แฮร์รี่ขอขอบคุณอาการหึงหวงของรอนจากใจเลย มันช่วยเขาได้มากจริงๆ แม้ว่ามันจะเจ็บทุกครั้งที่เขาเมินสายตาของจินนี่ที่มองมาก็เถอะ
“นายแปลกขึ้นทุกทีที่มองน้องสาวฉันนะเพื่อน จินนี่ไปหักอกนายตอนไหนไม่ทราบ?” คำถามนั้นเต็มไปด้วยความคาดคั้น
แฮร์รี่ตอบกลับไปแบบไม่ใส่ใจว่า “ตอนที่นายถูกเฮอร์ไมโอนี่ปฏิเสธมั้ง”
รอนหน้าแดงทันที และหลังจากนั้นจนกระทั่งถึงมื้อเย็นอีกฝ่ายก็ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เฟร็ดกับจอร์จสัญญาว่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวที่ร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์ที่กำลังเป็นที่นิยม มันคุ้มกับการที่สองคนนี้ใช้เงินที่แฮร์รี่ให้ไปลงทุนมากโข พวกเขาได้กำไลกลับมาเป็นกอบเป็นกำ แถมทำให้พวกเด็กๆ มีความสุขอีก
เฟร็ดกับจอร์จลบคำสบประมาทของแม่ตัวเองได้สำเร็จ
แฮร์รี่ชอบที่สองแฝดนี้อยู่ด้วยกันเสมอ—อย่างน้อยก็ยังไม่ต้องนึกถึงตอนปีเจ็ดให้เจ็บปวดอีก
แต่รอนจำเป็นต้องไปตัดชุดคลุมใหม่ อีกฝ่ายตัวสูงเลยพวกเขาแทบทุกคนไปแล้ว นางวีสลีย์กำลังเตรียมเงินสำหรับซื้อข้าวของชิ้นใหม่ให้กับลูกๆ ของหล่อน มันวุ่นวายแบบนี้ทุกปีนั่นแหละถ้ามันใกล้จะถึงวันที่ต้องไปตระเวนเดินที่ตรอกไดแอกอน
แต่เพราะวุ่นวายตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย รอบนี้กว่าแฮร์รี่จะไปที่ตรอกไดแอกอนก็คล้อยบ่ายของวันที่สิบสามแล้ว และนั่นเป็นโชคดีทีเดียว เพราะคนส่วนใหญ่มาเดินแถวนั้นกันตอนเช้า ร่วมด้วยท้องฟ้าวันนี้ขมุกขมัวไปด้วยเมฆฝน พวกเขาเลยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนมากมายเท่าไร
จินนี่กับเฮอร์ไปโอนี่แยกไปที่ร้านเครื่องเขียนก่อนแล้ว สองสาวเดินคุยหายเข้าไปในร้าน ในขณะที่เขากับรอนเดินตามนางวีสลีย์ไปที่ร้านของมาดามมัลกิ้น
แต่พอเปิดประตูเข้าไปด้านใน ร่างของแฮร์รี่ก็เหมือนจะถูกแช่แข็งด้วยแผ่นหลังสูงชะลูดของใครคนหนึ่งที่มาดามมัลกิ้นกำลังวัดตัวให้อยู่--เดรโก มัลฟอยเอียงใบหน้าเล็กน้อยมาคุยกับแม่ของเขา นาร์ซิสซาที่ยืนสำรวมเงียบอยู่ข้างๆ
แฮร์รี่แทบจะค้างอยู่ที่หน้าร้านไปแล้วเพราะมัวแต่จดจ้องใบหน้าที่ปราศจากความเย่อหยิ่งของมัลฟอย เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ ราวกับคนเหนื่อยส่งให้หญิงสาวเมื่อพูดเรื่องบางอย่างที่ไม่มีใครได้ยินถนัด
จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดด้วยความหมั่นไส้ของรอนจากด้านหลัง
สองแม่ลูกนั้นเหมือนจะรู้ตัว หันมามองทางเขาก่อนจะตีหน้าหยิ่งยโสใส่ทันที
แต่มันก็ช้าไปนิด เพราะแฮร์รี่เห็นภาพเมื่อกี้ไปซะแล้ว มัลฟอยเหลือบสายตาเย็นชามามองที่เขา ดวงตาสีเทาแฝงไว้ด้วยความลำบากใจ—ทำไมที่ผ่านมาเขามองไม่เห็นมันนะ
แล้วแฮร์รี่ลืมไปได้ยังไงกันว่าเขาจะมาเจอมัลฟอยที่นี่ ก่อนที่จะตามอีกฝ่ายไปที่ร้านเบอร์เจ้นและเบิร์กวันนี้ล่ะ?
“หน้าฉันมีอะไรที่นายไม่มีหรือไง พอตเตอร์?” เปิดฉากด้วยคำถากถางอย่างเก่า
แฮร์รี่ยังคงหาเสียงตัวเองไม่พบ แต่นั่นกลับกลายเป็นว่ารอนออกอาการโมโหแทนจนได้
“มีแน่ ความดีแต่ปากของแกไง มัลฟอย”
มัลฟอยแสยะยิ้มทันที “ไม่ยักรู้ว่ามีคนอิจฉาที่ไม่มีใครสนใจแถวนี้ด้วย—อิจฉาเพื่อนแกหรือไง วีเซิล ที่ฉันคุยด้วยน่ะ?”
รอนหน้าแดงแปร๊ดแทบจะทันที “ไร้สาระ!” แต่ก็กลบรอยความอับอายไม่ได้เลยสักนิด แฮร์รี่ไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นหรอก ในเมื่อตอนนี้เขาเอาแต่สำรวจอีกฝ่ายเหมือนตอนที่มาอยู่กับซิเรียสวันแรกๆ ไม่มีผิด
นานมากเหลือเกินที่ไม่ได้เจอ เขาไม่เคยเข้าใจว่าความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาที่อกนี่มันคืออะไร—พอตั้งสติได้ก็เป็นตอนที่เสียงเย็นๆ ของนาร์ซิสซาแทรกบทสนทนาขึ้นมานั่นแหละ “มีมารยาทหน่อย เดรโก”
สายตาเย็นชาของหล่อนจ้องไปที่รอน “เธอเองก็ด้วย ควรจะใช้คำพูดที่มีมารยาทกว่านี้กับการคุยกับคนที่ไม่สนิทนะ—เมื่อกี้เกือบทำฉันคิดไปเลยว่าพ่อกับแม่เธอไม่ได้อบรมสั่งสอนมาดีสักเท่าไรนะ คุณวีสลีย์”
จากสีแดงบนใบหน้าที่มีจนจะกลายเป็นมะเขือเทศ รอนหน้าซีดทันที ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีแต่ความอดกลั้น แฮร์รี่ทำได้แต่ปลอบใจเท่านั้น เขาไม่อยากทำเหมือนเมื่อครั้งก่อน
แม้จะเลือนรางมากแล้ว แต่แฮร์รี่จำได้ว่าแรกพบสิ่งที่เขาพ่นใส่หน้าหญิงสาวแสนหยิ่งผยองคนนี้มีแต่คำพูดที่ไร้มารยาทจนน่าอับอาย มันยิ่งกว่าคำพูดของหล่อนใช้พูดเมื่อกี้เสียอีก
“พอเถอะ นาร์ซิสซา—เด็กมันก็ยังพูดไม่คิดแบบนี้แหละ”
นาร์ซิสซาหันไปหานางวีสลีย์ “มอลลี่” หล่อนว่า “ฉันกับลูกแค่มาตัดเสื้อตัวใหม่—ไม่คิดว่าจะต้องมาฟังใครพูดจาไร้มารยาทใส่แถวนี้”
“แต่เมื่อกี้มัลฟอยพูดก่อน!” รอนเถียง
“กับพอตเตอร์” นาร์ซิสซาว่า ปรายตา เชิดหน้ากลับมามองรอนที่สะอึกไปรอบหนึ่ง
แล้วก็เลื่อนสายตามามองแฮร์รี่ที่หลบไปอยู่มุมจนสะดุ้งในใจ “ใช่หรือเปล่า คุณพอตเตอร์?”
แฮร์รี่ไม่ตอบ—อันที่จริงคือเขาไม่คิดว่าตัวเองจะตกไปอยู่ในบทสนทนา เขารับรู้ถึงความเสียดแทงของสายตาจากนาร์ซิสซาได้ แต่หล่อนไม่ได้บังคับให้เขาตอบหรอก แต่เพราะรู้ว่าแฮร์รี่กำลังมองไปที่ไหนมากกว่าถึงได้หรี่ตามองอย่างจับผิด
แฮร์รี่กำลังสับสน—อาจจะพูดแบบนั้นได้ มัลฟอยไม่ได้หันไปโวยวายตอนที่มาดามมัลกิ้นแทงเข็มลงมากเกินไปจนไปโดนผิวของอีกฝ่าย ไม่เลยในเมื่อมัลฟอยกำลังเสตาหลบเขาด้วยความหงุดหงิด เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อไม่ให้แฮร์รี่เห็นว่าตัวเองกำลังทำหน้ายังไงอยู่
“พอแล้ว เดรโก—เราจะมาตัดชุดวันอื่นกัน”
คล้ายกับจะเป็นการประกาศว่าตนไม่อยากมาอยู่ในร้านเดียวกับพวกยาจก นางวีสลีย์ไม่ได้แสดงท่าทีกระฟัดกระเฟียดเท่ากับลูกชายก็จริง แต่รอนกำลังจิกสายตาใส่สองแม่ลูกนั้นจนแทบไฟลุก บางทีอีกฝ่ายอาจจะอยากให้เขาพูดผสมโรงร่วมกับตัวเอง แต่แฮร์รี่ทำไม่ได้จริงๆ
มัลฟอยส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ สะบัดแขนเสื้อข้างซ้ายที่มาดามมัลกิ้นกำลังจะวัดออกด้วยความหงุดหงิด
ใช่ แขนซ้าย—แฮร์รี่จ้องเขม็งไปที่แขนซ้าย มัลฟอยจับแขนข้างนั้นแน่น ส่งสายตาโมโหร้ายใส่มาดามมัลกิ้นจนหล่อนหน้าเสีย ก่อนจะเดินตามผู้เป็นมารดาของตัวเองออกจากร้าน
นายควรจะทำอะไรสักอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์—เขาคิด—มัลฟอยกำลังจะไปแล้ว นายต้องดึงความสนใจของหมอนั่น
แต่อะไรล่ะ?—แฮร์รี่คิดหนัก—ขนาดสบตาหมอนั่นยังไม่มองหน้าเขาเลยนะ นี่มันแย่ยิ่งกว่าที่เราสองคนทะเลาะกันซะอีก
และในนาทีที่มัลฟอยเดินผ่านแฮร์รี่ไป ต้องขอบใจตัวเองที่เลือกมุมอับได้เหมาะเหม๋งมาก รอนกับนางวีสลีย์ไม่มีทางเห็นว่าแฮร์รี่จับเข้าที่ข้อมือของมัลฟอยเสียแน่น ดวงตาสีเทาถลึงมองเขาอย่างมาดร้าย แต่น่าแปลกที่มัลฟอยไม่ได้ผรุสวาทอะไรใส่
“ฉันรู้ว่านายเจอกับอะไรมา”
มัลฟอยเบิกตากว้าง แฮร์รี่กำลังขอร้องอีกฝ่ายทางสายตา
“มีปัญหาอะไร มัลฟอย?” รอนส่งเสียงไม่พอใจ กำลังจะเดินเข้ามาใกล้
นาร์ซิสซาหยุดเดิน หันกลับมามองก่อนจะหรี่ตามองอย่างเย็นชา “เดรโก ไปกันได้แล้ว”
“ฉันรู้ มัลฟอย นายต้องเชื่อใจฉัน—อย่าทำ--”
แต่แฮร์รี่คิดผิด มัลฟอยสะบัดมือเขาออกเหมือนต้องของร้อน ดวงตาเบิกกว้างผสมปนเปด้วยอารมณ์หลายอย่างที่ใช้มองเขา ทั้งความตื่นตระหนก ความกลัว—และเหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือความโกรธ
แฮร์รี่รู้แล้วว่าเขาก้าวพลาด
“หุบปากเน่าๆ ของแกซะพ่อพระเอก...” น้ำเสียงที่เค้นออกมาอัดแน่นไปด้วยความโกรธแสนทรมาน “แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันทำอะไรอยู่ พอตเตอร์”
ก่อนจะตอกย้ำให้เขาถูกสาปให้กลายเป็นหินไปตรงนั้น
“โยนความหวังดีโง่ๆ นั่นให้เพื่อนแสนรักแกเถอะ แล้วอย่าสะเออะมายุ่งกับฉัน”
“เฮ้ย พูดเรื่องบ้าอะไรวะ!?”
แฮร์รี่ไม่ได้มองรอนที่หันไปตะโกนใส่คนที่เดินออกไปจากร้านแล้ว รู้สึกราวกับตัวเองกำลังร่วงลงเหวลึกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคจากมัลฟอย
‘จัดการทุกอย่าง—ทำตามแผนที่เราวางเอาไว้’
หรือบางทีเขาควรจะทำอย่างที่มัลฟอยว่ามาจริงๆ
เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้—มันแย่กว่าตอนที่เขาตามมัลฟอยไปที่ตรอกนอร์ทเทิร์นซะอีก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จริงๆอีกอย่างเลยคืออยากให้รอนเปิดใจให้เดรโกจัง แต่คนนี้เกลียดเดรโกกว่าแฮร์รี่คนก่อนอีกมั้ง..
แต่ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน พอตเตอร์ต้องทำให้ได้นะ ต้องช่วยน้องเดรเอาไว้ให้ได้นะ
เอาใจช่วยค่ะ ชอบมาก
โอ๊ย เดาไม่ออกแล้วไรท์อ่า5555555 งือ เดรกไม่มีทางเปิดใจง่ายๆแน่อ่ะรี่ ควรทำงัยยย
อีกสองคนนี่ก่กะลังมุ้งมิ้ง(?)//กัดหมอน