ตอนที่ 9 : 09 โยเซร่ายรำ
09 โยเซร่ายรำ
สีแดงบานสะพรั่ง
สองฤดูห่ำหั่นเริงระบำ
มันเป็นการต่อสู้ที่สวยงาม—แม้จะยังหาคำบรรยายไม่ออกมากไปกว่านี้ แต่ทุกคนที่เห็นการปะทะกันของดาบและฝักดาบนั้นต่างก็ต้องหยุดมองอย่างเผลอไผล เป็นครั้งแรกที่การต่อสู้นั้นดูงดงามขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เป็นเพราะสองโยเซกำลังร่ายรำมากกว่าจะฟาดฟัน
ไอความร้อนระอุและความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านในบรรยากาศจนน่าขนลุก เป็นมนต์ขลังที่เหล่าชินเซ็นกุมิไม่เคยพบเจอมาก่อน—เป็นครั้งเเรกที่ประจักษ์ถึงเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์อีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่ลักซ่อนร่วมกับพวกเขามาช้านาน
เพียงแต่ที่น่าเป็นห่วงคงจะเป็นหญิงสาวเสียมากกว่า เลือดของนางยังคงสาดกระเซ็นทุกครั้งที่เคลื่อนไหวรุนแรง ยูคาตะสีขาวกว่าครึ่งถูกย้อมเป็นสีแดงไปแล้ว ท่าทางดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนน่าใจหาย
ส่วนทางด้านชายหนุ่มที่เคยบ้าคลั่ง กลับดูหวาดกลัวเสียอย่างนั้น คล้ายกับไม่กล้าทำอะไรจนนางได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต่อสู้ต่อไป พร้อมกับคำถามที่พวกเขาได้ยินกันถ้วนหน้า
“ทำไมถึงช่วยพวกมันอยู่อีก? หรือเพราะที่ยอมออกมาเพราะคาซามะอีกแล้ว?”
ถ้อยคำช่างน่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับนายเหนือแห่งยักษ์ที่อยากจะฟาดฟันดาบใส่คนพูดเสียเต็มแก่แล้ว
“หยุดทำเรื่องเเบบนี้ไดแล้ว คาโนะ” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ เคลื่อนที่ไม่หยุด “พวกเขาไม่ใช่คนพวกนั้นหรอก คนพวกนั้นเจ้าเองก็คงจะฆ่าไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็พอแล้วล่ะ”
“แต่คนที่สั่งการน่ะไม่ใช่!” คาโนะตะคอกกลับ “มันยังมีชีวิตอยู่ ที่ไหนสักที่หนึ่ง และข้าจะฆ่ามัน!”
แล้วดาบก็ฟาดฟันเข้าใส่ ยังไม่มีการหยุดหย่อนลงแต่อย่างใด ฝ่ายหญิงสาวที่เป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำเองก็ไม่ได้ลดฝักดาบที่ถือลงแม้เพียงน้อย นางพยายามค้นหาจุดสิ้นสุดของการต่อสู้นี้โดยเร็ว พยายามอย่างมากที่จะให้คาโนะหยุด
แต่ตอนนี้อยากจะเกลี่ยกล่อมแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ เพราะด้วยอารมณ์โกรธของเธอที่พุ่งสูงเองก็ไม่สามารถจะมาเจรจาตอนนี้ได้เช่นกัน
ดวงตาประกายแสงสีแดงเพลิงเรืองรองด้วยความเกรี้ยวโกรธขึ้นเรื่อยๆ ดั่งเป็นเปลวไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของชายหนุ่มมาตั้งแต่กำเนิด แม้ไอความร้อนจะไม่สามารถแตะต้องผิวกายอันเย็นเฉียบของเธอได้ก็ตามที
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีแต่จะต้องหยุดเจ้าเท่านั้น”
“...หมายความว่าเจ้าจะเข้าข้างพวกมนุษย์อย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่” หญิงสาวตอบ “ไม่เข้าข้างฝ่ายไหนทั้งนั้น”
แต่คำพูดเหมือนจะส่งไปไม่ถึง
“แต่ที่เจ้ายืนอยู่น่ะ มันฝั่งพวกมัน!”
ดาบฟาดฟันใส่อีกครั้งและอีกครั้ง พอๆ กับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้โหมกระหน่ำกว่าเก่า พาลให้คนที่เหลือต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้า ป้องกันตัวเองอย่างสุดความสามารถ แม้แต่เธอเองก็ต้องถอยร่นออกมา
ความเจ็บกลับมาอีกครั้งเมื่อได้พักหายใจ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ต้องใช้ฝักดาบค้ำยันตัวเองไม่ให้ล้มลงไปเสียแล้ว แม้แต่จะบีบเค้นพลังของตัวเองออกมาก็เกรงว่าจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยซ้ำไป
ความผิดปกตินี้มีคนเห็น และเป็นคาซามะเองที่เข้าไปแทรกกลางเหล่าภูตทั้งสองทันทีที่มีช่องว่าง ชายหนุ่มโอบตัวหญิงสาวเอาไว้แล้วถอยออกมา พลางรับการโจมตีที่กระหน่ำลงมาอย่างโกรธแค้นอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าอีกแล้วเหรอ...”
แต่ตอนนี้คาซามะไม่ได้สนใจอีก ชายหนุ่มสั่งเสียงเฉียดขาดกับเหล่ายักษ์อีกสองตนว่า “จัดการซะ”
แทบจะทันทีที่ทั้งสองเข้ามารับช่วงต่อจากนายเหนือแห่งยักษ์ เหล่าซามูไรคนอื่นๆ ก็เหมือนจะสามารถขยับตัวได้แล้วเช่นกัน จิซึรุเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน ขอบตาของเด็กสาวรื้อน้ำตาจนเกือบจะเอ่อล้นออกมา
“ท่าน...”
“อย่าพูดออกมา” เขาว่าเสียงเย็น ประคองหญิงสาวเอาไว้ ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเลือดยังไหลไม่หยุด “กลับไปอยู่ในที่ของเจ้าซะ เรื่องของเราค่อยว่ากันทีหลัง”
“แต่ว่า...” คล้ายกับไม่แน่ใจที่จะฝากพี่สาวอันเป็นที่รักให้กับอีกฝ่าย เด็กสาวมีสีหน้าซีดเผือดอย่างหวาดกลัว
แม้จะหวาดกลัว แต่ก็ยังกล้าหาญ—ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจจริงๆ
นี่คงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนเข้าใกล้นาง
“จิซึรุ...” เสียงหญิงสาวดังลอดออกมาจากหน้ากาก ยังฟังดูราบเรียบดังเดิม แม้จะไม่สามารถยืนเองได้แล้วก็ตาม “ไม่เป็นไร กลับไปหาพวกเขา อีกเดี๋ยวข้าก็หายแล้ว”
แต่ถึงอย่างนั้นสภาพที่เด็กสาวเห็นก็ไม่ทำให้เธอเชื่อได้เลยสักนิด ที่ชายยูคาตะยังมีหยดเลือดหยดลงมาไม่ขาดสาย มันช่างผิดกับตอนที่เจออีกฝ่ายครั้งแรกเหลือเกิน ...ที่เธอไปเจอชิซุน แผลฉกรรจ์ก็หายหมดแล้วน่ะ
สถานการณ์ไม่เอื้อให้ได้พูดอะไรมากนัก เมื่อคาโนะที่กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบจะโดนอามากิริและชิรานุอิไล่ต้อนจนออกไปจากเขตของเหล่าซามูไรแล้ว สองยักษ์ทำการไล่ล่าได้เกินความคาดหวังไปมาก ไม่นานก็ไร้เงาของทั้งสามเสียแล้ว
พื้นที่รอบข้างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง
ความสนใจจึงดึงมาที่หญิงสาวและนายเหนือของยักษ์โดยทันที
ฮิจิคาตะ โทชิโซเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความไม่แน่ใจนัก
คืนนี้พวกเขาเจอเรื่องที่รับไม่ได้มามากจนต้องชาชินไปเสียแล้ว คนอื่นๆ เองก็คงคิดแบบเดียวกัน พวกเขาไม่ได้มีแรงกดดันหรือคิดร้ายต่อหญิงสาวที่เข้ามาช่วยเลยสักนิด
“เจ้า...กินทสึ ชิซุนใช่หรือเปล่า?” รองหัวหน้าแห่งชินเซ็นกุมิเอ่ยถาม “ถึงจะมีเรื่องน่าสงสัยหลายเรื่อง แต่เจ้าต้องได้รับการรักษาก่อน”
น้ำใจถูกหยิบยื่นให้ด้วยความหวังดี ทางด้านเด็กสาวเองก็หันไปแย้มยิ้มดีใจให้กับคนพูดอย่างขอบคุณ หันกลับมาอีกครั้งอย่างรอคอยคำตอบจากโยเซสาวที่เงียบไปเนิ่นนาน
ราวกับกำลังคิดไตร่ตรองว่าจะยอมลดกำแพงลงหรือเปล่า
ในที่สุดนางก็ยอมลดหน้ากากลง เผยใบหน้าที่แท้จริงให้กับทุกคนได้เห็น ผิวสีขาวจัดกว่าครั้งแรกที่ได้เจอกัน ดวงตาสีน้ำแข็งแปลกตาที่ยังคงฉายแววราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับที่ต่อปากต่อคำพวกเขาในวันแรกที่เจอกันไม่ผิดแน่นอน
“ไม่เป็นไรหรอก” หญิงสาวปฏิเสธ รับรู้ถึงแรงรัดที่เอวของตนดี “ข้าจะมาอธิบายให้พวกท่านฟังหากข้าสบายดีแล้ว การช่วยเหลือคงรับได้แค่น้ำใจเท่านั้น ท่านซามูไร”
“แต่ว่า...” ฮิจิคาตะขมวดคิ้ว แผลที่นางได้รับนั้นน่าเป็นห่วงเหลือเกิน คนปกติตอนนี้คงตายไปแล้วเพราะพิษบาดแผลและเสียเลือดมาก
แต่ก่อนที่จะได้มีใครคะยั้นคะยอต่อ คนที่ไวกว่ากลับเป็นคาซามะเสียเองที่พาหญิงสาวหายไปในพริบตา ไม่มีคำกล่าวลา ไม่มีคำทิ้งท้าย
เหลือไว้เพียงกลิ่นเลือดที่ยังตลบอบอวลในอากาศและความคลาแคลงสับสนเอาไว้เท่านั้น
“ฮิจิคาตะซัง...” จิซึรุเอ่ยร้องเรียก ใบหน้าของเธอมีน้ำตาคลอจนเกือบจะล้นออกมา เด็กสาวเองก็คงเป็นห่วงพี่สาวตนเองไม่ต่างกัน น่าหงุดหงิดที่นางไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครเลยสักคน
และจิซึรุเอง—นางก็ผ่านค่ำคืนที่ยากลำบากนี่มาเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มถอนหายใจ ถึงเรื่องเหนือคาดจะยังมาให้เขาปวดหัวต่อจากนี้ แต่ตอนนี้สุขภาพของคนอื่นๆ สำคัญกว่ามาก รองหัวหน้าปีศาจเก็บเรื่องพวกนี้ไว้ในใจ เดินเข้าไปพร้อมลูบหัวเด็กสาวอย่างอ่อนโยน “เจ้าเองก็พักเถอะ คืนนี้เราผ่านอะไรมาเยอะเหลือเกิน”
“แต่เรื่องของท่านพี่...”
“เราจะรอจนกว่านางจะพร้อม”
เขามองคนอื่นๆ ที่เหลือต่างเห็นด้วยกับความคิดของเขา “ตอนนี้ทุกคนต้องการเวลาของตัวเอง”
ใช่—ชายหนุ่มคิด
ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม พวกเขาอยากได้เวลาในการคิดกับตัวเองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งเรื่องของยักษ์ เรื่องของหญิงสาวสีเงิน
--หรือแม้แต่เรื่องที่มาของโอจิมิซึ
นี่มันน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าที่คิด... โอซากิ รินคิดขณะที่บอกให้ชายหนุ่มคุ้นหน้าประคองเพื่อนของตัวเองเข้ามาในร้านให้เร็วที่สุด เธอสังหรณ์ไม่ผิดสักนิดว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นสักวัน
แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นถูกแทงกลับมาแบบนี้!
“เราไม่มียารักษาหรอกนะ” รินว่าด้วยสีหน้าซีดเผือด ยิ่งต้องหลบดวงตาสีแดงที่วาวโรจน์น่ากลัวนั้นด้วย พยายามอธิบายว่า “โยเซไม่เคยใช้ยารักษามาก่อน ส่วนมากต้องรอให้แผลหายเอง ร่างกายของเราถูกสร้างมาอย่างนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองซะสิ”
ไม่กล้า—เป็นครั้งแรกที่คิดแบบนั้น แต่ยิ่งมองใบหน้าซีดเผือดจนกลายเป็นสีกระดาษของชิซุนแล้วยิ่งร้อนใจ ไหนจะยังเลือดมากมายที่เปรอะเปื้อนทั้งชุดของนางกับชายหนุ่มนั่นอีกล่ะ?
คงต้องประคองอาการจริงๆ แล้ว –หญิงสาวผูกรัดชายแขนเสื้อด้วยเชือก นำผ้าสะอาดมากมายยื่นให้กับชายหนุ่ม “กดไว้อย่าให้เลือดไหลมากไปกว่านี้ ข้าจะไปต้มยามาให้นางทาน”
อีกฝ่ายรับผ้าไปแต่โดยดี รินหายเข้าไปที่ห้องโซนด้านในแล้วกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับห่อยาหนึ่งห่อ เธอนำมันมาต้ม สกัดเป็นน้ำก่อนจะนำมาให้คนที่ใกล้จะหมดสติเต็มทีดื่ม
แต่ความทรมานจะยังไม่หมดลงหากยายังไม่ออกฤทธิ์
“ต้องรออีกเท่าไรแผลถึงจะหาย” ชายหนุ่มถาม เขาเปลี่ยนผ้าเป็นผืนที่สามแล้วเมื่อผืนที่อยู่ในมือชุ่มจนซับเลือดไม่ได้อีก
“ครึ่งชั่วโมง—“ รินขมวดคิ้ว ว่าไปตามความจริง “โยเซไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนยักษ์หรอกนะ การฟื้นตัวของนางก็ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว”
เป็นข่าวร้ายทีเดียวเมื่อพวกเธอต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมง
ทรมานคนเฝ้ารอที่ต้องเคร่งเครียดขึ้นทุกวินาทีที่ต้องเปลี่ยนผ้าซับเลือดไปเรื่อยๆ
“อย่างน้อยร่างกายนางก็ผลิตเลือดออกมาล่ะนะ คงไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเลือดตาย”
แต่คาซามะกลับไม่ตอบ อีกฝ่ายจดจ้องอยูที่ใบหน้าของชิซุนอย่างเหม่อลอย คล้ายกำลังสับสนและทุกข์ทรมานอย่างหนักจากบางอย่าง
พาลทำให้รินรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“คงเพราะสับสนก็เลยเกิดอาการปวดหัวน่ะเจ้าค่ะ” อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปตามจรรยาบรรณของตัวเอง เรียกให้ใบหน้าของชายหนุ่มเงยขึ้นมามองด้วยความคุกรุ่นที่เริ่มก่อในบรรยากาศ
ก่อนที่จะเริ่มต้นพูดด้วยคำประชดประชันที่ทำให้เธอต้องเสตาหลบ “เหมือนจะมีแค่ข้าคนเดียวที่ถูกทำให้เป็นตัวตลกในวงสนทนาของเหล่าโยเซนะ ว่าไหม?”
เพราะพวกเธอพูดเหมือนรู้จักเขาดี ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นกลับลืมทุกอย่าง จึงทำให้เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา รินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสำนึกผิด คล้ายเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่เนืองๆ
แต่ก็เข้าใจด้วยเช่นกันว่าทำไมชิซุนถึงต้องลบความทรงจำของอีกฝ่ายไป
“ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับนางที่พยายามจะไม่ให้ท่านหาพบ” รินว่า ในยามนี้เธอไม่สามารถที่จะยิ้มออกมาอย่างเก่าได้จริงๆ “ข้าพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะตัวข้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ที่หมู่บ้านของนางล่มสลาย นั่นเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่หลวงในตัวของโยเซที่เหลือรอดมาจนบิดเบือนไป ไม่อาจอยู่กับธรรมชาติได้อีก”
“ล่มสลายอย่างนั้นเหรอ?” คาซามะขมวดคิ้ว หันกลับไปจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่เริ่มหายใจสม่ำเสมออีกครั้ง
อาจจะด้วยความเผลอตัวก็ได้—รินที่จ้องมองคิดแบบนั้น
เธอมองเห็นชายหนุ่มที่ในตอนนี้มองหญิงสาวเป็นคนแปลกหน้า เอื้อมมือข้างที่ยังว่างขึ้นไปเกลี่ยทัดเส้นผมสีเงินที่ยุ่งปกหน้าออกให้อย่างเบามือ แนบฝ่ามือใหญ่ลงกับหน้าผากที่คล้ายคุ้นชินกับการกระทำของตนเอง
เพราะลบได้แค่ความทรงจำ จึงไม่ได้รวมถึงความเคยชิน บางอย่างที่ฝังรากลึกลงไปในจิตใจด้วย ดวงตาของรินฉายแววเศร้าอีกครั้งเมื่อต้องเอ่ยออกมา
“ล่มสลายเพราะการไล่ล่าวัตถุดิบในการพัฒนาความสามารถของมนุษย์เจ้าค่ะ”
เพราะตอนนั้นรินยังไม่รู้ชื่อเรียกที่ถูกมนุษย์ตั้งขึ้นมาแล้ว
ว่าแท้จริงแล้ว ที่ตนกำลังพูดถึงนั้นคือน้ำโอจิมิซึ มนุษย์ที่ดื่มเข้าไปก็จะถูกเรียกว่าราเซ็ตสึนั่นเอง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
