ตอนที่ 4 : 04 ประกายดาบครั้งที่สอง
04 ประกายดาบครั้งที่สอง
ประกายแสงจากใบดาบ
คมกริบยามต้องกับแสงจันทร์
คืนนี้พระจันทร์กระจ่าง ท้องฟ้าเปิดโล่งเสียจนไม่ต้องพึ่งแสงสลัวจากคบเพลิงเสียด้วยซ้ำ
ในร้านยาไร้ชื่อเล็กๆ แถวถนนคิวกลับมืดสนิท ในนั้นมีหญิงสาวสองคนที่กำลังสนทนาด้วยเรื่องที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ โอซากิ รินกำลังแว่วฟังเสียงตามท้องถนนเพียงเธอยกมือขึ้นป้องหูเท่านั้น
“คืนนี้คงวุ่นวายกันน่าดู เจ้าแน่ใจหรือว่าจะออกไป?”
หันไปถามหญิงสาวผมสีดำอีกคนที่กำลังสวมใส่ฮาโอริขาวเหลือบสีฟ้าอ่อน กินทสึ ชิซุนกำลังเตรียมตัวสำหรับจะออกไปด้านนอกที่เงียบสงบเพียงลำพัง
อีกครั้ง...ในยามค่ำคืน
“ข้าต้องออกไป อย่างน้อยก็อาจจะเจอกับเขา” ชิซุนตอบ มีเสี้ยวหนึ่งที่คำพูดนั้นหลุดออกมาอย่างเศร้าสร้อย “เราอาจเกลี่ยกล่อมให้เขาหยุดได้”
รินหัวเราะออกมาเบาๆ เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนตนเอง “ข้าว่ายาก เราโดนอะไรมาบ้างเจ้าก็รู้ และตอนนี้ แม้แต่เจ้าเองก็ไม่เคยที่จะหายแค้นพวกมนุษย์ไม่ใช่หรือ?”
เงียบกริบสำหรับคำตอบหรือคำคัดค้านใดๆ
ชิซุนเพียงแค่นิ่งงัน จมลงไปในเงาอดีตเรื่อยๆ จนกระทั่งตั้งสติได้ใหม่ กลบมันลงไปอีกครั้งในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก ภาพทุกอย่างที่ผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เปี่ยมล้นหรือแม้แต่ความเศร้าที่ทำให้จะขาดใจตาย
ในเวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอคือ การหยุดคาโนะไม่ให้สังหารใครอีกเท่านั้น
“ถึงข้าแค้น ข้าก็ไม่ฆ่าใคร และถึงข้าไม่ให้อภัย ข้าก็ไม่พาลมนุษย์ทั้งโลก”
นั่นไม่ใช่คำคม แต่นั่นคือคำเตือน ที่มีให้กับตัวเอง ย้ำเตือนทุกครั้งเมื่อต้องก้าวเท้าเดินและปะปนไปกับมนุษย์ คอยบอกตัวเองเสมอว่า ให้กลมกลืน ให้เป็นมนุษย์มากที่สุด
เพราะชิซุนนั้นรู้อยู่แก่ใจ ว่าตนเอง หรือแม้แต่โอซากิ รินนั้น...ไม่เคยเป็นมนุษย์
“เพราะฉะนั้น ต้องพาคาโนะกลับมาให้ได้ ก่อนที่มนุษย์จะหันมาเห็นพวกเรา”
รินหัวเราะรับกับคำพูดนั้น เธออวยพรให้สั้นๆ ว่า “ขออย่าให้เจอเขาคนนั้นก็แล้วกัน”
เขาคนนั้น—รินคิด
เขาคนนั้นที่สำหรับชิซุนแล้ว สำคัญจนต้องลบทิ้งไป เพื่อปกป้อง เพื่อไม่ให้มีจุดอ่อน ยามเธอที่ได้มองแผ่นหลังของเพื่อนยามนี้ ช่างน่าหวั่นใจเหลือเกินว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นมาหรือเปล่า
เกียวโตในยามนี้ช่างวุ่นวาย เต็มไปด้วยมนุษย์ที่อันตรายเกินกว่าที่หญิงสาวเพียงคนเดียวจะรับมือได้
แต่ชิซุนเพียงแค่พยักหน้ารับ พึมพำเสียงเบาและราบเรียบเกินกว่าจะคาดเดาอารมณ์ได้ว่า “เขาจำข้าไม่ได้ ไม่เป็นอะไรหรอก”
ก่อนจะออกไปจากร้านเล็กๆ ที่เงียบสงัดแห่งนี้ ทิ้งให้รินต้องมองบานประตูที่ปิดลงอีกครั้งด้วยความเศร้าสร้อย เป็นกังวลจนกว่าจะเห็นอีกฝ่ายกลับมา
“ข้ากังวลเพราะเขาจำเจ้าไม่ได้ต่างหาก”
แต่ชิซุนคงไม่ได้ฟังคำสุดท้ายนั่นหรอก เพราะยามเมื่อประตูปิดลง
ตัวตนของเธอคือจิ้งจอกสีเงินที่ส่องประกายยามค่ำคืน
++++++++++++
การกวาดล้างเป็นไปได้อย่างง่ายดายและยากลำบากไปด้วยในเวลาเดียวกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะกำลังพลที่มีน้อยนิด หรือเพราะซามูไรฝ่ายศัตรูมีมากกว่ากันแน่ก็ยากที่จะสรุปออกมาได้ ดังนั้นลำพังแค่หัวหน้าหน่วยเพียงน้อยคน ก็ดูจะตึงมือขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
แม้จะไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิต แต่คนที่ขึ้นมาที่ชั้นสองได้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขาผ่านศพที่บันได แล้วตวัดดาบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่เห็นเงาของฝั่งตรงข้าม
คล้ายกับบ้าคลั่ง แต่ก็ทรมานในเวลาเดียวกัน
แต่ถึงยังไง เสียงพวกนี้ก็สร้างความรำคาญให้กับคาซามะ จิคาเงะไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว พวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่าหนึ่งในห้องชั้นสองคือห้องของเขาที่กำลังทำงานให้กับซัตสึมะ เพื่อสอดแนมเอาข้อมูลจากโจชูอยู่
“มีเรื่องหนวกหูอะไรกันด้านนอก?”
“ดูเหมือนจะเป็นพวกมิบุน่ะขอรับ”
“พวกมันไม่รู้หรือไงว่าทางซัตสึมะก็ส่งคนมาสอดแนมเหมือนกันน่ะ” เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่งานถูกขัดขวางกลางคัน เนื้อหาที่เขาฟังไปได้คงยังไม่ถึงครึ่งของแผนการทั้งหมดหรอก “อามากิริ”
“ขอรับ”
ชายร่างยักษ์ออกไปจากห้อง เลื่อนประตูปิดแผ่วเบาก่อนที่เสียงโครมครามจะดังเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว ประสาทสัมผัสหูของยักษ์อย่างเขาได้ยินแม้แต่เสียงหวดดาบในอากาศ ไม่นานห้องที่จิคาเงะนั่งอยู่ก็ถูกบุกรุกจนได้
เป็นซามูไรคนหนึ่ง เส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาคมกริบสีเขียว ตัวเปื้อนเลือดเหม็นหึ่ง อีกฝ่ายหันดาบเข้าใส่
คงคิดว่าเขาคือหนึ่งในพวกโจชูสินะ?
จิคาเงะลุกขึ้น คิดเพียงแค่ว่าตนจะได้ยืดเส้นยืดสายเสียบ้างก็คงดีไม่น้อย ไม่คิดจะอธิบายให้กับชายฉกรรจ์ที่กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างดีเยี่ยมให้เข้าใจกระจ่าง เพียงแค่ดาบตวัดเข้าใส่ตัว เขาก็ชักดาบเข้าใส่เพื่อโต้กลับเพียงเท่านั้น
ทักษะดี ไหวพริบเยี่ยม ขาดเพียงอย่างเดียว...นั่นคือเป็นเพียงแค่มนุษย์
และร่างกายที่แสนอ่อนแอนั่น ไม่นานที่จะกระอักเลือดออกมา นั่นคงเป็นอาการป่วยหรือเปล่า? อาจจะใช่
จิคาเงะมองดูเลือดที่ไหลรินออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย อดชื่นชมในใจไม่ได้ถึงแรงใจในการต่อสู้แม้ร่างกายจะพังไปมากแล้วก็ตามที
แค่นี้คงรู้ผลแล้วสินะ? ตัวเขาก็ไม่ได้มีเหตุจำเป็นที่จะต้องฆ่าเสียด้วย หากสังหารพวกเดียวกันที่มีฝีมือขนาดนี้ไปคงจะเป็นการโง่ไม่น้อย ดังนั้นจิคาเงะจึงลดดาบลง ไม่สนใจว่านั่นจะเป็นการหมิ่นเกียรติหรือเปล่าแล้วคิดจะถอยกลับไป
แต่คนที่ไม่เลิกกลับเป็นคนที่อ่อนแอกว่าเสียได้
“ผม...ยังสู้ได้อยู่”
เป็นมนุษย์ที่แสนอ่อนแอที่กล้าท้าทายเขาด้วยสภาพน่าสังเวทเช่นนั้น ฝืนร่างกายพังๆ นั่นแล้วกระโจนเข้าใส่
“ถ้าอยากตายขนาดนั้น ก็ตายซะ!”
คงไม่มีทางเลือก...จิคาเงะคิดเช่นนั้นก่อนจะแทงดาบสวนไป ประจวบเหมาะเกินไปที่อีกฝ่ายเสียหลักกะทันหัน คมดาบจึงไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้
แต่ในวินาทีนั้นที่เขากำลังจะปลิดชีพของซามูไรหนุ่มได้ ร่างเล็กๆ ในชุดฮากามะสีชมพูก็วิ่งเข้ามาขวางเสียก่อน
กระโจนเข้ามาโดยไม่คิดชีวิต
เขา...ไมสิ ต้องนางต่าง นางเอาตัวเข้าบังซามูไรคนนั้นเอาไว้ กอดแน่นราวกับกลัวนักหนาว่าอีกฝ่ายจะตาย ดาบของเขาจึงถากโดนไหล่ของนางแทน
แต่กลิ่นไอนี้...คาซามะขมวดคิ้ว มันคือกลิ่นไอของยักษ์เลือดบริสุทธิ์
ยักษ์สาวที่หายาก ตอนนั้นเองที่จิคาเงะเกิดความคิดขึ้นในหัวแทบจะฉับพลัน...เกี่ยวกับการรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองเอาไว้
ต้องพานางกลับไป...เพื่อเผ่าพันธุ์จะได้สืบต่อไปได้ เขาต้องพานางกลับไป
เพียงแต่ในตอนนั้นเอง ที่ทุกอย่างถูกหยุดลงแค่เสี้ยววินาที แค่ครู่เดียวที่คาซามะได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลกลมโตที่แรงกล้าคู่นั้น
ไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาก็โดนขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
ไอสังหารใหม่พลันปรากฏขึ้นมา ไล่ไต่มาจากชั้นล่าง ค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาชั้นบน แม่เด็กนี่ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ซามูไรหนุ่มนายนั้นเองก็หมดสภาพที่จะต่อสู้แล้วเช่นกัน ชายหนุ่มจึงรอเพื่อดูสถานการณ์ แต่ดาบในมือกลับกระชับแน่นอย่างระแวดระวัง
นี่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งยักษ์
แต่เป็นกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับนางจิ้งจอกตนนั้นที่หนีเขาไปเมื่อหลายคืนก่อน
น่าสนใจ...เกิดความคิดขึ้นมาในหัวของคาซามะ เขามองลอดไปในเงามืดที่สลัวเพราะแสงจันทร์ เงานั้นค่อยๆ ไล่ขึ้นมาจนกระทั่งหยุดอยู่ที่หัวบันได หันมองรอบๆ คล้ายหาบางอย่างอยู่...และมาหยุดอยู่ที่พวกเขา
ดวงตาสีแดงส่องประกายในความมืด รูปร่างนั้นมองได้เป็นชายหนุ่มตัวสูงโปร่ง มันไม่ได้จ้องมองมาที่เขาหรือเด็กสาว แต่กลับไปหยุดอยู่ที่ซามูไรหนุ่มคนนั้นที่ยังเหลือสติอยู่เพียงน้อยนิด หอบหายใจหนักอย่างคนหายใจลำบาก
มันย่างกรายเข้ามา ใบหน้าถูกบดบังอยู่ใต้ผ้าโพกหัวสีดำสนิท เปล่งเสียงพูดเย็นเฉียบว่า “มันอยู่ที่ไหน?”
เอ่ยถามกับคนไร้สติ และใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่ง
“ผลสำเร็จของพวกเจ้า ที่แย่งชิงชีวิตของพวกข้าไป”
ก่อนจะกลายเป็นคำรามก้อง
“มันอยู่ที่ไหน!?”
ความร้อนแผ่ระอุ สัมผัสโดนผิวที่โผล่พ้นสาบเสื้อจนแสบร้อน คาซามะมองดูจากในมุมมืดอีกครั้ง เงานั้นไม่มีความสนใจอื่นเลยนอกจากซามูไรหนุ่มที่ท่าทางร่อแร่แล้ว
ไม่สิ ต้องบอกว่ามันสนใจแต่มนุษย์ต่างหาก ที่มองหาอะไรตรงนั้นก็เพราะกำลังมองหามนุษย์ที่กำลังหายใจอยู่เท่านั้น ซึ่งชั้นสองนี้ก็เหลือแต่ซามูไรคนนี้แล้วเท่านั้น
น่าสนใจ...นี่อาจจะพอให้เขาตามจับพวกมือที่สามที่เข้ามาป่วนการเมืองอยู่ในตอนนี้ก็ได้ ความร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากตัวของมันก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่าเป็นคนที่สังหารซามูไรจากโจชูพวกนั้นอย่างแน่นอน
เขาต้องจับเจ้านี่...คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มก้าวเข้าไปร่วมด้วย ยืนบดบังร่างเด็กสาวที่กอดซามูไรคนนั้นแนบแน่นเอาไว้
“หลบไป” มันพูด “ข้าไม่ได้มีธุระกับเจ้า”
“คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้าต้องไปสารภาพความผิดที่ก่อเอาไว้”
พูดได้ดังนั้นก็ตวัดดาบใส่ รุนแรงเสียจนเกิดสายลมขึ้นในห้อง เพียงเงามืดนั้นก็กระโดดถอย สบถหยาบคายออกมาเมื่อไม่สามารถเข้าใกล้ร่างที่มันต้องการได้
คาซามะตวัดดาบไล่ต้อนเข้าไปอีก
แต่ว่า...
“หลบไป คาซามะ!”
ชะงักลงทันทีเมื่อชื่อถูกพูดออกมา
ทั้งแปลกใจ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือความสับสนที่แทรกเข้ามา
“เจ้ารู้จักชื่อข้าได้ยังไง?”
คาซามะจ้องมองอีกครั้งไปที่อีกฝ่าย มันยังคงสบถแล้วบอกให้เขาถอยออกไป แต่ในท่าทางที่บ้าคลั่งนั้นก็ดูชัดเจนแล้วว่าไม่อยากทำให้เขาเจ็บตัว ช่างเป็นการกระทำที่แปลกประหลาด
แต่คาซามะมั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้จักเจ้านี่มาก่อน แม้แต่กลิ่นไอก็ไม่เคย
ไม่สิ...จะว่าไม่เคยก็ไม่ใช่
ถึงจะแค่นิดเดียว แต่กลิ่นแบบนี้เขาคิดว่าเคยคุ้นนิดๆ...จากนางจิ้งจอกตนนั้น
มันหมายความว่ายังไงกัน?
“หลบไปคาซามะ ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าไปด้วย”
“ช่างจองหองที่คิดว่าจะทำอะไรข้าได้ เจ้าฆาตรกรนิรนาม” เขาว่า เว้นถอยออกมาเพื่อดูชั้นเชิง เริ่มสับสนขึ้นมาหน่อยๆ “ตอบมาว่าเจ้าเป็นใคร?”
“อย่ามาตลกคาซามะ จิคาเงะ เราเคยพบกันแล้วตั้งแต่ที่ข้ายังไม่ออกมาจากหมู่บ้าน”
ถ้อยคำปริศนาที่ราวกับจะบอกว่าเขาลืมบางอย่างไป
“และข้าไม่อยากทำอะไรเจ้า เพราะนางเป็นคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อ...”
หมายความว่ายังไง?
แต่ก่อนที่ถ้อยคำจะเอ่ยออกมาจนหมด ไอร้อนระอุจากตัวของเงามืดพลันหายไปในทันที
กลิ่นไออื่นเข้ามาแทรก แม้จะเบาบาง แต่คาซามะกลับสัมผัสความเย็นยะเยือกที่มาจากทางหน้าต่างได้ ผู้เข้ามาแทรกนั้นดึงความสนใจจากเขาไปทั้งหมด
เกล็ดหิมะ...สีขาวสะอาดปลิดปลิวเข้ามา
และสีเงินยวงเรืองรองล้อกับแสงจันทร์ หน้ากากจิ้งจอกเบือนมาทางนี้ ยูคาตะสีฟ้าอ่อนตัวเดียวกับในคืนนั้นปลิวสไวในอากาศเช่นเดียวกับเส้นผมสีเงินสวยที่ถูกเปียเฉียงติดศีรษะพาดมาด้านหน้า เส้นเชือกสีน้ำตาลแก่ยังคงค้างเติ่งกลางอากาศ
กริ๊ง...
ช่างเป็นภาพที่ตรึงสายตาคาซามะให้มองโดยไม่รู้ตัว ดูงดงามและเศร้าสร้อยจนเขาอดสะท้านขึ้นมาในอก คล้ายกับความเคยชินของร่างกายที่เผลอลดดาบลงแล้วก้าวเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว
เขาคิดจะเข้าไปทำอะไร?
แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรออกในหัว สิ่งที่ขยับไวกว่าเขาคือเงามืดนั้นที่กระโจนเข้าใส่ร่างในหน้ากากจิ้งจอกนั่นแล้ว คาซามะได้ยินเสียงเฉือนของเนื้อ เห็นเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาจากแขนขาวจัดที่ยกขึ้นมากันมีดสั้นเอาไว้ได้ทัน แต่กระนั้นก็เซเสียหลักไปด้านหลัง แรงกระแทกส่งมาถึงเขาจนเสียหลักที่ครู่หนึ่ง
นั่นเป็นความต้องการของเงาร่างนั้น มันประคองนางไม่ให้ล้มอย่างถะนุถนอม ก่อนจะกระโจนออกไปจากหน้าต่าง หนีไปอย่างรวดเร็วเสียจนคาซามะตั้งสติได้
นางจิ้งจอกเองก็เช่นกัน นางลุกขึ้นมา ก้าวถอยหลังราวกับหวาดกลัวเขาที่ก้าวเข้ามาหา
“อย่างยุ่งกับเรื่องนี้”
เสียงอู้อี้ที่เปล่งจากใต้หน้ากาก เป็นเสียงเนิบนาบของหญิงสาวที่เขาไม่คุ้นเคย
ไม่หรอก เขาคุ้น...เขารู้จักเสียงนี้แน่ๆ
แต่นึกไม่ออก
“ข้าจะจัดการเขาเอง เจ้าอย่าเข้ามาช่วยอีกเลยนะ”
อีกแล้ว คำที่เหมือนกับเขาลืมบางอย่างไปอีกแล้ว จิคาเงะมองนางจะกระโจนออกไป ในหัวร่ำร้องหลายอย่างจนตั้งตัวไม่ติด แต่สิ่งแรกที่เขาคิดได้คือต้องกระโจนตามนางออกไป
“ท่านพี่ชิซุน!”
เป็นเสียงของเด็กสาวยักษาที่ไร้เดียงสาตะโกนไล่หลังมา
เพียงแต่ในวินาทีนี้ คาซามะมองเห็นแค่แผ่นหลังบางนั่นเท่านั้น ในหัวเริ่มตะโกนร้องแล้วบอกกับตนว่ารู้แล้วถึงตัวตนที่กำลังไล่ตาม ในอกเต้นกระหน่ำไปด้วยความตื่นเต้น ตื่นตระหนก หวาดกลัวและยินดี ตีกันมั่วซั่วจนแม้แต่เขายังอดทึ่งไม่ได้ว่าตัวเองจะรู้สึกได้ถึงเพียงนี้
เพียงแค่มองแผ่นหลังนั้นเท่านั้น
สายลมตีแสกหน้า หนาวเหน็บจนด้านชา แต่กระนั้นก็ยังวิ่งตามต่อไปจนกว่าร่างนั้นจะหยุด จนกระทั่งเงามือนั้นหายไป จึงรู้ว่าที่นางไม่ยอมหยุดนั้นเพื่อที่จะไม่ให้เขาจับได้เช่นเดียวกัน
เพราะอะไรกัน?
จะเกี่ยวกับที่เขาจำบางอย่างไม่ได้หรือเปล่า?
นานขึ้นจนกระทั่งเห็นแล้วว่าความเร็วของร่างสูงโปร่งนั้นเริ่มช้าลง รอบข้างกลายเป็นป่ามืดทึบที่เริ่มเป็นอุปสรรคในการมองเห็นขึ้นมา คาซามะเร่งฝีเท้าขึ้น เอื้อมมือออกไปใกล้จะคว้าแขนได้แล้ว
“อย่าจับนะ”
คำกระซิบ คล้ายสั่งให้ร่างกายหยุดชะงักลงแทบจะทันที พอๆ กับที่ทั้งเขาและอีกฝ่ายจะหยุดลง
ได้ยินเสียงหอบหนักที่ไม่ใช่ของตัวเอง เห็นชายฮาโอริอยู่หลังต้นไม้และมือของตนเองที่จับได้เพียงนิ้วของอีกฝ่ายเท่านั้น จนแล้วจนรอดนางก็ไม่ยอมหันหน้ามามองทางนี้เลยแม้แต่น้อย
เย็น...สัมผัสที่เขาสัมผัสได้ช่างเย็นยะเยือกไร้ความอบอุ่น
ไหล่ที่โผล่พ้นออกมาจากหลังต้นไม้นั้นสั่นหนักแบบที่ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหอบ...แต่คล้ายกับกำลังสะกดกั้นบางอย่างไม่ให้ทะลักออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าสร้อย โหยหาหรือความเหนื่อยอ่อนก็ตามที
แต่กลิ่นไอของนางที่แผ่ออกมานั้นกลับติดจมูกเขาจนจำขึ้นใจ คล้ายเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย..ราวกับเสพติดไปแล้ว
“บอกมา” จิคาเงะว่าเสียงเย็นเยียบ แผ่กลิ่นไออันตรายออกมาจนร่างนั้นสะดุ้ง ห่อไหล่เหมือนคนกำลังหาทางหนี “เจ้าทำอะไรกับข้า?”
“...”
“สิ่งที่ขาดหายไปจากตัวข้า เจ้ารู้ด้วยหรือเปล่า?”
ทั้งความคุ้นเคยแต่นึกไม่ออก ทั้งความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกที่ไร้ที่มาที่ไป ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าตนเอง
แต่สิ่งที่ได้ยินกลับไม่ได้สร้างความพอใจให้กับเขาเลยสักนิด
“ตอนนี้มันไม่สำคัญหรอก”
นิ้วมือที่เขาจับอยู่เลื่อนออกอย่างง่ายดาย
“ลืมมันไปน่ะดีแล้ว จิคาเงะ”
แล้วร่างนั้นก็จากไป พร้อมกับวันใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยความว้าวุ่นในตัวเอง อามากิริปรากฏตัวขึ้นในเวลาต่อมา เข้ามายืนอยู่ด้านหลังเขาราวกับรอรับคำสั่ง จิคาเงะไม่ได้หันไปมอง ตัวเขาในตอนนั้นไม่เหมาะที่จะสนทนากับใครได้นานๆ
“รู้ตัวคนร้ายหรือเปล่าขอรับ”
“รู้”
เขาตอบตัวเองในใจ นึกถึงหญิงสาวที่พึ่งจากไป
หญิงสาวที่มาพร้อมเกล็ดหิมะสีขาวสะอาด นางที่มาพร้อมความคุ้นเคยโหยหาบางอย่างที่ไม่อาจละสายตาออกไปได้
ไม่ผิดหรอก...
“นั่นคือโยเซ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
