ตอนที่ 31 : 09 บทพิเศษ : ปลายเส้นทาง END
09 บทพิเศษ : ปลายเส้นทาง
ข้ามองอยู่ตรงนี้
เราเคยอยู่ด้วยกัน
เริ่มจากเลขศูนย์ แตกหักยามสิบหก สูญสลายเมื่อยี่สิบสาม
ข้ามองเจ้าอยู่ตลอดเวลา
สายลมโกรก ตะวันกลับเป็นจันทรา เส้นผมปลิวสไวจนน่าหงุดหงิดกับหน้ากากจิ้งจอกตามงานเทศกาลที่ปกปิดใบหน้าไว้
ตรงหน้าคือเด็กหนุ่ม—เด็กหนุ่มวัยไม่ถึงยี่สิบปีสองคนที่มองมาที่เธอด้วยแววตาเย็นชาและเกรี้ยวกราดอันไร้สาเหตุ
ชิซุนมองเลยไปด้านหลัง คนที่เธออยากพบไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้จัก แต่เป็นคาโนะที่ยืนมองจากบนสุดต่างหาก
เขาดูเปลี่ยนไป ทั้งรอยยิ้ม ทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชิงชัง
“มาช้าจริงๆ” ชายหนุ่มว่า “รอนานจนเด็กพวกนี้เกือบจะออกไปล่าเหยื่อรอเจ้าแน่ะ”
ดวงตาแดงฉานสองคู่จ้องมาที่เธอ
“เจ้าให้เขาดื่มโอจิมิสึ”
“มันคือทางเลือกที่ข้าหยิบยื่นให้ต่างหาก” คาโนะแก้ ดวงตาคมแพรวพราร้อยเล่ห์กล “อาสึกะกับอากิโตะถูกทรมานอยู่นาน พ่อแม่ของพวกเขาถูกเผาทั้งเป็นในวันเก็บเกี่ยววัตถุดิบ—สิ่งที่เด็กพวกนี้ต้องการไม่ใช่การได้รับความช่วยเหลือ แต่เป็นการแก้แค้นต่างหาก”
หน้ากากจิ้งจอกเงยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นความแค้นก็หมดลงแล้ว”
คาโนะส่ายหน้า มองเธอราวกับมองเด็กน้อยที่ยังไม่โตเสียที
วูบหนึ่งที่แววตาเปลี่ยนเป็นโอนอ่อน “คนที่พวกเขาแค้นคือคนที่เผาพ่อกับแม่ต่างหาก กินทสึ ชิซุน—ไม่สิ ตอนนี้ไม่ได้ใช้นามนั้นแล้วนี่?” ก่อนจะกลับมาเป็นเย็นชาอีกครั้ง “ความแค้นไม่จำเป็นต้องไปลงที่คนบงการเพียงคนเดียว แต่เป็นมันทั้งหมดที่เข้าจู่โจมและฆ่าคนทั้งหมู่บ้านต่างหาก”
ราวกับเป็นสัญญาณสิ้นสุดการสนทนา
และเมื่อมือถูกตวัดเป็นสัญญาณ ร่างสองร่างนั้นก็หายไปทันที
ร่างของหญิงสาวถอยไปด้านหลัง กัดฟันข่มความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาจากไหล่ข้างขวาที่โดนบางอย่างฟันลึก
ตัวเธอแม้จะชาชินกับการต่อสู้และความเร็ว แต่กับศัตรูที่มีพลังกำลังมหาศาลเยี่ยงยักษ์แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย
เงาของคาโนะคล้ายหัวเราะออกมา หันหลังให้และกำลังจะจากไป
“คาโนะ!” หญิงสาวร้องตะโกน
จะปล่อยให้หนีไปอีกอย่างนั้นเหรอ?
จะปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปอีกแล้วเหรอ?
เรื่องที่ควรสะสางน่ะ—ยังไม่ได้ทำเลยนะ
“ระหว่างข้ากับเจ้ามันเป็นแค่ความว่างเปล่า”
เสียงที่ถูกสายลมโกรกช่างฟังไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็ฟังออกว่านั่นมีแต่ความว่างเปล่า
ไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
“ยังมีคนที่ข้าต้องไปสะสางด้วยอยู่อีกคน หมดธุระกับเจ้าแล้ว”
ก่อนที่จะมีใครได้เอื้อนเอ่ย เด็กหนุ่มทั้งสองพุ่งเข้ามาอีกครั้งจนต้องถอยร่น
ดวงตาสีน้ำแข็งจับจ้องมองเงาที่เลือนหายไปด้วยความสับสน
+++++
คงจะเริ่มกันแล้ว—หูแว่วได้ยินเสียงการปะทะกันมาแต่ไกล แม้จะรู้ว่านั่นเป็นเพียงเสียงในมโนสำนึกของตนที่เพ้อพกขึ้นมาเอง แต่ก็รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อยเมื่อนึกว่าจะมีคนสักกี่คนที่ต้องหลั่งเลือด
ด้วยเรื่องอันไร้สาระ
ด้วยเรื่องที่ไร้ประโยชน์—มันช่างทำให้เขาอิ่มเอมจนต้องเหยียดยิ้ม
ไม่ว่าเมื่อไรพวกมันก็ยังคงโง่เขลา
ทั้งโง่เขลาและชักจูงง่าย
ไร้สมองสิ้นดี
“ไง”
สายตาเปลี่ยนกลับมามองเงาของผู้มาใหม่อีกครั้ง อีกฝ่ายไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดในความทรงจำจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน
ไม่สิ—มีอยู่อย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไป
ใบหน้าของมันไม่มีความหวาดกลัวอีกแล้ว...ความหวาดกลัวยามเห็นร่างของนางถูกย้อมไปด้วยสีแดง มายามนี้สิ่งที่เขาสัมผัสได้มีเพียงจิตสังหารที่ส่งมาที่ตนอย่างรุนแรงเท่านั้น
“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ? หรือว่าความทรงจำที่นางกินเข้าไปจะไม่ยอมกลับมาสักที”
ยั่วโมโหเข้าไป อิ่มเอมทุกครั้งที่เห็นดวงตาสีแดงคู่นั้นวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
“ทั้งๆ ที่ข้าอุตส่าห์ฆ่านางแล้วแท้ๆ”
โดยเฉพาะคาซามะ จิคาเงะ—มันเหมาะสมที่จะโกรธจนสติหลุดที่สุดแล้ว
คาตานะเล่มใหม่ถูกชักออกมา นั่นไม่ใช่ดาบฆ่ายักษ์ที่เลื่องลือ เป็นแค่ดาบธรรมดาๆ เท่านั้น
รอยยิ้มอันตรายถูกฉาบบนใบหน้า “ข้าไม่เคยให้อดีตมาหลอกหลอนตัวเอง”
รอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มหายไป ดวงตาสีแดงเพลิงเต็มไปด้วยจิตสังหารกับคำพูดเมื่อครู่
มันกำลังดูถูกเขา
ดวงตาสีแดงกำลังเรืองแสงสีทอง เช่นเดียวกับเส้นผมสีเงินและเขาอันน่าเกรงขามสี่เขาที่ขึ้นกลางหน้ากลาง เจ้าบ้านคาซามะในยามนี้ช่างอันตรายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา
“หากสูญหายไปก็แค่สร้างความทรงจำใหม่ขึ้นมา มันก็เท่านั้น”
ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ อีก
ร่างสองร่างเข้าโรมรันอีกครั้ง
ครั้งนี้คือครั้งตัดสินทุกอย่าง
เราเคยอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้ ร่วมทุกข์สุขด้วยกัน
ข้ามองเจ้าอยู่ตลอดเวลา
“ทำไมถึงไม่เข้าใจ...”
หญิงสาวหันมามองคนที่ลงไปนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น อาสึกะถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยดาบที่เคยคมกริบของตัวเอง ส่วนอากิโตะนั้นไม่ได้สติอยู่ตรงโคนต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
เธอเองก็ใช่ว่าจะมีสภาพที่ต่างกันเท่าไรนัก หน้ากากถูกทำลายไปแล้ว ใบหน้าถูกฟันเหลือทิ้งไว้เพียงรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนข้างแก้มลากลงมาถึงปลายคาง ชุดที่สวมใส่ก็ถูกฟันจนขาด แม้แต่เส้นเชือกรัดผมที่คอยถนุถนอมมานานก็ขาดเช่นกัน
เชือกปลายผูกกระดิ่ง—นางก้มลงเก็บ มองด้วยความอาลัย
ทั้งๆ ที่เป็นของสำคัญแท้ๆ—ของจากเพื่อนสนิทที่คิดจะถนอมเอาไว้
เป็นของที่เจ้าให้เป็นของขวัญ บอกว่ามันจะคอยบอกว่าข้าอยู่ที่ไหนแท้ๆ
ช่างเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยสักนิด—คาโนะ
“ที่เราทำไปเพราะต้องการความยุติธรรม”
“นั่นไม่เรียกว่าความยุติธรรมหรอก” ดวงตายังคงมองเชือกขาดๆ ในมือด้วยความครุ่นคิด “ยามใดที่ถลำลึกลงไปในอำนาจที่มี นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนชั้นต่ำที่เจ้าดูถูกไว้หรอก”
เสียงคำรามต่ำๆ ของอาสึกะลอดออกมาจากลำคอ มองเธออย่างแค้นเคือง “เจ้ามันโง่”
“ไม่มีใครในโลกที่ฉลาด”
เสียงหัวเราะหลุดออกมา—เย้ยหยันทุกคนแม้แต่ตัวเอง
“โง่เพื่อตัวเอง โง่เพื่อรัก—นั่นแหละคือสิ่งมีชีวิต”
ไม่ใช่เพียงมนุษย์ แต่เป็นทุกคนในโลกที่โง่เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องปกป้อง
“ตอนนี้อาจจะไม่เข้าใจ แต่สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจเองเด็กน้อย”
“ฆ่าข้าซะสิ!”
ชิซุนมองดูแล้วส่ายหัว “คนที่จะฆ่าเจ้า ไม่ใช่ข้าหรอก”
ไร้ประโยชน์ที่จะพูด ทำได้แค่เชื่อว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนี้จะคิดอะไรมากกว่าแค่การแก้แค้นเท่านั้น
สองเท้าเริ่มออกเดิน ตามกลิ่นไออันคุ้นเคยไปเรื่อยๆ ด้วยเรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ตัวเธอในยามนี้ช่างอ่อนเปลี้ยเสียจริง
ได้ยินแล้ว—เสียงปะทะดาบคู่หนึ่ง
เท้าเริ่มก้าวเร็วขึ้น ใจกระหน่ำเต้นด้วยความกลัวบางอย่าง
อย่าพึ่ง—
หลบหลีกต้นไม้หลายต้น ตรงไปยังประกายของดาบที่เห็นอยู่ในครองสายตา
ที่ตรงนั้นราวกับถูกแหวกไว้ให้กับสองคนนั้นได้สู้กัน
ตรงหน้าเธอ...
คาซามะกับคาโนะกำลังลงดาบครั้งสุดท้ายแล้ว
ตัวเจ้าที่ล่องลอย ตัวเจ้าที่ไม่ยึดติด
ตัวเจ้าที่ไม่เคยเป็นของใคร
ข้ามองเจ้าอยู่ตลอด
ตัวเจ้าที่ไร้กรงขัง มันเหมาะกับเจ้าที่สุด
เสียงดาบช่างฟังไพเราะ—และเสนาะหูที่สุดเมื่อมันเสือกแทงเข้าไปในเนื้อนุ่มของใครสักคน ด้ามดาบที่เขาจับนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด มันมิดเข้าไปในร่างของเจ้าบ้านคาซามะที่เหมือนจะสูดหายใจลึกยามที่เขาบิดใบดาบภายในร่างของอีกฝ่าย
“เจ็บสินะ?” ชายหนุ่มยกยิ้ม มองใบหน้าบิดเบี้ยวของอีกฝ่ายในระยะประชิดด้วยความสาสมใจ “จงรับรู้ไว้ด้วยว่าข้าเจ็บกว่านั้นหลายร้อยเท่า”
ใช่—เจ็บเจียนตาย กับทุกอย่างในชีวิต
เจ็บทุกครั้งที่เห็นว่าสิ่งที่ตนเฝ้ามองถูกทำลายในพริบตา
“เจ้าไม่เคยเข้าใจหรอก นายเหนือแห่งยักษ์ที่ได้ทุกอย่างมาอย่างง่ายดาย”
เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายแผ่วเบา—แต่เยาะเย้ยเขาเป็นอย่างดี
“คนโง่ก็ยังเป็นคนโง่” คาซามะมอง แม้จะเจ็บอย่างสาหัสและใบหน้าซีดขาวก็ยังมองมาจากด้านบน
มองมาที่เขาราวกับเหนือกว่า
ทำไมกัน?—ทำไมต้องรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เขาเหนือกว่ามันทุกอย่าง
“ไม่เคยมองเห็นสิ่งที่มันอยู่กับเจ้ามาตั้งแต่ต้นเลยสักครั้ง ช่างน่าสมเพชเสียจริง”
เพ้อเจ้ออะไรกัน?—คาโนะหรี่ตา
กระอักไอออกมารอบหนึ่ง
โลกโคลงเคลง เช่นเดียวกันอีกฝ่ายที่กำลังจะล้ม
ดาบถูกกระชากออก ในขณะที่เขาปล่อยให้ดาบของตัวเองหลุดมือ และเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ถอนดาบออกด้วยตัวเอง
ไม่เป็นไร อย่างน้อย—ได้เท่านี้ก็ถือว่าคุ้ม
อย่างน้อย...ได้ทำลายกรงขังของนางลงได้ นกน้อยตัวนั้นก็จะไร้เจ้าของอีกครั้ง
ขอแค่อีกฝ่ายล้มลงเท่านั้น
“โง่เขลาเสียจริง”
เสียงกระซิบอันน่างุนงง และแรงรั้งกึ่งกระชากจากชายหนุ่มไม่ให้เขาล้มนั้นก็ช่างน่าหงุดหงิด
แรงประคองที่ค่อยๆ พาเขาลงไปนอนกับพื้นนี้เป็นของใครกัน
คาซามะมองอยู่ แม้จะโงนเงนแต่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ได้—ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่ใจนึกสักอย่าง
“คนที่โง่มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”
อา—เจ้าเด็กพวกนั้นไร้ประโยชน์เสียจริง หยุดนางแค่คนเดียวก็ทำไม่ได้
ชายหนุ่มหลับตา
“พวกเจ้าสองคนทำให้ข้าดูเป็นคนโง่จริงๆ” อยากจะตะโกนออกไป ตะโกนเอาความโกรธของตัวเองออกไปทั้งหมด อยากจะทำลายทุกอย่าง
แต่ไม่รู้ทำไมที่มันหยุดลงทุกครั้งที่เห็นนางทำหน้าแบบนั้น
ใบหน้าของคนที่พยายามจะรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้
ข้าเป็นศัตรูไม่ใช่เหรอ? ข้าเป็นคนที่เจ้าอยากจะฆ่าไม่ใช่เหรอ? ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไงกัน?
โยเซแสนดีที่ให้พรมนุษย์ไปทั่วอย่างเจ้าทำหน้าแบบนั้นเพื่ออะไรกัน?
“คนที่มันไม่รู้อะไรมันเจ้าต่างหาก” เจ้าบ้านคาซามะว่าเสียงเรียบ ชายหนุ่มใช้ดาบในการพยุงตัวเอง “ไม่รู้แม้แต่ความปรารถนาของตัวเอง ไม่รู้แม้แต่ความพยายามของนางที่จะไม่ขัดความปรารถนาของเจ้า”
ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองหน้าของหญิงสาวอีกครั้งด้วยความสับสน
ไร้การรักษา—เพราะจุดที่โดนคือหัวใจ
ไร้การฟื้นพลัง เพราะเขาใช้ชีวิตของตัวเองไปกับมันจนหมดแล้ว
จะเหลือก็เพียงเวลาอันน้อยนิดที่ได้จ้องมองใบหน้าเรียบเฉยที่เจ็บปวดของหญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น
“หึ”
ความปรารถนาของเขาอย่างนั้นเหรอ?—คาโนะหลับตา ไม่อยากจ้องมองสองคนนั้นอีก
“พวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก” ว่าอย่างแผ่วเบา ร่างเริ่มสลาย
น่าแปลกที่ความรู้สึกหนักอึ้งทุกอย่างกลายเป็นปุยนุ่นไปเสียแล้ว
เบาบางและล่องลอย—ปลดความคิดทุกอย่างไปกับสายลมที่หอบพัดวิญญาณเขาไปยังสถานที่ใหม่
“พวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจข้าหรอก”
และจะไม่มีวันพูดออกไปแน่ๆ—สิ่งที่เขาคิดมาตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
ตัวข้าที่เฝ้ามองเจ้า ตัวข้าที่อยากทำลายเจ้า
ทั้งหมดนั้นคือข้าที่เป็นข้าจริงๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เพราะตัวข้านั้น เฝ้ามองเพียงสิ่งเดียว และปรารถนาสิ่งเดียวมาโดยตลอด
“คงจะจบเรื่องจริงๆ แล้วล่ะ”
เสียงทุ้มตอบรับไปลำคอ คลอเคลียอยู่ใกล้หญิงสาวจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่เป่ารดมาที่ศีรษะ
ไกลออกไปนั้นคือเรือลำเล็กที่กลับเข้าฝั่งทะเล เหล่าคนคุ้นหน้าคุ้นตากลับมาพร้อมชัยชนะและความสงบสุข ฮิมูระ เคนชินทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นสินะ
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้เพราะข้า?” เอ่ยถามออกไป
“ปัญหาคาราคาซังควรจะจบได้สักที หากไม่ทำแบบนี้ เจ้าก็จะยังคิดไม่ตกและโทษตัวเองไปตลอด”
เพราะเขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ รู้มาตลอดว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ขับเคลื่อนต่ออดีตสหายไม่ใช่ความแค้น
แต่เป็นความเข้าใจต่างหาก...ความเข้าใจที่แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่สุดท้าย การไปพบอีกฝ่ายในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็อาจจะทำให้ปลดบางอย่างที่รั้งเขาไว้ให้หายไปก็ได้
“แต่ก็ไม่ควรให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายแบบนี้หรอกนะ”
มือแตะเข้าที่บาดแผลลึกที่ยังไม่สมานกันดี มันห่างจากจุดตายไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นจนเธอหวั่นใจ
“นี่หรือเปล่าที่เจ้ารู้สึกตอนที่เห็นข้าโดนแทง?”
หวาดกลัว ตื่นตระหนก ราวกับโลกพังทลายลงมาตรงหน้า “คิดจะเอาคืนข้าหรือไงกัน?”
เสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบา กับอ้อมกอดที่กระชับกันแน่น...คนเอาแต่ใจและดื้อดึง
“ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเพื่อผลประโยชน์ที่น้อยนิด” ว่าอย่างถือดีพร้อมดึงให้นางเข้ามาใกล้กว่าเก่า “ข้าได้สิ่งที่ปรารถนามาแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรอีก”
เป็นคนที่เอาแต่ใจจริงๆ—หญิงสาวหลับตา รู้สึกคิดถึงอ้อมกอดนี้เหลือเกิน
ความอบอุ่นและความรู้สึกอันคุ้นเคย...ที่แม้จะห่างกันเพียงไม่กี่สิบวัน กลับทำให้คะนึงหาขนาดนี้
คงมีแค่ชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น
แขนทั้งสองยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง โน้มตัวเข้าไปหาและกลายเป็นฝ่ายกอดอีกฝ่ายแทน
“กลับมาแล้ว จิคาเงะ”
เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ที่แสนเกลียด ใบหน้าชั่วร้ายที่โน้มเข้ามาและนิ้วที่เชยคางเธอขึ้นมา
จุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปาก
“กลับบ้านกันเถอะ”
Fin.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

42 ความคิดเห็น
-
#36 faza205317 (จากตอนที่ 31)วันที่ 1 มกราคม 2562 / 19:51เศร้าาาา แต่ก็ฟิน เอาไงดี 555#361
-
#36-1 Tiaros(จากตอนที่ 31)2 มกราคม 2562 / 18:36เลือกเอาสักอย่างเถอะค่ะ โธ่ //ขำ#36-1
-