ตอนที่ 3 : 03 จิ้งจอกผู้โดดเดี่ยว
03 จิ้งจอกผู้โดดเดี่ยว
รุ่งอรุณที่โพ้นขึ้นจากขอบภูเขา
แสงรุ่งเช้าที่มาพร้อมการผงาดของเหล่าบุปผาแห่งเกียวโต
โจชูกำลังวางแผนการใหญ่ อย่างน้อยตอนนี้พวกซามูไรใต้อาณัติก็ได้ข่าวมาว่าอย่างนั้นให้ฮึกเหิมเล่น
และถึงแม้ว่าตนจะต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาเมื่อเจอเข้ากับซามูไรจากกลุ่มอื่นก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้สามารถช่วยให้ความเหิมเกริมที่มีมากขึ้นนี้หยุดลงได้เลยสักนิด มันคือความภาคภูมิและความหยิ่งยโส ความเมามัวไปกับอำนาจที่พึ่งได้รับมาใหม่ เชื่อมั่นว่าตนอาจจะเป็นบุคคลที่ช่วยให้แดนอาทิตย์อุทัยนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
นั่นทำให้ความระวังของพวกเขาลดลงก็เป็นได้
สายข่าวจากซัตสึมะรู้ตัว คืนนั้นเกิดการไล่ต้อนและมีการปะทะกันกลางถนนสายหนึ่งในยามค่ำคืน หมอกสีขาวปกคลุม แม้มองเห็นเลือนราง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเงาและแสงสะท้อนจากใบดาบได้ชัดเจน
นี่คือผลของความประมาท
ยังหลงนึกว่าตัวเองนั้นมีฝีมือเขาจึงชักชวนมาเรื่องก่อการปฏิวัติ น่าเสียดายที่พวกนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าฝ่ายซัตสึมะเองก็ไม่ได้มีแค่พวกงอกง่อยปวกเปียกเช่นกัน
กลับกันแล้ว...มีคนที่แข็งแกร่งราวกับไม่ใช่มนุษย์รวมอยู่ในนั้นด้วย
นั่นคือชายร่างใหญ่ที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง แต่แม้ว่าร่างจะดูใหญ่โต มีกำลังมากแค่ไหน แต่ที่พวกโจชูเกรงกลัวนั้นเห็นจะเป็นชายที่ตัวเล็กกว่านั่นเสียมากกว่า
แต่ถึงจะบอกว่าร่างเล็ก แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่ายเท่านั้น ความจริงแล้วชายหนุ่มดูสูงใหญ่และกำยำอย่างชายฉกรรจ์ปกติ เส้นผมสีทองหม่นราวกับพวกตะวันตก ยูกาตะที่ใส่นั้นเป็นสีขาวไม่เหมาะสมเลยสักนิดที่จะกวัดแกว่งดาบให้เลือดกระเซ็น และฮาโอริสีน้ำตาลเข้มนั่นก็เช่นกัน
ดูยังไงก็ไม่ใช่ซามูไร คล้ายนายท่านบ้านผู้ดีมากกว่า แต่ฝีมือดาบนั้นช่างน่ากลัว แค่ฟันโดนในดาบเดียวก็ทำให้ล้มลงไปกับพื้นรอความตายได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางสู้ได้อีก แม้จะมีเกียรติมากแค่ไหน แต่ตอนนั้นชีวิตของตนก็สำคัญไม่ต่างกัน ในหัวของซามูไรฝ่ายกบฏคิดหลายอย่างเกี่ยวกับลูกกับภรรยาของตน –ไม่! เขาจะตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!
ดังนั้นจึงต้องหันหลังวิ่งหนี...อย่างน้อยก็กลับไปตั้งหลักใหม่ แล้วกลับมาล้างแค้นอีกรอบพร้อมพวกพ้องในกลุ่ม
และถึงแม้ว่าจะเห็นเหยื่อหนีวิ่งไปแล้ว ชายหนุ่มในชุดยูกาตะก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะวิ่งตามในทันที
“อามากิริ” เรียกเอ่ยชื่อลูกน้องคนสนิทของตัวเองด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “จัดการพวกที่เหลือที่อยู่ตรงนี้ให้หมด”
“ขอรับ” เมื่อเอ่ยตอบรับ ชายหนุ่มก็เดินออกไป ตามเหล่าคนที่หนีไปอย่างไม่รีบร้อน
ด้วยความมั่นใจ ว่าตนนั้นแข็งแกร่งพอที่จะไล่ตามพวกมันทั้งหมดทันและสังหารตามคำสั่งที่ได้มาอย่างเรียบร้อย ดังนั้นคาซามะ จิคาเงะจึงไม่ได้รีบร้อนในการเดินแต่อย่างใด เขายังจับสัมผัสกลิ่นไอได้ พวกมันอยู่ไม่ไกลจากที่เขาเดินอยู่นักหรอก
แต่พอชายหนุ่มเดินไปถึง...ไม่หรอก แค่ใกล้ถึงเป้าหมาย เท้าเขากลับเหยียบเข้ากับกองเลือดกองใหญ่เข้าเสียก่อน
มีพวกอื่นเหรอ?...คิดในใจก่อนจะเพ่งมองเข้าไปในสายหมอกหนาทึบ ไร้เสียงร้องใดๆ ของสิ่งมีชีวิต จิคาเงะก้าวเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงเรียงรายบนพื้นนั้นคือคนที่เขาพึ่งปล่อยให้หนีไปเมื่อครู่ครบคน รอยดาบบนร่างกายนั้นบ่งบอกสาเหตุการเสียชีวิต
เพียงแต่ที่น่าสงสัยกลับเป็นรอยไหม้คล้ายโดนไฟคลอกเสียมากกว่า กลิ่นเนื้อไหม้ลอยแตะจมูกน่าอาเจียน
เมื่อจิคาเงะหยุดลง ตรงหน้าเขา ด้านหลังสายหมอกที่เลือนราง
ปรากฏร่างเงาของคนๆ หนึ่งขึ้น
คล้ายกับตน...ชุดยูกาตะและฮากามะสีฟ้าอ่อนจางจนแทบขาว รอยเลือดเปรอะเปื้อนที่ชายผ้าเล็กน้อย ร่างนั้นยืนก้มหน้าอยู่ แต่สิ่งที่สะดุดสายตาจิคาเงะมากที่สุดคงเป็นหน้ากากจิ้งจอกที่ปิดบังใบหน้านั้นเสียมากกว่า
มนุษย์ที่ยืนอยู่ ไม่หรอก...เขาไม่คิดว่าเป็นมนุษย์
น่าแปลกที่จิคาเงะคิดว่าร่างตรงหน้าเรืองแสงอ่อนๆ เปล่งออร่าบางอย่างที่ดูบริสุทธิ์ออกมาพร้อมด้วยกลิ่นไอของความเย็นยะเยือก
มีบางอย่างที่บอกให้เขาเอ่ยปากออกไปอย่างลืมตัวว่า “เจ้าเป็นใคร?”
คล้ายรอคอยคำตอบ ว่าสิ่งที่ได้จะเป็นการตอบรับ
แต่ก็ไม่...
กริ๊ง...
มีแค่เสียงกระดิ่งที่ร้อยไว้กับเชือกมัดรวบเส้นผมสีเงินยวงเอาไว้เท่านั้นที่ตอบรับ หน้ากากจดจ้องมาที่เขาเพียงเสี้ยววิ ก่อนที่จะหันหลังคล้ายจะจากไป
ในตอนนั้นเองที่จิคาเงะขยับใบดาบ ไปปรากฏตัวอีกทีที่ด้านหลังของอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที ด้วยความเร็วที่เหนือมนุษย์นี้...ไม่ควรที่จะมีใครสังเกตหรือขยับตัวทัน
แต่ทว่าคาตานะที่ควรฟันเข้าเนื้อ กลับฟันได้เพียงอากาศธาตุ ดวงตาสีแดงของเขามองร่างที่หายไปปรากฏอยู่บนกำแพงเพียงชั่วพริบตา รู้ได้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร
ไม่ใช่มนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่พวกเดียวกับเขา
พวกที่สามเหรอ? แล้วจะเป็นใครล่ะ?
แต่ก่อนที่จะได้ไล่ตาม ร่างสีขาวนั้นก็หายลับไปแล้ว จิคาเงะลดดาบลงก่อนจะหันกลับมามองร่างศพมากมายบนพื้นอีกครั้ง
ฝีมือของคนๆ เดียวงั้นเหรอ?...ถ้าอย่างนั้นก็เกรงว่าจะต้องบอกเรื่องนี้ให้ซัตสึมะรู้
แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ล่ะ? เขาควรจะต้องรายงานด้วยหรือเปล่า?
ข้อสงสัยผุดขึ้นมาในหัว ในขณะที่ทางด้านอามากิริก็เสร็จธุระเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาหา ชายร่างใหญ่มองศพบนพื้นด้วยสายตาราบเรียบเช่นกัน
“กลับ”
อามากิริกลับมายืนอยู่ด้านหลังเขาเช่นเดิม เจ้าตัวถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ท่านคาซามะ”
“รายงานซัตสึมะตามที่เจ้าเห็น เรายังหาตัวคนฆ่าไม่เจอ แค่คาดเดาว่าเป็นกลุ่มคนที่เป็นศัตรูกับโจชูก็พอ”
“ขอรับ” ชายร่างใหญ่เงียบไปสักพัก “ยังมีอะไรอีกหรือเปล่าขอรับ?”
“...ไม่มีแล้ว” ชายหนุ่มว่าออกไปอย่างนั้น “มีแค่นี้แหละที่ซัตสึมะควรรู้”
ใช่ มีแค่นี้จริงๆ
ส่วนเจ้าหน้ากากจิ้งจอกผู้เป็นปริศนานั้น เจ้าของเสียงกระดิ่งที่ติดคุ้นเคยอยู่ในหูนั้น...
เขาจะเป็นคนตามล่านางเอง
++++++++++
เช้านี้จิซึรุได้ออกมาลาดตระเวนพร้อมกับหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งที่แสนใจดีและขี้เล่น โอคิตะ โซจิแม้จะดูอันตรายในบางครั้ง แต่ก็เป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนกับเธอมากเช่นกัน คล้ายกับพี่ชายที่เอ็นดูน้องสาว อย่างไรก็ตาม จิซึรุจะไม่เห็นท่าทางแบบนั้นเมื่อเขาสวมใส่ฮากามะสีฟ้าครามก็ตามที
เธอปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่ม แม้จะตัวเล็กจนผิดสังเกต แต่ก็ไม่มีใครเอะใจขึ้นมาอย่างจริงจัง คนส่วนใหญ่อาจจะคิดแค่ว่าเธอเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่เท่านั้น
และจู่ๆ เมื่อใกล้ที่จะเดินครบรอบ คุณโอคิตะก็เปรยขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะพาเธอไปหาชิซุนตามที่อยู่ที่อีกฝ่ายเคยบอกเอาไว้
แม้จะตั้งตัวไม่ทัน แต่จิซึรุดีใจมากกว่า ดังนั้นในเวลาไม่นานเธอก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งในถนนคิวบิแล้ว มันเป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเข้าออกนัก พอเปิดเข้าไปด้านใน แทนที่จิซึรุจะเห็นลิ้นชักมากมายที่ใส่ยาเอาไว้ กลับเป็นโต๊ะตัวหนึ่งที่วางอยู่หน้าสุดกับกระดาษมากมายที่วางกองเป็นตั้งๆ แทน แทบไม่ต่างจากบ้านคนปกติเลยด้วยซ้ำ
มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น เธอดูท่าทางอายุน่าจะไล่เลี่ยกับโอคิตะเสียมากกว่า เป็นหญิงสาว ผมสีน้ำตาลเข้มรวบเก็บอย่างเรียบร้อย ดวงตากลมสีน้ำตาลของเธอกำลังจดจ้องอยู่กับตัวหนังสือในหนังสือที่เปิดอ่านอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคน
“สวัสดี” ทักทายด้วยเสียงนิ่งๆ และรอยยิ้มนิดๆ ที่ดูสุภาพตามมารยาท “ใครป่วยเหรอ..เจ้าคะ?”
ช่างเป็นคำพูดที่แปลกประหลาด แต่จิซึรุก็ไม่ได้สนใจเท่ากับการมองหาพี่สาวของตนเองในร้านที่แสนโล่งนี้
“ท่านพี่ชิซุน...ได้พักอยู่ที่นี่หรือเปล่าขอรับ?” ถามออกไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาทันทีด้วย
“อยู่สิ แต่ตอนนี้ออกไปซื้อขนมมาให้ข้าน่ะ รอหน่อยไหม? ด้านในนี้กว้างอยู่นะ เชิญท่านซามูไรด้านหลังด้วย”
เมื่อได้รับการเชื้อเชิญจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก จิซึรุกับโอคิตะจึงเข้าไปนั่งรอในร้าน โดยที่บอกให้คนอื่นๆ ที่มาด้วยกลับไปก่อนได้เลยเมื่องานของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว ด้านหลังโต๊ะตัวนั้นกว้างอย่างที่หญิงสาวว่าไว้ไม่มีผิด มีส่วนรับแขกที่ถูกกั้นจากห้องว่างๆ ออกมาด้วย น้ำชาถูกรินและเอามาเสิร์ฟให้
เด็กหนุ่มขอบคุณด้วยความเกรงใจ คุณโอคิตะที่นั่งข้างๆ นั้นยังคงยิ้มแล้วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า
“ไม่เคยรู้ว่าชิซุนมีเพื่อนเป็นหมอหญิง หายากนะในเมืองแบบนี้”
“ข้าโอซากิ รินเจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ “นางไม่เชิงเป็นเพื่อนหรอกเจ้าค่ะ เป็นคนไข้ประจำของข้ามากกว่า”
“คนไข้?”
รินเอ่ยรับว่า “ใช่เจ้าค่ะ ชิซุนเป็นคนซุ่มซ่าม ตอนมาช่วยงานข้าเลยได้แผลเป็นประจำน่ะเจ้าค่ะ”
“เป็นลูกค้าประจำสินะ?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ว่าแต่ที่นี่แปลกมาก ข้าไม่เห็นยาสักอย่างเหมือนร้านทั่วๆ ไปเลย ตอนแรกนึกว่าเป็นบ้านธรรมดาเสียอีก หน้าร้านก็ไม่มีป้ายบอกด้วย”
จิซึรุเหลือบมองโอคิตะอย่างเหงื่อตก ดวงตาคมกริบสีเขียวคล้ายกำลังไล่ต้อนรินที่ยังสามารถยิ้มนิดๆ ได้ราวกับไม่สะทกสะท้าน
ทั้งๆ ที่กดดันขนาดนี้แท้ๆ แต่โอซากิ รินยังสามารถคุยกับชายหนุ่มได้ราวกับไม่รู้สึกอะไร ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
แต่หญิงสาวกลับไม่ได้ตอบคำถามของซามูไรหนุ่ม นางเบี่ยงไปเรื่องอื่นแทนอย่างช่วยไม่ได้
“ชิซุนกลับมาแล้วล่ะค่ะ”
เสียงเลื่อนประตูดังขึ้นแทบจะทันที ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวในชุดยูกาตะสีอ่อนเดินเข้ามาพร้อมห่อดังโงะหลายห่อ มองมาที่จิซึรุกับโอคิตะด้วยใบหน้าราบเรียบ
“หาเที่ยวเหรอ?”
ถามห้วนๆ เสียงซื่อ
“ข้าแค่มาหาท่านเจ้าค่ะ ท่านพี่” อดไม่ได้ที่จะเผลอหลุดคำออกไป และกว่าจะรู้ตัวเด็กสาวก็หันไปมองทางรินอย่างตื่นตระหนกแทนเสียแล้ว
แต่หญิงสาวกลับเพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่า “ข้ารู้อยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ ไม่ต้องตื่นตระหนกหรอก”
“เห เป็นคนที่มีสัมผัสไว้เกินคาดนะ เจ้าน่ะ” โอคิตะหรี่ตาจ้องมอง รอยยิ้มเขาออกจะกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย “ชักจะสนใจเสียแล้วสิ”
นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจสักเท่าไรหรอก...จิซึรุคิดในใจ ในขณะที่ชิซุนก้าวเข้ามาหาแล้วหายเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง เสียงนุ่มเอ่ยออกมาว่า “รอทานขนมด้วยกันก่อนสิ ทั้งสองคน”
จากนั้นพวกเธอก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อจนได้ เด็กสาวรู้สึกเกรงใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก บรรยากาศรอบตัวของอีกคนสองนั้นคล้ายจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่โอคิตะพูดจบไปเมื่อครู่ โอซากิ รินนั้นก็ช่างลึกลับเกินไปเสียจริงๆ เธอไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยสักคำจนกระทั่งดังโงะถูกวางไว้กลางโต๊ะ
มันมีมากมายพอที่ทั้งสี่คนจะทานจนอิ่มแปล้
“เมื่อกี้ข้าพึ่งเดินสวนทางกับกลุ่มของท่าน” ชิซุนเปรยขึ้น “เหนื่อยหน่อยนะ”
ชายหนุ่มยิ้มรับ “ขอบคุณ ที่จริงข้าก็อยากจะมาบอกเจ้าเหมือนกันว่าเร็วๆ นี้ที่ฐานอาจจะวุ่นวายนิดหน่อย เจ้าไม่ต้องมาหรอกนะ”
เอ๋?...เด็กสาวหันขวับ ในขณะที่หญิงสาวที่เป็นคู่สนทนาเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ
“ข่าวตอนเช้าเองก็น่ากลัว ข้าคงไม่สามารถไปที่นั่นได้ในช่วงนี้”
มันเป็นข่าวที่เด็กส่งหนังสือพิมพ์วิ่งวุ่นประกาศไปทั่วเมือง เรื่องศพของซามูไรมากมายที่ถูกฆ่าตายในถนนสายหนึ่งของเกียวโต แม้ว่าจะถูกเก็บศพไปแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ก็ทำให้ทุกบ้านเรือนเกิดระส่ำระส่ายอยู่พอตัว
“ข่าวเร็วดีจริงๆ เลยนะเจ้าน่ะ”
“ทันบ้านทันเมืองมันได้เปรียบน่ะ --เหนื่อยอีกแล้วสินะเจ้าคะ”
“อื้ม ขอบคุณสำหรับดังโงะนะ”
“ยินดี”
แล้วหลังจากนั้นคุณโอคิตะก็พาเธอกลับฐาน เป็นช่วงโพล้เพล้พอดีราวกับถูกดูดเวลา พี่สาวของเธอขอเดินมาด้วยตลอดทางจนกว่าจะถึงหน้าประตู
เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวร่างสูงจะเดินข้างๆ เธอเหมือนครั้งที่ยังอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือ จิซึรุรู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งที่เธอจะจับมือของอีกฝ่ายแล้วเดินไปตามคันดินแถวทุ่งนา ร้องเพลงของฤดูร้อนจนกระทั่งเห็นคุณพ่อยืนรออยู่หน้าบ้าน
ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าคิดถึงจริงๆ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม
“รักษาตัวด้วยนะ จิซึรุ” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ เมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ก่อนจะหันไปหาโอคิตะที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยอีกว่า “รักษาสุขภาพด้วย”
ชายหนุ่มดูชะงักไปแค่เสี้ยววิ จากนั้นก็กลับมายิ้มใหม่ได้ “ขอบใจ”
พวกเธอเดินแยกกัน เช่นเดียวกับหญิงสาวที่หันหลังกลับแล้วเดินออกไป สายลมแรงตีพัดเข้ามา พากลีบดอกไม้ให้ปลิวไปในอากาศ
และเสียงกระดิ่งที่ปลายเชือกมัดผมจะล้อกับเสียงสายลม
กริ๊ง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เย้!!! ต่อแล้ววว สู้ๆๆๆ (มิกิเอง)
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 15 มิถุนายน 2561 / 12:44