ตอนที่ 19 : 19 ก้าวสุดท้ายของการเดินทาง
19 ก้าวสุดท้ายของการเดินทาง
หญิงม่ายลูกสองเคยสงสัยว่าหมอสาวนั้นเป็นใครกันแน่ วันแรกที่มาที่นี่ตามเนื้อตามตัวของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและฝุ่นทรายสีเทาจนเธอนึกหวั่นใจ เกรงกลัวเหลือเกินว่านางอาจเป็นคนร้ายหรือโจรที่ถูกทางการทำร้ายมาหรือเปล่า
แต่กลับไม่ใช่ หญิงม่ายสังเกตเห็นว่าใบหน้าของนางนั้นช่างว่างเปล่า ในอ้อมแขนคือคาตานะที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสกปรก นางกอดมันไว้ราวของรักของหวง บอกแค่ว่าอยากจะมาหาบ้านพักในหมู่บ้านนี้อยู่สักระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อพร้อมเมื่อไรนางก็จะจากไป
หญิงม่ายรู้จักสีหน้านั้นดี นางเคยเป็นแบบนั้นตอนที่สามีตายโดยที่ไม่มีแม้แต่ร่างส่งกลับมาให้
ในใจพลันรู้สึกเวทนาอย่างแท้จริง นางดูอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น สภาพจิตใจคงแตกสลายไม่มีชิ้นดีจนน่าสงสาร
ดังนั้นหญิงม่ายจึงมอบบ้านอีกครึ่งหนึ่งให้กับนาง พร้อมทำสัญญาเช่าอย่างเสร็จสรรพ เพราะถึงแม้จะเวทนายังไงก็ตาม ในยามสงครามนั้นทุกอย่างช่างยากลำบาก นางเองก็แทบจะไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองอยู่แล้ว
หญิงสาวนางนั้นเข้าใจ นางสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้ในสิ้นเดือนก่อนจะย้ายเข้ามาอยู่ในชายคาเดียวกันด้วยข้าวของติดตัวเพียงน้อยนิด
หญิงม่ายไม่รู้ว่านางจะเริ่มหาเงินจากตรงไหน เพียงแต่ในยามกลางคืนนั้นหญิงสาวจะออกไปจากบ้านพร้อมกระเปาะยาและฮาโอริสีเข้มเพื่อกันอากาศหนาวในยามค่ำคืน นางหายตัวไปจนกระทั่งตอนเช้าที่กลับมาพร้อมเงินทีละเล็กทีละน้อย
หญิงม่ายอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม แต่หญิงสาวเพียงยิ้มแล้วตอบกลับมาว่านางเป็นหมอ ชื่อโอซากิ ริน
หญิงม่ายแปลกใจไม่น้อยที่จะเจอหมอหญิง ในดินแดนนี้เพศหญิงไม่สมควรทำงานนอกบ้าน ถึงแม้จะจนก็ทำได้เพียงไร่นาปลูกพืชผลเกษตรเท่านั้น ศาสตร์ชั้นสูงที่พวกผู้ชายเรียนนั้นนางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้หญิงจะเรียนได้ด้วย
แต่ถึงจะน่าแปลกใจขนาดไหน การที่มีหมอมาอาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดี มีชาวบ้านมากมายที่ได้รับบาดเจ็บแต่ต้องทำแผลเองอย่างไม่ถูกต้อง นานเข้าอาจเกิดการอักเสบจนนำไปสู่โรคร้ายแรงได้ ร้านยาที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ต้องเดินทางไปหมู่บ้านข้างๆ ที่โจรชุกชุม
ราวกับโชคหล่นทับ
หญิงม่ายลองเสนอให้นางตั้งร้านยาในหมู่บ้านแห่งนี้ เพียงแต่โอซากิ รินกลับปฏิเสธอย่างรวดเร็วโดยให้เหตุผลว่าทุกคนไม่ได้ต้อนรับหมอหญิงอย่างที่หญิงม่ายคิด แต่หากต้องการการรักษา นางจะเป็นคนไปหาด้วยตัวเอง
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ในตอนกลางคืนหญิงม่ายก็เห็นหญิงสาวคนนี้ออกไปด้านนอกอยู่ดี กลับมาตอนรุ่งเช้าพร้อมเงินเพียงเล็กน้อยเป็นประจำ
หรือถ้าหากว่านางอยู่ในบ้าน หญิงสาวมักจะมองคาตานะที่นางเฝ้ารักษาและทำความสะอาดเอาไว้ด้วยแววตาเศร้าสร้อย แต่กลับไร้เสียงสะอื้นอย่างคนร้องไห้ ช่างเป็นคนที่เข้มแข็งจนเข้าขั้นเปราะบาง
“เขาตายเพราะอะไรหรือ?” ครั้งหนึ่งที่หญิงม่ายเอ่ยถาม ขณะที่นางกำลังจัดยามากมายลงในกระเปาะ
“เพราะอุดมการณ์ของเขาเอง” รินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอุดมการณ์ที่ต้องการปกป้องและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พวกพ้อง แม้ตัวเองจะตายก็ไม่เสียดายหากคนที่เขารักยังมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ในตอนนั้นหญิงม่ายถึงได้ตระหนัก ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้กำลังใช้ชีวิตอยู่เพื่อชีวิตของคนที่นางรักต่อไป
“ไม่เสียใจเหรอ?”
“ราวกับตายทั้งเป็น ถูกควักหัวใจออกมาสดๆ แล้วขยี้ไม่เหลือชิ้นดี” หญิงสาวว่า “แต่เพียงแค่ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ตัวข้าถึงได้อยู่เคียงข้างเขาในวาระสุดท้ายของชีวิต”
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หญิงม่ายจะเอ่ยถามเรื่องเกี่ยวกับเจ้าของคาตานะเล่มนั้น
โอซากิ รินราวกับตุ๊กตาที่พยายามกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หญิงม่ายไม่เคยเอ่ยรั้งอีกเลยที่เห็นนางออกไปด้านนอกตัวกลางคืน เธอสังเกตเห็นหลายครั้งที่นางกลับมาแล้วขอบตาบวมช้ำ นั่นคงเป็นเพราะนางอาจจะกลับไปยังจุดที่ชายที่รักของนางตายในทุกๆ เดือนก็เป็นได้
เวลาเยียวยาทุกสิ่ง...คนอายุน้อยอย่างนางต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
เวลาผ่านพ้น กลายเป็นว่านางชินเสียแล้วที่จะมีหญิงสาวอีกคนอยู่ในบ้าน ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้รู้สึกผูกพันกับหญิงสาวคนนี้ราวกับว่านางเป็นลูกคนหนึ่ง ในฐานะของคนที่เป็นแม่ มันเหมือนกับนางเฝ้ามองและคอยให้กำลังใจโอซากิ รินให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายไปให้ได้
สงครามที่กำลังปะทุอยู่ทุกแห่งยิ่งกลืนกินเวลาของหมอหญิงจนบางวันนางไม่ได้กลับมาที่บ้าน หญิงม่ายไม่กล้าเอ่ยถามว่านางหายตัวไปที่ไหนบ้าง หรือไปได้ยังไงในระยะทางที่ห่างไกลเช่นนี้
จนล่าสุดนี้ก็ผ่านเข้าสู่วันที่สามที่นางหายตัวไป แม้จิตใจของหญิงม่ายจะเป็นห่วงแค่ไหน แต่งานของนางก็มีอยู่ทุกวัน ไหนจะลูกๆ ที่ต้องหาเลี้ยงปากท้องอีกเล่า ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ก็แค่รอเท่านั้น
เหมือนกับที่รอและภาวนาให้สามีที่ตายไปกลับคืนมา...นางทำได้เพียงแค่นั้นจริงๆ
ฟ้ามัวหมองและมืดครึ้ม เม็ดฝนที่สาดกระเซ็นลงมาราวกับกำลังมอบชีวิตให้กับผืนดินแห่งนี้ หญิงม่ายใช้ตะกร้าแบนๆ บังศีรษะตัวเองไว้ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้าน ดินที่เจิ่งนองไปด้วยแอ่งน้ำทั้งเฉอะแฉะและลื่นอันตราย กว่าที่นางจะกลับมาถึงเส้นทางหลักได้ก็ตัวเปียกไปหมดแล้ว
และบนถนนเส้นนั้นที่กระหน่ำด้วยฝน สายตาของนางคล้ายเห็นเงาเลือนรางของชายหนุ่มในชุดตะวันตกยืนแน่นิ่งอยู่
ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนน่าสงสัยว่าใช่คนบ้าหรือเปล่า
เพียงแต่คนบ้าไม่มีทางดูสง่าราวนักรบและร่างกายแข็งแรงกำยำอย่างนี้แน่นอน และยิ่งด้วยทางนั้นคือเส้นทางที่จะกลับไปยังบ้านของตัวเอง หญิงม่ายจึงจำเป็นต้องเดินเข้าไปหาด้วยความระมัดระวังปนเป็นห่วง
“ท่าน...”
ร่างสูงนั้นหันมามอง ใบหน้าขาวซีดเพราะสายฝน เส้นผมสีน้ำตาลเปียกลู่ลงมายังดูมีเสน่ห์จนแม้แต่นางยังรู้สึกไม่ดีต่อหัวใจ
“กำลังจะไปที่ใดหรือ?”
“...ไม่รู้”
ท่าทางสับสน ดวงตากรอกไปมาไม่โกหกว่ากำลังรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และด้วยความที่นางเป็นคนขี้สงสารอย่างถึงที่สุด สุดท้ายแล้วจึงเชิญให้เขามาหลบฝนที่บ้านตัวเองก่อน จากนั้นก็ค่อยไปก็ยังไม่สาย
ช่างเป็นคนที่ใจดีจนอาจนำภัยเข้าหาตัวเอง...แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังพาชายแปลกหน้าคนนี้มายังบ้านของตัวเองจนได้
เพียงแต่ชายหนุ่มจะตามมา เขาก็ยืนนิ่งอยู่แค่ในส่วนด้านหน้าใกล้ๆ กับประตูเท่านั้น ดูอย่างไรก็คล้ายกับเกรงใจที่จะเข้าไปในบ้านที่ลูกน้อยของนางโผล่หน้ามามองด้วยความหวาดกลัว ด้วยความช่วยไมได้ นางจึงอาสาเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะเอาผ้ามาให้
แต่อนิจจังที่มันไม่เพียงพอ ลูกของนางเอาไปใช้เสียจนหมด ตอนนี้เปียกชุ่มจนต้องเอาไปตาก
หญิงม่ายนึกขอโทษหมอหญิงในใจ นางคงต้องขอยืมข้าวของของอีกฝ่ายเสียก่อนแล้วค่อยซักคืนให้เสียแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงเดินออกมา ประตูห้องของรินอยู่ติดกับโถงทางออก เจอกับชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งเป็นหินอยู่ที่เดิมก็เอ่ยขอโทษว่า “ขอโทษด้วย พอดีผ้ามันหมด ข้าคงต้องยืมของคนร่วมอาศัยแล้ว” ก่อนจะเลื่อนบานประตูห้องออก
เพราะไม่ได้มองหน้าชายหนุ่มตอนที่ตนเปิดประตู เสียงทุ้มที่ตะโกนดังนั้นจึงทำให้นางตกใจจนสะดุ้งโหยง
“เดี๋ยว!”
นางหันกลับมา ด้วยกลัวว่าตนทำอะไรผิดใจอีกฝ่ายไปหรือเปล่า
แต่ก็ต้องแปลกใจกับใบหน้าที่แสดงอาการตะลึงค้างและยินดีอย่างปิดไม่มิดนั่น
“ดาบนั่น” เขาจับจ้องไปที่คาตานะที่รินหวงแหน มันวางไว้บนแท่นอย่างเรียบร้อย
“นั่นดาบของเพื่อนร่วมชายคาของข้า เห็นบอกว่าเป็นของสำคัญ” นางว่าด้วยความเกรงเล็กน้อย
ชายปริศนาคนนั้นราวกับคนตกอยู่ในห้วงภวังค์ จับจ้องคาตานะเล่มนั้นตาไม่กระพริบ “นางอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ...?” ราวกับพึมพำกับตัวเอง
และก่อนที่หญิงม่ายจะทันได้ถามว่า ‘ใคร?’ ร่างสูงกลับขยับก้าวฉับอย่างรวดเร็วเข้าไปในห้องนั้น หยดน้ำเปื้อนเป็นทาง แต่ด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วและรีบร้อนนั้น หญิงม่ายไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องอุทาน
ชายหนุ่มเข้าไปแตะดาบเล่มนั้น ยกขึ้นมามองราวกับรำลึกอดีต “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”
“ค...ใคร?” ด้วยความระแวงว่านี่อาจเป็นศัตรูของหญิงสาวที่ยังไม่กลับมาจากด้านนอก หญิงม่ายจึงต้องลองเชิงถามไปด้วยความหวาดกลัวที่เริ่มจะเกาะกุมจิตใจทีละน้อย
นางไล่ต้อนให้ลูกๆ เข้าไปหลบด้านใน ปิดประตูหนาแน่นห้ามออกมาโดยเด็ดขาด
ชายหนุ่มคนนั้นหันกลับมา ถือคาตานะเล่มนั้นไว้แน่นด้วยใบหน้าที่เริมเต็มไปด้วยความยินดีและโหยหา
“ท่านหมอ...โอซากิ รินอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
ก่อนที่หญิงม่ายจะเห็นว่าในแววตาของอีกฝ่ายนั้นไร้ความประสงค์ร้าย นางกลับมองเห็นบางอย่างที่ตนเคยประสบพบเจอมาในครั้งหนึ่งของชีวิต
เป็นแววตาของคนที่กำลังมองหาคนสำคัญ
เหมือนตอนที่สามีของนางในวันแต่งงาน...มันเป็นความยินดีที่มากล้นจนไม่อาจบรรยายออกมาได้
เพียงตอนนั้นที่ราวกับชะตานำพา ประตูกลับเลื่อนออก นำพาร่างเปียกโชกของหญิงสาวที่หายตัวไปถึงสามวันเข้ามาด้านใน...โอซากิ รินกลับมาแล้ว
“ขอโทษด้วย...ข้ามีปัญหาเล็กน้อยตอนขากลับ...”
ราวกับถ้อยถูกดูดกลืนหายไปในลำคอ
หญิงม่ายรู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นส่วนเกินยามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเบิกตากว้างจับจ้องชายหนุ่มราวกับกำลังโดนสาปให้กลายเป็นหิน
วินาทีนั่นทุกอย่างราวกับถูกเสียงสายฝนเข้าแทรก
และเป็นครั้งแรกที่หญิงม่ายเห็นว่าหญิงสาวที่แสนแข็งแกร่งกำลังหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไร้เสียง
ใบหน้าไม่ได้บิดเบี้ยว แต่กลับนิ่งเฉยอย่างคนเหม่อลอย
ตุบ!
กระเปาะยาเลื่อนหลุดจากไหล่ นางไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันตกลงพื้น
ก่อนที่ร่างบางจนทรุดลงอย่างคนหมดแรง ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่กลับก้าวอย่างรวดเร็ว รวบตัวหญิงสาวเข้ามากอดแนบแน่นจนไร้ช่องว่าง ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากปากเขา
หญิงม่ายกลับรู้สึกสะเทือนใจ ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกตื้นตันกับภาพตรงหน้า
เนิ่นนานกว่าที่จะได้ยินเสียงสะอึกออกมาจากคนที่จมอยู่ในอ้อมแขนของชายปริศนา แขนเล็กๆ ค่อยยกขึ้นโอบรอบตัวชายหนุ่มก่อนจะเปลี่ยนเป็นกำแน่นราวกับคนที่อัดอั้นมานานแสนนาน
เสียงร้องไห้ดังระงม โอซากิ รินร้องไห้จนตัวโยน
ได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ จากก้นบึ้งของหัวใจ ยกมือขึ้นลูบศีรษะปลอบหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“ข้าขอโทษ”
พวกโยเซกำลังพลัดถิ่น จำนวนพวกเขาที่เหลือรอดอยู่ทั่วทั้งดินแดนเหลือไม่มากแล้วหากรวมจำนวนเด็กๆ ที่ชิซุนช่วยออกมา ในตอนรุ่งเช้าของศึกใหญ่ในเอโสะ ทสึกินำข่าวมาบอกเธอเรื่องการอพยพถิ่นฐาน นางเป็นคนรับเลี้ยงเด็กๆ ทั้งหมดที่ชิซุนนำไปฝากไว้ร่วมกับกิงกะ คนรักของนาง
“เราจะออกจากที่นี่” ทสึกิว่า “ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือจักรพรรดิที่เป็นฝ่ายชนะ ความเปลี่ยนแปลงมักต้องเกิดขึ้น พวกเราตัดสินใจกันแล้วว่าเพื่อที่จะปกป้องเด็กรุ่นหลังเอาไว้ จึงขอออกเดินทางออกจากที่นี่เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“เป็นความคิดที่ดี” ชิซุนว่า “แม้จะมีบาดแผลทางใจไม่น้อย แต่ยุคมัยที่กำลังจะเริ่มใหม่นี้ เผ่าพันธุ์อย่างพวกเราย่อมต้องแฝงเร้นและกลายไปเป็นมนุษย์เข้าสักวันในอนาคต เด็กๆ พวกนั้นต้องการการเริ่มต้นใหม่ที่ดี”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลางสังหรณ์มันร่ำร้องว่าชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จะไม่มีวันได้กลับมาอย่างแน่นอน สัญญาณความเปลี่ยนแปลงได้มาเยือนดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอเสน่ห์หาอันลึกลับนี้แล้ว
“เจ้ามากับเราได้นะ” หญิงสาวเสนอแนะ “ข้าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องเจ้ามาบ้าง แต่ตอนนี้เราต้องการลบกฎเกณฑ์นั่นออกให้หมด มันจะเป็นการดีมากหากเราได้โยเซมีประสบการณ์และความสามารถมากอย่างเจ้ามาเป็นผู้นำ”
ชิซุนเหลือบแลไปมองคนพูด เธอยิ้มแย้มออกมาแล้วส่ายหัว “ข้าในตอนนี้คงเรียกได้ว่าเป็นแค่มนุษย์แล้วล่ะ”
ทสึกิเบิกตากว้าง
“อีกอย่าง...”
หญิงสาวเปรยด้วยเสียงเรียบเรื่อย ไร้ความกังวลแต่อย่างใด
“ข้ามีที่ๆ จะกลับไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
ไม่มีพันธะใดหรือความกังวลว่าเพื่อนพ้องในเผ่าพันธุ์จะตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชิซุนปล่อยวางแล้วทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสียที
ทสึกิถอยร่นกลับไปในตอนย่ำค่ำของวันนั้น รอจนกระทั่งเสียงปืนและเสียงดาบยุติลง เมื่อธงของฝ่ายชนะเด่นสง่าอยู่ทุกแห่งในสนามรบ
เวลาของสงครามดำเนินมายังจุดสิ้นสุดแล้ว
“ขอให้เจ้าโชคดี”
ชิซุนกล่าวรับ “เจ้าก็เช่นกัน”
ไม่ว่าเส้นทางที่เลือกจะเป็นอะไร...ก็ขอให้โชคดีแล้วพบกับสิ่งที่หวัง
ฝีเท้าเหยียบย่ำไปตามเส้นทางที่คาดไว้ว่าอาจจะได้เจอกับคนที่คาดหวังไว้ ในเวลานี้ที่เสียงโห่ร้องอย่างยินดีก้องสะท้านไปทั่วแผ่นดิน
ชิซุนได้ยินเสียงดาบสองเล่มกำลังปะทะกันอยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
เมื่อแสงจันทร์ต้องสะท้อนกับกลีบสีสวยของซากุระ
เมื่อแสงสีนวลสะท้อนต้องใบดาบที่ฟาดฟันกันใต้ต้นไม้อันศักดิ์สิทธิ์นั้น...ที่ตรงนั้นคือจุดหมายของเธอ
บรรยากาศจากตัวของชายหนุ่มทั้งสองนั้นช่างเต็มไปด้วยจิตสังหารและความตั้งมั่นในปณิธาน แต่ถึงอย่างนั้นกลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่ความชิงชังน่ารังเกียจของเรื่องบาดหมางระหว่างกันอย่างที่ผ่านมา
เด็กสาวยักษายืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางดอกซากุระที่ร่วงโรยไม่ขาดสาย นางช่างคล้ายกับเทพธิดาที่กำลังภาวนาเพื่อให้ชีวิตของคนที่รักปลอดภัยจากคมดาบ
และชิซุนยืนอยู่ตรงนี้...ห่างออกไปจากแสงสว่าง รั้งรอจนกระทั่งผลแพ้ชนะออกมาอย่างชัดเจน
หญิงสาวหลับตาลง ใบดาบคมกริบถูกฟันจนหัก ปลิวกระเด็นมาปักบนดินข้างๆ ที่เธอยืนอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
คาซามะ จิคาเงะพ่ายแพ้ต่อฮิจิคาตะ โทชิโซในดาบสุดท้าย
แม้จะรู้สึกเหนือคาด แต่ก็ไม่ได้ตกใจจนต้องร้องโวยวาย—กลับกันแล้ว หญิงสาวคล้ายรู้สึกว่าตัวของชายหนุ่มที่ตัวเองจ้องมองนั้นผ่อนคลายจนคล้ายกับจะโล่งอก เลือดที่ไหลลงมาตามแขนข้างที่โดนฟันนั้นดูจะสาหัสน้อยกว่าฝ่ายชนะเสียด้วยซ้ำที่ต้องให้จิซึรุวิ่งเข้าไปพยุง
แต่ถึงจะพูดว่าสาหัสน้อยกว่า แต่เรี่ยวแรงที่คาซามะมีอยู่ก็ใช่ว่าจะเหลือเฟือจนเดินเหินตามปกติ
ชิซุนเหลือบมองรองหัวหน้าปีศาจ จดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีแดงฉานที่บัดนี้แทรกประกายสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่ายักษ์ก็ได้เพียงแต่ถอนหายใจแล้วลอบยิ้มออกมา
ดูท่าว่าเธอจะไม่ต้องช่วยอะไรคนสุดท้ายนี้เท่าไรนัก
“สิ่งที่เจ้าปรารถนาจะเป็นจริงแล้วนะ จิซึรุ”
เด็กสาวเงยหน้ามองมาด้วยความงุนงง—แต่นั่นก็ไม่มีคำตอบให้แม้แต่คำเดียว ชิซุนเพียงแค่รอให้เวลาเป็นตัวเฉลยเท่านั้นว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นหมายความว่ายังไง
ก่อนจะเหลือบไปหาชายหนุ่มที่อีกคนจับจ้องมาทางเธออยู่ก่อนแล้ว
ดวงตาคมกริบยังคงเป็นประกายเมื่อยามจ้องมาที่เธอ เจ้าตัวไม่ได้สนใจบาดแผลที่แขนแม้แต่จะชายตามอง ข้อมือถึงจะสั่นอยู่สักพักแต่บาดแผลก็สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
จบแล้วล่ะ...หญิงสาวยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่มอบให้กับคาซามะเป็นครั้งแรกหลังจากเจอกันอีกครั้งในรอบหลายปี
มันช่างสดใสจนแม้แต่ชายหนุ่มยังเผลอแสดงสีหน้าอ่อนโยนออกมา ริมฝีปากเหยียดยิ้มที่ต่างไปจากทุกที
“จิคาเงะ...”
ริมฝีปากอยากจะเอื้อนเอ่ย—คำตอบที่คิดไว้มานานให้อยากจะบอกกับชายหนุ่ม
การตัดสินใจของนาง ที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
หากเรื่องทุกอย่างจบลง
หากเมื่อเราตัดสัมพันธ์ทุกอย่างกับพวกมนุษย์
เมื่อนั้น....เมื่อเจ้าและข้าไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องจัดการแล้ว
เมื่อนั้นเรา...
เพียงแต่ในวินาทีต่อมา ภาพที่ชิซุนเห็นกลับเป็นใบหน้าตกตะลึงอันหาได้ยากยิ่งของอีกฝ่าย
หญิงสาวงุนงง ร่างของคาซามะวิ่งเข้ามาใกล้คล้ายกับตะโกนบางอย่างที่ฟังดูอื้ออึง
เสียงโกรกของลมกลายเป็นน่าหนวกหู
เธอได้ยินแต่เสียงเสือกลึกเข้าไปในเนื้อของบางอย่าง กับหางตาที่แลลงมาเห็นประกายสีเงินของใบดาบหักๆ ที่ปักอยู่ข้างๆ ตัวเองเมื่อครู่
ดวงตาสีน้ำแข็งเบิกกว้าง เลือดสีแดงค่อยๆ ขยายเป็นวงกว้าง
อ้าปากร้องอย่างไร้เสียงเมื่ออาวุธที่ใช้แทงตัวเธอถูกดึงกระชากออกจากด้านหลัง หญิงสาวทำได้แค่หันไปมอง
ไม่อยากเชื่อ คาดไม่ถึง—คงเป็นความรู้สึกนี้ที่เข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดที่แล่นพล่าน
เสียงคำรามก้องด้วยความโกรธแค้นของคาซามะแทรกเข้ามากลางใจ สลับกับใบหน้าแย้มยิ้มของคาโนะที่จดจ้องมองเธอที่ค่อยๆ ทรุดลงไปเพื่อรอความตาย
อ้อมกอดอุ่นร้อนเข้าประคองอย่างร้อนรน มันช่างตัดความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เข้าเกาะกุมเธอในตอนนี้เหลือเกิน
“มองข้า...มองข้า กินทสึ ชิซุน” ฝ่ามือพยายามกดห้ามเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด สายตาของเขาจดจ้องแต่ใบหน้าของเธอนั้นแสดงออกมาชัดเจนว่ากำลังหวาดกลัวแค่ไหน
สับสนกว่าทุกที ร้อนรนกว่าทุกครั้งไม่ต่างจากเธอเลยสักนิด
“มองที่ข้า”
ห้ามหลับเด็ดขาด
เสียงหัวเราะของคาโนะช่างบาดความรู้สึก ร่างของอีกฝ่ายค่อยๆ จางหายเข้าไปในความมืด ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่เงา
ความกลัวกำลังเกาะกินจิตใจของหญิงสาว
เธอยังไม่อยากตาย
++++++++++++++++
คุณคิดจริงๆ เหรอคะว่าเกริ่นนำของบทแรกจะหมายถึงคาซามะกับชิซุน?
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮื้อ~~~~ไม่ได้นะชิซุนเธอจะตายไม่ได้นะเธอจะทิ้งจิคางะไว้คนเดียวหรอเราไม่ยอมนะไรท์ต้องรีบมาต่อนะติดมากเลยตอนนี้อยากอ่านวันละหลายๆตอน อิอิ
ส่วนชิซุนจะเป็นยังไงต่อไปก็ต้องดูตอนจบเเล้วล่ะค่ะ แน่นอนว่าจบสไตล์เรา //หัวเราะ
อ่า นึกแล้วเชียวว่าคาโนะต้องมาจังหวะแบบนี้ ..อ่านtalkของไรท์จบนี่ถึงกลับต้องกลับไปอ่านintroใหม่เลยทีเดียว ซึ่งค้นพบว่า เออ เราก็คิดว่าเป็นคำพูดของคาซามะจริงๆนั่นแหละ (ก็ปกติมันต้องเป็นคำพูดของพระเอกไม่ก็นางเอกนิ) ถึงจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนวิธีการพูดของคาซามะก็เถอะ555 สรุปก็ไม่ใช่จริงๆ
อื้อหืออออออ มาม่ากี่กระป๋องว่ะเนี่ย กินไม่ไหวแล้ววววววววว ฮือออออออ
เป็นความรู้สึกตับแตกที่บรรยายไม่ถูก;w;