ตอนที่ 18 : 18 สู่เอโสะ
18 สู่เอโสะ
เขามองเห็นคนมากมาย พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์ที่กำลังหันอาวุธเข้าหาเขาและเด็กสาวข้างตัว
“เด็กคนนั้นแหละ! นางรักษาข้าได้ราวกับไม่ใช่มนุษย์!”
“ปีศาจ! นางเป็นปีศาจแน่ๆ!”
เด็กหนุ่มจิปากด้วยความหงุดหงิด อารมณ์ของเขาร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่ฝ่ามือเย็นเฉียบที่กอบกุมไว้ก็ไร้ประโยชน์ เขาจับจ้องไปยังชายคนที่ยังพล่ามไม่หยุดราวกับจะหมายชีวิต
มันเป็นคนที่เด็กสาวเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน
“น่าจะปล่อยให้ตายจริงๆ” อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาแบบนั้นในขณะพาอีกคนวิ่งลัดเลาะเพื่อหาทางหนี
รู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่ไม่ได้พกดาบออกมา เพราะไม่คิดว่าแค่ออกมาเดินเล่นด้วยกันด้านนอกหมู่บ้านก็ต้องเจอกับพวกมนุษย์ที่ยกโขยงกันมาจะจับเด็กสาวคนนี้ไปประจาน ประจวบเหมาะกับที่เขาม้าเยี่ยมเยือนที่นี่จริงๆ
ช่างโง่เขลาเบาปัญญา...ตนเองได้รับการช่วยเหลือแล้วยังตราหน้าคนอื่นว่าเป็นปีศาจ มนุษย์ช่างโง่เขลานัก
“ต้องสลัดให้หลุดก่อน จะให้พวกเขาเห็นหมู่บ้านไม่ได้” เด็กสาวข้างตัวว่า นางวิ่งอยู่ข้างๆ เขา “ถ้าแค่ลบความทรงพวกนั้นได้...”
ศักยภาพของทั้งสองยังไม่เร็วพอที่จะสลัดมนุษย์พวกนั้นให้หลุดได้...แต่ถ้าทำให้พวกเขาลืมก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ไม่ไหวหรอก” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มกระชากห้วนขึ้นทันที เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “จำนวนคนขนาดนี้ถ้าเจ้าลบความจำพวกมัน เจ้านั่นแหละที่จะ...”
เพราะเผลอสนใจอย่างอื่นชั่วขณะจนลืมว่าพวกมนุษย์กำลังล้อมตัวเองเข้ามา ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบแรงดึงจากเด็กสาวก็กระชากให้เขาเสียหลักทันที เบี่ยงเป้าหมายจอบที่กำลังจามลงมาจากศีรษะของเขาในเสี้ยววินาที
แต่ก็หลบได้ไม่หมด
น่าจะเป็นสะบักไหล่ ลากยาวลงมาเกือบจะถึงใต้ลิ้นปรี่
“จิคาเงะ!”
ได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก แต่ร่างของเขาล้มลงกับพื้น ถูกความเจ็บปวดเข้าครอบงำจนหน้ามืดไปชั่วขณะ จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล้อมรอบเขาสองคนจากทั่วทิศทาง
เด็กหนุ่มพยายามขยับตัว แต่กลับทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด บาดแผลกำลังสมานเข้าหากันก็จริงแต่ก็ไม่ได้รวดเร็วพอที่หลบการโจมตีจากมนุษย์ที่กรูกันเข้ามา
“ออกไป!” เด็กสาวอยู่ที่ไหนแล้ว? เขาพยายามมองหา ได้ยินเสียงร้องของนางมาจากที่ไกลๆ
มันจับนางไปอย่างงั้นเหรอ?
ไม่...แบบนั้นใครจะยอมกันล่ะ!
แขนทั้งสองข้างดันตัวให้ลุกขึ้น จับจ้องมนุษย์สองคนที่กำลังฉุดกระชากแขนเด็กสาวออกห่างจากตัวเขา
เด็กหนุ่มคำรามต่ำในลำคอ “ปล่อยนางซะ...”
จากนั้นก็ราวกับกลายเป็นภาพเบลอ เด็กหนุ่มมองเห็นดวงตาที่หวาดกลัวของพวกมนุษย์มากมาย เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่เหลียวกลับมามองตนเอง ดวงตาสีน้ำแข็งของนางเป็นประกายกังวลและเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน
และแล้วทุกอย่างก็มืดสนิท
ลมทะเลที่ตีปะทะร่างให้ความรู้สึกเหนียวตัว ช่างไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย รวมด้วยความโคลงเคลงของเรือที่เขากับหญิงสาวโดยสารมาก็ยิ่งน่าหงุดหงิด ถึงนี่จะเป็นเรือรบที่เดินทางได้เร็ว แต่ก็ยังช้าในความรู้สึกของคนที่เคลื่อนที่ในพริบตาอยู่ดี
แม่ทัพที่เป็นคนอนุญาตให้เขาอาศัยเรือนี่มาช่างรู้งาน อีกฝ่ายสั่งทหารคนอื่นๆ อย่างเคร่งครัดไม่ให้เข้ามายุ่งกับเขาหรือคนที่มาด้วยเลยสักนิด ดังนั้นตอนนี้รอบตัวจึงจัดได้ว่าส่วนตัวที่สุดท่ามกลางทหารที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้
คาซามะก้มมองอีกร่างที่ใช้ไหล่เขาต่างหมอน นางไม่รับรู้โลกภายนอกเลยสักนิดว่าตัวเองใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว แตกต่างจากเด็กสาวอีกคนที่ยืนเกาะขอบเรือ มองออกไปไกลด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม
ยูคิมูระ จิซึรุจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าที่หญิงสาวที่กำลังหลับใหลมาที่เอโสะด้วยเป็นเพราะตัวเอง?
คำตอบที่แสนเรียบง่ายมักทำให้เขายิ้มเยาะมันอยู่เรื่อยไป ความห่วงใยที่ทั้งสองมีให้กันนั้นบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเด็กสาวรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองทำให้คนอื่นเป็นห่วง เพียงแต่ตอนนี้สิ่งที่นางห่วงจริงๆ นั้นสำคัญเกินกว่าที่จะแบ่งให้กับคนอื่น กลายเป็นความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายของตัวเองอย่างเปิดเผยและมั่นคง
ในที่สุดก็ตัดสินใจได้สักที—เพียงแต่การตัดสินใจครั้งนี้ช่างช้าจนอะไรหลายๆ อย่างเกือบจะสายไปเสียแล้ว
คาซามะยกมือขึ้นแตะใบหน้าของคนที่หลับแผ่วเบา ขยับให้หญิงสาวพิงกับเขาดีๆ ไม่ให้ศีรษะเลื่อนตกจนสะดุ้งตื่น
ไม่สิ...ตอนนี้ถึงจะเลื่อนตกไปก็เกรงว่านางจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำล่ะมั้ง
ขายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นเส้นผมสีดำสนิทด้วยแววตาอ่านยาก ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาจนเด็กสาวที่มัวเหม่อลอยต้องหันมามอง
“เด็กที่ภูติโปรดปรานมักได้รับสิ่งที่พิเศษ”
“...กำลังพูดถึงอะไรกันคะ?” ดวงตาสีน้ำตาลฉายชัดถึงความไม่เข้าใจ
เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็ยิ่งอยากหัวเราะให้ดังๆ น่าโมโหหญิงสาวที่ตัวเองประคองอยู่เสียจริงที่ประคบปะหงมเด็กสาวเสียจนไม่รู้เรื่องราวใดๆ ของฝั่งนี้เอาเสียเลย
ความทรงจำที่เคยเลือนรางกำลังแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีอีกต่อไป
เด็กสาวที่ครั้งหนึ่งเขาคิดที่จะพานางกลับเผ่าก็ไม่ได้มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อีกแล้ว
“ข้ากำลังหมายถึงพรวิเศษ”
เป็นถ้อยคำที่ไม่กระจ่างถึงความหมาย แต่คาซามะเองก็ไม่ได้หวังให้มีใครเข้าใจเหมือนที่ตนกำลังตระหนักถึง และนั่นเป็นถ้อยคำสุดท้ายก่อนที่เสียงลมกับคลื่นของทะเลจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งสาม
สำหรับยูคิมูระ จิซึรุแล้ว ภาพตรงหน้าที่เห็นช่างเป็นภาพที่เธอไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาก่อน...แต่ในขณะเดียวกันก็ร่ำปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างลงตัวจนอยากจะละสายตาออกด้วยความเขินอาย
น้อยครั้งมากที่เธอจะได้มองชิซุนหลับ ที่ผ่านมาหญิงสาวมักจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเข้าห้องนอนเสมอตั้งแต่ที่ได้พบกัน จิซึรุมาตระหนักเมื่อไม่นานมานี้ว่านั่นคือการวางตัวและระยะห่างที่โยเซสาวมักจะใช้ขีดกั้นความเป็นส่วนตัวของตัวเองกับคนอื่นเสมอ มันคือความ ‘ไม่ไว้ใจ’
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าอีกฝ่ายปล่อยตัวอย่างธรรมชาติแค่ไหนยามอยู่กับชายหนุ่มที่แสนอันตรายคนนี้
คาซามะ จิคาเงะยังคงให้ความรู้สึกอันตรายเสมอ ออร่าที่อีกฝ่ายแผ่ออกมานั้นช่างน่ากดดันแตกต่างจากคุณฮิจิคาตะกันลิบลับ มันทำให้จิซึรุรู้สึกอึดอัดตลอดเวลา
มือเล็กเผลอยกขึ้นทาบขึ้นบริเวณอกข้างซ้าย ตอนนี้คนอื่นจะปลอดภัยกันดีหรือเปล่านะ?
ยิ่งคนที่เธอกำลังจะรุดหน้าไปหานั้นยังสบายดีอยู่หรือเปล่า? จะได้ทานอาหารครบสามมื้อเหมือนอย่างที่อยู่ที่เกียวโตหรือไม่? หรือว่าเขาจะเจ็บปวดเพราะความกระหายเลือดอีกไหม?
ทุกอย่างกำลังตีกันยุ่ง
เด็กสาวหันหน้าหนียามที่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังยกมือขึ้นทัดผมของชิซุนกับใบหู มองออกไปยังทะเลแสนเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยว
ยามนี้เบื้องหน้าของเธอไม่ได้มีแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของเขาคนนั้นยืนอยู่อีกต่อไป
ยามนี้บนแผ่นดินเต็มไปด้วยกลิ่นไอของสงคราม เมื่อครั้งหญิงสาวงัวเงียตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองกำลังนอนพักอยู่ในห้องมืดๆ ห้องหนึ่ง ข้าวของทุกอย่างในนี้ถูกตกแต่งด้วยวัสดุของตะวันตกเกือบครึ่งหนึ่ง เป็นกลิ่นไอแปลกใหม่แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแปลกที่เท่าไรนัก
เธอพยายามมองหา แต่ไม่มีแม้แต่เงาของคาซามะอยู่ในนี้เลยแม้แต่กลิ่นไอ
หญิงสาวหลุบตาลง คล้ายกับเศร้าสร้อยแต่ก็เผลอระบายยิ้มออกมา มือทั้งสองข้างภายใต้ผ้าห่มผืนหนานนั้นเย็นเฉียบจนต้องกุมเอาไว้แน่น
ไม่นานที่เด็กสาวยักษาจะเปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าอิดโรยที่เปล่งประกายที่สุดในรอบหลายเดือน ในมือคือน้ำชาที่ราวกับรู้ว่าเธอจะตื่นในเวลานี้ “ท่านฟื้นแล้ว”
ชิซุนกำลังจะเอ่ยถามว่า ‘จิคาเงะล่ะ?’ แต่คำพูดกลับเปล่งออกไปว่า “เราอยู่ที่ไหน?”
“ฐานบัญชาการค่ะ คุณฮิจิคาตะก็อยู่ที่นี่ แต่พวกเขากำลังประชุมกันอยู่” จิซึรุวางน้ำชาไว้ที่ข้างหัวเตียง “หลังจากที่เรามาถึงเอโสะ ท่านก็หลับไปสองวัน คุณคาซามะบอกว่ามีบางอย่างที่ต้องกลับไปทำที่ตระกูลเลยให้ท่านพักฟื้นที่นี่”
เด็กสาวหันมา มองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน “เขาบอกว่าเสร็จธุระแล้วจะกลับมารับ...น่ะค่ะ”
“...งั้นเหรอ?” เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว คราวนี้ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาคู่สนทนาไปได้เลย
“คาซามะยังบอกอีกว่าให้ท่านพี่ ‘จัดการธุระให้เสร็จโดยเร็ว’ ด้วยนะคะ ท่านมีอะไรที่ต้องทำก่อนหรือเปล่าถึงได้มาที่เอโสะ?”
อย่างนี้นี่เอง...ชิซุนคิดในใจ คาซามะรู้แล้วถึงสาเหตุที่เธอมาที่นี่ เธอควรจะสะกิดใจตั้งนานแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ปริปากเอ่ยถามตลอดทางที่พวกเราเดินทางมาด้วยกันเลยสักนิด
แสดงว่าความทรงจำ...กลับมาเกือบหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ?
หญิงสาวหลับตา เริ่มรู้สึกที่จะปล่อยวางเรื่องความทรงจำของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว ตัวเธอที่เติบโตขึ้นมาขนาดนี้
กลายเป็นเรื่องตลกไปเลยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอยากจะจำมันได้ถึงขนาดนั้น แต่ใครจะไปรู้กันว่าหลังจากที่พวกยักษ์ตัดสัมพันธ์ระหว่างกันหมู่บ้านของโยเซจะล่มสลายลงทันทีกันล่ะ? มันเท่ากับว่าที่ทำมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่าสิ้นดี
แต่จะรำพึงหรือหัวเราะยังไง ชิซุนก็รู้สึกว่ามันกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว ในยามนี้เธอไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ต้องคอยระแวงต่อชายหนุ่มอีกต่อไปหรือแม้แต่คนที่เป็นคนบงการเบื้องหลังของการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์อย่างโคโดก็หายสาบสูญไปแล้ว นางุโมะ คาโอรุก็ไม่มีข่าวคราวจากที่ไหนเลยสักนิด
เรื่องทุกอย่างกำลังดำเนินมาถึงจุดจบ เหลือเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของเธอ
‘จัดการธุระให้เสร็จโดยเร็ว’...อย่างนั้นเหรอ? หญิงสาวหัวเราะ หากเขากลับมาตอนที่เธอทำธุระเสร็จ จะโดนต่อว่าเหมือนเด็กเล็กๆ หรือเปล่านะ?
ข้าจะตามล่าเจ้า
เสียงทุ้มต่ำที่เคยได้ยินในอดีต ตอนนี้อีกฝ่ายคงทำตามที่ตัวเองลั่นวาจาได้เสียแล้วละมั่ง
เธอถูกเขาจับไว้ซะจนไปไหนไม่ได้
“มีอยู่อีกเรื่องเดียวที่ข้ายังทำไม่เสร็จน่ะ”
ไม่ใช่เรื่องของคาโนะ เจ้าตัวในตอนนี้คงทำสิ่งที่ตัวเองต้องการสำเร็จไปแล้ว อีกฝ่ายคงหายตัวเข้ากลีบเมฆ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์อีก
งานตามล่าของเธอก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
คิดแล้วก็ช่างโหวงเหวงในใจ...ที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตในการตามหาเป้าหมายมาโดยตลอด ไม่ได้คิดเอาไว้เลยว่าหลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลงจะทำอะไรต่อไป
“ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ?” เด็กสาวถาม ยังคงไร้เดียงสาจนน่าหัวเราะ
ชิซุนยิ้มเบาบาง ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอกำลังเรียกร้องหาฟูกนอนอีกครั้งหนึ่ง
“เรื่องสำคัญน่ะ แต่ไม่ได้ยุ่งยากอะไรจนเจ้าต้องเป็นห่วงหรอก”
ใช่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไรเลยสักนิด เพราะฮิจิคาตะ โทชิโซคือคนสุดท้าย ศึกตัดสิ้นคือเวลาสิ้นสุดของสงคราม
หากเวลานั้นมาถึง เรื่องที่เธออยากทำก็ถือว่าสิ้นสุดลงทันที
มันคือการทำเพื่อเด็กน้อยอันเป็นที่รักของโยเซเป็นครั้งสุดท้าย
ความปรารถนาที่นางขอจะเป็นความจริง
++++++++++
Talk : หลังจากนี้อาจจะช้านิดนึงนะคะ เรายุ่งมากเพราะเรื่องงานที่ใกล้จะถึงสิ้นเทอมเเล้วค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สำนวนภาษาดีงามมากๆ ค่ะได้อารมณ์มาก รอตอนต่ออยู่นะคะ>3<