ตอนที่ 13 : 13 คลื่นความโกลาหลที่สาดซัด
13 คลื่นความโกลาหลที่สาดซัด
ความขัดแย้งจากใต้สำนึก
ชักพามาซึ่งความแตกหัก
รุนแรง...ดาบทั้งสองด้ามที่ปะทะเข้าใส่กัน เพราะแรงอารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อนนั้นรุนแรงจนบรรยากาศสั่นไหวและสร้างความเสียหายมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาจนเด็กสาวใจเสีย
จิซึรุรู้สึกร้อนรนจนอยากร้องไห้ แต่คำพูดของเธอไม่มีใครได้ยินอีกแล้ว
ในเมื่อตอนนี้ฮิจิคาตะ โทชิโซกำลังโกรธเกรี้ยวราวกับปีศาจ...นั่นเพราะซามูไรที่เป็นพวกพ้องถูกฆ่าตาย ส่วนคาซามะนั้นแม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แต่ตอนนี้ก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าไม่ต่างกัน เพราะโดนดูถูกเหยียดหยาม
ไม่ได้...เธอหยุดไม่ได้ พวกเขากำลังจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง
รองหัวหน้าหน่วยที่ดื่มโอจิมิซึเข้าไปจนกลายเป็นราเซ็ตสึนั้นสามารถปะมือกับคาซามะได้อย่างสูสี แม้สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะทำให้ชายหนุ่มเดือดดาลจนถึงขั้นกลับร่างยักษ์ของตัวเองก็ตาม เขาทั้งสี่ที่หน้าผากนั้นช่างน่าเกรงขาม สมกับเป็นนายเหนือแห่งตระกูลคาซามะที่แข็งแกร่ง
ถึงตอนนี้จะมีคู่ปรับที่ทัดเทียมแล้วก็ตาม
“หยุดเถอะค่ะ คุณฮิจิคาตะ!”
ไม่เอาแล้ว เธอไม่อยากเห็นใครต้องบาดเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว
หยุดการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์นี่สักที!
ร่างสองร่างโรมรันเข้าหากันอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ชัดเจนที่สุดว่าจะรุนแรงอย่างแน่นอน เด็กสาวตะโกนก้อง ขาทั้งสองลุกยืนขึ้นคิดจะเข้าไปขวางกลางซะให้จบเรื่อง
ในตอนนั้นที่มีคนเข้ามาขวางเสียก่อน
แว่วเสียงได้ยินบางอย่างกระซิบลอดไรฟันมาว่า “เลิกกัดกันเป็นหมาบ้าสักที”
ความเย็นเฉียบแผ่กระจายเต็มพื้นจนกลายเป็นพื้นน้ำแข็งบางๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นตัวคนทำที่คงจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง และเงาอีกสองร่างที่เข้าไปขวางกลาง
ฝุ่นตลบจนต้องพินิจมอง ก่อนจะพบว่าเป็นอามากิริที่เข้ามารับดาบที่คาซามะฟันแทน
แต่อีกร่างที่เข้ามาขวางนั้น คือยามาซากิที่ถูกฟันเข้าที่หลังจนทรุดไปอยู่กับพื้น
“ยามาซากิ?”
ราวกับถูกตีหัวจนได้สติ แม้แต่สีผมสีขาวโพลนยังเปลี่ยนกลับมาเป็นสีดำขลับ ลูกน้องของตนที่สลบไปแล้วนั้นเป็นบทเรียนที่ได้ที่จะต้องจำไปจนวันตาย
เด็กสาววิ่งเข้าไปหา ตัวเธอเองนั้นก็ร้อนรนไม่ต่างกัน ยิ่งมองเห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่พาดบนหลังของนินจาหนุ่มก็ยิ่งตื่นตระหนก ไม่สนใจแม้แต่ว่าสองยักษ์นั้นจะหายไปแล้วก็ตาม หรือแม้แต่ที่มาของไอเย็นนั้นที่หายไปทันทีที่ทุกอย่างหยุดลง
ตัวเธอในตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
“คิดจะทำอะไร คาโนะ?”
เอ่ยถามคนที่เข้ามาขัดจนพาเธอห่างไกลออกมาจากที่เด็กสาวอยู่ตรงนั้น ชิซุนจ้องมองชายหนุ่มสีเพลิงตรงหน้าที่ดูสุขุมลงมากกว่าครั้งล่าสุดที่ได้เจอกัน
แต่ประเด็นที่ทำให้เธอหวาดหวั่นไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“จิซึรุเป็นยักษ์ เจ้าคิดจะทำอะไรนาง?”
เธอมองเห็น ชั่วแวบเดียวที่เจอหน้ากัน เผลอสบเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองเด็กสาวที่กำลังร่ำร้องอยู่ตรงกลางระหว่างฮิจิคาตะกับคาซามะนั่น...มันเป็นดวงตาของคนที่เจอเหยื่อแล้ว
“นี่...ไม่นานมานี้ข้าไปรู้อะไรดีๆ เข้าล่ะ ชิซุน” ชายหนุ่มว่า ค่อยๆ เบือนหน้ามาหาเธอช้าๆ พร้อมกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ว่าคนที่เป็นคนสั่งเจ้าพวกนั้นน่ะ เป็นยักษ์ด้วยล่ะ”
อย่านะ...หญิงสาวร่ำร้อง...อย่าแม้แต่จะคิดแบบนั้นนะ
“เพราะฉะนั้นน่ะ ก็แสดงว่าพวกมันทั้งหมดก็ต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยสิ ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” เผลอโพล่งออกไปอย่างลืมตัว กว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่ถูกประชิดตัวจนหลังกระแทกกับต้นไม้เสียแล้ว
ชายหนุ่มจ้องมองลงมา ดวงตาวาวโรจน์น่ากลัว “พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าก็รู้แล้วสินะ แต่ไม่ยอมบอกอะไรข้าอย่างนั้นเหรอ?”
คางถูกบีบจนเจ็บ บังคับให้เงยประจัญกัน คาโนะเหยียดยิ้มเย็น “เป็นเด็กไม่ดีเลยนะ ชิซุน”
ชิซุนจ้องกลับ รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาเช่นเดียวกัน “คิดจะฆ่าพวกยักษ์เหรอ เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้จริงๆ เหรอ คาโนะ?”
เป็นไปไม่ได้ แม้จะบอกว่าตัวเองเหนือกว่ามนุษย์แค่ไหน แต่เผ่าพันธุ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันนั้นชิซุนกล้าพูดได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่มีทางชนะได้อย่างแน่นอน
“รู้อะไรไหม ข้าเองตอนนี้ก็เริ่มจะเบื่อที่จะกังวลว่าเจ้าจะเข้ามาขวางแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่ที่รู้ว่าเป้าหมายหลักเป็นใคร...ข้าก็มั่นใจได้เลยว่าเจ้าจะต้องเข้าข้างพวกมันแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ? ทั้งเด็กนั่นที่ประคบประงมซะเหมือนน้องสาว ทั้งเจ้าพวกคาซามะที่จุ้นไม่เข้าเรื่องนั่นอีก จริงไหม!?”
“อย่างบังคับให้ข้าต้องพูด คาโนะ...”
ไอเย็นยะเยือกก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง ปะทะเข้ากับความร้อนระอุจากตัวของอีกฝ่าย ฝ่ามือที่แตะต้องผิวเธอนั้นช่างร้อนราวกับไฟ ดวงตาสีน้ำแข็งของชิซุนวาวโรจน์อย่างน่ากลัว อารมณ์ของเธอตอนนี้เองก็เกรี้ยวโกรธไม่ต่างจากอีกฝ่ายเลยสักนิด
“ไม่อยากฟังสิ่งที่ข้าคิดหรอกเหรอ เพื่อนรัก?” แรงบีบที่คางแรงขึ้นอีกจนต้องนิ่วหน้า แต่คาโนะในยามนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตอนบ้าคลั่งเสียอีก
เหมือนผืนน้ำที่นิ่งสงบ แต่ใต้น้ำกลับเต็มไปด้วยคลื่นรุนแรงที่พร้อมจะกำจัดทุกสิ่งที่ตกลงไป
“ข้ามีความคิดดีๆ อยู่อย่างหนึ่งล่ะ”
ไม่เลย...มันไม่เคยเป็นความคิดที่ดี หญิงสาวจ้องตาอีกฝ่ายวาววับ
คาโนะแสยะยิ้ม ก้มลงกระซิบข้างหูเสียงแผ่วว่า “ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าดีหรือเปล่า?”
“!”
เสี้ยววินาทีเท่านั้น เพียงเสี้ยววินาทีที่หญิงสาวเผลอชะงักงันกับคำพูดของอีกฝ่าย เธอก็ต้องยกมือขึ้นกำใบดาบที่เสือกแทงเข้ามาใกล้ตำแหน่งหัวใจแทบไม่ทัน มือถูกบาดลึกจนเลือดอาบ เจ็บปวดจนอยากจะปล่อยทิ้งซะแต่ก็ทำไม่ได้ มือของเธอสั่นเทาต้านทานแรงที่เสือกแทงมาอย่างไม่ลังเลนั้นอย่างยากเย็น
กล้าแทงเธอเหรอ?...ดวงตาสีน้ำแข็งวาวโรจน์
กล้าแทงเธอที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างนั้นเหรอ!?
ไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรือความรู้สึกอื่นกันแน่ที่เป็นตัวขับเคลื่อน ชิซุนดันดาบนั้นออกด้านข้างได้สำเร็จ ก่อนจะกระโจนเข้าไปบีบคออีกฝ่ายโดยไม่มีการลังเล
ไม่ลังเล
ไม่ไขว้เขวอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่เธอคิดไม่ใช่ทางที่จะหยุดคาโนะ แต่เป็นหนทางที่จะปราบอีกฝ่ายลงตรงนี้เสียให้อยู่หมัด
เพียงแต่แรงผู้ชายยังไงก็ต้องชนะผู้หญิงวันยังค่ำ ท่อนแขนของเธอถูกกระแทกออก มือที่บีบคออีกฝ่ายอยู่หลุดออกอย่างง่ายดาย คาโนะฟาดดาบเข้าใส่ตรงสีข้าง ร้อนจนเธอต้องถอยออกมาโดยเร็ว
แต่เพราะถอยออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเสียหลักเกือบล้ม เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่ได้อย่างไม่น่าให้อภัย หญิงสาวกัดฟันแน่น มองประกายดาบที่แทงเข้ามาที่ตนอย่างสิ้นหวัง
ไม่ไหวอย่างนั้นเหรอ?
เคร้ง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธอต้องกระพริบตาปริบอย่างตั้งตัวไม่ติด มองดาบของคาโนะที่ตกไปอยู่ไกลด้วยดาบอีกเล่มที่ถูกขว้างมาอย่างไร้ทิศทาง หญิงสาวอาศัยจังหวะนี้ในการผลักอีกฝ่ายออกสุดแรงก่อนจะรีบหนีออกมาให้เร็วที่สุด
เธอสู้ตอนนี้ไม่ได้...ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นบอกได้ชัดเจนว่าเธอพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ชิซุนต้องกลับไปตั้งหลักก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าร่างกายจะกลับมาเป็นปกติ
แต่ความคิดนั้นมักจะสวนทางกับคำพูดเสมอ แข้งขาของเธอวิ่งได้ไม่นานก็หมดแรงจนต้องพิงกับต้นไม้แถวนั้นเสียแล้ว หญิงสาวรู้สึกเหมือนหน้าอกกำลังโดนคว้านออกไป หายใจหอบหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนต้องลงไปนั่งแหมะกับพื้นดิน
หมดแรงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?...นึกเจ็บใจตัวเองไม่น้อยที่พักหลังๆ มานี้เริ่มจะทำอะไรติดขัดไปเสียหมด น่าหงุดหงิดจริงๆ
มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ แต่ชิซุนในตอนนี้หมดหนทางที่จะลุกขึ้นมาเสียแล้ว หญิงสาวเหลือบตาไปมองด้วยความอยากลำบาก หนังตาเองก็หนักจนแทบจะปิดกันอยู่แล้ว
ง่วงอีกแล้ว...คงเป็นเพราะออกแรงเยอะแน่ๆ
มือถูกจับให้ยกขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มที่ห้วนสั้นอย่างไม่พอใจ “ทำไมไม่ยอมหายอีกแล้ว?”
หญิงสาวเปิดดวงตาขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะพบเข้ากับใบหน้านิ่งเรียบของชายหนุ่ม บริเวณข้างแก้มยังมีคราบเลือดที่เช็ดออกไปไม่หมดติดอยู่เบาบางอีกด้วย
“จิคาเงะ?” ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ตามมาได้ยังไง?”
เสียงหัวเราะขึ้นจมูกรอบหนึ่งก่อนจะตอบเสียงเย็นว่า “หูตาข้าไม่ได้คับแคบ”
ช่างเป็นคนที่หยิ่งทระนงซะจริง...อดคิดแบบนั้นไม่ได้ แต่ถึงจะหยิ่งทระนงแค่ไหนก็ใช่ว่าจะมีนิสัยด้านนี้เพียงด้านเดียว
ชิซุนถูกฉุดให้ยืนขึ้น แม้จะซวนเซเพราะความง่วงงุนที่เริ่มเกาะกินสติ แต่ก็ยังพอรู้ว่ามือข้างที่บาดเจ็บถูกพันไว้อย่างแน่นหนา พอมองคนที่ไปหาผ้ามาจากไหนไม่รู้ก็กลายเป็นว่าถูกเบือนสายตาหนีซะอย่างนั้น
“ไปกันได้แล้ว”
“แต่คาโนะ...” เธอร้องท้วง คิดไปถึงชายหนุ่มอีกคนที่พึ่งปะทะกันมาเมื่อครู่แล้วก็ได้แต่คิดระแวง กลัวว่าอีกฝ่ายจะยังตามเธอมาอยู่หรือเปล่า
เพราะอีกฝ่ายในตอนนี้คงคิดที่จะฆ่าเธอจริงๆ แล้ว
ในตอนที่แทงดาบมาที่หน้าอกก็ไม่มีการลังเลใดๆ อีกแล้ว เจ้านั่นคงจะตัดสินเอาเองไปเสียแล้วว่าเธอจะเข้าข้างฝั่งไหน
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาอีกแล้ว เธอไม่ชอบเอาเสียเลยที่มีคนมาทำเป็นรู้เกี่ยวกับเธอไปเสียทุกเรื่อง
ทั้งๆ ที่ยังไม่ใช่พูดออกไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ...กลับถูกตัดสินไปซะแล้ว เพราะความไม่เชื่อใจ ชิซุนเกลียดจริงๆ
เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่อยากรู้เสียหน่อยว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ แต่เพราะผู้ต้องสงสัยกลับไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คิด แล้วยิ่งเป็นพ่อของจิซึรุที่เคยช่วยเหลือตัวเองไว้ มันเป็นธรรมดาที่จะต้องคิดให้รอบคอบแล้วหาความจริงให้เจอไม่ใช่หรือไง? ไม่ใช่มาตามฆ่าไม่เลือกแบบนี้...
เงยมองแผ่นหลังที่อยู่ด้านหน้าแล้วก็ได้แต่รู้สึกแย่ลงไปอีก...ถ้าคาโนะบอกจะฆ่าจริงๆ คาซามะและยักษ์ตนอื่นๆ ก็คงตกอยู่ในอันตรายด้วยเช่นกัน แต่เธอจะต้องบอกพวกเขาเหรอว่าโยเซคิดจะทำอะไร?
ไม่ ถ้าบอกตอนนี้ จะไม่ได้มีแค่สงครามของพวกมนุษย์แน่ๆ ที่ปะทุ แต่จะรวมถึงเผ่าพันธุ์ของเธอที่จะโดนไล่ล่าด้วยเช่นกัน
โยเซเหลือไม่มากแล้ว ไม่ว่ายังไงชิซุนก็ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียกับฝ่ายไหนทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น...
“เจ้านั่นไม่ตามมาหรอก โดนพวกกองทัพซัตโจดึงความสนใจไปแล้วล่ะ ตอนนี้คงพัลวันอยู่กับเจ้ารองหัวหน้านั่นกับยูคิมูระ จิซึรุนั่นแหละ”
นี่มันแย่กว่าที่เธอโดนตามอีกไม่ใช่เหรอ?
หญิงสาวหยุดเดิน คิดจะกลับไปทางเดิมอีกครั้งด้วยความร้อนใจ แต่ข้อมือก็กลับโดนชายหนุ่มฉุดดึงไว้เสียแน่นราวกับคีมเหล็ก ใบหน้าของคาซามะตอนนี้ถมึงทึงเสียจนเธอต้องชะงัก สัมผัสอารมณ์โกรธที่แผ่ออกมาชัดเจนนั้นหยุดการกระทำที่ไม่คิดหน้าคิดหลังของตัวเองชะงัก
“สภาพเจ้า หากไปจะทำอะไรได้ ตอนนี้แม้แต่จะเดินยังไม่มีแรง ออกไปก็เท่ากับตายเปล่า” กระแสเสียงเย็นว่าออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม ก่อนที่จะออกเดินโดยฉุดให้เธอเดินตามออกมาอย่างเอาแต่ใจ
“เดี๋ยวสิ...แต่ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปกับเจ้านะ จิคาเงะ”
แรงบีบแรงขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้หยุดพูดซะ
“สำนึกบุญคุณแล้วหุบปากซะ ข้าอารมณ์ไม่ดี อย่ามาชวนทะเลาะกันตอนนี้”
หญิงสาวเงียบลงทันที ปล่อยให้อีกคนทำตามใจแต่โดยดี
คงเพราะเรื่องที่ฮิจิคาตะเกือบเอาชนะตัวเองได้หรือเปล่านะ? อาจจะใช่ก็ได้ เพราะนั่นก็เป็นแค่มนุษย์ที่ตนเคยสบประมาทเอาไว้นี่นา จะรู้สึกโดนหยามเกียรติก็ไม่แปลก
แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ตัวเธอในยามนี้คงไม่เหมาะที่จะพูดเป็นทำนองว่าเข้าใจอีกฝ่ายได้ แบบนั้นจะยิ่งทำให้คาซามะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม
คงต้องรอให้อารมณ์เย็นลงกว่านี้อีกหน่อยถึงจะคุยกันรู้เรื่อง เพราะตัวเธอเองก็รู้สึกเป็นห่วงคนที่เหลือจนคิดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน แล้วไหนจะเรื่องของโคโดอีกล่ะ
มีแต่เรื่องน่าปวดหัว
หญิงสาวมองแผ่นหลังที่เดินนำตนไป มือที่จับข้อมือตัวเองมั่น...ตรงหน้านี้ก็อีกเรื่องที่เธอเป็นห่วง
คาซามะจะมีส่วนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่านะ? แต่เรื่องที่นางุโมะ คาโอรุว่าก็เหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หรือว่าแม้แต่พวกยักษ์เองก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องไม่ลงรอยกันอย่างนั้นเหรอ?
“ตอนนี้โคโดทรยศซัตสึมะแล้ว”
ราวกับโดนอ่านใจ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองทันที แต่ชายหนุ่มไม่ได้หันมาหา ราวกับแค่จะบอกเล่าให้เธอฟังเท่านั้น ไม่อนุญาตให้พูดถามใดๆ ทั้งสิ้น
“เจ้านั่นเป็นตัวอันตราย”
เป็นคำสั่งกลายๆ ...บอกว่าอย่าให้เธอหยุดตามหายูคิมูระ โคโดซะ
หญิงสาวนิ่งเงียบ ไม่มั่นใจเอาเสียเลยที่จะตอบรับไปอย่างไม่ลังเลเหมือนทุกที นั่นส่งผลให้ชายหนุ่มชะงักงันในทันทีแล้วหันมาเผชิญหน้ากันราวกับกำลังกดดัน
ชิซุนเงยหน้ามอง ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยตอนที่สบตากับดวงตาสีแดงของอีกฝ่าย แม้ใบหน้าของคาซามะจะยังนิ่งอยู่ก็ตาม แต่มีบางอย่างที่บอกเธอว่าอีกฝ่ายกำลังบังคับให้เธอพยักหน้ารับคำซะ
ไม่ได้...ห้ามตกลงเด็ดขาด
แต่พอยังนิ่งเฉย ร่างสูงก็ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้เข้ามาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดบนใบหน้า โน้มต่ำลงมาจนแทบจะมองเห็นไม่ชัด
อันตราย...ครั้นพอจะถอยออกไปก็โดนจับไหล่ไม่ให้ขยับไปไหนอีก พาลให้รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกขณะที่ไม่มีใครปริปากพูด หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนหัวสมองเริ่มขาวโพลน
จนในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว รู้สึกอันตรายกับตัวเองขึ้นทุกครั้งที่จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ
“ไม่...”
ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ ไม่พอใจกับคำตอบอย่างชัดเจน
“ข้ายังมีหลายอย่างที่ต้องทำ ตัวข้าตอนนี้ไม่สามารถให้สัญญากับใครได้ทั้งนั้น”
เปลือกตาหนักอึ้งอีกแล้ว...ง่วงนอนขึ้นมาอีกแล้ว หากไม่ได้มือที่ยึดไหล่ไว้ทั้งสองข้าง ชิซุนคงล้มลงไปแล้ว
“เพราะฉะนั้น ข้าให้สัญญาไม่ได้หรอก...จะไม่สัญญาอะไรอีกแล้ว”
ร่างเอนไปด้านหลัง ภาพของคาซามะที่เริ่มขมวดคิ้วงุนงงห่างไกลออกไปทุกที
“แค่เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าเรื่องเดียวเท่านั้นก็มากพอที่ข้าจะไม่สัญญาอะไรกับใครได้อีกแล้ว...”
ร่างถูกดึงเข้าหา ได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ตัวเธอในตอนนี้เหมือนจะหมดพลังในการลืมตาตื่นเสียแล้ว ต้องโทษตัวเองที่โหมร่างกายหนักจริงๆ
“บ้าจริง...”
คงต้องนอนหลับสักพัก ไว้ตื่นขึ้นมาก็ค่อยคิดใหม่ว่าจะเอายังไงต่อจากนี้ดี
ร่างจมเข้าสู่ห้วงนิทราโดยทันที รู้สึกเบาโหวงราวกับลอยอยู่ในอากาศและมีไออุ่นโอบล้อมเอาไว้
ชิซุนซุกเข้ามาไออุ่นที่ว่า รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยหากเธอจะหลบอยู่ตรงนี้จนกว่าจะตื่น ราวกับรับรู้ว่าครั้งนี้ฝันร้ายจะไม่เข้ามารบกวนอย่างแน่นอน
แว่วเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไกลๆ คล้ายกับหยอกล้อเธอที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ
“...ช่างเป็นคนที่ทำให้ข้ายุ่งยากเสียจริง”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เย้ ดีใจมากๆอ่ะที่มาต่อแล้ว คิดถึง งือT^T