คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : After Moonlight, before Sunshine...ก่อนฟ้าจะสาง>>>แม่ พ่อ และปรางค์
“แม่ พรุ่งนี้ครูที่โรงเรียนเค้าอยากให้แม่ไปพบหน่อยน่ะ”
อยู่ๆปรางค์ก็เปิดบทสนทนาขึ้นขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร กับอาหารเช้าเลิศรสที่ฉันก็ได้แต่นั่งมองแล้วนึกถึงรสชาติที่เคยลิ้มลองมาตลอดเวลาเกือบ 18 ปีของชีวิตฉัน แต่ตอนนี้ก็ได้แค่มองเท่านั้นแหละ
แม่ที่ในตอนแรกกำลังนั่งจิบกาแฟพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์วางหนังสือพิมพ์ลงฉับพลัน ก่อนส่งสายตาที่เป็นฉันก็คงขยาดสายตานั้นที่สุด ถ้ามันไม่ได้มาจาดคนที่ฉันเรียกว่าแม่ล่ะนะ
“ก่อเรื่องอะไรมาอีกล่ะเรา ให้มันได้อย่างนี้สิ มีซักวันไหมที่จะไม่มีเรื่องมาให้แม่ปวดหัวน่ะ เมื่อวานก็ยายเปรมคนละ บอกว่าให้รออยู่หน้าโรงเรียนๆก็ไม่เคยฟัง แล้วนี่ก็ยังมาเรื่องเราอีก ไปทำเรื่องอะไรมาล่ะคราวนี้”
แม่พูดรัวเร็วโดยไม่เหลือบมอง ไม่สิ แม่มองแต่อาจเพราะความโกรธของแม่จึงทำให้แม่ไม่ทันสังเกตสายตา และใบหน้าของปรางค์
ถ้าฉันทำได้ฉันอยากจะตะโกนบอกแม่ให้หยุดแล้วฟังน้องก่อนจริงๆ
“ว่าไงล่ะ มันเรื่องอะไรครูเค้าถึงต้องให้แม่ไปพบน่ะ”
ปรางค์หลุบตาลงต่ำพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ในขณะที่มือก็เก็บจานอาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะรวมทั้งถ้วยกาแฟของแม่ ไม่มีทีท่าว่าจะมีคำตอบออกมาจากปากของน้องสาวของฉันเลย
ฉันเองก็ได้แต่พูดกับตัวเองในใจ ขอให้อย่ามีระเบิดลงตอนเช้านี้เลย
“ปรางค์ อย่ามาทำกริยาแบบนี้กับแม่นะ เราทำผิดแล้วยังมาทำตะบึงตะบอนใส่แม่อีก”
นั่นไง ขาดคำซะที่ไหน
ปรางค์วางจานที่กำลังจะเอาไปเก็บในครัวลง ก่อนจ้องหน้าแม่ด้วยสายตานิ่งๆ พอๆกับเสียงที่เอ่ยออกมา
“ปรางค์ตะบึงตะบอนตรงไหนหรือคะ ปรางค์แค่จะเอาจานไปเก็บก็แค่นั้น”
แม่สูดลมหายใจช้าๆอย่างพยายามข่มอารมณ์ แล้วเอ่ย
“แม่หมายถึงกริยาที่แม่ถามแล้วไม่ยอมตอบ แล้วยังจะมาเก็บจานเสียงดังประชดแม่ นี่ยังบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ”
ปรางค์เสมองไปทางอื่นพลางถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ตัวปรางค์น่ะไม่ได้ตั้งใจทำอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้าแม่จะเห็นเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลก ปรางค์เข้าใจว่าในสายตาแม่ปรางค์คงไม่ดีไปกว่านี้แล้ว ปรางค์ขอโทษค่ะ”
พูดจบปรางค์ก็ยกจานไปวางไว้หลังบ้านทันที
ฉันมองตามหลังปรางค์ไปได้พักเดียวก็หันมามองแม่ที่นั่งมองปรางค์ที่เดินจากไปหลังบ้านแน่นิ่ง สายตาของแม่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่เหมือนกำลังเห็นปรางค์กำลังจะหนีจากไปไกลแสนไกล แล้วแม่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะรั้งไว้
และก็เป็นอีกครั้งเหมือนในทุกๆเช้าจากวันนั้น ที่แม่ร้องไห้เงียบๆที่โต๊ะอาหาร โดยมีฉันนั่งอยู่ข้างๆ
โครม!
ปรางค์วางจานลงด้วยความแรงก่อนเท้ามือทั้งสองกับอ่างล้างจานด้วยความเหนื่อยล้า น้ำตาที่กลั้นมาตลอดพลันไหลออกมาไม่หยุดแม้เจ้าตัวจะพยายามปาดมันแค่ไหน มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซักที
“พี่ปรางค์ ทะเลาะกับแม่เหรอ”
เสียงเล็กๆอันคุ้นเคยของเปรมทำให้ปรางค์ต้องรีบเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา แล้วหันไปยิ้มให้น้องเล็กของบ้านที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ
“ก็เป็นงี้ทุกวันอยู่แล้วนี่ ยังไม่ชินอีกเหรอเราน่ะ”
ปรางค์พูดปนหัวเราะทั้งๆที่หน้าตาไม่ได้บ่งบอกถึงการอยากหัวเราะเลยซักนิด
“จะให้ชินได้ไงล่ะ คนทะเลาะกันนะพี่ ต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปีเปรมก็ไม่ชินขึ้นหรอก”
เปรมว่าพลางมือก็หยิบขนมปังกับไส้กรอกที่เตรียมไว้ใส่ในกล่องพลาสติก
“อ้าว จะไปเลยเหรอ ไปกินข้าวก่อนสิเปรม แล้วนั่นพกไปเยอะขนาดนั้นจะกินหมดเหรอ”
ปรางค์เอ็ดขณะเห็นน้องตัวเองหยิบเอาไส้กรอก ขนมปังปิ้ง ตักข้าวและกับข้าวใส่กล่องมากกว่าปกติ
“เอาไปเผื่อข้าวเช้านี่แหละ เปรมไม่อยากไปนั่งกินข้าวกับแม่ตอนนี้ แม่อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เรื่องเปรมเมื่อวานละ เช้านี้ก็ทะเลาะกับพี่ปรางค์อีก ขืนวันนี้ไปกินข้าวด้วยระเบิดได้ลงเปรมอีกแหง”
ปรางค์หัวเราะกับความคิดของน้อง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตนก็ไม่อยากไปนั่งกร่อยมองน้องกินข้าวพร้อมมองหน้าแม่ไปด้วยหรอก
“เออ พี่ปรางค์ วันนี้มารับเปรมได้ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“เปรมไม่อยากให้แม่มารับนี่ แล้วเราจะได้ไปหา...”
“ชู่ว... อย่าพูดดังสิเปรม เดี๋ยวแม่ได้ยินแล้วเดี๋ยวอดนะ ได้ๆ เดี๋ยวพี่ไปรับ งั้นไปบอกแม่เองละกัน แล้วรีบเอาของมาเลยพี่จะไปละ ไปช้าเดี่ยวรถติด”
เปรมได้ฟังคำตอบก็ดีใจรีบวิ่งไปห้องทานข้าว แม้จะยืนเก้ๆกังๆ เพราะมีเรื่องกับแม่เมื่อวานนี้อยู่ แต่เพราะความอยากไปมากก็กัดฟันถามไปว่าจะให้ยายปรางค์มารับได้ไหม แม่เองก็ไม่อยากพูดอะไรมากจึงได้แต่บอกว่าได้ แต่อย่ากลับค่ำละกัน เจ้าตัวเล็กเลยลืมความกลัวแม่ดุโดยฉับพลันวิ่งเข้าไปกอดพร้อมหอมแก้มแม่ ปากก็ขอบคุณเอาขอบคุณเอา ก่อนรีบตะโกนลั่นบ้านเพื่อบอกยายปรางค์ว่าแม่อนุญาต
ฉันมองภาพเหตุการณ์นี้พลางยิ้มเบาๆ นึกในใจคนเดียวว่าจะดีใจกับยายปรางค์ที่แม่ยอมอนุญาตดี หรือควรจะเสียใจกับชีวิตที่เปลี่ยนไปของครอบครัวฉันดี
แม่ไม่เคยต้องมานั่งร้องไห้ตอนเช้าแบบนี้
เปรมไม่เคยต้องมาหวาดกลัวทุกครั้งที่จะขออะไรก็ตามจากแม่
บ้านเราไม่เคยเต็มไปด้วยเรื่องที่ทำให้ต้องร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าขนาดนี้
และสำคัญสำหรับฉันที่สุด และฉันว่าฉันคงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ก็คือ ยายปรางค์ คนที่ต้องทนทุกข์ที่สุดเป็นเวลาตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา
ทุกอย่างมันควรจะจบได้แล้ว ไม่อย่างนั้น ฉันก็คงไม่สามารถไปจากที่นี่ได้ซักที
เวลาเลิกเรียนช่างเป็นเวลาที่แสนสุขสำหรับนักเรียนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในช่วงชั้นไหนก็ตามซะจริงๆ ขนาดฉันที่ไม่ได้ยืนอยู่จุดนั้นแล้วยังรู้สึกถึงความสุขตอนเวลาครูเอ่ยคำว่า “เอาละ วันนี้พอแค่นี้ กลับบ้านได้ทุกคน” เฮ้อ แค่ได้ได้ยินไปพร้อมกับน้องสาวฉันมันก็เป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
“ปรางค์ ไปกินไอติมกันไหม ฉันเลี้ยง”
เด็กสาวร่างท้วมนิดๆ ในตาโตถูกห้อมล้อมไปด้วยกรอบแว่นสีแดงทรงสวย ผมที่ยาวถูกรวบตึงชนิดที่แทบไม่เห็นไรผมโผล่ออกมาซักเส้น นี่ถ้าไม่เห็นชื่อย่อโรงเรียนที่ปักอยู่ตรงอกเสื้อคงนึกว่าเจ้าหล่อน เรียนอยู่โรงเรียนนาฏศิลป์ข้างๆนี้เป็นแน่ สาวน้อยคนนี้เป็นคนที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเป็นหนึ่งในสองคนที่น้องสาวของฉันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนิทด้วย
“ไม่ล่ะ ฉันมีนัดแล้ว แกไปกับไอ้แพรเหอะ”
ปรางค์ตอบปฏิเสธพลางเก็บรวบรวมหนังสือและถุงใส่ดินสอลงในกระเป๋าอย่างไม่ได้สนใจว่าใบหน้าของเพื่อนสาวจะงอง้ำซักเพียงใด
“ตลอดเลยอ่ะ แก!”
เพื่อนยายปรางค์ก็ไม่วายแขวะเข้าให้ ปรางค์ยิ้มน้อยๆกับปฏิกิริยาของเพื่อนเลยกำลังจะอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่ไปด้วย แต่ดันโดนขัดคอด้วยเสียงของอีกหนึ่งสาวที่ฉันก็รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของยายปรางค์ไม่แพ้สาวคนแรกเลย
“แกพลาดแล้วล่ะ ถ้าแกไม่ไปฉันก็ไม่ไป ขืนให้ฉันไปกับไอ้ป่านสองคน มีหวังฉันคงไม่ได้เป็นอันกินไอติม เพราะยายนี่มีแต่จะชวนฉันส่องคนเสิร์ฟไอติมอยู่นั่นแหละ ฮ่าๆ”
เสียงห้าวๆ ผิดกับลักษณะภายนอกของเด็กสาวคนนี้เอามาก ไม่สิ อันที่จริงทุกอย่างในตัวสาวคนนี้ดูจะแปรผกผันกันเสียหมด ถ้าเทียบกับ “น้องป่าน” เมื่อครู่ที่ดูถูกระเบียบทุกประการแล้ว สาวคนนี้ก็ตรงข้ามเธอทุกประการ ผมที่มัดไว้หลวมๆ ใส่เสื้อใหญ่ผิดเบอร์จริง ถ้าไม่นับหน้าหวานๆที่ใครเห็นก็ต้องแอบมอง บุคลิกของ “น้องแพร” ก็เป็นอะไรที่คนเห็นแล้วต้องผงะกับความห้าว และบู๊เกินหญิงทั่วไป แต่ฉันยืนยันได้ว่าน้องเขาไม่ใช่พวกตีฉิ่งแน่นอน
“ปากแกนี่ เดี๋ยวๆ รอฉันเคลียปัญหากับยายปรางค์ก่อนแล้วเดี๋ยวเจอกัน ปรางค์ ไปเหอะนะ ครั้งล่าสุดที่ไปกินด้วยกันมันน๊าน นานมากเลยนะ”
“แกก็เวอร์ไป มันเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ใช่รึไง”
น้องฉันขัดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าประหนึ่งโลกนี้จะแตกสลายหากวันนี้เธอไม่ได้ไปกินไอติมกับน้องฉัน
“ก็นั่นแหละ มันก็นานอยู่ดี ไปกันนะๆ”
ป่านก็ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายามอยู่ดีทั้งๆที่น้องฉันย้ำแล้วว่ายังไงก็คงไม่ไป
“แต่ปรางค์ ความจริงมันก็นานแล้วนะ ฉันก็อยากไปเหมือนกันแหละ ไปด้วยกันเหอะ”
แพรชักเริ่มโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อนอีกคน ซึ่งนั่นก็ทำให้ป่านยิ้มร่าหันไปพยักพเยิดอย่างเห็นด้วยกับแพร แต่ฉันรู้ว่าอย่างไรเสียน้องฉันก็ไม่มีวันไปวันนี้แน่ๆ
“เอาไว้พรุ่งนี้ละกันนะแก วันนี้ฉัน...ฉันนัดกับไอ้เปรมไว้น่ะ ขอโทษทีนะ”
สองสาวพอได้ยินชื่อยายเปรมก็หน้าเสียไปนิดพลางมองหน้ากันไปมา ก่อนป่านจะเป็นฝ่ายพูดด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“อ้าวเฮ้ย แล้วก็ไม่บอกแต่แรก ไปที่เดิมใช่ไหม โธ่ ถ้าบอกอย่างนี้ฉันไม่ง้อให้อยู่หรอก จะรีบไล่ให้รีบไปด้วยซ้ำ”
“โทษทีนะแก เปรมมันอยากไปจริงๆน่ะ”
ปรางค์พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าพิกล แม้ใบหน้าจะพยายามส่งยิ้มกลับไปให้เพื่อนสนิททั้งสอง แต่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน มีหรือที่ทั้งป่านกับแพรจะไม่รู้ว่าในใจเพื่อนรู้สึกอย่างไร
“เออ ขอโทษทำไมแก นี่มันเรื่องสำคัญนะ ไอติมน่ะพรุ่งนี้ก็ยังทัน แกรีบไปเหอะ”
ไม่พูดเปล่าแพรก็รีบช่วยยัดข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋า โดยมีป่านเดินมาจัดเพ่าจัดผม พร้อมกับจัดการการแต่งตัวให้กับปรางค์
“ดูแลตัวเองให้มันดีๆ ทำให้ตัวเองดูดีหน่อย แกอยากให้เค้าสบายใจไม่ใช่มานั่งเศร้าไม่ใช่หรือไง ทำตัวให้มันเริงร่าหน่อยสิ”
ป่านพูดไปพลางมือก็จัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่ ปรางค์มองสิ่งที่เพื่อนทั้งสองทำแล้วอยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเขื่อนแตก จนพาเอาเพื่อนทั้งสองหน้าเสียรีบกุลีกุจอมาปลอบกันใหญ่
“เฮ้ย แกจะร้องไห้ทำไม ฉันพูดอะไรไม่ดีรึเปล่า ปรางค์ขอโทษนะ อย่าร้องนะอย่าร้อง”
ป่านที่หน้าเสียกว่าแพรชักใจไม่ดีที่อยู่ๆเพื่อนก็ร้องไห้มาซะอย่างนั้น จนพาลจะร้องไห้ตาม
“พอจะไปหาเค้าทีไรเป็นอันต้องไห้ทุกทีสินะ อย่าร้องนะ อย่างร้อง”
แพรเอ่ยพลางเข้าไปผสมโรงลูบหลังเพื่อนอีกคนหนึ่ง ปรางค์พยายามสูดลมหายใจให้ลึก มือทั้งสองพยายามปาดน้ำตาที่รินไหลออกมาเรื่อยๆให้หายไป พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นที่ทำให้เพื่อนทั้งสองของเธอ รวมถึงฉันต้องใจเสียไปตามๆกัน
“แกไม่ได้พูดอะไรผิดหรอกป่าน ไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ฉันดีใจน่ะที่มีพวกแกเป็นห่วงฉัน ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ไม่เกลียดฉัน ฉันดีใจจริงๆนะ”
และเหมือนทำนบที่ทุกคนพยายามกั้นเอาไว้พังทลายลงฉับพลันด้วยคำพูดนั้นของน้องฉัน ภาพที่ฉันเห็นจึงเป็นภาพของสามสาวยืนกอดกันกลมพร้อมร้องไห้ตัวโยนไปด้วยกัน
ตู๊ดๆๆ
เสียงรอสายที่ดังขึ้นยาวๆ พักหนึ่งทำให้ใจของชายคนที่ฉันเรียกว่า “พ่อ” เต้นตุ้มๆต่อมๆอย่างไม่เป็นจังหวะ ฉันเฝ้ามองพ่อมาตลอดระยะเวลาเกือบสองปี พ่อเปลี่ยนไปมากจากที่ฉันเคยเห็น พ่อเคยเป็นผู้ชายร่างใหญ่ พุงกลมโตทำให้ฉันและน้องๆอดไม่ได้ที่จะต้องพุ่งเข้าไปกอดพ่อทุกครั้ง ไม่ว่าจะก่อนไปโรงเรียน หลังกลับจากโรงเรียนหรือ แม้แต่ตอนที่พ่อนอนหลับ ฉันก็มักจะแอบดอดเข้าไปกอดพ่อทุกครั้ง พ่อมีแรงดึงดูดประหลาดที่ทำให้ลูกๆได้หัวเราะ มีความสุข อบอุ่นไปทุกๆการกระทำ ในขณะที่แม่มักจะยิ้มตาม กอดหอมพวกเราเป็นปกติ แต่แม่มีรังสีบางอย่างที่เราทั้งสามพี่น้องรู้ว่า คนนี้อย่าได้ริลองของเชียว แม้ว่าครอบครัวเราจะไม่เคยมีการลงโทษลูกด้วยไม้เรียว แต่ฉันและน้องทั้งสองก็ไม่เคยทำอะไรที่ผิดจากคำสั่งแม่เท่าไหร่
แต่นั่นคือเมื่อก่อนนะ ไม่ใช่ช่วงที่ผ่านมานี้ อย่างที่ฉันบอกว่าอะไรๆมันเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ
พ่อตอนนี้ผอมลงไปเยอะ หน้าที่เคยไร้หนวดเครากลับมีหนวดเครางอกขึ้นมาเต็มไปหมด ในตาดูว่างเปล่า ขอบตาดำเหมือนคนนอนน้อย เสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นอับชื้น เหม็นเหงื่อทำให้พอจะเดาๆได้ว่าพ่อคงสะสมผ้าที่ไม่ได้ซักมาได้ซักพักแล้ว
พ่อที่เคยเป็นคนสะอาด มีระเบียบวินัย ต้องกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะฉัน ฉันทั้งนั้น
(สวัสดีค่ะ บ้านทิศลักษณ์ค่ะ)
เสียงปลายสายที่ดังออกมาทำให้คนที่โทรไปถึงกับพูดอะไรไม่ออก มือไม้พลันสั่นไปหมด ทั้งหมดเหมือนกับว่าพ่อกำลังตกใจเสียงของคนที่รับโทรศัพท์ แต่ไม่ใช่หรอก พ่อรู้ว่าที่โทรไปน่ะคือเบอร์บ้านของเรา และคนที่รับก็คือแม่ ดังนั้น พ่อไม่ได้ตัวสั่นเหตุเพราะตื่นเต้นกับคนที่มารับสาย แต่กลัวมากกว่า กลัวการคุยที่กำลังจะเกิดขึ้น
“วิ นี่ผมนะ”
(...)
ปลายสายเงียบไปเหมือนจะตกใจเช่นกันในการโทรมาของพ่อ
(ไงคะ คุณสบายดีไหม)
“อืม ผมสบายดี มีข้าวกินทุกมื้อ ตื่นเช้าก็ไปทำงานปกติ สบายดีมาก แล้ววิล่ะ”
(ค่ะ ฉันก็ดีเหมือนกัน)
บทสนทนาที่แสนจะปกติ แต่ฉันก็เห็นว่าการพูดของพ่อไม่ได้ปกติเลย และก็คิดว่าจากน้ำเสียงของแม่แม่เองก็คงไม่ได้ “สบายดี” อย่างที่ปากพูดไปเช่นกัน
(คุณโทรมามีอะไรหรือเปล่าคะ)
แม่ตัดสินใจถามตรงๆไปในที่สุดหลังจากเงียบกันมาพักใหญ่
“ผมแค่จะโทรมาถามว่า ลูกๆสบายดีไหม ก็แค่นั้น”
แม่เงียบไปอีกพักใหญ่ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
(ค่ะ พวกแกสบายดี)
พ่อใช้มือข้างซ้ายที่ไม่ได้ถือหูโทรศัพท์ปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่จะหลุดออกมา
(คุณคะ...ยังอยู่รึเปล่า)
เสียงปลายสายถามขึ้นหลังจากเห็นว่าคนโทรมาเงียบไปพักใหญ่ พ่อเองก็พยายามกลืนเสียงสะอื้นก่อนเอ่ยปากในที่สุด แม้น้ำเสียงจะยังคงสั่นอยู่
“ผมไปหาลูกวันศุกร์ได้ไหมวิ ผมคิดถึงพวกแก”
(...)
ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสายไปพักใหญ่ทำเอาใจของพ่อรู้สึกกลัวในคำตอบที่จะตามมา
(ได้สิคะ ฉันว่าลูกๆก็คงอยากเจอคุณเหมือนกัน ตอนเย็นอย่าเพิ่งทานอะไรมานะ เดี๋ยวฉันจะทำกับข้าวให้ทานเอง ฉันต้องไปแล้วล่ะค่ะ เดี่ยวเข้างานสายเพิ่งออกมากินข้าวกับเพื่อนข้างนอกนี่เอง ไปก่อนนะคะ เจอกันวันศุกร์)
การตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากจะคุยกับพ่อไปมากกว่านี้ของแม่ เหมือนจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม่ไม่อยากจะคุยกับพ่อเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงแล้วแม่เพียงแค่ทนได้ยินเสียงพ่อไม่ได้ก็เท่านั้น เพราะหลังจากวางหูจากพ่อเธอก็ได้แต่ร้องไห้คนเดียวอยู่เงียบๆอย่างนั้น
พ่อมองหูโทรศัพท์ที่เพิ่งโดนวางหูใส่จากคนปลายสาย พลางกระแสของความเศร้าหมองก็กำเนิดขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณที่คุณยังให้ผมได้พบลูกนะวิ”
ความคิดเห็น