คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The Same Guy 4
“เฮ้! นี่ทงเฮนายยังไม่หายเว่อร์อีกเหรอวะ”
อีทึกทักเพื่อนที่ยังคงนั่งหวาดระแวงในทุกๆสิ่งรอบด้านเมื่อเขาและซองมินเดินออกมาจากตัวอาคารอย่างสบายอารมณ์ ที่ทำตัวชิวแบบนี้ไม่ใช่พวกเขาไม่กลัวนะ แต่เพราะว่าเข้าไปแล้วมันไม่เจออะไรน่ะสิ ออกมาได้โดยสวัสดิภาพเช่นนี้ถือว่าเป็นโชคดีสุดๆ ไม่เหมือนคู่แรกที่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปได้ถึงไหน ทงเฮก็เผลอไปเหยียบหางเจ้าแมวตัวอ้วนที่นอนหลับสบายจนมันสะดุ้งแทบมาตะปบหน้า เท่านั้นแหละสติที่เหลือน้อยนิดของอีทงเฮก็สูญสลายหายไปอย่างเรียกมาไม่กลับพร้อมแหกปากร้องเสียลั่นและวิ่งออกมาทันที คู่แรกนั้นจึงเกมโอเวอร์ลงด้วยประการฉะนี้
“เอ้า ตาพวกนายแล้วฮันคยอง ซีวอน” ซองมินรีบลากผู้ท้าพิสูจน์คู่สุดท้ายให้ออกมาเตรียมพร้อม เพราะตอนนี้เขาง่วงอยากจะกลับไปนอนจะแย่อยู่แล้ว
“เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนสิฟะ รีบจริงเชียว” ฮันคยองขืนตัวเต็มที่ อยากจะบอกออกไปว่ายังไม่พร้อม ขอเวลาทำใจอีกสักหน่อย แต่ดูแล้วคงจะไม่มีใครยอมแน่ๆ
“อย่าลีลาๆ แกน่ะตัวตั้งตัวตีอยากลองเองเลยไม่ใช่หรือไง ได้โอกาสแล้วนี่ ไปสิ” อีทึกยกยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นไอ้คนฟอร์มเยอะทำหน้าแหยแทบหลุดมาด
“เออๆๆ ไปกันเถอะซีวอน” ว่าแล้วก็คว้าแขนรุ่นน้องไปทันที ก็บอกแล้วคนอย่างฮันคยองน่ะยอมตายแต่ไม่ยอมเสียฟอร์มหรอก!!
.
.
ร่างโปร่งเดินอาดๆนำผู้เป็นรุ่นน้องอยู่สักพัก แต่พอทั้งคู่มาหยุดอยู่หน้าบันไดทางขึ้นของตัวอาคาร ฮันคยองก็ดันร่างสูงให้ไปอยู่ด้านหน้าเขาทันที พร้อมกระบอกไฟฉายที่ถูกยัดใส่มือใหญ่
“นายนำไปนะ มันมืด ฉันไม่ค่อยคุ้นทาง” และนี่ก็คือเหตุผลที่ถูกยกมาใช้ ซีวอนพยักหน้ารับอย่างงงๆ แต่ก็ยอมเดินนำไปโดยดี โดยมีคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นพี่เกาะแขนเขาไว้แน่น
เสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ดังก้องเป็นจังหวะได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบสนิทของยามค่ำคืน แสงจากไฟฉายสาดส่องมุ่งตรงไปข้างหน้าให้เห็นเส้นทางในระยะสั้นๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฮันคยองสนใจเท่าใดนัก เพราะดูเหมือนเขาจะหวาดระแวงกับสิ่งที่อาจจะโผล่มาจากความมืดรอบด้านมากกว่า สายตาเรียวกวาดมองไปรอบด้านอย่างกล้าๆกลัวๆ ยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ ฮันคยองก็ยิ่งเบียดคนที่เดินอยู่ข้างๆมากเท่านั้น ดีไม่ดีพอถึงจุดหมายปลายทางอาจจะเห็นได้ว่ารุ่นพี่คนนี้ขึ้นไปขี่คอรุ่นน้องแล้วก็ได้
“เงียบชะมัดเลยนายว่ามั้ย” พยายามพูดเพื่อให้บรรยากาศมันไม่วังเวงเกินไป
“ปกติมันก็เงียบๆอย่างงี้อยู่แล้วน่ะแหละครับ” ซีวอนอมยิ้มกับท่าทางของผู้เป็นรุ่นพี่ เพราะมันเห็นได้ชัดเลยทีเดียวว่าอีกฝ่ายนั้นกลัวขนาดไหน
“นายทนอยู่เข้าไปได้ไงเนี่ยในที่แบบนี้” ทำหน้าแหยเมื่อคิดว่าถ้าตนเองต้องมาอยู่คนเดียวในสถานที่แบบนี้เขาคงไม่เอาแน่
“ก็มันไม่เห็นมีอะไรจริงๆเลยนี่ครับ” คนถูกถามตอบไปตามความจริง
“งั้นเดินไปเร็วๆหน่อยสิ ฉันอยากออกจากที่นี่จะแย่อยู่แล้ว” ถึงอีกฝ่ายจะยืนยันอีกครั้งว่าไม่เคยเจออะไรผิดปกติในที่แห่งนี้ แต่ดูเหมือนฮันคยองก็ยังเชื่อมันในความรู้สึกของตนเองและเรื่องเล่าต่างๆมากมายจากใครก็ไม่รู้มากกว่าคนที่ได้สัมผัสสถานที่จริงแทบทุกวัน
“ครับๆๆ” ร่างสูงรับคำก่อนจะเร่งฝีเท้าในการก้าวเดิน
เสียงก้องๆของการย่างเท้าดังประสานกับเสียงสายลมเย็นที่เริ่มดังหวีดหวิวมากขึ้นทุกทีจากความแรงที่เหมือนจะพัดผ่านมามากขึ้น ฮันคยองขนลุกด้วยความหนาวอีกครั้ง เสื้อแจ๊คเกตสีน้ำตาลตัวโปรดที่เจ้าตัวคิดว่ามันจะป้องกันตนเองได้กลับเริ่มไม่พอเพียงอย่างที่คาด มือเรียวถูกยกขึ้นมารับไอร้อนจากริมฝีปากตนเอง
“หนาวเหรอครับ” ซีวอนหยุดเดินและหันไปถามคนข้างๆเมื่อเขาสังเกตเห็นการกระทำต่างๆที่แสดงออกมาของอีกฝ่าย
“หืมมมม ปะ...เปล่า” ฮันคยองรีบปฏิเสธเมื่อเห็นคนถามดูท่าทางปกติดีไม่สะทกสะท้านกับความเย็นอะไรในตอนนี้ ยังไงเขาก็ผู้ชายเหมือนๆกัน แค่นี้ทนได้อยู่แล้ว!!
“แน่นะครับ ถ้าหนาวเดี๋ยวเอาเสื้อผมไปใส่ก่อนก็ได้” พยายามยื่นข้อเสนอ เพราะเห็นๆกันอยู่ว่าคนข้างๆนี่เพิ่งโกหกไปคำโต มีที่ไหนคนบอกไม่หนาวถึงตัวสั่นได้ขนาดนั้น
“ไม่ต้องเลยๆ บอกแล้วไงว่าไม่หนาว” และยิ่งถูกปฏิบัติให้ตัวเขานั้นดูบอบบางมากขึ้นเท่าไหร่ ฮันคยองก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ใบหน้าได้รูปนั่นเริ่มจะงอมากขึ้นเรื่อยๆ
“ครับๆๆ งั้นไปกันเถอะครับ เราจะได้รีบกลับ” เมื่อทำอะไรไม่ได้ซีวอนก็ตัดใจ เปลี่ยนเป็นการหาทางให้รุ่นพี่คนนี้ได้กลับไปนอนบนเตียงอุ่นๆแบบเนียนๆแทน และนั่นก็ทำให้ฮันคยองยิ้มออกทันที
“อืม ไปกันเถอะๆ”
.
.
อารมณ์หวาดๆที่ดูจะเริ่มจางหายจนสติหาทางกลับเข้าที่ได้แล้วของฮันคยองทำให้ร่างโปร่งดูจะคึกมากขึ้น ไฟฉายในมือของซีวอนจึงตกมาอยู่ในมือเรียวเพื่อใช้สำรวจสิ่งต่างๆรอบด้านแทน แต่มือที่เหลืออีกข้างก็ยังคงจับมือใหญ่ของผู้เป็นรุ่นน้องไว้แน่น
แต่พอทั้งคู่นั้นเดินมาจนสุดทาง ถึงที่หมายที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดฮันคยองก็หยุดชะงัก ร่างโปร่งกระเถิบตัวถอยหลังแล้วดันให้คนคุ้นเคยพื้นที่กลับเป็นผู้นำอีกครั้ง
“นายเปิดสิ” ออกคำสั่งกับร่างสูง
มือใหญ่ออกแรงเพียงนิดประตูบานเก่าก็ถูกเลื่อนเปิดออก แต่เสียงดังคึกคักของการเปิดประตูบานเก่าทำเอาฮันคยองใจเต้นตึกตักอย่างลุ้นระทึกไปด้วย มือเรียวกำเสื้อของคนที่อยู่ด้านหน้าไว้แน่น
ทุกย่างก้าวมันดูหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆสำหรับฮันคยอง ความรู้สึกเดิมที่เขาไม่เคยชอบกลับมาอีกครั้ง อึดอัด มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาคู่สวยหลับตาปี๋ น้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก ริมฝีปากที่เริ่มแห้งทำให้ลิ้นเล็กต้องแลบออกมาเลีย จมูกโด่งพยายามสูดอากาศเข้าให้มากที่สุดเพื่อลดความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องให้มันหมดไป แต่ไม่ว่าจะพยายามปรับตัวเองยังไงก็ควบคุมให้ก้อนเนื้อในอกลดแรงเต้นที่รุนแรงนั่นไม่ได้อยู่ดี
“พี่ครับ ถึงแล้วนี่จะให้ทำอะไรยังไงต่อล่ะครับ” ซีวอนหันไปถามคนที่เกาะหลังเขาแน่นยังกับตุ๊กแก ตาที่ชินกับความมืดแล้วทำให้เห็นเส้นผมไหวๆของคนที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ไม่สามารถเห็นหน้าของอีกฝ่ายได้ เพราะใบหน้าเรียวนั้นก้มงุดจนแทบจะชิดกับแผ่นหลังของเขาอยู่แล้ว เมื่อไร้ซึ่งคำตอบมือใหญ่จึงเอื้อมไปด้านหลังแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
สัมผัสแผ่วๆนั่นทำให้ฮันคยองสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นตาเรียวเบิกโพลง แต่เมื่อเห็นคนข้างหน้าส่งยิ้มขำๆกลับมาให้คิ้วทั้งสองก็แทบจะวิ่งมาชนกันทำหน้าเซ็งอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีเพราะดูเหมือนคนเป็นรุ่นน้องคนนี้จะได้เห็นเขาหลุดมาดบ่อยไปเสียแล้ว แต่อีกใจก็อดโล่งใจอยู่เล็กๆไม่ได้ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วคนตรงหน้าคือซีวอนไม่ใช่ใครอื่นหรืออะไรอย่างอื่น
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ” ฮันคยองพยายามเก๊กเสียงไม่ให้สั่น และวางมาดว่าตนนั้นยังรู้สึกปกติดีสุดๆ
“ผมว่าเราจะทำอะไรกันต่อไงล่ะครับ แต่พี่อีทึกว่าให้ถ่ายรูปเป็นหลักฐานใช่มั้ย” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างรอคำตอบ
“อืมมม นั่นแหละๆ” ร่างโปร่งพยักหน้ารับ “แต่ว่ามืดๆอย่างงี้ถ่ายไปจะเห็นอะไร” แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้
มือเรียวปล่อยการเกาะกุมออกจากเสื้อของผู้เป็นรุ่นน้อง และก้มควานหาโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง
แต่เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่ฮันคยองละสายตาจากคนตรงหน้า เมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งเขากลับพบเพียงความว่างเปล่า เหมือนใจหล่นวูบลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าสายตาจะกวาดมองไปทางไหนก็เห็นเพียงความมืดดำ
“เฮ้!! ซีวอน!! นายไปไหนน่ะ อย่าแกล้งกันอย่างงี้นะเว้ย” ตะโกนเรียกออกไปโดยหวังว่าคนที่เรียกจะออกมาและเป็นแค่การแกล้งกันเล่นของอีกฝ่ายเท่านั้น
“ซีวอน อย่าเล่นอย่างงี้สิ ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” เมื่อไร้การตอบรับ ก็เริ่มทำเสียงเข้มขู่ แต่ก็เช่นเดิม ทุกอย่างเงียบสนิท
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ลมเย็นพัดผ่านตัวเขาอีกรอบ มันเย็นเยียบเสียจนเรียกให้ขนทุกเส้นลุกขึ้นมาได้ไม่ยาก ขายาวเริ่มออกก้าว ดวงตาเรียวสอดส่ายสายตาไปกลางความมืด แต่มันมืดเสียจนแทบมองไม่เห็นอะไร และด้วยความไม่คุ้นเคยสถานที่ ทำให้ฮันคยองต้องหยุดคิดเป็นระยะว่าควรจะก้าวไปทางใด ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าอีกคนจะอยู่ที่ไหน ขอแค่เขาได้ออกไปจากที่นี่ให้ได้เร็วที่สุดนั่นก็เป็นพอ
เมื่อออกมาที่ระเบียงทางเดินที่มุ่งตรงสู่บันไดทางลงได้ เขาก็ก้าวฉับๆตรงไปด้านหน้าทันที ขายาวเร่งความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แข่งกับความเร็วของหัวใจที่เต้นทั้งเร็วและแรง ฮันคยองอยากให้ระยะทางมันหดสั้นลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอยากให้ช่วงเวลานี้มันผ่านไปเร็วๆเหลือเกิน
แต่ทว่า ไม่ว่าเขาจะเร่งฝีเท้ามากขนาดไหนระยะทางด้านหน้ามันก็ดูเหมือนจะไม่สั้นลงเลย กลับยิ่งดูไกลออกไป บันไดทางลงที่เหมือนเคยเห็นอยู่ลางๆนั้นก็หายไปแล้ว เหลือเพียงทางเดินที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่เขาก็ยังคงพยายามก้าวมันต่อไป โดยหวังว่าอีกไม่นานก็จะออกไปจากที่นี่ได้
ร่างโปร่งแทบไม่ได้มองดูสภาพแวดล้อมด้านข้าง แต่แค่เหมือนเห็นด้วยหางตาว่าผ่านห้องเรียนห้องแล้วห้องเล่าเป็นสิบๆห้อง ทั้งๆที่ชั้นสองนี้มีเพียงห้องเรียนไม่กี่ห้องเท่านั้น และเหมือนสมองไม่สั่งการ หรือไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้นจึงทำให้เพียงร่างกายนั้นวิ่งๆๆ วิ่งจนสุดกำลังเท่านั้น แต่จนแล้วจนรอดเส้นทางด้านหน้าก็ทอดยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งก้าวมันก็เหมือนย่ำอยู่กับที่วนอยู่ที่เดิม เขาวิ่งจนรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ ร่างกายเริ่มประท้วงขอพัก และในที่สุดขาทั้งสองข้างก็ได้หยุดลง
ริมฝีปากที่เริ่มซีดอ้าออกเพื่อรับอากาศมาให้เพียงพอกับที่ต้องการใช้ มือเรียวเท้าเอวกดจิกลงบนช่วงท้องที่มันรู้สึกเสียดจากการออกแรงวิ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบเสียท่วมตัวและเลื่อนกลับมาทาบหน้าอกที่รับรู้ถึงความแรงของจังหวะการเต้นของหัวใจได้อย่างชัดเจน
เมื่อความเหนื่อยเริ่มเบาบางลง สัญชาติญาณในการเอาตัวรอดก็เริ่มอีกครั้ง ดวงตาเรียวสอดส่ายหาทางไปต่อและแล้วฮันคยองก็ได้พบกับสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเขาไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้เท่านี้มาก่อน ใจที่มันเคยหายวูบไปแล้วครั้งหนึ่งคราวนี้มันหายไปเลยแบบที่เรียกกลับมาก็คงไม่ได้ เมื่อสายตาเหลือบมองเห็นป้ายไม้เก่าๆที่เอียงกะเท่เร่ ถึงการมองฝ่าความมืดจะทำให้เห็นอะไรไม่ชัดนักแต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าชื่อห้องที่ถูกสลักอยู่ป้ายนั่นเขียนว่าอะไร......
‘ห้องศิลปะ 1’
ฟันคมกัดริมฝีปากล่างตนเองแน่น ดวงตาสอดส่ายไปมาอย่างหวาดระแวง และร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
แต่แล้วแสงสว่างจ้าก็สาดส่องเข้ามา ความขาวโพลนทำให้ดวงตาทั้งคู่ของฮันคยองพร่าเบลอไม่อาจสู้ความสว่างนั่นได้ ปฏิกิริยาป้องกันตนเองโดยอัตโนมัติจึงทำให้เขาต้องหลับตาแน่น แต่เพียงไม่นานความสว่างนั่นก็ลดลงจนเหมือนทุกอย่างกลับสู่ปกติ แต่พอฮันคยองลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ต้องตกตะลึง และความสับสนก็ซัดสาดถาโถมเข้ามาหาเขาอีกครั้ง
ดวงตาเรียวเบิกกว้าง กวาดมองรอบบริเวณอย่างไม่เข้าใจ ความมืดสนิทในยามค่ำคืนมันหายไปแล้ว เหลือเพียงแสงสีทองทอประกายเหมือนแสงจากดวงอาทิตย์ในยามเช้า เสียงนกร้องอย่างเริงรื่นแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ลมเย็นสบายพัดผ่านมาทำให้เส้นผมสีอ่อนของฮันคยองพลิ้วไหวน้อยๆ แต่บรรยากาศชวนน่าทำให้สบายใจเช่นนี้กลับไม่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในหัวของเขามีแต่คำถามผุดขึ้นเต็มไปหมด ที่นี่ที่ไหน มันเกิดอะไรขึ้น หรือทั้งหมดนี้มันคือความฝัน ทุกอย่างผสมปนเปตีกันยุ่งเหยิงแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
มือทั้งคู่ยันตนเองให้ลุกขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกวาดมองไปรอบๆด้วยความระแวง และสายตาทั้งคู่ก็หยุดลง เมื่อเขาได้พบกับคำตอบสำหรับข้อสงสัยอย่างหนึ่ง อะไรน่ะเหรอ ป้ายไม้ที่สลักคำว่า ห้องศิลปะ 1 คงเป็นคำตอบได้ดีที่สุด แต่ถ้าสังเกตดีๆ ป้ายที่มันควรจะเอียงกะเท่เร่กลับถูกแขวนไว้อย่างดี และดูใหม่กว่าที่เขาคุ้นเคย ประตูเลื่อนบานเก่าก็ดูสมประกอบกว่าทุกครั้ง
เสียงก่อกแก่กเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่หลังประตูดังขึ้น ฮันคยองเม้มริมฝีปากแน่น ใจเต้นตึกตัก เขาควรจะทำเช่นไรในสถานการณ์เช่นนี้ ยืนอยู่ตรงนี้เฉยๆเพื่อรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หรือว่าเผชิญหน้ากับอะไรก็ไม่รู้ที่กำลังเกิดขึ้นดี
แต่ไม่ทันที่ร่างโปร่งจะตัดสินใจทำสิ่งใด ความเคลื่อนไหวบางอย่างที่เหมือนวูบผ่านตัวเขาไปก็ต้องทำให้หยุดชะงัก ใบหน้าเรียวหันควับไปตามทันที และเขาก็ได้พบกับหญิงสาวผมยาวเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู ร่างเพรียวนั้นหันหลังให้เขาเหมือนไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนี้ ทำให้เด็กหนุ่มเห็นเพียงแค่เส้นผมยาวสลวยที่เกือบถึงเอวพลิ้วไหวน้อยๆตามแรงลม มือเล็กของหญิงสาวยกขึ้นเคาะประตูเบาๆ แต่ก็พอให้คนข้างในได้ยินเสียง ก่อนเธอจะเลื่อนประตูบานนั้นออกและย่างเท้าที่สวมด้วยรองเท้าส้นสูงเข้าไปในนั้น
ร่างโปร่งพยายามห้ามไม่ให้หัวใจเต้นรัวไปมากกว่านี้ มันเกิดอะไรขึ้น และนี่คือใครกัน ถามตัวเองไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ และก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ขายาวก็ก้าวผ่านประตูตามหญิงสาวคนนั้นไป....
.
.
บรรยากาศภายในห้องไม่เหมือนกับห้องที่ฮันคยองเคยเข้าไปนักแต่ก็พอมีเค้าเดิมอยู่บ้าง มันดูมีระเบียบและมีความรู้สึกถึงการมีคนให้ความดูแลเอาใจใส่อยู่ รูปภาพหลายภาพถูกติดไว้ทั่วห้อง และหุ่นปั้นต่างๆก็ถูกวางบนชั้นโชว์อย่างเรียบร้อย
‘วาดรูปอะไรอยู่เหรอคะ’
เสียงหวานดังขึ้นมาจากหญิงสาวคนนั้น เรียกให้ฮันคยองต้องเบนสายตากลับไปมองยังคนที่หญิงสาวเอ่อยถาม และนั่นก็ทำให้เขาต้องชะงัก
“ซีวอ...น”
ไม่ ไม่ใช่ซีวอน แต่แวบแรกที่เขาได้เห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าเฟรมผ้าใบเขาก็คิดว่าคนคนนี้คือซีวอน แต่ดูดีๆนั้นกลับไม่ใช่ ถึงจะมีส่วนคล้ายอยู่มากก็เถอะ
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับหญิงสาว เขาเลื่อนตัวถอยห่างออกจากภาพที่กำลังวาดตรงหน้า เพื่อให้ผู้มาใหม่เข้าไปดูได้อย่างถนัด
‘ว้าว สวยอีกแล้ว วาดให้ฉันบ้างสิคะ’ เสียงใสเอ่ยและเหมือนจะดูออดอ้อนอยู่เล็กๆ
‘ได้สิครับ แล้วอยากให้วาดแบบไหนครับ’ ชายหนุ่มรับปากพร้อมส่งยิ้มละมุน
‘อะไรก็ได้ที่คุณวาดให้ค่ะ’ หญิงสาวยิ้มตอบอย่างอ่อนหวาน
ฮันคยองพยายามขยับตัวเพื่อให้ได้มุมที่มองหน้าหญิงสาวได้ชัด แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรเขาก็เหมือนว่ารับรู้เพียงสีหน้าที่หญิงสาวแสดงออกมาเท่านั้น แต่ไม่สามารถเห็นได้เลยว่าหน้าตาเป็นเช่นไร
เด็กหนุ่มพยายามถอยหลังกลับ อยากจะออกไปจากที่นี่เสียที แต่ความรีบร้อนก็ทำให้ขาเขาขัดกันเองจนต้องล้มลง ฮันคยองครางออกมาเบาๆด้วยความเจ็บและขัดใจกับความซุ่มซ่ามของตนเอง แต่เมื่อพอเงยหน้าขึ้น เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาบางคู่ที่จับจ้องมาที่เขา!
หญิงสาวคนนั้นหันมาแล้ว เหมือนสายตานั้นจ้องมองมาที่เขาเขม็ง ฮันคยองอ้าปากค้าง ทั้งๆที่เมื่อครู่คนทั้งสองนั้นเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ร่างเพรียวของหญิงสาวก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ เด็กหนุ่มพยายามขยับตัวถอยหนี อยากจะลุกหนีไปแต่เรี่ยวแรงกลับหาย เขาจับจ้องไปยังใบหน้าของคนตรงหน้าแต่มันพร่าเบลอมองไม่ออกว่าตรงไหนคือตา ตรงไหนคือหู ตรงไหนคือจมูก แต่กลับสามารถรับรู้ได้ว่าใบหน้านั้นงดงามเพียงใด
ฮันคยองเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง บรรยากาศกดดันถาโถมเข้ามาหาเขา มันอึดอัด ไม่สบายใจ รู้สึกไม่ดีจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เวลาเหมือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกอย่างรอบด้านเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงเขาที่ถอยหลังไปเรื่อยๆ และหญิงสาวที่ค่อยๆย่างก้าวเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ
เส้นผมยาวสลวยนั้นสยายออก เขาเห็นริมฝีปากสีชมพูเรื่อนั่นยกยิ้ม และแล้วริมฝีปากนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนสีจากชมพูสวยก็ค่อยๆคล้ำขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีม่วง ฟันที่เรียงตัวสวยกลายเป็นฟันซี่แหลมๆทั่วทั้งปาก รอยยิ้มบางๆแสยะออก กว้างขึ้น... กว้างขึ้น... และกว้างขึ้นจนถึงใบหู
และแล้วใบหน้านั่นก็พุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว!!
ฮันคยองกระเถิบตัวหนีสุดแรง ดวงตาเรียวหลับปี๋ มือทั้งคู่พยายามใช้ช่วยในการถอยทำงานเต็มที่แต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อมือที่ควรจะยันลงบนพื้นเรียบๆกลับวางลงบนอะไรบางสิ่ง และเขาก็เผลอกำสิ่งนั้นไว้อย่างไม่รู้ตัว หมดสิ้นแล้วหนทางหนี เขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเขา และเขาก็ไม่อยากคิด ฟันคมขบกันแน่น ใจเต้นถี่รัว ลมหายใจหยุดชะงัก ชั่วเสี้ยววินาทีแห่งการลุ้นระทึก มันทำเอาเด็กหนุ่มแทบเจียนตาย
แต่แล้ว!! แสงสว่างวาบขาวโพลนก็สาดส่องเข้ามาทั่วบริเวณอีกครั้ง!!!
.
.
.
.
TBC!!!!
จบไปอีกตอน!! ฮ่าๆๆ มาเร็วมากนะเนี่ยตอนนี้ เพราะผมกลัวโดนปาระเบิดใส่หัว =[ ]= 555555
ตอนนี้ทำเอาเสียพลังงานไปอย่างรุนแรง บรรยายขนาดนี้ผมไม่ค่อยถนัดจริงจัง แม้ตอนจะไม่ยาวก็เหอะ แต่มันยากมากกกกก -*-
อ่านแล้วงงไม่งงยังไงบอกกันด้วยนะคร้าบบบ
ขอบคุณครับผม ^^
ความคิดเห็น