ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Same Guy [SiHan]

    ลำดับตอนที่ #2 : The Same Guy 2

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 54


      




                   
    บ่ายแก่ๆของอีกวันหลังจากเลิกเรียนฮันคยองเดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เนื่องจากวันนี้ชมรมบาสเกตบอลของเขานั้นหยุดซ้อมหนึ่งวันเพื่อฉลองให้กับชัยชนะที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ ส่วนเหล่าเพื่อนๆคนอื่นก็ต่างพากันเข้าชมรมของตนกันหมด

     

    ฮันคยองเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนมาหยุดหน้าอาคารเรียนหลังเก่าที่แทบจะไม่ได้ใช้แล้ว เท่าที่เขารู้ตอนนี้ก็มีเพียงวิชาศิลปะของบางชั้นปีเท่านั้นที่ได้มาเรียนอยู่ที่นี่เนื่องจากห้องเรียนนั้นไม่เพียงพอ และอีกไม่นานทางโรงเรียนก็มีโครงการว่าจะทุบทิ้งและสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ที่ทันสมัยกว่านี้ บรรยากาศที่ดูทะมึนทึมวังเวงเงียบเชียบทำให้ไม่มีใครผ่านมาแถวนี้มากนัก แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ที่ไม่มีใครผ่านมาแถวนี้เพราะเรื่องเล่าลือต่างๆนาๆของที่นี่เสียมากกว่า ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องที่เขาได้ฟังจากทงเฮเมื่อคืน

     

    ตามจริงฮันคยองก็กลัวๆเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีมากกว่าหลายเท่านัก เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล อาคารนี้มีเพียงสองชั้นที่มีบันไดขึ้นทางเดียว ตัวอาคารก็ไม่ใหญ่มากนักมีห้องเรียนอยู่เพียงไม่กี่ห้องเพราะนี่เป็นอาคารเรียนหลังแรกๆที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน

     

    เสียงเดินขึ้นบันไดของเด็กหนุ่มดังก้องขึ้นตามจังหวะการก้าวเท้า เพียงไม่นานเขาก็ถึงชั้นสองชั้นที่เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น ดวงตาเรียวไล่มองผนังตึกที่มีรอยร้าวให้เห็นปะปรายตามรอยหลุดล่อนของสีทาผนัง ประตูไม้เลื่อนเก่าๆที่เป็นทางเข้าห้องต่างๆก็มีหลายบานที่แทบจะไม่คงสภาพเดิม บางห้องจึงมีการเอาออกเปิดทางเข้านั้นให้โล่งไปเลยก็มี ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาบนตึกนี้เสียทีทั้งๆที่ก็เห็นมันอยู่ทุกวันเนื่องจากสนามบาสนั้นอยู่ไม่ห่างจากที่นี่นัก

     

    ฮันคยองมองไล่ไปตามป้ายชื่อห้องต่างๆจนถึงห้องริมสุด ห้องศิลปะ 1’ ที่สังเกตจากป้ายชื่อเก่าๆเอียงกระเท่เร่ที่ทำท่าว่าจะหลุดแหล่ไม่หยุดแหล่อยู่เหนือขอบประตู มือเรียวเตรียมเอื้อมจะไปเปิดประตูที่ถูกปิดไว้ แต่เสียงกุกกักจากด้านในทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มแทบจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม พลันคิดว่าควรจะกลับเลยดีหรือเปล่า แต่อีกใจก็บอกว่าไหนๆก็มาแล้วก็เข้าไปดูหน่อยคงจะไม่เสียหาย ตอนนี้ยังไม่ทันมืดเสียหน่อย

     

    และแล้วความคิดอย่างหลังก็เป็นฝ่ายชนะ มือเรียวจับบานประตูเลื่อนครืดให้เปิดออกทันที แสงสว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดเข้าใส่เด็กหนุ่มจนเขาต้องหลับตาปี๋ก่อนจะหยีตามองย้อนแสงสีส้มๆนั้นเข้าไปด้านใน และเป็นอีกครั้งที่ทำให้ฮันคยองต้องใจหายวาบเมื่อเขามองเห็นร่างๆหนึ่งที่เห็นเป็นเงาดำๆยืนอยู่ริมหน้าต่าง แต่พอปรับสายตาได้ก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนทำหน้าตกตะลึงจากการที่เขาเข้าไปโดยไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง

     

    “เอ่อ....นายทำงานอยู่เหรอ” ฮันคยองรีบถามอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าการที่เขาเข้ามาจะเป็นการรบกวนหรือเปล่า

     

    “อ๊ะ เปล่าครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวก่อนจะรีบเก็บข้าวของและนำผ้ามาปิดเฟรมผ้าใบวาดรูปที่ตั้งอยู่บนขาตั้งนั้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ฮันคยองจะเดินไปชะโงกดูว่าอีกฝ่ายกำลังวาดอะไร

     

    “นายวาดรูปอะไรอยู่อ่ะ” ไม่ใช่ฮันคยองเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นหรืออะไรหรอกนะ แต่แค่อยากจะมีความรู้ไว้ประดับสมองเล่นก็เท่านั้นแหละ

     

    “เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอกครับ คือผมยังวาดไม่เสร็จน่ะ” เด็กหนุ่มร่างสูงรีบดันขาตั้งให้หันหน้าไปในทางอื่นก่อนจะเอาตัวมาบังเอาไว้ และฮันคยองก็ดูท่าจะเลิกสนใจเพราะอยู่ดวงตาคู่สวยนั้นก็เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง

     

    “โห! ตรงนี้มองเห็นสนามบาสชัดเลยแฮะ เคยมองมาที่นี่หลายครั้งไม่คิดเลยว่าจะเป็นห้องนี้” มือเรียวเกาะขอบหน้าต่างพลางชะเง้อหน้ามองนู่นมองนี่ในมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

     

    “ครับ มองเห็นชัดมากเลยแหละ” เด็กหนุ่มมองอดยิ้มไม่ได้กับท่าทางของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นพี่

     

    “นายมาที่นี่บ่อยเหรอ” ถามทั้งที่ยังคงชื่นชมบรรยากาศยามเย็นของโรงเรียนไปทั่ว

     

    “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำ

     

     “เอ่อ...นายชื่ออะไรอ่ะ” ฮันคยองหันกลับมาถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

     

    “ซีวอนครับ ผมชื่อชเวซีวอน” ดวงตาคมหลุบต่ำไม่กล้าสบสายตาฝ่ายที่ถามเล็กน้อย แต่ริมฝีปากหยักก็อดมีรอยยิ้มจางๆไม่ได้

     

    “ปีหนึ่งใช่มั้ย ฉันไม่เคยเห็นหน้านายเลย” ฮันคยองเดินเข้าไปซีวอนเพื่อพิจารณารูปร่างหน้าตา

     

    “....” รุ่นน้องร่างสูงได้แต่พยักหน้ารับ

     

    “เมื่อกี้นายว่านายมาที่นี่บ่อยใช่มั้ย ไม่กลัวเหรอ” ฮันคยองพูดพลางกวาดสายตาไปรอบห้อง ซึ่งมันก็ดูปกติดีทุกอย่าง เว้นเสียแต่ถ้าเขาไม่คิดไปเองบรรยากาศที่นี่มันออกจะทำให้รู้สึกอึดอัดพิกล อยากรู้จริงๆว่าหมอนี่ทนอยู่เข้าไปได้ยังไง

     

                    “กลัว?” ซีวอนทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

     

                    “หรือว่านายไม่รู้เรื่องที่เขาพูดกัน!” ฮันคยองทำตาโต นี่ยังมีคนไม่ร้อะไรเลยอยู่อีกเหรอเนี่ย ขนาดเขาไม่ได้รู้ละเอียดอย่างทงเฮก็จริงแต่ก็ยังพอรู้อะไรมาบ้างแหละนะ

     

                    “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะครับ”

     

                    “เอ่อ...พูดที่นี่คงไม่ดีมั้ง” ฮันคยองทำหน้าแหยพลางมองไปรอบๆอีกครั้ง

     

                    “.....” ซีวอนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

     

                    “นายอยู่หอหรือเปล่าอ่ะ ถ้านายอยู่หอนะ คืนนี้ไปที่ห้องฉันก็ได้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง พอดีวันนี้พวกเพื่อนๆมันจะมาเล่าเรื่องอะไรพวกนี้ที่ห้องฉันพอดีน่ะ” ฮันคยองหลีกเลี่ยงการใช้คำตรงๆว่าคืนนี้เขากับเหล่าเพื่อนๆนัดกันจะมาเล่าเรื่อง ผี กันอีก ซึ่งละไว้ในฐานที่ (เขา) เข้าใจ (แต่ซีวอนยังไม่เข้าใจ) เพราะการที่จะพูดคำว่า ผีในที่แห่งนี้คงจะเสี่ยงเกินไป

     

                    “เอ่อ...เอางั้นเหรอครับ” แต่สำหรับซีวอนไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยนอกจากการชวนไปที่ห้องของรุ่นพี่ที่เขาเพิ่งได้คุยด้วยครั้งแรก ซึ่งทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย

     

                    “เอางั้นสิ ไปกันหลายๆคนสนุกดีออก” ฉีกยิ้มกว้างชักชวนให้อีกฝ่ายมาร่วมวงกัน

     

                    “......เอางั้นก็ได้ครับ” ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง

     

                    “งั้นไปเจอกันที่ห้องฉันเลยนะ ห้อง 310 น่ะ” ฮันคยองตัดบทอย่างรวดเร็วเนื่องจากเหลือบไปเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงมากแล้วก่อนจะรีบวิ่งออกนอกห้องไปทิ้งให้เด็กหนุ่มร่างสูงยืนงงอยู่คนเดียว

     

    “อ๊ะ! อ้อ! ฉันฮันคยอง อยู่ปีสองนะ” แต่แล้วร่างโปร่งก็ชะโงกหน้ากลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมชูสองนิ้วที่บ่งบอกถึงเลขสองให้คนที่อยู่ภายในห้องก่อนจะจากไปจริงๆ ทำเอาซีวอนถึงกับต้องยืนงงรอบสอง

     

    เด็กหนุ่มร่างสูงถอนหายใจให้กับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสำหรับเขาเมื่อครู่ ก่อนจะหันไปเปิดผ้าที่คลุมภาพวาดบนผืนผ้าใบของเขา แม้จะยังคงไม่เป็นรูปเป็นร่างมากนักแต่มันก็ทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้....

     

    .

     

    .

    .

     

    =========================================

     

     

    อึดอัด!!’

     

    ‘’หายใจไม่ออก!!’

     

    ร่างโปร่งนอนนิ่งบนเตียงเดี่ยวขนาดเล็ก กล้ามเนื้อทุกมัดเกร็งขืนพยายามจะขยับเขยื้อนแต่เหมือนถูกพันธนาการที่มองไม่เห็นตรึงร่างทั้งร่างไว้กับที่   เหงื่อกาฬไหลซึมเต็มใบหน้าซีดขาว เรียวคิ้วขมวดมุ่น เปลือกตาข่มกันแน่นสนิททั้งๆที่จริงๆแล้วเจ้าตัวอยากจะลืมตาเพื่อได้รับรู้สิ่งภายนอก ริมฝีปากได้รูปเปิดอ้าขยับพยายามที่จะส่งเสียงแต่มันกลับออกมาเพียงลมที่เงียบสนิท.....

     

     

    ติ๊ก...     ต่อก...

     

     

    ติ๊ก...     ต่อก...

     

     

    ติ๊ก...     ต่อก...

     

     

    เสียงเดินของเข็มนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างเตียงดังเป็นจังหวะเช่นเดิมท่ามกลางความเงียบอย่างไม่รู้ถึงความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้แม้แต่น้อย กลุ่มควันสีดำก่อตัวขึ้นเหนือเตียงเพิ่มความขมุกขมัวน่าสะอิดสะเอียนท่ามกลางความมืดมากขึ้นทุกที มันลอยเคว้งหมุนวนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแผ่ความมืดดำนั้นปกคลุมร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
    แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่เป็นจังหวะจากการขวนขวายหาอากาศและการพยายามสู้แรงที่กดทับอยู่บนหน้าอก!!

     

     

     

    ก๊อกๆๆๆ

     

    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้กลุ่มควันสีดำสนิทนั้นหยุดชะงักแล้วสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ร่างโปร่งสะดุ้งพรวดหายใจหอบถี่รัว ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ดวงตาคู่สวยฉายแววตื่นตระหนกกวาดมองไปทั่วบริเวณ เมื่อไม่พบความผิดปกติใดมือเรียวที่สั่นน้อยๆจึงถูกยกขึ้นมากุมขมับนวดกระตุ้นประสาทที่หดเกร็งให้ผ่อนคลายและพยายามคิดทบทวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

     

     

    ก๊อกๆๆๆ

     

     

    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกหนทำให้ฮันคยองสะดุ้งเล็กน้อย แล้วรีบถลาไปเปิดประตูทันที เมื่อพบบุคคลที่ยืนยิ้มๆพร้อมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยท่าทางเก้อๆเขาแทบอยากจะเข้าไปกอดเสียหนึ่งทีที่มาช่วยเขาได้ทันจากสถานการณ์เมื่อครู่ที่เขาก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ที่เขารู้แน่ๆนั่นก็คือมันทำเขากลัวและเสียขวัญไปไม่น้อยเลยแหละ

     

    “เอ่อ... พี่นอนอยู่เหรอครับ งั้นผม...ก...กลับ...”

     

    “ไม่เป็นไรๆ ฉันตื่นแล้ว เข้ามาข้างในกันเถอะ มาๆๆ” ยังไม่ทันที่ซีวอนจะพูดจบประโยคฮันคยองก็คว้ามือใหญ่ของคนเป็นรุ่นน้องให้เข้าห้องทันที ร่างโปร่งกดไหล่ของซีวอนให้นั่งลงกับเตียงของตน ก่อนจะเดินไปคุ้ยถุงพลาสติกที่อยู่อีกมุมห้อง

     

    “อืมมมม จะกินน้ำอะไรดีล่ะ แต่มันไม่เย็นนะ” ฮันคยองชูน้ำเปล่ากับน้ำอัดลมให้อีกฝ่ายเลือก

     

    “เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยังไม่หิว” ซีวอนอึกอักเล็กน้อยเพราะยังไม่รู้ว่าจะวางตัวเช่นไร

     

    “ไม่เอาจริงๆอ่ะ หรือจะเอาเป็นขนมก็ได้นะฉันมีเยอะ” ยกถุงใบโตให้ได้เห็นว่ามีขนมอยู่ในนั้นเยอะจริงๆ

     

    “ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร แต่ที่ว่ามีคนอื่นๆด้วยนี่เค้ายังไม่มากันอีกเหรอครับ”

     

    “ก็ยังอ่ะ พวกนั้นคงยังทำกิจกรรมชมรมอยู่มั้ง ชมรมร้องเพลงของซองมินกับชมรมเต้นของทงเฮกับฮยอกแจนี่คงซ้อมกันหนักเพราะจะถึงวันงานโรงเรียนแล้วนี่นะ ส่วนอีทึกนี่ก็กำลังคงจัดการเรื่องงานโรงเรียนอยู่เหมือนกันก็เป็นประธานชั้นปีนี่นา” ฮันคยองร่ายยาวไปเรื่อยพลางยกขวดน้ำขึ้นกระดกดื่ม

     

    “เอ่อ...งั้นเดี๋ยวผมค่อยมาใหม่ดีกว่า พี่จะได้นอนไปก่อน” พูดอย่างเกรงใจ เพราะเขานั้นแน่ใจว่าฮันคยองเมื่อกี้ต้องหลับอยู่แน่ๆ ก็ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสียขนาดนั้นแถมเสื้อผ้ายังยับยู่ยี่อย่างเห็นได้ชัดเสียอีก แต่นั่นก็ทำให้ซีวอนอดที่จะยิ้มออกมาน้อยๆอย่างเสียไม่ได้

     

    “อ๊า~~ อย่ากลับนะ” ฮันคยองถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อร่างสูงของรุ่นน้องทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง มือเรียวรีบคว้าแขนอีกฝ่ายให้กลับลงไปนั่งแปะอยู่ที่เดิม

     

    “เดี๋ยวพวกนั้นก็มา ที่สำคัญฉันตื่นแล้วนอนต่อไม่หลับหรอก นะๆๆ อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนดีกว่า” ยิ้มกว้างรอรับคำตอบตกลงของอีกฝ่าย

     

    “เอ่อ...ครับ” และนั่นแหละรอยยิ้มแบบนั้นจะมีใครตอบปฏิเสธได้ล่ะ แถมพอเมื่อตอบตกลงไปยิ่งเรียกรอยยิ้มจากนั้นให้กว้างขึ้นไปอีกจนเด็กหนุ่มที่ได้รับรอยยิ้มนั้นเผลอใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

     

    “ฟู่ววว...ค่อยยังชั่ว” ฮันคยองแอบหันไปถอนหายใจอย่างโล่ง

     

    “อะไรนะครับ” แต่คนนั่งข้างๆดันหูดีแอบได้ยินซะอย่างงั้น

     

    “อ๊ะ เปล่าๆๆ คือฉันกำลังคิดถึงเรื่องที่นายไปอยู่ในห้องศิลปะนั่นอยู่น่ะ” ร่างโปร่งไหลไปเรื่อยเพราะยังไงเขาก็ไม่อยากจะเสียฟอร์มบอกความจริงไปว่าเขากลัวอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่

     

    “ห้องศิลปะ? เอ่อ...ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าสรุปห้องนั้นมันมีอะไรเหรอครับ”

     

    “ก็....” ฮันคยองกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิดว่าเขาควรจะเริ่มเรื่องที่ตรงไหนดี “นายไปที่นั่นบ่อยหรือเปล่าล่ะ”

     

    “ส่วนใหญ่ก็ไปเกือบทุกวันนะครับ หลังเลิกเรียนน่ะ” ร่างสูงตอบออกไปอย่างงงๆ ยังไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกันตรงไหน

     

    “แล้วนายเคยเจออะไรแปลกๆบ้างหรือเปล่า” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

     

    “ไม่นี่ครับ แต่ว่าที่ว่าแปลกๆนี่มันอะไรล่ะครับ” ตอบทั้งที่ยังคงทำหน้างงอยู่เหมือนเดิม

     

    “เอ่อ...ก็...โอยยย ฉันจะพูดยังไงดีเนี่ย” มือเรียวยกขึ้นยีหัวตนเองอย่างคิดไม่ตกจนมันยุ่งหนักยิ่งกว่าเดิมทำเอาคนที่คอยฟังคำตอบอดหัวเราะเบาๆไม่ได้

     

    “.....ก็พูดตามที่คิดนั่นแหละครับ มันมีอะไร.....หรือว่า.....ที่นั่นมันมี....ผี!” พูดไปทั้งๆที่ยังคงระบายยิ้มอยู่น้อยๆ แต่คำสุดท้ายสำหรับฮันคยองแล้วมันเล่นทำเอาเขาถอยกรูด ตาเบิกโต

     

    “...ยะ..อย่า...บอกนะว่า...นาย....เคยเจอ!

     

    “ฮ่ะๆๆ ผมไม่เคยเจอหรอกครับ ผมน่ะไปที่นั่นเกือบทุกวัน แล้วก็อยู่จนมืดไม่เห็นจะมีอะไรเลย” คราวนี้ซีวอนไม่มัวแต่หัวเราะเบาๆแล้ว เพราะท่าทางของฮันคยองที่ทำท่าหวาดๆซะขนาดนั้นทำเอาเขาหลุดปล่อยฮาออกมาอย่างจัง

     

    “จริงอ่ะ” คนที่ถอยจนติดผนังขมวดคิ้วมุ่นถามกลับเพื่อความแน่ใจ

     

    “จริงสิครับ แล้วผมจะโกหกทำไมล่ะ”

     

    “แล้วทำไมเค้าถึงเล่ากันว่าคนอื่นเจอกันเยอะแยะเลยล่ะ” ถึงอีกฝ่ายจะยืนยันแล้วแต่ฮันคยองก็ยังคงแสดงท่าทีไม่ค่อยแน่ใจออกมา

     

    “ผมก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะผมไม่เคยเจอนี่นา”

     

    “แต่จริงๆเมื่อตอนเย็นที่ฉันไปห้องนั้น ฉันก็ว่ามันรู้สึกแปลกๆนะ นายว่ามันไม่แปลกเหรอ” พอร่างโปร่งคิดถึงบรรยากาศแปลกๆจากห้องศิลปะตึกเก่าก็ทำเอาขนลุกซู่จนอดไม่ได้ที่จะลูบแขนตนเองอย่างหวาดๆ

     

    “ไม่อ่ะครับ ผมไม่รู้สึกอะไรจริงๆนะ  เอ่อ...พี่ฮันคยองครับ   ผมว่า......พี่ออกมาจากซอกตู้แล้วมาคุยกับแบบธรรมดาดีกว่ามั้ยครับ” พูดจบปากหยักก็ระบายยิ้มกว้างเสียจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม ทำเอาคนเผลอทำตัวเสียฟอร์มหาข้อแก้ตัวแทบไม่ทัน

     

    “ไม่อ่ะ พอดีฉันชอบตรงนี้ คุยกันแบบนี้อ่ะแหละดีแล้ว” ไม่พูดเปล่าเตรียมทำท่าปักหลักจะนั่งคุยกันตรงนั้นเสียให้ได้ แต่พอดีกับบานประตูห้องที่ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน

     

    “กลับมาแล้ว!!” เป็นร่างเล็กของซองมินที่เดินนำเข้ามาเป็นคนแรก

     

    “เฮ้!! ฮันคยองนายเข้าไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ” และฮยอกแจที่เดินตามมารีบเอ่ยถามเมื่อเห็นการกระทำของผู้เป็นเพื่อน

     

    “อ๊ะ! เอ่อ...คือฉัน...ฉัน...” ฮันคยองเหลือบมองซีวอนเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “คือฉันเพิ่งรู้น่ะว่าตรงนี้อยู่แล้วสบายดี ฮ่ะๆๆ” แกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนหน้าตายแต่พอเห็นใบหน้ากลั้นยิ้มของเด็กหนุ่มรุ่นน้องก็ทำให้เขารู้สึกร้อนวูบๆที่ใบหน้าด้วยความอายกับการแถของเขาอย่างเสียไม่ได้

     

    “แปลกดีนะ” ทงเฮที่เข้ามาหลังสุดมองฮันคยองด้วยสายตาแปลกๆก่อนจะนั่งลงกลางห้องเพราะความเหนื่อยอ่อนก่อนจะให้ความสนใจกับคนแปลกหน้าที่ยืนเด่นอยู่ไม่ไกลจากเขานัก “เออ แต่หมอนี่ใครอ่ะ”

     

    ซีวอนเลิกคิ้วก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองเป็นคนแปลกหน้าที่ต้องแนะนำตัวให้คนอื่นรู้จัก แต่ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะ

     

    ได้เอ่ยปากอะไรออกไป ฮันคยองที่คอยหาโอกาสเปลี่ยนเรื่องก็ทำเนียนออกมาจากซอกตู้แล้วคว้าเอาคนที่เป็นรุ่นน้องลงไปนั่งกลางวงร่วมกับเพื่อนๆ

     

                    “อ่อ! นี่ซีวอน เอ่อ...ชเวซีวอน” หันกลับไปมองหน้าคนที่ตนแนะนำเล็กน้อยเพื่อยืนยันความมั่นใจว่าตนเองนั้นบอกถูก “เด็กปีหนึ่งที่ฉันไปเจอมาวันนี้!

     

                    “ห๊ะ ฮันคยอง!! นี่แกแอบไปมีกิ๊กเด็กตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!!” อยู่ๆอีทึกพุ่งพรวดเปิดประตูผางเข้ามาในห้องพร้อมประโยคเด็ดที่ทำเอาทั้งฮันคยองและซีวอนต่างพากันทำหน้าเหวอ ส่วนคนที่เหลือน่ะเหรอต่างหันมามองทั้งคู่กันตาวาวเตรียมพร้อมที่จะล้อเลียนเต็มที่

     

                    “โอ๊ะๆๆ อย่างงี้พวกฉันก็มาขัดจังหวะสินะ เฮ้ย! พวก! กลับเว้ย! ท่าทางพวกเราจะเข้ามาผิดจังหวะ รบกวนเค้าๆ ฮ่าๆๆ” ร่างผอมของฮยอกแจแกล้งทำทีจะลุกและชวนทุกคนออกจะไปจากห้อง และมีหรือที่ทั้งซองมิน ทงเฮและอีทึกจะไม่ร่วมด้วย!!

     

                    “เฮ้ย!! ไม่ใช่นะเว้ย!! กลับมานี่เลย ไอ้พวกบ้า!!!” ฮันคยองถึงกับหัวเสีย ก็แน่ล่ะ หนุ่มฮอตสาวๆกรี๊ดอย่างเขามาโดนกล่าวหางี้ก็เสียเซลฟ์หมดกันพอดี ถึงจะเป็นเพื่อนก็เถอะ! ส่วนอีกคนที่ร่วมโดนกล่าวหาน่ะเหรอ ก็ได้แต่นั่งขำกับการแกล้งกันเป็นเด็กๆของคนที่ได้ชื่อว่ารุ่นพี่ทั้งหลาย

     

                    “ก็แหม เห็นอยู่ด้วยกันสองคน นึกว่าทำอะไร อะไร อะไรกันอยู่...” ทงเฮหันกลับมาอมยิ้มทำหน้ามาเลศนัยเสียจนฮันคยองเดินไปตบหัวเข้าเสียหนึ่งป๊าบ

     

                    “โอ๊ยยย อะไรกันวะ พูดอย่างที่เห็นแค่นี้ทำเป็น!!” คนโดนทำร้ายถึงกับต้องลูบหัวตัวเองป้อยๆ

     

                    “ทำเป็นอะไรๆ นี่มันรุ่นน้องที่ฉันไปเจอที่ห้องศิลปะ1เว้ย!!” ฮันคยองพูดเสียงเข้มอย่างไม่สบอารมณ์

     

                    “ห๊ะ!!” และนั่นแหละที่ทำให้ทุกคนหันกลับไปมองเด็กหนุ่มรุ่นน้องสลับกับร่างโปร่งผู้พูด

     

                    “นายไปที่นั่นมางั้นเหรอ?” ซองมินทำตาโตถามผู้เป็นเพื่อน คนถูกถามจึงพยักหน้าตอบหงึกหงัก

     

                    “แล้วๆๆ นายเจออะไรมั้ย?” อีทึกวางแฟ้มกองโตในมือและกระเถิบตัวเข้าไปร่วมในวงที่เพิ่งได้ตั้งใหม่อีกครั้ง

     

                    “เจอ!!” ทำหน้าจริงจังตอบออกไป

     

                    “ห๊ะ!!” และคำตอบเดียวของฮันคยองนั้นก็ทำเอาทั้งสามคนที่ไม่รู้อะไรถึงกับต้องประสานเสียงกันอีกครั้ง

     

                    “เจออะไรๆๆ อย่าบอกนะว่านายเจอ.....อ๊า....” ยังไม่ทันจะได้พูดสิ่งที่ตนเองคิดออกไปทงเฮก็ร้องเสียงหลงกับภาพที่ตนเองจินตนาการไปในหัวของตนเสียแล้ว

     

                    “ก็เจอหมอนี่นั่งวาดรูปอยู่ไง” และคำตอบนี่ก็ทำเอาจินตนาการอันบรรเจิดของแต่ละคนสะดุดกึ๊ก

     

                    “แค่เนี๊ยะ!!” ซองมินที่เงียบตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นถึงกับทำหน้าเซ็ง

     

                    “เออ!! ก็แค่นี้สิวะ แล้วพวกแกคิดจะให้ฉันเจออะไร!!” ทำเป็นทำหน้าเหวี่ยง แต่ก็แอบสะใจเล็กๆที่แกล้งให้เหล่าเพื่อนตัวดีตกใจได้

     

                    “โธ่..... ก็รู้ๆกันอยู่ เห็นนายไปที่นั่นนึกว่าอยากเจอ”

     

                    “เออ แล้วเอ่อ...ซีวอนใช่มั้ย” อีทึกหันไปถามคนที่นั่งเงียบมานาน และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบน้อยๆ “นายไปทำอะไรอยู่ที่นั่นอ่ะ”

     

                    “อ่อ...ผมก็แค่ไปหาที่สงบๆนั่งวาดรูปน่ะครับ แต่นี่ดูทุกคนจะสนใจห้องนั้นกันมากเลยนะครับ มันมีเหรอ”

     

                    “แล้วนายเคยเจออะไรแปลกๆมั่งมั้ยล่ะ” ซีวอนได้เพียงส่ายหน้าตอบอีกครั้ง และยิ่งสงสัยหนักเข้าไปทุกทีว่ามันมีอะไรที่ห้องนั้นกันแน่ เพราะดูทุกคนจะสนใจมันมากจนเรียกว่ามากเกินไปซะด้วยซ้ำ

     

                    “ก็....เอ่อ... จะว่าไงดีอ่ะ ทงเฮนายเล่าอีกสิ!” อีทึกใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนเหมือนกำลังบอกว่าแกนั่นแหละเล่าไปเลยเร็วๆฃ

     

                    “เฮ้ย!! ทำไมต้องฉันวะ พวกแกก็รู้เรื่องกันหมดแล้วนี่หว่า ขี้เกียจเล่าแล้ว!!” คนถูกโบ้ยถึงกับโวย

     

                    “เออน่า เล่าๆไปเถอะ” ฮยอกแจตบไหล่ผู้เป็นเพื่อนแปะๆประมาณว่ามึงน่ะแหละเล่าไป ไม่มีใครจะบรรยายได้เก่งไปกว่านี้แล้วแหละน่า

     

                    และก็นั่นแหละ สุดท้ายทงเฮก็ต้องจำใจเล่าเรื่องต่างๆให้ผู้เป็นรุ่นน้องฟัง รวมถึงเพื่อนๆที่ต่างตั้งใจฟังอีกรอบและทำท่าตื่นเต้นและลุ้นซะอย่างกับไม่เคยฟังมาก่อน  = =”

     

                    “เรื่องก็มีประมาณนี้แหละ เค้าเจอกันเยอะจะตาย แต่ทำไมนายไม่เจอบ้างนะ” ทงเฮทำหน้าไม่เข้าใจ เพราะเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจในข่าวสารของตัวว่าสืบมาอย่างดีไม่น้อยเลยทีเดียว

     

                    “อืม...หรือมันจะไม่มีอะไรจริงๆ” ซองมินว่าขึ้นมาบ้าง ทำเอาหลายคนเริ่มคล้อยตาม เพราะยังไงทุกเรื่องที่ฟังมามันก็แค่เรื่องเล่าที่บอกต่อๆกันมาเท่านั้นนั่นแหละ

     

                    “ไม่หมอนี่ก็จิตแข็งเว่อร์แหละวะ” อีทึกพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังพยายามลำดับเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆที่เพิ่งได้ฟังไปเมื่อครู่อยู่อย่างสงสัย เพราะเขาก็ลองคิดไปถึงวันต่างๆที่เขาได้เข้าไปอยู่ในห้องนั้น แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไรแม้แต่น้อย

     

                    “อย่างงี้มันต้องพิสูจน์!!” อยู่ๆฮันคยองก็โพล่งขึ้นมาท่ามกลางความสับสนของทุกคน

     

                    “ห๊ะ!! พิสูจน์อะไร” ฮยอกแจกับทงเฮถามขึ้นมาพร้อมกันทันที

     

                    “เอ้า! ก็เรื่องห้องศิลปะ1ไง”

     

                    “หืม... ยังไงล่ะ” อีทึกทำท่าให้ความสนใจ เพราะคิดๆไปเขาก็อยากรู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่ก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ

     

                    “ก็เรื่องที่เล่ากัน เค้าไปทำอะไรล่ะถึงได้เจอ เพราะงั้นเราก็ต้องลองทำอย่างนั้นบ้างสิ” ยกยิ้มอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นทุกคนให้ความสนใจกับสิ่งที่ตนกำลังคิดอยู่

     

                    “เอาดีๆ จะบอกอะไรก็บอกมา อย่าท่ามากนักสิวะ” คนรอฟังอย่างตั้งใจอย่างอีทึกแทบจะเงื้อมมือทุบคนท่ามาก

     

                    “วะ! แค่นี้ก็ทำเป็นคิดไม่ได้ ทดสอบความกล้าไง!! เค้าเคยไปทดสอบความกล้ากันจนเจอไม่ใช่หรือไง เพราะงั้น เราก็ต้องลองกันบ้างสิ”

     

                    “เฮ้ย!! ฉันไม่เอาด้วยคนนะเว้ย!” ทงเฮถึงกับออกตัวทันทีเมื่อรู้ความคิดเพื่อน

     

                    “เออ ฉันก็ไม่เอาว่ะ อยากพิสูจน์ก็ไปพิสูจน์เองเลย อยากรู้นะ แต่ไม่อยากเจอเท่าไหร่ว่ะ” ซองมินปฏิเสธอีกเสียง

     

                    “โหยยย ป๊อดนี่หว่า” ฮันคยองถึงกับเซ็งเมื่อความคิดอันบรรเจิดของตนดันถูกปฏิเสธ

     

                    “งั้นแกไม่กลัวหรือไงวะ” ซองมินถามคนเป็นรูมเมทของตน แต่คำตอบนั้นก็ได้แค่การกลอกตาไปมา แต่นั่นก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายกลัวแน่ๆแต่ก็ทำฟอร์มไปงั้น

     

                    “แต่มันก็น่าลองนะฉันว่า....แล้วนายว่าไง” หลังจากคิดอยู่สักพักอีทึกก็พยักหน้าเห็นด้วยหงึกก่อนจะหันไปถามฮยอกแจที่นั่งอยู่ข้างๆ

     

                    “ไงก็ได้ แต่ถ้าไปคนเดียวไม่เอานะ”

     

                    “เออ ฉันก็ว่างั้น เลยคิดว่าเราน่าจะลองไปเป็นคู่ๆดีมั้ยล่ะ” อีทึกเสนอ

     

                    “เอ่อ... ถ้าเอาอย่างงั้นฉันก็พอไหวเหมือนกันมั้ง” ซองมินที่จริงๆอยากจะรู้อยู่แล้วก็เริ่มคล้อยตาม

     

                    “แต่ยังไงฉันก็ไม่อ๊าววววว” ส่วนทงเฮก็ถึงกับทำหน้าแหยเมื่อเพื่อนๆต่างเห็นด้วย และดูเหมือนตนต้องถูกลากเข้าไปร่วมวงความคิดพิเรนทร์นี้เป็นแน่แท้

     

                    “เยี่ยม!! เพราะงั้นเราไปกันเลยป่ะ!” ฮันคยองถึงกับยิ้มร่าเมื่อทุกคนเริ่มคิดว่าความคิดของเขาเข้าท่าน่าสนใจ จนถึงกับรีบคว้ามือซองมินให้ลุกตามตนไปทันที

     

                    “เฮ้ยๆๆ จะรีบไปไหน!! ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย” และซองมินก็รีบขืนร่างของคนไว้ทันทีก่อนจะลากคนที่ดูจะคึกเว่อร์ให้กลับมานั่งอยู่ที่เดิม

     

                    “โธ่ จะต้องตกลงอะไรอีกล่ะ ก็ไปถึงก็เดินเข้าไปในห้องนั้นทีละคู่ไง แค่นี้เอง ต้องเตรียมอะไรอีก” ไหวไหล่ประหนึ่งว่ามันไม่เห็นจะมีอะไรจริงๆ

     

                    “งั้นใครจะคู่ใคร โอเค งั้นฉันคู่ซองมิน” อีทึกพูดพร้อมคว้าซองมินเข้ามาเป็นคู่ตนเองเสร็จสับ

     

                    “อ่า งั้นฉันคู่ทงเฮ” และไม่รอช้าฮยอกแจก็รวบตัวทงเฮไว้ทันที

     

                    “ฉันไม่ป๊ายยยยยยยยย” แม้ทงเฮจะดูไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเท่าไหร่นั่นแหละนะ

     

                    “เฮ้ย!! แล้วฉันละ” ฮันคยองถึงกับหน้าเหวอ เมื่อรู้ตัวว่าโดนทิ้งเป็นเศษซะงั้น

     

                    “นายเสนอ เพราะงั้นนายต้องลุยเดี่ยว ฮ่าๆๆๆ”

     

                    “ได้ไงๆๆ ไม่นะเว้ย!!” รีบโวย เพราะยังไงเขาก็ไม่มีทางไปคนเดียวเด็ดขาด ไอ้ที่เสนอไปทำเป็นเก่งทำเป็นกล้าเพราะอยากหาเพื่อนมาร่วมพิสูจน์สนองความอยากรู้อยากเห็นของเขานั่นแหละ แต่ถ้าให้คนอย่างฮันคยองไปพิสูจน์คนเดียวน่ะเหรอ คงไม่มีทาง!!

     

                    “เอ้า! งั้นก็นู่นไง เด็กนายนี่” อีทึกพยักเพยิดไปทางคนที่นั่งเงียบอยู่นาน จนคนถูกกล่าวถึงทำหน้างงพร้อมเอามือชี้ที่ตัวเองอย่างถามให้แน่ใจ

     

                    “เออ นายน่ะแหละ” อีทึกเอ่ยยืนยัน

     

                    และเมื่อฮันคยองเจอที่พึ่งใหม่ก็ถึงกับยิ้มกว้างทันที อย่างน้อยไปกับหมอนี่น่าจะปลอดภัย หวังว่าจะไม่เจออะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จินตนาการไปถึงสิ่งคาดเดาไม่ได้ในห้องนั้น นี่แหละพวกที่กลัวแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น แม้ขนจะลุกซู่แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับสิ่งแปลกใหม่ที่กำลังจะได้ลอง.....





    TBC....


    ทอล์คเล็กๆ : ฟิคเรื่องนี้เป็นส่วนผสมของการ์ตูนหลายเรื่องอย่างละนิดละหน่อย แต่มันออกจะรั่วออกทะเลไปตามความติ๊งต๊องของผมไปเล็กน้อย(?) พยายามจะเขียนให้น่ากลัวกว่านี้มันยังทำไม่ได้เลย 55555

    ขอบคุณครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×