คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : The Same Guy 1
เด็กหนุ่มคนหนึ่งค่อยๆก้าวขาขึ้นบันไดตึกเรียนที่มืดสนิท มือชื้นเหงื่อกระชับกระบอกไฟฉายแน่น สายตาทั้งคู่พยายามเพ่งมองไปรอบด้านอย่างหวาดระแวง น้ำลายเหนียวๆในลำคอถูกกลืนลงอย่างลำบาก ทุกย่างก้าวในความมืดมันดูไม่มั่นคงเสียเหลือเกิน และแล้วเขาก็หยุดลงหน้าห้องห้องหนึ่ง แสงไฟในมือถูกส่องขึ้นไปจนเห็นป้ายไม้เก่าๆด้านบนเหนือประตูสลักคำว่า ‘ห้องศิลปะ 1’
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดก่อนจะพ่นลมออกมาเต็มแรงเหมือนกำลังเรียกกำลังใจของตน พลางคิดว่าไม่น่าที่จะยอมตกลงมาเล่นทดสอบความกล้ากับห้องศิลปะที่ขึ้นชื่อได้ว่าเฮี้ยนนักเฮี้ยนหนากับเจ้าพวกเพื่อนตัวดีของเขาเลยจริงๆ แต่ดูเอาเถอะไอ้พวกนั้นดันพากันมุดหัวรออยู่ข้างล่างกันหมดบอกให้เขาต้องเป็นคนประเดิมคนแรก มันน่านักนะ!
มือที่เริ่มสั่นค่อยๆเลื่อนบานประตูให้เปิดออก เสียงครืดคราดกึกกักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบจากประตูที่เก่าเอาการ แสงไฟสีส้มส่องลอดเข้าไปด้านในเป็นสิ่งแรกก่อนจะตามด้วยร่างของเด็กหนุ่ม เขาพยายามส่องไฟหากระบอกใส่ลูกปิงปองที่ถูกกำหนดให้ทุกคนต้องเดินมาเอาลูกปิงปองนั้นกลับไปอย่างร้อนรน เพราะอยากจะออกไปจากที่นี่เต็มทน
แต่แล้วเขาต้องสะดุ้งเฮือกตาเบิกโพลงเมื่อแสงไฟนั้นไปกระทบกับใบหน้าที่ขาวซีดและดวงตาทั้งคู่ก็ไร้ซึ่งนัยน์ตาสีดำ ปฏิกิริยาตอบกลับของร่างกายทำให้เขาถอยกรูดไปด้านหลังทันทีจนชนเข้ากับกองภาพวาดที่วางตั้งไว้มากมาย ความตกใจทำให้ไม่ทันสนใจว่าข้อศอกของเขาจะทำให้ภาพบางภาพขาดจนเป็นรูเขาได้เพียงแต่นั่งนิ่งตั้งสติตนเองอยู่ตรงนั้น
เหมือนเวลามันนานยิ่งนักกว่าเขาจะตั้งสติได้และเป่าปากอย่างโล่งอกก่อนจะหัวเราะแห้งๆให้กับตนเอง ในเมื่อเขารู้แล้วว่าใบหน้าไร้สีเลือดนั้นเป็นของรูปปั้นครึ่งตัวของเทพธิดาวีนัสที่ใครๆต่างพากันกล่าวว่างดงามหาใครเปรียบ แต่ตอนนี้เขาอยากจะบอกว่ามันหลอนและน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเสียอีก
เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นเป้าหมายที่เขาต้องนำกลับไปวางอยู่บนโต๊ะอาจารย์ที่อยู่ด้านในสุดของห้องจึงรีบตรงไปเพื่อจะได้ออกไปจากที่นี่เร็วๆเสียที แต่ไม่รู้เพราะว่าความกลัวหรืออะไรทำให้เขารู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่ก้าวเข้าไปนั้นมันช่างดูยากลำบากขึ้นทุกทีๆ มวลอากาศรอบตัวก็เหมือนกลับจะลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆจนขนอ่อนบริเวณต้นคอนั้นพากันลุกชันก่อนความรู้สึกเสียววาบอย่างหาสาเหตุไม่ได้นั่นไล่ลงไปตามสันหลัง ฟันคมกัดริมฝีปากตนแน่น คิ้วเข้มขมวดมุ่น เหงื่อกาฬเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้า หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่ได้ มือที่สั่นไม่หยุดจึงรีบคว้าเอากระบอกใส่ลูกปิงปองนั้นมาเทลูกปิงปองใส่มืออย่างร้อนรนจนทำเอาลูกปิงปองกลมๆหลายลูกพากันหล่นกระเด็นไปคนละทาง แต่ตอนนี้ใครจะสนแค่เขาได้ลูกปิงปองมาอยู่ในมือหนึ่งลูกแล้วเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เด็กหนุ่มหันขวับเตรียมตัวจะวิ่งออกไปแต่แล้วดวงตาเขาก็ต้องเบิกโพลงพร้อมทั้งรู้สึกเหมือนถูกความเย็นแช่แข็งเขาไว้ทั้งตัวเพราะว่าตรงหน้าเขานั้น............
“แฮ่!!!!!!”
เด็กหนุ่มห้าคนที่นั่งล้อมวงท่ามกลางความมืดพากันสะดุ้งเฮือกแทบจะแตกกระเจิงไปคนละทิศเมื่ออยู่ๆเจ้าผืนผ้าสีขาวที่คุมตัวหนึ่งในสมาชิกที่กำลังตั้งวงเล่าเรื่องผีของโรงเรียนอยู่นั้นโผล่พรวดเข้ามากลางวง
“โหย อย่าเล่นอย่างงี้ดิฮันคยอง” เป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กหน้าตาน่ารักอย่างซองมินแหวขึ้นมาเป็นคนแรก
“นั่นสิ หัวใจจะวาย นี่ถ้าเกิดมีใครช็อกตายไปขึ้นมาทำไง” ตามมาด้วยอีทึกที่เริ่มบ่นพลางเอามือจับหน้าอกที่สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนอย่างรุนแรง
“แหม แค่หยอกเล่นน่า แต่ถ้าเกิดมีใครเป็นอะไรนะ ฉันจะจัดงานให้อย่างดีเลย อยากเอาอาหารอะไรเลี้ยงแขกหรือจัดกี่วันบอกมาได้ จัดให้ ฮ่าๆๆ” คนก่อเรื่องหัวเราะร่าอย่างไม่สำนึกผิด
“เอ้อ! แต่เรื่องมันเป็นยังไงต่ออ่ะทงเฮ เค้าเจออะไร” ฮันคยองรวบผ้าขาวผืนใหญ่เข้ามากอดไว้กับตัวแล้วหันไปถามคนเล่าเรื่องที่ตอนนี้มีร่างขาวๆเกาะอยู่แน่น
“เอ่อ...ฮยอกแจ เลิกกอดทงเฮได้แล้วล่ะมั้ง” อีทึกพูดเสียงหน่าย ทำเอาคนถูกกล่าวถึงหันมาใช้ปากแดงๆนั่นยิ้มหวานแล้วหัวเราะแหะๆ แต่ก็ไม่เลิกเนียนอยู่ดี
“เล่าต่อๆ อยากรู้แล้ว” ซองมินกระเถิบร่างอวบๆของตนเข้าไปใกล้ผู้เป็นเพื่อนแล้วตั้งตารอฟังเป็นอย่างดี ซึ่งคนอื่นๆที่เหลือก็พากันทำตาม
ทุกอย่างเงียบกริบอีกครั้งพร้อมทุกสายตาจดจ้องไปยังอีทงเฮอย่างใจจดใจจ่อ
“อืม... ก็.....” เริ่มทำท่าจะเล่า
ฮันคยองกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อีทึกเอามือขึ้นกุมหน้าอกตนเองอีกครั้ง ซองมินเม้มริมฝีปากแน่น และฮยอกแจถึงจะเลิกกอดทงเฮแล้วแต่ก็ยังจับมือเรียวไว้ไม่ปล่อย
“ก็............... ก็ไม่รู้แล้วอ่ะ” ตัดบทจบบอกว่าไม่รู้เสียดื้อๆ
“ห๊า! อะไรนะ ไม่รู้แล้ว!!” ทุกคนประสานเสียงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายและทำหน้าเซ็งกันเป็นทิวแถว
“มันหมายความว่าไงกันเนี่ยทงเฮ” อีทึกแทบจะเข้าไปกระชากคอเพื่อนตัวดีที่อยู่ๆมาหลอกให้อยากแล้วจากไป ทิ้งให้ทุกคนนั่งเอ๋อกันอยู่อย่างงี้
“โธ่~ ก็มันไม่รู้จริงๆนี่หว่า”
“แล้วจะเอาเรื่องนี้มาเล่าเพื่อ” ฮันคยองถามผู้เป็นเพื่อนเสียงหน่าย
“นั่นดิ” ซองมินเออออตามพร้อมกับฮยอกแจที่พยักหน้าเห็นด้วย
“เอ้า! ก็เรื่องนี้มันดังออกจะตายไป นี่พวกนายไม่เคยฟังกันมาเลยหรือไงเนี่ย เรียนที่นี่กันมาเกือบจะสองปีแล้ว ไปมัวมุดหัวอยู่ไหนกันมา! ถึงเรื่องนี้มันจะเกิดก่อนที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่นี่ก็เถอะ แต่ก็น่าจะรู้ไว้บ้างนี่!” กลับกลายเป็นคนที่ถูกรุมประณามอยู่ตอนแรกใส่เพื่อนที่อยู่ๆมารุมว่าเขาเสียชุดใหญ่
“แล้วมันอะไรกันล่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย นายรู้มั้ยฮันคยอง” อีทึกหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่รู้ว่ะ ก็รู้แค่ว่าห้องศิลปะ1ตึกเก่านั่นมันเฮี้ยนจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ถ้าไม่ใช่เวลาเรียนเท่านั้นแหละ”
“อืม ก็แค่ได้ยินคนเค้าพูดว่าเจอกันๆอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจอยากจะสอดรู้มากนักนี่หว่า” ซองมินปรายตาไปทางทงเฮ จนคนที่เหมือนถูกว่าอยู่กลายๆต้องค้อนใส่
“ไม่ได้สอดรู้ซักหน่อย ก็แค่รุ่นพี่เค้าเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง” รีบปฏิเสธแก้ตัวทันควัน
“แล้วเค้าเล่าว่าอะไรมามั่งอ่ะ อย่าบอกนะว่าเล่ามาแค่นี้” ฮยอกแจถามคนต้นเรื่องที่นั่งอยู่ข้างๆเพราะคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ไม่งั้นคงไม่บอกว่าเป็นเรื่องดังแน่ๆ
“ก็...เค้าบอกว่า....” เป็นอีกครั้งที่ทุกคนพากันสุมหัวตั้งใจฟังพอทงเฮเริ่มทำท่าจะเล่าต่อ
“ที่บอกว่าไม่รู้ว่ารุ่นพี่คนนั้นเจออะไรน่ะ เพราะไม่มีใครรู้แน่ๆว่าเค้าไปเจออะไรมาจริงๆ เห็นจากที่เพื่อนๆของรุ่นพี่คนนั้นเค้าบอกมานะว่าพอเห็นรุ่นพี่คนนั้นวิ่งออกมาแทบช็อคกันเลยแหละเพราะเห็นเลือดสีแดงๆน่ะท่วมตัวเค้าเลย ตอนแรกก็นึกว่าไปโดนอะไรมาหรือเปล่า แต่รุ่นพี่คนนั้นก็ไม่มีแผลอะไรเลยนะแต่ดันมีเลือดสดๆกลิ่นคาวคลุ้งเต็มตัวเลย” พูดถึงตรงนี้แล้วทุกคนต่างพลางกันตาโตอ้าปากค้าง
“แล้วรุ่นพี่คนนั้นเค้าไม่บอกเหรอว่าไปเจออะไรมา” ฮยอกแจกระตุกแขนเสื้อทงเฮประมาณว่าอยากให้เล่าต่อเร็วๆ
“ก็บอกไม่ได้น่ะสิ ตั้งแต่วันนั้นนะรุ่นพี่คนนั้นก็ช็อคไม่พูดอะไร มีแต่เพ้ออะไรก็ไม่รู้แล้วก็ทำท่าเหมือนกลัวอะไรอยู่ตลอกเวลาน่ะ และก็ไม่ยอมออกจากห้องไม่ไปโรงเรียนอยู่เป็นเดือนๆ” ทงเฮเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง พาเอาคนฟังเริ่มพากันลูบแขนตนเองกันเสียยกใหญ่
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” อีทึกทำหน้าแหย มองรอบตัวที่มืดสนิทอย่างหวาดๆเพราะเขาดันเริ่มจินตนการคิดภาพสิ่งที่น่ากลัวนั่นไปเองเสียแล้ว
“แล้วรุ่นพี่คนนั้นเค้าหายจากการเป็น...เอ่อ..เป็นอย่างงั้นหรือเปล่าอ่ะ” ซองมินถามขึ้นมามั่งโดยหลีกเลี่ยงคำว่าบ้าที่มันน่าจะจำกัดความได้ดีที่สุดไป
“ก็หายอ่ะแหละ แต่เค้าบอกว่าหลังจากนั้นรุ่นพี่คนนั้นเค้าก็ไม่ยอมปริปากพูดหรือเฉียดเข้าไปใกล้ห้องศิลปะนั้นอีกเลยแล้วก็ย้ายออกไปเรียนที่อื่นทั้งๆอีกไม่นานก็จะจบแล้ว”
“เอ่อ..ทงเฮ ฉันขอถามอะไรอย่างดิ” ฮันคยองตั้งท่าจะถามบ้าง
“อะไรล่ะ” ทงเฮจึงเตรียมตัวตอบเต็มที่ประมาณว่าถามอะไรก็ถามมาเลย เดี๋ยวตอบให้ได้แน่ๆ
“ก็ไอ้ ‘เค้า’ นี่มันเป็นใครกันอ่ะ เห็นรู้ไปซะทุกเรื่อง เรื่องนั้นก็บอกว่า ’เค้า’ รู้ เรื่องนี้ก็บอกว่า ‘เค้า’ บอกมา ฉันอยากรู้จริงๆเลยเหอะ หลายเรื่องแล้วๆ” สิ้นคำถามทุกสายตาก็จดจ้องไปที่ฮันคยอง ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
“แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่นะ” ทุกคนหันไปสนใจทงเฮต่อ โดยปล่อยให้ฮันคยองนั่งงงอยู่คนเดียวว่าตนนั้นผิดอะไร
“ก็สี่ปีก่อนน่ะ ก่อนเราเข้าแค่สองปีเอง” ทงเฮพลางนึกถึงวันแรกที่เขาเข้ามาเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งที่นี่เขาก็ได้รับรู้เรื่องน่าสยองขวัญนี้แล้ว แต่เขาก็ไม่เข้าใจจริงๆเถอะว่าทำไมพวกนี้ดันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“แต่เรื่องนี้เค้าก็ว่าเจอกันมานานแล้วนะ แต่ไม่มีใครเจอจังๆอย่างรุ่นพี่คนนั้นเสียทีน่ะ” ทงเฮก็ยังคงพูดต่อ
“อ๋อ! ที่ว่าบ้างก็เห็นเงาๆ บ้างก็ได้ยินเสียงหรือกลิ่นอะไรแปลกๆนั่นใช่มั้ย” ซองมินกล่าวขึ้นมาบาง
“อ่าๆ ถ้าเป็นเรื่องพวกนี้ฉันก็พอได้ยินมาบ้างนะ แล้วเค้าว่ากันว่าผีห้องศิลปะน่าจะเป็นผู้หญิงด้วย ใช่มั้ยทงเฮ” อีทึกหันไปถามทงเฮที่พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ
“แล้วรู้ได้ไงอ่ะว่าเป็นผู้หญิง” ฮยอกแจถาม
“ก็เค้าว่ากันว่ามีคนได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงร้องไห้ บางคนที่เคยเจอก็บอกว่าผีตนนี้อ่ะผมยาว แล้วมันก็ตรงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนเป๊ะเลย” ทงเฮพูดอย่างคนรู้ดี
“เรื่องอะไรอ่ะ” ฮันคยองที่เงียบเป็นนานถามขึ้นมาบ้างอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เอ้า! ก็เรื่องที่ว่ามีนักเรียนหญิงของที่นี่ฆ่าตัวตายในห้องศิลปะนั่นเมื่อสิบปีก่อนไง อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้พวกนายก็ไม่รู้” ทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รู้กันอย่างพร้อมเพรียงและตั้งใจรับฟังความรู้ใหม่จากทงเฮอย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มผู้รู้ทุกอย่างถึงกับถอนหายใจพรืดก่อนจะจำใจเล่าให้ผู้ยากไร้ข่าวสารได้รับฟัง
“ก็เค้าว่าเมื่อสิบปีก่อนมีนักเรียนคนนึงเป็นคนรักลับๆของอาจารย์ที่สอนวิชาศิลปะของที่นี่อยู่ตอนนั้น แต่ดูเหมือนตอนหลังอาจารย์คนนั้นจะต้องแต่งงาน แล้วกำลังจะลาออกไปทำกิจการของครอบครัวไรนี่แหละ เลยมาบอกเลิกกับนักเรียนหญิงคนนั้น นักเรียนหญิงคนนั้นเลยไปฆ่าตัวตายที่ห้องศิลปะที่ที่เป็นที่ทำงานประจำของอาจารย์แล้วก็เป็นที่ที่เค้าสองคนมักนัดเจอกันด้วย”
“แล้วเค้าฆ่าตัวตายยังไงอ่ะ” ฮันคยองถามขึ้น ซึ่งเป็นคำถามเดียวกับที่อยู่ในใจทุกคนตอนนี้แต่ก็ไม่ค่อยกล้าที่จะพูดเพราะกลัวจริงๆว่าเจ้าตัวจะออกมาตอบเข้าให้
“เอ่อ...เรื่องนี้ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ เพราะเรื่องมันนานมาแล้ว ข่าวเลยตีกันเละไปหมด แล้วเอ่อ.... เอาเป็นว่าฉันบอกวันหลังดีกว่านะ บรรยากาศมันชักจะยังไงก็ไม่รู้สิ” ทงเฮพูดอย่างหวาดๆพลางมองฝ่าความมืดที่ปกคลุมห้องของเขาราวกับว่ามันอาจจะมีอะไรโผล่มา ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวที่มานั่งเล่าเรื่องสยองยามดึกอยู่อย่างงี้ จริงๆแล้วเขานี่แหละที่ออกจะกลัวเรื่องพวกนี้ยิ่งกว่าใครๆจึงมีข่าวพวกนี้อยู่กับตัวเป็นกระบุงเพราะจะได้หาทางเลี่ยงกับสถานที่อาถรรพ์ของโรงเรียนได้ถูกที่ถูกเวลา
“ซองมินไปเปิดไฟเถอะ” ฮยอกแจบอกให้ซองมินลุกขึ้นไปเปิดไฟทั้งๆที่ตัวเองนั้นอยู่ใกล้สวิตซ์ไฟกว่าเป็นไหนๆ แต่ซองมินก็ลุกไปเปิดเองอย่างเต็มใจเพราะไม่อยากอยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้อีกแล้ว
“อย่าซองมิน!” เป็นฮันคยองที่ร้องห้ามไว้ก่อนที่สวิตซ์ไฟจะถูกกดให้เปิด จนทุกคนต้องหันไปมองเขากันเป็นตาเดียว
“อะไรกันฮันคยอง มีอะไรอีกล่ะ” อีทึกหันไปถามผู้เป็นเพื่อน
“ก็นี่มันจะได้เวลาเดินตรวจของประธานหอจอมโหดแล้วน่ะสิ หรือพวกนายอยากโดนเฉ่งอีกล่ะ” พูดพลางหยิบนาฬิกาตั้งโต๊ะที่มีพรายน้ำมายื่นให้ทุกคนดูอย่างทั่วถึง
“เออ จริงด้วย ฉันไม่อยากจะโดนสวดเป็นชุดอีกแล้วนะว่าทำไมยังไม่นอนอย่างงู้นอย่างงี้ แถมยังมีขู่จะบอกอาจารย์อีกแน่ะ” ทงเฮพูดพลางทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเคยเจอมาแล้ว
“นั่นดิ” ฮยอกแจพยักหน้ารับพร้อมทำหน้าเซ็งไปอีกคน
“แต่เฮ้ย! แล้วอย่างงี้ฉันจะกลับห้องทันมั้ยเนี่ย ถ้าคุณประธานกลับห้องไปแล้วไม่เจอฉันมีหวังซวยแน่” อีทึกตาเหลือกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นอยู่ห้องเดียวกับประธานหอจอมโหดที่ว่า
“เอ้า! ก็รีบๆกลับสิวะ ฉันก็จะกลับเหมือนกัน ไปกันเถอะซองมิน” ฮันคยองรีบชวนรูมเมทของตนแล้วทำท่าจะออกไปทันที แต่ก็ไม่ทันอีทึกที่ถลาไปเปิดประตูเตรียมชิ่งหนีเสียแล้ว
แต่แล้วร่างโปร่งของอีทึกต้องชะงักกึกค้างนิ่งมือยังคงจับลูกบิดประตูที่ถูกเปิดแล้วอยู่เช่นนั้น ฮันคยองกับซองมินที่สงสัยว่าทำไมผู้เป็นเพื่อนไม่รีบออกไปเสียทีจึงต้องชะโงกหน้าข้ามไหล่อีทึกออกไปดูและนั่นก็ทำให้เขาทั้งสองนิ่งค้างพร้อมทั้งพากันยิ้มแหยๆเช่นเดียวกัน
เพราะอะไรน่ะเหรอ คงต้องไปถามความซวยของพวกเขาล่ะมั้งว่าทำไมถึงได้เปิดประตูออกไปพอดิบพอดีกับเวลาที่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงอยู่เมื่อครู่เดินมาถึงหน้าห้องเช่นนี้
รอยยิ้มหวานจากใบหน้าสวยราวกับหญิงสาวของประธานหอนามคิมฮีชอลผุดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกเย็นยะเยือกถึงแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณยิ่งว่าตอนที่พวกเขานั่งเล่าเรื่องผีกันหลายเท่านัก และตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะพากันคิดประโยคๆเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งก็หนีไม่พ้น...
‘โดนอีกแล้วเหรอเนี่ย!!!!’
.
.
ความคิดเห็น