unbelief - unbelief นิยาย unbelief : Dek-D.com - Writer

    unbelief

    เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นล่วนอยู่ในความเป็นจริงของความจริง โดยมิอาจหลีกหนีหรือบิดเบือนแต่อย่างใดได้ แต่หากการประสบเหตุการณ์ที่เหนือความเป็นจริงในความจริงล่ะ ทั้งหมดคงจะดีไม่เบา

    ผู้เข้าชมรวม

    365

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    365

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 พ.ย. 49 / 17:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Name “Unbelief”
      Writer by 513 XIII and MomO


      ในบางครั้งเราก็อยากจะให้เรื่องในนิยาย หรือ การ์ตูนเกิดขึ้นจริงๆในโลกนี้บ้าง อย่างเช่น “วันโลกาพินาศ” หรือ “มนุษย์ต่างดาว” มาบุกโลก หรือ จะออกฝั่งฝรั่งหน่อย (ซึ่งจริงๆแล้วตัวอย่างที่ยกมาก็ฝรั่งหมด) คือ “สัตว์” ทดลองหลุดจากการทดลองแล้วทำลายเมืองทั้งเมืองเป็นต้น
      แต่สมองส่วนเหตุผลมันก็บอกกับเราทุกทีว่า “เป็นไปไม่ได้” เด็ดขาด....
      หากแต่สิ่งที่ผมเห็นต่อหน้าในขณะนี้มันทำให้เกิดการขัดแย้งอย่างหนักระหว่างจินตนาการกับเหตุผล
      ดวงตากลมโตสะท้อนแสงนีออนสีส้มตามท้องถนนปรากฏแสงสะท้อนสีเขียว นอกจากดวงตาที่เห็นแล้วรายละเอียดอื่นๆถูกบดบังด้วยม่านสีน้ำเงินแห่งราตรี บางครั้งได้แต่เห็นขอบของเส้นขนของมันที่จะสะท้อนแสงไฟจากรถที่วิ่งผ่านไปมาจากข้างหลังทำให้พอจะประมาณขนาดตัวของมันได้ว่าใหญ่โตขนาดเทียบเท่าคำว่า “ยักษ์” ได้เลย
      ผมถูกมันจ้องตาจากระยะประมาณห้าเมตรได้ เสียงหายใจของมันดัง พืดฟาด ผมสาบานได้เลยว่าไม่ได้มีแอลกอฮอล์ผ่านลอดกายเข้าสู่เส้นเลือดแม้แต่หยดเดียว
      ผมอยากจะร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจแต่ทว่าร่างกายของผมมันกลับไม่ตอบสนองในช่วงนั้น ขากรรไกรมันแข็งเหมือนกับมันไม่ได้อยู่ในที่ของมัน ทั่วทั้งตัวของผมสั่น เรี่ยวแรงเหมือนจะหดหายไป
      ผมกับมันจ้องตากัน จากนั้นมันค่อยๆเคลื่อนไหวตัวเข้ามาช้าๆ ผมได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงไม้กวาดเสียดสีกันทำให้รู้ว่าขนของมันหยาบมากขนาดไหน
      ผมถอยหลังออกอย่างอัตโนมัติ ตอนนี้ผมเริ่มที่จะรู้สึกว่าร่างกายของผมกลับคืนมาแล้ว ผมรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลจากตัวลงสู่ขาของตัวเองจนกระทั่งสิ้นสุดที่ถุงเท้าจนแฉะ ความรู้สึกค่อยๆกลับมาพร้อมเสียงที่เริ่มเกิดขึ้นจากลำคอ บัดนี้ผมพร้อมที่จะร้องตะโกนด้วยความตกใจกลัวได้แล้ว
      “อย่าร้องนะ” เสียงต่ำลอยตามอากาศ
      ผมร้องตะโกนสุดเสียงอย่างไม่เป็นภาษาพร้อมกับหันหลังกลับสาวเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
      “ช่วยฉันด้วย....” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน
      “ช่วยด้วย.......”


      ผมนั่งอยู่ริมห้องที่หอของตนเอง หายใจถี่ไม่เป็นจังหวะเหงื่อแตกพลั่กจนเหมือนวิ่งฝ่าสายฝนมา หรือว่าฝนมันจะตกจริงๆ ความสับสนยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ ตอนนั้นอย่าว่าแต่ฝนจะตกหรือไม่ตกเลย แค่วันที่เท่าไรยังลืมสิ้น มันเกิดอะไรขึ้น? นั่นเป็นคำถามที่ถามตนเองเมื่อผมเริ่มควบคุมลมหายใจได้


      วันนี้เราไปเรียน.........แล้ว.......ใช่ใช่ แล้วก็เลิกค่ำ......ประมาณหกโมงครึ่งได้ ผมจำได้เพราะพระอาทิตย์นั้นลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมเริ่มเรียบเรียงเหตุการณ์ ในระหว่างเดินกลับก็แวะกินข้าวร้านป้านุ้ย แล้วต่อจากนั้น ก็เดินผ่านสนามหลวงเพื่อจะกลับหอพักของเรา แล้ว....... ความทรงจำที่เป็นต้นเหตุของอาการสับสนก็ผุดขึ้นมา ผมรู้สึกเหมือนกับจังหวะการเต้นของหัวใจกลับมาไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
      อยู่ดีๆเหมือนมีลมฮวบใหญ่พัดผ่าน ต้นมะขามข้างทางเสียดสีกันดังสวบสาบ ผมรู้สึกว่ามีเศษใบมะขามหรืออะไรบางอย่างเข้าตาจนต้องขยี้ตา หลังจากที่พอจะลืมตาได้ก็เห็น...สิ่งๆหนึ่งใหญ่โตกว่าสิ่งมีชีวิตแถวๆนั้นบดบังทัศนียภาพของตน ผมค่อยๆมองขึ้นตามลำตัวของมันขึ้นไปจนไปสุดที่ดวงตากลมโตของมัน....และจากนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา จากร้านป้านุ้ยขายข้าวจนบัดนี้ผ่านไปแค่สิบห้านาทีเอง แต่ความรู้สึกบอกผมว่ามันเหมือนผ่านไปเป็นเดือนๆ
      “ช่วยฉันด้วย” เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินและยังจำได้ ถึงจะบอกว่าได้ยินแต่มันก็แปลก มันเหมือนกับเสียงนั้นเกิดขึ้นในใจของตนเองเสียมากกว่า แต่มันกลับไม่ใช่ความคิดของผม “เสียงทางจิต” ความทรงจำจากการอ่านหนังสือลึกลับวิ่งผ่านแล้วมาจอดต่อหน้า “ช่วยด้วย....” พอนึกขึ้นมาเสียงนั้นก็ชัดเจนขึ้น
      “จะให้ช่วยอะไรเล่า” ผมสบถกับตัวเองพลางคิดว่าเราบ้าหรือเปล่า มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
      “ฉันถูกตามล่า..” เสียงตอบต่อเนื่องจากเรื่องที่ตนคิด
      “แล้วจะช่วยอะไรได้ล่ะ!!” ผมตอบความคิดตนเองอีกครั้ง แล้วไอ้เรื่องลึกลับพรรณนี้มันก็ไม่น่าจะเป็นจริงเด็ดขาด “ภาพหลอน”........ใช่ เขาเรียกกันว่าภาพหลอน เราต้องเห็นภาพหลอนแน่ๆ
      แต่ถ้ามันเป็นจริงๆล่ะ เออ...คิดๆดูก็น่าสนุกนะ เราอาจจะได้เห็นอะไรที่ลึกและลับมากๆ แล้วก็เข้าไปพัวพันกับเรื่องระดับชาติ ผมหัวเราะให้กับความคิดตัวเองแล้วด่าว่าบ้า แต่จริงๆแล้วต้องสารภาพว่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ใช่เรื่องจริง และมันก็เป็นไปไม่ได้แน่แท้ชัวร์ปึ๊ก!
      “งั้นหากว่าจริงก็จะช่วยใช่ไหม?” ผมอนาถกับตนเองเมื่อความคิดชนิดนี้ยังตามออกมาอีก สงสัยเราจะต้องการการยอมรับสูงเกินไป “แล้วจะช่วยไหมล่ะถ้ามันจริง?” ผมก้มหน้ายิ้มให้กับความเฉิ่มเบ๊อะของตัวเอง
      “เออ เอาาวะ! ถ้ามันจริง อ่ะ!เอาก็เอาเว้ย แต่ถ้ามันจริง จริงๆนะ” ดูท่าตนเองจะบ้าจริงๆที่ถามตอบกับตัวเองเป็นเรื่องเป็นราว
      “สัญญาแล้วนะ....” ผมหยุดชะงักตนเอง ความรู้สึกแปลกประหลาดวิ่งขึ้นสู่ระบบความคิด...ทำไมเราถามตอกับตัวเอง เอออันนั้นไม่เท่าไรแต่ว่าอันที่ว่า “สัญญาแล้วนะ” นี่มันแปลกๆ จะมีใครสัญญากับความคิดเพ้อฝันของตัวเองล่ะ
      เราไม่ได้เปิดไฟ ผมนั่งอยู่ในความมืดโดยไม่รู้ตัว
      “อย่าเปิดดีกว่า เดียวเจ้าจะตกใจอีก”
      ตอนนี้ผมรู้สึกถึงความชัดเจนแล้วว่า ผมไม่ได้คุยกับตัวเอง แต่ผมได้กำลังคุยอยู่กับ “มัน” แต่ก็โอเคล่ะถ้าจะไม่เห็นตัว แล้วตอนนี้ผมก็รู้สึกสงบอย่างประหลาด


      “ตัวของฉันมันเป็นงานดีไซน์ที่ไม่น่าดูเท่าไหร่อยู่กันอย่างนี้แหละดีแล้ว”
      “....”
      “ฉันเฝ้ามองเจ้ามานานแล้วจากตึกร้างตรงกันข้าม และตัดสินใจว่าเป็นเจ้าจะดีที่สุด”
      “…..ทำไมละ” ผมถามกลับด้วยความสงสัยเพราะจริงๆแล้วหอที่ผมพักมียี่สิบกว่าห้อง สามชั้น มีคนมากมาย แต่ทำไมต้องเป็นเรา และบัดนี้ผมรู้แล้วว่านักศึกษาสาวเวลาถูกคนแอบดูจะรู้สึกอย่างไร
      “เจ้าใจดีกว่าคนทั่วไป”
      “ขอบใจ” รู้สึกเหมือนถูกด่าด้วยคำชม
      “แต่เจ้าสัญญากับ....” บทพูดของมันหยุดเพราะถูกขัด
      “เออ ผมสัญญาแล้ว! อ่ะว่ามาจะให้ทำอะไรละ” ผมประหลาดใจที่กล้าแสดงอารมณ์กับมันอย่างสนิทสนม
      “นอกจากตึกร้างข้างๆแล้วถัดไปก็มีอาคารพานิชที่ร้างเพราะคนที่นั่นถูกฆาตกรรม”
      ผมจำได้บ้านนั้นถูกฆ่าตายยกบ้าน
      “จริงๆแล้วบ้านหลังนั้นถูกเปลี่ยนเป็นฐานทดลองอาวุธชีวะลับของรัฐบาลอยู่”
      “พูดเป็นเล่นน่า! ประเทศนี้น่ะนะจะทำของพวกนั้น” ผมตอบกลับ ในใจกำลังคิดถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศนี้
      “เปล่า...เป็นรัฐบาลของประเทศอื่นที่มาเช่าที่โดยทำสัญญาลับกับรัฐบาลนี้ เพราะประเทศนี้ติดหนี้มาก ที่สำคัญเพราะผู้นำประเทศนี้ขาดจริยธรรมด้วย”
      ผมรู้สึกว่าเจ้าตัวประหลาดนี่ต้องจบปริญญามาแล้วแน่ๆเลยอยู่วูบหนึ่ง
      “และการที่มาเช่าประเทศที่กำลังพัฒนาแบบนี้จะไม่ถูกสงสัยจากประเทศอื่นด้วย.....แต่ช่างมันเถอะเข้าเรื่องดีกว่า”
      จริงของมันน่าจะเข้าเรื่องซะที
      “ฉันถูกสร้างขึ้นมาและถูกนำไปทำการทดลองต่างๆนานา อันตัวฉันเองไม่เป็นไรหรอกเพราะฉันเป็นเวอร์ชันที่ค่อนข้างสมบูรณ์แต่ฉันทนดูเพื่อนๆไม่ได้”


      เสียงรถที่อึกทึกหายไปเมื่อราตรีผ่านลึก ย่านการค้าที่เคยเต็มไปด้วยแสงสีเสียงบัดนี้เทียบได้กับป่าช้า
      ผมเดินเข้าไปในตึกร้างที่เคยมีรายการทางวิทยุรายการหนึ่งมีดีเจเสียงแหบหน้าตาเกือบดี นัยน์ตาเล็ก จัดรายการ ทำการเดินสายบ้านร้างและได้พบเจอเรื่องราวหวาดหวั่นพรั่นพรึง
      “มัน” เดินตามหลังผม เสียงขนของมันเสียดสีกันทำให้ผมรู้ว่ามันอยู่ห่างจากผมประมาณสามเมตรเห็นจะได้ ผมพยายามจะไม่หันไปมองเพราะกลัวว่าจะกลัวมันและจะทำให้ผมตะเลิดอีก
      ตัวอาคารนี้ถูกดัดแปลงให้มีชั้นใต้ดินห้าชั้นลึกลงไป ในแต่ละชั้นจะมีระบบป้องกันหนาแน่นแต่มีเฉพาะทางเดียวที่ระบบป้องกันความปลอดภัยจะบางที่สุดคือ ที่ทิ้งขยะเพราะพวกเขาจำเป็นต้องทำให้มันเหมือนกับขยะทั่วๆไปและนำมาทิ้งรวมกับชาวบ้านธรรมดาที่สำคัญงานที่เกี่ยวกับขยะคงไม่มีใครอยากทำมั้ง มันถึงได้มีคนน้อยที่สุดและแถมมันยังมีเทคโนโลยีป้องกันตัวน้อยที่สุดด้วย
      นอกจากเทคโนโลยีที่มีไว้ป้องกันตัวเองของพวกเขา ยังพบว่าพวกเขายังใช้ความเชื่อของคนในท้องถิ่นมาใช้ป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้ด้วย
      “นี่อย่าบอกนะว่า.......”
      “ใช่แล้วพวกเขาใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณสารพัดมาใช้”
      “แล้วเรื่องที่เจ้าของเก่าถูกฆ่าตายยกบ้านล่ะ”
      “แน่นอนอันนั้นก็ด้วย”
      ผมถึงกับพูดไม่ออกว่านี่จะเป็นวิธีป้องกันไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความลับที่ดีและประหยัดที่สุดก็ว่าได้ ไม่วายทำให้ผมคิดถึงเรื่องสองเรื่อง เรื่องแรกคือ รายการวิทยุนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้หรือเปล่า และ สอง บ้านร้างหลังอื่นๆละ อย่าบอก นะว่าไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียว ผมรู้สึกเสียวสันหลังวูบ
      ผมจะต้องบรรจงเดินตามที่ “มัน” บอก เพื่อที่จะได้หลบหลีกให้พ้นจากกล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่
      บ้านหลังนี้หากดูเผินๆจะเป็นบ้านร้างน่ากลัวทีเดียวแต่จากที่ “มัน” บอกมาว่า ลองดูตามพื้นสิจะพบรอยเท้าคนมากมาย ใช่มันคือรอยเท้าคนที่มาเดินสายรับบรรยากาศบ้านผีทั่วไปแต่ทว่าดูดีๆจะเห็นรอยรองเท้าหนัง.....อย่างที่มันว่าเหละใครจะบ้าใส่รองเท้าหนังมาเดินสายดูผีล่ะ มันน่าจะเป็นรองเท้าเตะหรือผ้าใบมากกว่า
      ที่น่าประหลาดที่ทำให้ผมเชื่อมากขึ้น ข้าวของอื่นๆถูกขโมยไปหมด ที่เหลือบางอย่างก็ถูกพวกมือบอนทำลายล้างสิ้น แต่หากลองสังเกตดีๆมีของบางอย่างมันไม่น่าจะอยู่รอดมาได้ เช่น กรอบรูป กระปุก กระถาง พวกมันอยู่รอดมาได้อย่างไรมีเพียงแค่ฝุ่นเท่านั้นที่เกาะอยู่
      “ของพวกนั้นถูกซ่อนกล้องเอาไว้ บ้างก็มีสวิตช์ทำงานอยู่ ส่วนสีสเปรย์ที่พ่นไว้ บ้างก็เป็นรหัสผ่าน”
      ผมเดินลึกเข้าไปในบ้าน พบว่ายิ่งลึกความมืดมิดเหมือนกับอ้าปากรอกินตัวผมเข้าไป มันบอกให้ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำตรงมุมสุดของบ้าน น่าแปลกที่ความรู้สึกกลัวของผมกลับน้อยกว่า หากเป็นปกติในบรรยากาศแบบนี้ผมคงตะเลิดไปแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะรู้ว่ามันไม่มีผี หรือ ว่าอยู่กับ “มัน” ก็ไม่รู้
      ผมเดินก้มตัวต่ำให้ผ่านรูปที่ดูว่าเป็นเจ้าของบ้านเก่า ที่ตามเรื่องเล่าบอกไว้ว่ารูปจะมองตามหากเราเดินผ่าน หรือ หากเราจ้องดูรูปจะเห็นว่าลูกกะตาของคนในภาพจะขยับไปมาได้ จริงๆแล้วมันเป็นเลนส์ของกล้องวงจรปิด
      ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องน้ำ เสียงโหยหวนล่องลอยมาจากไหนไม่รู้ หากฟังดีๆจะสามารถประมาณได้ว่าเสียงนั้นช่างทรมานมาก มันบอกให้ผมมองเข้าไปในช่องที่แต่ก่อนเคยมีโถส้วมปิดไว้
      หากเอามือจับที่ขอบแล้วดึงออกมามันจะเปิดเป็นประตูและมีบันไดให้เดินไต่ลงไปข้างล่าง ผมทำตาม ทันทีที่ผมเปิด เสียงโหยหวนที่ได้ยินเมื่อกี้ก็ชัดเจนมากขึ้น ใช่แล้วมันมาจากข้างล่าง
      ผมตัดสินใจว่าจะลงไปช่วยพวกของ “มัน” ให้ได้เพราะมันบอกว่ายังไงๆมันจะบอกวิธีให้แล้วผมก็อาจจะถูกจารึกเป็นวีรบุรุษก็ได้
      “เฮ้ย ไอ้หนุ่ม หยุดนะ!!”
      แสงไฟส่องหน้าผมจนมองอะไรไม่เห็น ผมปล่อยประตูทางเข้าลับลงที่เดิม แล้วพูดว่า “เฮ้ยมีคนเห็นได้ยังไง นายช่วยหน่อยสิ”
      เงียบ ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับผมอย่างที่เคยเป็น
      “คนนี้แหละครับ” มีอีกเสียงพูดขึ้นมา
      “เอาล่ะอยู่นิ่งๆนะไอ้หนุ่มไม่มีใครทำอะไรแกหรอก”
      “อะ.. อะไรกันครับเดียวสิ”
      “เราได้ตัวแล้วส่งเจ้าหน้าที่ นักจิตฯมาได้เลย”
      “เฮ้ย! เดี๋ยวอะไรเนี้ย” ผมงงมากขึ้น “เฮ้ยแกอยู่แถวนี้ป่าววะ เฮ้ย ตอบทีช่วยผมที!”
      ผมลุกลี้ลุกลน
      “คนไข้เริ่มคุมตัวเองไม่ได้แล้วรีบหน่อยนะ”
      “คนไข้ นี่มันอะไร......” ชายที่ส่องไฟใส่หน้าผมเริ่มเดินเข้ามารวบตัวผมไว้
      “ผมจับตัวได้แล้ว!!” ผมถูกกดลงกองกับพื้นไฟฉายส่องไปเห็นหน้าคนที่จับตัวผมไว้และที่ยืนอยู่ ใบหน้าพวกเขายิ้มระรื่นเหมือนกับได้เห็นผู้หญิงปลดเปลื้องผ้าออกหมด
      “เจ้าหน้าที่มาแล้วครับคุณตำรวจ!” “ทางนี้ครับทางนี้”...


      ผมถูกคนแจ้งความว่า อยู่ดีๆก็เอาส้อมจากร้านขายข้าวเข้าไปแทงนักท่องเที่ยวผิวดำที่เดินไปมาแถวๆนั้น มีคนเป็นพยานเห็นว่าผมได้ทำอย่างนั้น ใครกัน ป้านุ้ย เป็นสิ่งที่ผมคิดได้ แต่ป้าก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรนี่น่า แล้วยังมีคนให้การอีกว่า ผมวิ่งหนีการจับกุมจนวิ่งเข้าไปในย่านชุมชนที่เต็มไปด้วยหอพัก มีคนพบผมวิ่งเสื้อเปื้อนไปด้วยเลือดเข้าไปในตึก เสื้อเปื้อนเลือด? นั่นมันเหงื่อผม จากนั้นก็มีคนเห็นว่าผมบังคับให้คนที่อยู่ในห้อง ..... นั่นก็ห้องผมนะ เดินไปที่ตึกร้าง และสุดท้ายเขาบอกว่าผมเอาพื้นปูนที่หลุดออกในห้องน้ำตึกร้างทุบจนคนๆนั้นเสียชีวิต
      ผมไม่ได้บ้านะ จะบ้าเหรอ ผมก็อยู่ของผมดีๆไม่ได้ทำอะไรใคร......ที่สำคัญผมเห็นจริงๆ เห็น “มัน” และมันต้องมีจริงๆสิ ก็ผมเห็นว่ามีสวิตช์ และประตูที่จะลงไปห้องทดลองลับ หรือว่าผมกำลังถูกทำให้เป็นแบบเดียวกับบ้านร้างหลังนั้น ทำให้ดูว่าเป็นบ้า ก็ใช่นะสิไอ้เรื่องชนิดนี้หากเป็นผม ผมก็คิดว่าบ้า และคนในประเทศนี้ก็ย่อมคิดเช่นเดียวกัน และนี่เป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยตัวเองได้ และช่วยพวก “มัน” ให้หลุดพ้น ผมจึงตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา หากใครได้อ่านแล้วรู้ว่ามันเป็นจริงยังไงก็ช่วยพวกมันให้ได้นะ.....


      เช้าวันใหม่ แสงอาทิตย์แยงตาในยามเช้า เด็กสาววัยสดใสเปรียบดังดอกไม้แรกแย้ม กำลังจับจ้องสิ่งสิ่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตจนแทบจะเรียกได้ว่า “ยักษ์” ....



      Tell 089799104



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×