REAL HELL - REAL HELL นิยาย REAL HELL : Dek-D.com - Writer

    REAL HELL

    นรกที่แท้จริง?? มันคืออะไร มีจริงไหม อยู่ที่ไหน ... เราจะสัมผัสมันได้อย่างไร เรื่องราวนี้จะนำพาไปสู่ความจริงของความจริงบนโลกแล่งความจริง..

    ผู้เข้าชมรวม

    778

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    778

    ความคิดเห็น


    39

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 พ.ย. 49 / 17:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      REAL HELL
      Compost by soulbad and momo



      1
      สายลมเย็นพัดผ่านกาย เด็กหนุ่มหลับตาพริ้ม ถึงไม่เต็มใจจะรับสายลมนั้นแต่มันก็แสดงอณุภาพของธรรมชาติกระแทกเข้าสู่ใบหน้า และผ่านกระแทกอัดเข้ารูหูก่อเกิดโสตผัสสะดังสนั่นกึกก้อง เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่เพียงแต่เสียงแห่งวายุแต่มีเสียงหวีดร้องกรีดก้องเสียดแหลมทิ่มแทงสู่จิตใจของเขาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เสียงนั้นเป็นของผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ด้วยความอยากรู้และความตื่นตระหนก เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากเย้ยหยันดังความพึงพอใจในเสียงร้องกรีดก้องตะโกน ในใจคิดเปรียบดังเสียงยินดีปรีดาแห่งความสำเร็จ แม้เสียงสุดท้ายแห่งกายหยาบของเด็กหนุ่มจะอัดกระแทกเข้าสู่อารายะธรรมพื้นคอนกรีต เสียงกะโหลก แตกละเอียดผสานกับเสียงของเหลวข้นแห่งความรู้กระเด็นกระจายทั่วทุกทิศบ่งบอกถึงการจบสิ้นแห่งชีวีแต่ทว่าเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตอื่นยังคงเซ็งแซ่ต่อไป
      "สมใจแล้วซินะ....."



      2
      แสงสีดำดังกลุ่มควันล่องลอยเป็นดวงๆ กระจัดกระจายปะปนกับแสงสีขาว และสุดท้ายแสงสีดำก็ดูดกลืนแสงสีขาวจนสิ้น ทุกๆอย่างเริ่มดูชัดขึ้นทันใดนั้นค่อยๆปรากฏกลุ่มก้อนสีเขียวขนาดใหญ่ประมาณสามถึงสี่อันไสวไปมา จุดสีดำเล็กๆเคลื่อนไหวไปมา บ้างอยู่กันเป็นกลุ่ม บ้างแยกตัวออกห่าง ฉากนี้ดูคุ้นตาเด็กหนุ่มพอสมควรแต่ไม่ใช่จากการที่ได้เคยเห็นโดยตรงแต่อย่างใด ภาพนั้นคือภาพที่มองมาจากมุมสูงเหมือนเคยเห็นจากทีวีเวลาอยู่บน เฮลิคอปเตอร์ เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจว่าสีเขียวนั้นเป็นต้นไม้ ส่วนจุดสีดำนั้นเป็นผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ความเข้าใจเชิงเหตุผลเข้ามาทำงานหาคำตอบสิ่งที่เห็นอย่างสมบูรณ์เหลือเพียงแต่คำถามที่ว่า เราอยู่บนอะไร ที่ไหน และอยู่ได้ยังไง
      "เจ้าไม่ได้อยู่บนที่แห่งใดหรอก." เสียงทุ้มต่ำลอยแทรกผ่านมาจากด้านหลังเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มเหวี่ยงตัวเพื่อจะหันไปมองข้างหลัง แต่กลับรู้สึกแปลกประหลาด แรงเหวี่ยงไม่มี ไม่มีการรับรู้ที่คุ้นเคยของกล้ามเนื้อเอว สะโพก หัวไหล่ และน้ำหนักตัวไม่ว่าจะเป็นท่อนบนหรือล่าง
      "เอ้าค่อยๆ เจ้าจะต้องค่อยๆหันทั้งตัวแต่ไม่ใช่ใช้แรงเหวี่ยงที่เคย แต่เป็นการค่อยๆเคลื่อนเป็นวงกลมจากจุดหนึ่งสู่จุดหนึ่ง" เสียงทุ้มเชิงสั่งสอนทำให้เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่พอใจตะหงิดๆ แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ต้องทำตาม
      ใคร....? เด็กหนุ่มออกแรงถามในขณะที่ค่อยๆหัน ถ้าจำไม่ผิดเขาจำได้ว่าเขาเจตนาจะตะคอกถามแต่เสียงที่ออกมากลับอ่อนนุ่มไม่มีแรง ที่แปลกพอเขาหันไปมองข้างหลังได้สำเร็จแต่กลับไม่พบใคร
      "ไม่ต้องพยายามหาข้าหรอก เจ้าจะไม่เจอข้าแน่" เสียงยังคงอยู่ข้างหลังไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะเปลี่ยนมุม เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกกลัว จากความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดจากนั้นสบถกลับ "แล้วแกเป็นใครวะ….!" แต่เสียงนั้นฟังยังไงก็ไม่รุนแรงดังใจหมาย
      "ใจเย็นหนุ่มน้อย" เสียงปริศนาพูดต่อ "ไม่ต้องกลัวไปหรอกข้าเพียงอยู่ "ข้างหลัง" เจ้าเท่านั้นเอง เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดไหม "ข้างหลัง" น่ะ พูดง่ายๆก็คือ ปกติคนเรามองเห็นเพียงแต่ "ข้างหน้า"มันไม่ใช่ความผิดของอะไรหรอกนะ มันเป็นธรรมชาติที่คนมีตาอยู่ "ข้างหน้า" เพื่อมอง "ข้างหน้า"ไง" เสียงเล็กแหลมอีกเสียงวิ่งแทรกเข้ามาสู่การรับรู้ของเด็กหนุ่มจึงทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียงที่วิ่งมาจากข้างล่าง เสียงร้องนั้นไม่ใช่อื่นใด มันเป็นเสียงการร้องไห้ด้วยความเสียใจน้ำเสียงฟังดูคุ้นเคย ...แม่... เสียงของแม่ มีบางอย่างวิ่งเข้ามาสะกิดใจเด็กหนุ่ม เขาไม่เคยเห็นแม่ร้องให้ แต่ช่างมันเถอะจะร้องไห้ทำไมก็เรื่องของหล่อน เราต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เด็กหนุ่มหยุดมองภาพข้างล่างของตนอีกอย่างคือ ทุกคนใสเสื้อสีดำ กับขาวเท่านั้น
      "งานศพใครวะ.."
      "เออ เมื่อกี้ข้าพูดคำว่า "คน" ใช่ไหม" เสียงปริศนากลับกลายเข้าใกล้หูจนเหมือนกับกำลังกระซิบเขา เด็กหนุ่มเอามือปัดออกด้วยความขยะแขยง "คนน่ะ ข้าหมายถึงพวกเขา ไม่ใช่พวกเรานะ แต่จริงๆแล้วข้าก็พูดผิดเล็กน้อยน่ะเพราะพวกเราบ้างก็มองแต่ "ข้างหน้า"เหมือนกัน"
      พวกเขา...ใช่สิไม่มีใครอยากจะมาสนใจขยะสังคมอย่างเรานี่ ขนาดเสียงไร้ตัวตนยังเข้าใจเรียกนะ .... พวกเขา กับ พวกเรา ....อือ....เข้าใจ.....ความคิดที่อยากจะวิ่งไปเอาหน้ากระแทกกับของแข็งๆบางอย่างแว่บเข้ามาในหัวของเขา
      "เด็กโง่!! ข้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ข้าหมายถึง เจ้านะ "ตาย" แล้ว.."
      ตาย.....เขาประหลาดใจที่ตนเองดูสงบกว่าที่คิดไว้เมื่อรู้ว่าตัวตนไม่มีอยู่ในโลกนี้ โดยปกติทั่วไปเขาน่าจะคิดว่าตนเองยังเหลืออะไรต่อมิอะไรที่อยากจะทำและก็เกิดใจหายที่ไม่ได้พบกับผู้คนอันเป็นที่รัก พร้อมกับความรู้สึกห่วงหาอาทรอันสุดจะบรรยาย แต่วินาทีนี้เขากลับรู้สึกสะใจเสียมากกว่า
      "ไงล่ะคราวนี้คงจะสมใจหล่อนละซิ ไม่เคยเห็นชั้นมีตัวตนอยู่แล้ว...."



      3
      ในวันที่อากาศร้อนชื้นของฤดูฝนที่สิบห้าของเด็กหนุ่ม เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับอิสระอย่างแท้จริงในการเลือกสถานที่เรียน เขาตัดสินใจเข้าเรียน ณ วิทยาลัยศิลปะแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงเส้นขอบของจังหวัด การเดินทางนั้นแสนยากเย็น แต่เพราะใจนั้นรักอยากเรียน ผู้เป็นแม่ให้อิสระแห่งการเลือกสถานที่เรียนเป็นครั้งแรกเขาจึงสนองตอบไปทันทีอย่างไม่มีการวางแผน ในวันที่เปิดเทอมเด็กน้อยจิตใจหวาดหวั่นด้วยความกังวล ตลอดเวลาสิบกว่าปีพ่อกับแม่เขาจะขับรถเก๋งส่วนตัวไปส่งเขาที่โรงเรียนทุกๆวัน ทุกครั้งที่เขาก้าวลงจากรถเขารู้สึกเปรียบดังองค์ชายองค์น้อยที่ลงจากรถม้าอันทรงเกียรติ์ เขามักจะมองไปรอบๆเพื่อหาดูว่ามีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่ไหนเดินมาเรียนบ้าง เขาจะรู้สึกเหนือกว่าคนเหล่านั้น ......ปัจจุบันพ่อตายด้วยโรคร้ายเมื่อหกเดือนก่อนจากนั้นจนกระทั่งจบมัธยมต้นผู้ไปส่งกลับเป็นแม่ที่ขับรถไป แต่พอหลังจากจบมัธยมรถของพ่อหายไป แม่เอาไปขายและซื้อรถใหม่ วันนั้นเขาอ้อนวอนให้แม่ไปส่งที่วิทยาลัยใหม่ที่เปิดเรียน ด้วยความที่ว่าตนเป็นคนเมารถมาก และไม่ค่อยจะเคยขึ้นรถเมล์เอง เขาพยายามอ้อนวอนแม่ที่ห้องนอนในตอนเช้าแต่แม่กลับตอบด้วยความเย็นชาว่า ไปเองเถอะโตแล้ว...ตั้งแต่วันนั้นมาแม่ก็หายไปแทบทั้งวันและกว่าจะกลับเด็กน้อยก็นอนแล้ว เวลาที่เคยมีให้กันหายไปราวกับเป็นเรื่องเล่าที่เมื่อเล่าภาพต่างๆจะปรากฏขึ้นในมโนจิตดังจินตนาการอันบรรเจิดและเมื่อเล่าจบทุกๆอย่างก็สลายหายไป...และบัดนี้เรื่องเล่าที่เคยเล่านั้นจบสิ้นตลอดกาล
      "วันนั้นผมเมารถมากและกว่าจะถึงวิทยาลัยก็เรียนไม่ไหว คงจะสะใจหล่อนมากเลยซิ" เด็กน้อยสีหน้าโกรธเกรี้ยว มือกำหมัดแน่นแต่ดูยังไงก็ไร้เรี่ยวแรง
      "อะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้นล่ะ" เสียงปริศนาเคลือบแคลงสงสัย
      "ฮึ!~"เด็กน้อยดันเสียงออกมาจากลำคอ "หล่อนชอบบอกปัดๆว่าโตแล้วบ้างล่ะ เหนื่อยบ้างล่ะ เป็นแม่ภาษาอะไรวะ แค่นี้ก็ทำให้ลูกไม่ได้ ไม่รู้เหรอไงว่าลูกเหนื่อยขนาดไหน เมา ก็ เมารถ อุตส่าห์ตั้งใจเรียนแต่กลับไม่เคยสนใจ ใช่สิก็พ่อตายไปแล้วนี่ ใครจะไปรู้ล่ะแต่ก่อนหล่อนอาจจะทำไปเพราะอยู่กับพ่อก็ได้ไอ้หน้าที่เลี้ยงดูเนี่ย.." คำพูดดูรุนแรงแต่น้ำเสียงกลับเรียบแบนเหมือนเดิม
      เด็กหนุ่มเริ่มรำคาญเสียงตัวเอง "อะไรวะ..."
      ไม่ต้องหงุดหงิดไปหรอก เสียงนั้นตอบกลับ การที่ "คน" พูดได้นั้นเกิดจากลมจากกระบังลมภายในวิ่งผ่านกล่องเสียง วิ่งสู่ปาก ซิกแซกสู่ริมฝีปากจึงเกิดคำพูด แต่บัดนี้เจ้าไม่มีอวัยวะเหล่านั้น อย่าว่าแต่อวัยวะเลย ตัวเจ้าเปรียบเสมือนเพียงคลื่นพลังงานเท่านั้นจับต้องสิ่งใดยังมิอาจเลย เสียงนั้นกล่าวเหมือนจะตอกย้ำถึงการตายจาก เด็กหนุ่มคิดขึ้นมาว่า มิน่าในหนังผีชอบทำเสียงผีเบาๆ ยานๆ กัน เพราะอย่างนี่นี้เอง เมื่อพูดจบเด็กหนุ่มนิ่งเงียบ แววตาเลื่อนลอย "ไหนๆผมก็ตายแล้วจะพาไปนรกที่ไหนก็ไป" "ใจเย็นไอ้หนุ่ม" เสียงแห่งด้านหลังตอบ กดเสียงต่ำลง ไอ้สถานที่ที่เรียกว่า "นรก" นั้นน่ะ มันไม่มีจริงหรอก นั่นมันเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นมาเป็นกลอุบายหลอกลวงคนสมัยก่อนแค่นั้นเอง
      ความจริงแล้วหากลองคิดดูดีๆจะรู้ว่า คนสมัยก่อนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการศึกษา ปริมาณของสิ่งเร้าที่จะเร้าให้เกิดการพัฒนารอยหยักของสมองก็น้อยนิด หากจะต้องสั่งต้องสอนอะไรไปอย่างให้มันลึกซึ้งจดจำก็ควรที่จะเป็นอะไรที่ออกในรูปธรรมและแฝงเรื่องลึกลับให้มากที่สุด คือทำให้มันมีอยู่จริงๆ คนจะได้กลัว ดังเช่นเรื่อง อย่าตากผ้าตอนกลางคืนเดี๋ยวกระสือจะเอาไปเช็ดปาก แต่จริงๆแล้วผ้าจะไม่แห้งและจะเกิดเชื้อราได้ หรือ อย่าเหยียบธรณีประตูเพราะเป็นของสูง จริงแล้วให้ระวังมิให้สะดุดเพราะมันอาจจะเกิดอุบัติเหตุ
      "นรก" ก็เช่นกัน
      เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจเรื่องราวต่างๆและทำท่าพยักหน้าสองสามครั้งเหมือนจะบอกว่า กะไว้แล้วว่าไอ้ สถานที่ที่เรียกว่า"นรก" เนี่ยมันต้องไม่มีจริงเป็นแน่ หากให้เป็นเหตุเป็นผลก็ไม่ยากไปกว่าที่จะคิดว่า มิน่าพวกคนสมัยนี้ การศึกษาของพวกมันมากขึ้น การใช้สมองคิดเชิงเหตุเชิงผลมากขึ้น ความเชื่อเชิงว่านรกมีจริงจึงน้อยลง และจึงมีพวกไม่เกรงกลัวต่อบาปเลยมีเกลื่อนเมือง สมัยนี้จึงต้องพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวในการลงโทษ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะพวกเลวๆมันก็ยังหลุดไปได้ด้วยเงิน
      แล้วแม่ล่ะ แม่ของเราจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเลิกเชื่อในนรกหรือเปล่า คำถามนั้นเกิดขึ้นมาจากความมืดและมันได้นำพาความมืดติดตัวมันมาด้วย
      "เจ้าคิดจะไปไหนล่ะ หรือว่าเจ้าจะไม่ลองลงไปดูที่งานของเจ้าหน่อยหรือ"
      เด็กหนุ่มก้มหน้ามองลงไปที่งานใบหน้าแสดงความครุ่นคิดและสะดุดกับคำว่า "งานของเจ้า" เห็นได้ชัดว่าเจ้าเสียงปริศนาข้างหลังของเขาเจตนาที่จะเว้นไม่พูดคำว่า "งานศพของเจ้า" ทำไมกัน หรือว่ากลัวตัวเราจะสะเทือนใจ มันจะไม่ใจดีกันไปหน่อยหรือ แต่ฟังๆดูแล้วมันก็เหมือนกับการพูดเชิงประชดเสียดสีตลกขบขันที่ผิดกาลเทศะเสียยิ่ง เด็กหนุ่มปักใจเชื่อว่าต้องเป็นการประชดแน่ๆความรู้สึกโกรธเหมือนกับจะผลุดออกมาจากส่วนลึกในใจ ตอนนี้มันแผ่ซ่านไปทั่ว มวลความคิดของเขาในข้อหาเห็นเขาเป็นตัวตลกเพื่อสนองความสนุกของตนเท่านั้น
      เด็กหนุ่มค่อยเคลื่อนร่างของตนลงไปข้างล่าง เขาเห็นได้ชัดว่าคนในงานที่เดินไปมานั้นมีไม่มากเท่าไร ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้ สีหน้าของแต่ละคนแสดงความเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด บ้างบางคนร้องไห้ เด็กหนุ่มหยุดมองหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งร้องไห้เอาหน้าฝังเข้าไปในอกของชายวัยกลางคนอีกคน อา กับ ลุง นี่เอง พวกเขาร้องไห้ทำไม ตอนเขายังอยู่คนพวกนี้แทบจะไม่เคยมาดูแลเขา แต่พอผลการเรียนตกหน่อยกลับยกขบวนญาติโกมารุมตำหนิ แทบจะไม่เคยฟังเหตุผลของเขาเลย
      ในขณะที่เด็กหนุ่มมองดูอาของเขาร้องไห้เขาก็เหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติจากคนในงาน เขากวาดสายตาไปรอบๆเพื่อหาสิ่งที่เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ใบหน้าของเด็กหนุ่มหยุดลง ณ จุดจุดหนึ่ง มันไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษสำหรับจุดที่เขามอง ผู้คนยังคงร้องไห้บ้าง เดินไปมาหากันบ้าง เด็กหนุ่มเคลื่อนถอยหลังจนหลังทะลุกำแพงออกไปครึ่งหนึ่ง แสดงใบหน้าเหยเกออกมา แฝงไปด้วยความตกใจ เขาเผยอมุมปากทั้งสองข้างออก แววตาสั่นไหว
      เขาไม่สามารถแยกได้ว่าระหว่างสีหน้าของคนที่กำลังแสดงกริยา "ร้องไห้" กับ กริยา "หัวเราะ" ถึงแม้ในงานจะไม่มีใครหัวเราะก็ตามมันอยู่ในความทรงจำของเขา ความเหมือนกัน ไม่ว่าจะรูปทรงของปาก ลักษณะของตา หรือ น้ำตาที่ไหลก็เช่นกัน จะต่างกันตรงที่น้ำตามันออกมามากกว่าเท่านั้น
      เหมือนทุกคนกำลังหัวเราะในงานศพของเขาอยู่ นี้เป็นเรื่องตลกร้ายที่รุนแรงที่สุด แม้ขนาดเขาตายไปทุกๆคนยังจะมาหัวเราะเยาะรื่นเริงที่ตัวปัญหาได้ดับสูญ ใช้สิบัดนี้ตัวปัญหาไม่สามารถลุกขึ้นมากระทำการใดๆที่จะทำให้พวกเขาร้อนใจได้อีก มันก็จริงของพวกมันหากเป็นเขา เขาก็จะรู้สึกสุขและก็คงจะมาเฉลิมฉลองมากกว่ามาร้องไห้
      ขณะที่เด็กหนุ่มคิดว่า เขาไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมากระทำการใดๆได้อีก สายตาของเขาก็ส่ายเชื่อมโยงกับสิ่งๆหนึ่งเข้า สิ่งนี้มันถูกวางไว้เหนือสิ่งอื่นใดในงาน มันเป็นวัตถุสี่เหลียมสีขาวประดับด้วยลวดลายแพรวพราวด้วยเส้นสายลายไทยสีทองแลดูสวยงามประหนึ่งว่ามันเป็นประธานของงานนี้ รอบข้างเต็มไปด้วยพฤกษาประดับพันเกี่ยวสอดไปมาจนเป็นบ่วงขนาดประมาณหนึ่งเมตรตั้งเรียงรายคล้ายไร้ระเบียบหลายอัน ในแต่ละอันจะมีข้อความเขียนชื่อของอะไรบางอย่างเหมือนกับแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น จากโรงเรียน เอ จากกลุ่มเพื่อนบ้าง และยังมีอีกประมาณ สามถึงสี่อันวางซ้อนอยู่ข้างหลัง
      "โลงศพ"ของเขา กับ "พวงหรีด" เด็กหนุ่มเข้าใจมากขึ้นว่า เจ้าพวกหรีดเหล่านี้ไม่ได้เอามาให้เขาแต่มันกลับเป็นการแสดงออกทางสังคมชนิดหนึ่งถึงการพยายามมีส่วนร่วมและอยากจะรับผิดชอบ ซึ่งจริงๆแล้วมันเหมือนกับการพยายามให้ความรับผิดชอบของตนให้จบลงเร็วๆโดยการแปรเปลี่ยนเรื่องยากๆเช่นต้องเสแสร้งเสียใจ มาเป็นวัตถุสัญลักษณ์ซะ และการเขียนชื่อนั้นก็เป็นการบ่งบอกว่า เขารับผิดชอบแล้วนะ นี่ไงพวกหรีด นี่ไงแสดงความเสียใจแล้ว อ่ะ อ่านชื่อด้วยว่าใครเอามาให้ แล้วคราวนี้อย่ามายุ่งอะไรกับพวกฉันอิ่กนะ ....
      ส่วนโลงศพของเขาวางตั้งไว้เหนือสิ่งอื่นใดดูแล้วน่าขันสิ้นดี ตอนมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งของเขานั้นต่ำขนาดมองไม่เห็นเพราะว่ามันเหมือนกับเป็นเสี้ยนที่ติดอยู่ที่ฝ่าเท้า จะมองเห็นมันก็เฉพาะเมื่อถูกตำ สุดท้ายความทรงจำที่เหลือก็เป็นเพียงแค่ความเจ็บและทุกข์ต่อกันเท่านั้น แต่บัดนี้ร่างของเขานั้นอยู่สูงเกินกว่าใครๆ
      เด็กหนุ่มรู้สึกโกรธ เกลียด เคียดแค้นจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ทว่า เขาไม่มีต่อมน้ำตาซะแล้ว เด็กหนุ่มสังเกตเห็น พวงหรีดพวงหนึ่ง มันไม่ได้ระบุเจ้าของ มีข้อความเขียนว่า "อโหสิกรรม" เด็กหนุ่มอยากจะหัวเราะออกมาพร้อมกับวิ่งไปถีบพวกมันให้ล้มให้หมด แล้วจากนั้นจะกระทืบซ้ำจนสิ้นซาก "อโหสิกรรม" นะเหรอ ตลกน่าชั้นรู้นะโว้ยว่าใครส่งมา…..


      เสียงดังของก่อสร้าง ทั้งสูงต่ำ แรงเบาสลับไปมา ถึงแม้ว่าจะมีการก่อสร้างขึ้นในเขตวิทยาลัยซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสองร้อยเมตร เสียงเหล่านั้นสร้างความลำบากในการสอน และ ในการเรียนอยู่มากแต่มันกลับผ่านเลยไม่เข้าหูของเด็กหนุ่มได้เลย หูของเด็กน้อยถูกอัดเข้าไปกับหูฟังที่เสียบเล่นเข้ากับเครื่องวอกค์แมน เสียงดนตรีกระหึมดังกึกก้องโสตประสาทตัดขาดจากโลกภายนอก เด็กหนุ่มเข้ามาเรียนที่วิทยานี้เป็นเดือนที่สอง ทุกๆวันที่มาเด็กหนุ่มต้องเดินทางโดยรถเมล์ ต้องยืนอยู่บนรถเมล์ที่โยกไปมาเหมือนกับอยู่ในทะเลเสียมากว่าบนพื้นคอนกรีต เขาจำเป็นต้องจับราวให้แน่นมากและต้องตื่นตัวตลอดเวลาหากเป็นเพราะคนขับนั้นชอบขับรถชนิดเอาแต่ใจ เมือไรที่จะออกรถก็ลงเท้าเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนตัวเขาและคนอื่นๆต้องเซไปข้างหลังและทันที่ที่อยากจะเบรกก็จะเบรกทันทีโดยไม่รีรอจนถลาไปข้างหน้า ทุกๆครั้งเขามักจะคิดคับข้องใจเสมอว่าตัวคนขับเขาไม่รู้ตัวหรืออย่างไรว่าตนเองขับแย่มากขนาดไหน หากคิดในแง่ดีอาจจะคิดว่าคนขับอาจจะเป็นมือกลองเก่ามาก่อนจังหวะเบรก และ เหยียบคันเร่งถึงได้ดุดันเหมือนจังหวะเพลงร็อกเสียจริง หากเป็นคนอื่นเขาคงจะชิน แต่สำหรับคนที่เมาได้กระทั่งอยู่บนรถยนต์ส่วนตัวอย่างเขาแล้วเปรียบได้กับนรกดีๆนี่เอง
      พอลงจากรถเมล์เขาแทบจะเดินไม่เป็นท่าแทบทุกครั้ง บางครั้งเดินเกือบชนเสาไฟฟ้า ลมหายใจของเขาสั้นบ้างยาวบ้างไม่เป็นจังหวะ มือเย็นและสั่น เหงื่อออกบริเวณหน้าผากและหลังคอ หูอื้อ ทิวทัศน์ถูกเจือจางด้วยควันสีดำที่บริเวณหางตาทั้งสอง "ทรมาน" คำนี้มักหลุดออกมาจากใจของเขาแทบทุกวัน อาการเมารถของเขารุนแรงขนาดที่เรียนในคาบแรกไม่รู้เรื่องจนมักจะต้องโดดไปนั่งฟังเพลงที่มุมตึกเสมอ ทุกๆครั้งที่เขาเมารถความรู้สึกทรมานจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธามารดาของตนที่คำเจรจาขอให้มาส่งนั้นล้มเหลว
      วันนี้ก็เช่นกัน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมา ความรู้สึกว่ามือตนเองเย็นเฉียบเหมือนพึ่งออกมาจากช่องฟรีซ สายตาจับจ้องการสั่นของมือตน ลมหายใจถูกขับออกมาอย่างแรงในใจหวังให้ความคลื่นเหียนหายไป หากแม่มาส่งเขาคงไม่ต้องมาทรมานเช่นนี้ ความรู้สึกโมโหวิ่งวนอยู่ภายในอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเด็กหนุ่มจนเขาอยากจะตะโกนด่าออกมาด้วยคำพูดที่เกินกว่าคำว่าหยาบ
      "แม่ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบ อย่างนี้น่ะเหรอเรียกว่าแม่ หน้าที่ล่ะ ไหนล่ะหน้าที่ของความเป็นแม่" เขาคิดวนไปมาประโยคเดิมซ้ำอย่างย้ำคิด
      หากจริงแล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความโกรธของตนมีมากและทุกอย่างกลับจะถูกโยนให้กับแม่
      ความรู้สึกคลื่นเหียนทวีคูณเป็นสองเท่าเมื่อมีแรงบางอย่างกดศีรษะของเขาลงอย่างแรงจากด้านหลังจนหน้าของเขาเกือบจะชนกับหัวเข่าที่ตั้งชันอยู่ในท่านั่งเด็กหนุ่มขมวดตาข่มกลั้นของกินที่วิ่งขึ้นสู่ลำคอและพยายามกลืนมันกลับลงไป เขารู้สึกร้อนไปทั่วคอ จากนั้นค่อยๆหันไปมอง
      "มึงโดดเรียนเหรอวะ!" โลกของเด็กหนุ่มเชื่อมต่อกับโลกจริงๆได้อีกครั้งด้วยแรงตบจากข้างหลังจนหูฟังรวงหล่น "รับน้องก็ไม่เข้า เรียนก็ไม่เรียนมึงมาทำไมวะโรงเรียนเนี่ย?" เด็กหนุ่มจำชายทั้งสามได้ พวกเขาคือรุ่นพี่ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการรับน้องปีหนึ่ง เสียงของพวกเขาดังและฟังดูดุดันมากในน้ำเสียงที่ย้ำฟังดูน่ากลัวเหมือนเจตนาจะทำร้ายกัน
      ยุ่งอะไรกับกูวะ เด็กหนุ่มคิดในใจรู้ว่าไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ แต่เขาไม่รู้ว่าถ้อยคำของเขาได้แสดงออกมาทางแววตาจนหนึ่งในรุ่นพี่จับได้
      "เฮ้ยดูมันมองดิ เวรเอ้ยปีนเกลียวใหญ่แล้ว" หนึ่งในรุ่นพี่ร่างใหญ่ผิวดำปากหนา แลดูน่ารังเกียจ เอามือจับหัวเบาๆแล้วตามด้วยแรง ด้วยการตบ หัวของเด็กหนุ่มกระแทกเข้ากับเสาของตัวอาคารอย่างแรง เสียงอื้ออึงดังอยู่ในรูหู ในหัวของเขาวิ่งวนไปมา ของที่เคยกลืนลงไปกลับวิ่งขึ้นมาเช่นเคย แต่คราวนี้เขาไม่สามารถข่มกลั้นที่จะกลืนมันลงไปได้อีกแล้ว เขาคลายทุกสิ่งทุกอย่างออกมาเป็นของเหลวข้นสีขาว พร้อมเศษสีเขียวของผักผสมผสานกันส่งกลิ่นเหม็นชวนจะอาเจียนตาม
      เด็กหนุ่มก้มโค้งอาเจียนลงพื้น น้ำตารินไหลซึมผ่านหางตาทั้งสองค่อยๆเคลื่อนหยดลงตามแก้มพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ ความเคียดแค้นสูบฉีดจากก้นบึ้งแห่งจิตใจ พุ่งทะลักออกมาพร้อมกับแรงบิดตัวของลำไส้ออกมาพร้อมกับอาเจียน
      "แหวะ อุบาทว่ะ อะไรวะแกล้งนิดแกล้งหน่อยถึงกับอ้วกออกมา" หนึ่งในกลุ่มชายทั้งสาม สบถออกมา ชายร่างผอมสูงไว้ผมยาวหัวยาวโหนกคิ้วหนาตาลึกผิวเหลือง ทำปากเบี้ยวหรี่ตา "มึงเป็นตุ๊ดป่าววะเนี่ย!"
      "เวรเอ๊ย กูว่ามึงเลิกเรียนเถอะว่ะ แตะนิดแตะหน่อยทำสำออย" ชายอีกคนร่างสูงเกือบเท่ากันไว้ผมยาวตาเรียวเล็กยกมุมปากขึ้นเดินเข้าใกล้เด็กหนุ่ม จากนั้นค่อยๆยกเท้ายันก้นของเขาจนหัวเด็กหนุ่มคมำในขณะกำลังอาเจียน "กูว่ามึงไปตายซะดีกว่าไปไอ้ตุ๊ดเอ๊ย!"ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลบลงไปในกองอาเจียนของตนขณะที่แรงผลักดันจากภายในยังไม่สุด เขาทะลักอาเจียนของเขาออกมาทั้งทางปากและจมูกอัดเข้ากับพื้นของตัวอาคารและใบหน้าของเขา บัดนี้เขาไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกได้จากการสะอื้นไห้ว่านี้คือความเศร้าเสียใจในชะตากรรมหรือความโกรธแค้นชิงชันต่อผู้กระทำ น้ำตาของเขารินไหลออกมาปะปนกับธารอ้วกแห่งความชิงชังก่อนที่เขาจะกระอักจากการสำลักเมื่อเศษอาหารจากอาเจียนของเขาติดหลอดลม....


      "ไม่มีใครจะมาสนใจใยดีชั้น..." เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความชิงชังของตนทะลักออกมานอกตัวจนรู้สึกถึงกลุ่มควันสีแดง "ชั้นอยากจะฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก…"
      "เจ้าเสียงข้างหลังเจ้ารู้ไหมว่ามันไม่แค่นั้นน่ะ…" เด็กหนุ่มทำเสียงท้าทายเหมือนกับภูมิใจในประสบการณ์ชีวิตของตน
      "...แล้วมันเป็นยังไงอีก."เสียงปริศนาจากข้างหลังตอบสนองการท้าทาย
      "แน่นอน หลังจากนั้นชั้นก็ไม่ได้เข้าเรียนในคาบแรกเพราะเรียนไมไหว จากนั้นไม่รู้บังเอิญห่าเหวอะไรเป็นต้องเจอไอ้พวกนั้นประจำ พวกมันทั้งด่า ทั้งแกล้ง พวกมันพาไปที่หอแล้วก็ทำเป็นว่าชั้นเป็นทาสรับใช้ของมัน ชั้นเบื่อมากหนียังไงมันก็หาเจอ พักหลังจากสองเดือนมาชั้นเข้าเรียนน้อยลง เพราะอะไร ก็เพราะไอ้เวรพวกนั้นน่ะสิ! มันทำให้ชั้นเบื่อหมดอารมณ์เรียน ชั้นไม่ไหวจะทำอะไรทั้งนั้นหมดทุกอย่าง จนสุดท้ายถูกอาจารย์เรียกพบเพราะไม่มีสิทธิ์สอบ จนถูกเรียกผู้ปกครองมา รู้ไหมว่าแม่ทำยังไงเมื่อถูกเรียกผู้ปกครอง แม่โทรไปฟ้องอาเพื่อให้อามาต่อว่าชั้น พวกยกโขยงมาทั้งตระกูล หาว่าชั้นขี้เกียจบ้าง หาว่าให้อิสระแล้วเหลิงบ้าง แต่ไม่มีใครฟังชั้นซักคน!"
      ความรู้สึกของเขารุนแรงมากขึ้นจนไม่สามารถจะหยุดความรู้สึกได้มันเหมือนกับความรู้สึกของเขาทะยานไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีเบรก ไม่ซิเด็กหนุ่มรู้สึกว่าเบรกไม่มีมากกว่า แต่เป็นสิ่งที่ประหลาด ยิ่งเขาคิดเขายิ่งรู้สึกโกรธ เกลียดรุนแรงมากเท่าไรเขากลับรู้สึกว่าเขาพูดได้เร็วขึ้น ไม่ยานเหมือนเมื่อก่อน เขาลองหันไปมาปรากฏว่าเขาขยับได้เร็วขึ้นจริงๆ " พลัง" เขารู้สึกถึงพลังในตัวเขาที่เพิ่มขึ้น เขาลองหันไปมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใช่ เขาเร็วขึ้น แล้วยังรู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย ในระหว่างหันเขาบังเอิญเห็นรูปของเขา
      "นาย อารยะ รักษ์จรรยา ชาตะ 16 พ.ค. 2532 มรณะ 19 ก.ย. 2549"
      นี่นะเหรอรูปของเรา เด็กหนุ่มนาม อารยะ รู้สึกประหลาดใจที่เห็นรูปของตนเพราะระยะหลังเขาแทบไม่เคยถ่ายรูป และแทบจะไม่สนใจส่องกระจกด้วย
      อารยะ ค่อยๆเอามือไปจับรูปของเขา เด็กหนุ่มตกใจชะงักมือเมื่อเขารับรู้สัมผัสของความเย็นของแผ่นกระจกใสที่ปกปิดภาพของเขาได้ แรงกระตุกจากการชะงักทำให้กรอบภาพพลัดหลุดออกจากตัวยึด กรอบรูปค่อยรวงหล่นลงพื้นกระจกแตกกระจายเสียงดังกังวานทั่วงานก่อนความเงียบงันเข้ากลืนกินงานศพ สายตาผู้ร่วมงานต่างจับจ้องไปที่ภาพของ อารยะที่หล่นจนแตกกระจาย ส่วนกระจกกรอบที่เหลือเกิดรอยร้าวพาดผ่านหน้าในรูป แขกในงานยืนนิ่งบ้างเอามือปิดปาก สายตาตื่นกลัวแสดงออกมาชัดเจน แต่สายตาของอารยะกลับจับจ้องที่มือของเขาเองมือของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง....



      4
      เสียงหายใจหอบของชายร่างใหญ่ผิวดำปากหนา แลดูน่ารังเกียจขับสลับแข่งกับเสียงสายฝนในคืนอันหนาวแหนบ ชายร่างใหญ่นั่งคุดคู้เสื้อไม่ใส่อยู่ในมุมมุมหนึ่งที่ใช้ในการเก็บเครื่องเรือนที่ไม่ใช้แล้ว ผิวสีดำขำอาบด้วยเหงื่อจากการวิ่งหนีบางอย่างกับจังหวะหอบหายใจสะท้อนแสงนีออนขึ้นลง หอพักเรือนไม้เก่าแก่ตั้งเรียงรายกัน แต่ละหลังถูกเชื่อมต่อด้วยทางเดินไม้ ข้างล่างเป็นบึงน้ำมีหญ้ากกขึ้นเต็ม ถัดไปประมาณสิบเมตรมีคูคลองที่ตัดผ่าน แต่หากมองไม่ดีจะไม่เห็นเป็นคลองเพราะต้นผักตบชวาขึ้นเบียดเสียดจนไม่สามารถรับรู้ถึงผิวน้ำได้
      "ชั้นไม่ได้ทำอะไรนะ"เสียงชายหนุ่มผิวดำสั่นเครือ นัยน์ตาเบิกโพลง นั่งกอดเข่าสั่นสะท้าน ทั่วทั้งตัวเปียกปอน เสียงฟันที่ขบกระแทกกันดังเข้าหูของเขามากกว่าเสียงสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วง จนกลิ่นไม้ชื้นครอบคลุมบริเวณโดยรอบ
      ความมืดมิดยามราตรีบดบังทัศนีย์ทั่วทุกทิศ มีเพียงรอยหย่อมน้ำที่เกิดจากเท้าของเขาเป็นหย่อมสะท้อนแสงไฟจากหน้าทางเข้าหอพักไม้สีน้ำตาลเก่าแก่จนมาถึงสุดมุมของหอ แสดงให้เห็นความเป็นมาจากการกระทำของหย่อมน้ำที่แตกกระจายด้วยความเร็วและแรง ชายหนุ่มผิวดำวิ่งตากฝนหนีเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว และถลาตัวเข้ามาแอบคุดคู้ในที่ดังกล่าว มือทั้งสองของเขากำกันแน่นอยู่บริเวณหน้าอก หัวเข่าที่ชันขึ้นมาสั่นจนขาทั้งสองข้างกระแทกกันดัง ปั่ก ปั่ก แววตาสั่นไหวไปมาซ้ายทีขวาที บางครั้งมองข้างบนแล้วก็กลับมามองข้างหน้า
      แสงสว่างวาบพุ่งปะทะเข้านัยน์ตาจนม่านตาต้องลดขนาดลง ทันใดแสงนั้นหายไปตามด้วยเสียงคำรามแห่งนภา ม่านตาปรับการรับแสงไม่ทันก่อเกิดความมืดมิดที่เกินกว่าธรรมชาติ ก่อนที่ม่านตาจะขยายปรับปริมาณการรับแสง ชายหนุ่มเกร็งนิ้วเท้าจิกลงพื้นไม้และถีบตัวซุกอัดเข้ามุมมากขึ้นอย่างอัตโนมัติจนแผ่นหลังเปลือยเปล่าชุ่มด้วยเหงื่อและฝนประทับเข้ากับกำแพง เกิดความเย็นแทรกซึมผ่านสันหลังสะท้านถึงหัวใจ เขาเห็นบางอย่างบริเวณทางเข้า บางอย่างนั้นมันมืดกว่าความมืดที่เกิดจากอาการหน้ามืดของม่านตาที่ขยายตัวไม่ทันเสียอีก แม้ทางเข้าหอพักจะมีหลอดไฟนีออนเปิดอยู่ แต่ทว่าไม่ปรากฏการสะท้อนแสงจากมัน มันมีรูปร่างยาวยืนตั้งอยู่ ชั่วพริบตาที่ม่านตาปรับแสงได้บางอย่างนั้นได้อันตรธานหายไป
      ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นของอะไรบางอย่างวิ่งเข้าโพรงจมูกชายผิวดำ มันไม่ใช่กลิ่นที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าบ่อยถึงขนาดจำได้ว่ากลิ่นอะไร กลิ่นมันออกอุ่นๆร้อนๆเปรี้ยวๆ ชายหนุ่มผิวดำทำท่ายกจมูกขึ้น กลิ่นมันทำให้รู้สึกอยากจะอ้วกตาม..... "อยากจะอ้วกตาม" ความคิดของเขาสะดุดกับความคิดที่ออกมาโดยที่ไม่ทันคาด อะไรล่ะที่ทำให้เราบอกว่า อยากจะอ้วกตาม สิ่งเดียวเท่านั้น มันก็คือ อ้วกนั้นเอง มันอาจจะเป็นสัญชาตญาณอะไรบางอย่าง ในขณะที่คนเราเห็นคนอื่นอาเจียน เรามักจะมีอาการอยากจะอาเจียนตามมาด้วย จริงๆแล้วมันไม่ใช่จากเราเห็นแต่อย่างใดหรอก แต่เป็นเพราะกลิ่นของมันต่างหากที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่กระตุ้นให้เราเอาบางอย่าง "ออกมา" ตามที่ได้รับรู้ มันเป็นการป้องกันตามสัญชาตญาณมาตั้งแต่โบราณ เมื่อมนุษย์ยังลองผิดลองถูกเกี่ยวกับการหาของกิน โดยธรรมชาตินอกจาก "ตา" และ "จมูก" จะเป็นตัวกลั่นกลองให้รู้ได้ในระดับหนึ่งว่า กินได้ หรือ ไม่ ยังมี "ลิ้น" ที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ว่ากินได้ไหม? โดยรสที่สามารถกินได้ส่วนใหญ่คือ "หวาน" เพราะมันมีน้ำตาลให้พลังงานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่เมื่อไรที่มีรสที่ไม่น่าไว้ใจอย่างเช่น ขม หรือ เปรี้ยว ร่างกายจะทำงานอย่างอัตโนมัติโดยการให้คายออกมา หรือ หากมันลงไปในท้องแล้ว ร่างกายก็จะขย้อนออกมาเช่นกัน และที่สำคัญ รสแปลกๆจำพวกนี้มันจะมีกลิ่นที่ไม่น่าอภิรมย์เป็นของคู่กัน เพราะฉะนั้นสัญชาตญาณจึงทำการจับคู่วิถีเอาตัวรอดว่าด้วยการอาเจียนสองเงื่อนไข หนึ่ง รส และสองคือกลิ่นนั่นเอง ชายผิวดำทำท่าจะอาเจียนสองครั้งติดกันจนน้ำลายไหลล้นเอ่อออกมาที่ริมฝีปากพร้อมมองหาต้นตอด้วยร่างที่สั่นกลัว กลิ่นรุนแรงถึงขั้นเตะจมูกได้เลย เขารู้สึกว่ากลิ่นนั้นอยู่ใกล้มากใกล้ขนาดต้องอยู่ข้างหน้าของเขาได้เลยทีเดียว.....เขามองลงข้างหน้า ข้างหน้าที่เคยเป็นรอยหย่อมน้ำที่เกิดจากการที่เท้าของเขาวิ่งตากฝนเข้ามา จากหยดน้ำเหลวสีดำสะท้อนแสงสีขาวนวลของไฟนีออนบัดนี้มันได้เปลี่ยนเป็นสีขาวออกเหลืองมีเม็ดสีเขียวๆแซมบางจุด เราเหยียบอะไรมาตั้งแต่เมื่อไร ชายหนุ่มค่อยๆยื่นนิ้วออกไปเข้าหาหย่อมน้ำนั้น ปลายนิ้วสั่นกระตุกไปมาหยดน้ำค่อยหยดจากปลายนิ้ว กลิ่นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนเกือบจะเหมือนอะไรเน่าและคาวเลือดได้เลย บางครั้งกลิ่นของมันทำให้เขาต้องกระตุกปากยกขึ้นเชิดหน้าหนีและปล่อยขากรรไกลงมาจะอ้วกตาม
      ชายหนุ่มผิวดำสะดุ้งสุดตัวแต่แปลกเขากลับไม่สามารถขยับตามแรงสะดุ้งได้เมื่อเห็นว่า หย่อมน้ำนั้นมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้
      หย่อมน้ำค่อยๆมีบางอย่างดันขึ้นมาเป็นทรงกลมขนาดประมาณลูกฟุตบอล สิ่งนั้นค่อยๆยืดสูงขึ้นปรากฏสีดำแซมออกมาจากของเหลวสีขาวอมเหลืองจากนั้นของเหลวค่อยๆถูกเจือจางด้วยสีแดงข้นคลั่ก ชายหนุ่มรู้ในบัดดลว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร "หัว" หัวของคนนั้นเอง ชายหนุ่มตัวสั่นกระตุกด้วยความกลัว ปากอ้าและแบะออก เหงื่อไหลจากหนังศีรษะลงมาที่หน้าผากเม็ดต่อเม็ดจนนับไม่ถ้วน สิ่งนั้นค่อยๆสูงขึ้นจนน่าจะเห็นในส่วนที่เรียกว่าตา แต่ "ตา" นั้นกลับไม่มี หยดน้ำสีขาวอมเหลืองและมีสีแดงข้นค่อยๆหยดจากบริเวณที่น่าจะเป็นดวงตาแต่บัดนี้มันได้กลับกลายไปเป็นหลุมสีดำเป็นวงกว้างสองวง บริเวณปากค่อยๆอ้าออกพร้อมของเหลวสีขาวอมเหลืองไหลทะลักออกมาพร้อมสิ่งมีชีวิตรูปร่างยาวดิ้นไปมายั้วเยี้ย
      ชายหนุ่มร้องออกมาสุดเสียง แต่ทั้งหมดของเสียงกลับไม่ออกมา เขาพยายามตะเกียกตะกายถอยหนีจากสิ่งนั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆนับไม่ถ้วนไหลทั่วร่างจนเปียกทั่วทั้งกาย เขารู้สึกว่าเม็ดเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาจากหน้าอกของเขามากมายและมันก็ค่อยๆไหลลงมาที่ท้องและถูกกางเกงซึมหายไป
      ยิ่งเขาตะเกียกตะกายถอยหนีเท่าไรก็พบว่าตนเองกลับจะทำให้เข้ามุมมากขึ้น ความเย็นที่ส่งผ่านแผ่นหลังกับกำแพงยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเขารู้สึกเสียวและแสบแปล๊บตรงบริเวณหน้าอกจนต้องเอามือขึ้นมาจับไว้ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของชายหนุ่มอีกคนดังกึกก้องในหู
      ชายหนุ่มรู้สึกหูอื้อมีเสียง วี้---- ดังยาวตลอดเวลา เขาสัมผัสจังหวะหายใจและจังหวะสูบฉีดเลือดของเขาได้ชัดเจนจากแท่งเหล็กทรงกลมกลวงตรงกลางที่เสียบทะลุจากข้างหลังออกมาด้านหน้าบริเวณหน้าอกของเขา เลือดพุ่งทะลักออกมาตามจังหวะของการเต้นของหัวใจออกมาใส่มือ ชายหนุ่มก้มมองลงที่พื้นพบว่าเลือดของเขานองเต็มพื้น เงยหน้าขึ้น เขายังเห็นสิ่งสิ่งนั้น ดวงตากลวงโบ๋สีดำอ้าปากหัวเราะพร้อมของเหลวสีขาวอมเหลืองซึ่งตอนนี้ได้ผสมผสานกับเลือดของเขาไหลออกมาจากปากของสิ่งสิ่งนั้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความทรมานแสนสาหัสทางความรู้สึก ไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่านี้อีกแล้วกับการต้องมาตายต่อหน้าสิ่งที่น่ากลัว ชายผิวดำหยุดนิ่งดวงตาเบิกค้างจ้องมองสิ่งนั้น ทุกๆอย่างถูกหยุดลงในท่านั้นตลอดการยกเว้นสายฝนที่ยังคงตกตามหน้าที่ของมัน....


      แสงสีส้มสาดส่งจากดวงอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้ากระทบรถสีเหลืองเขียวที่ถูกเกาะเคลือบไปด้วยฝุ่นจนความจริงบางประการถูกบิดเบือนไปไม่ว่าจากแสงหรือรูปลักษณ์ของรถที่ฝุ่นเกาะทำให้มันดูเก่ากว่าสภาพการใช้งานจริงๆ หรือหากว่ามันจะเก่าเร็วขนาดนี้ก็คงเพราะถูกใช้งานจนสมบุกสมบันอย่างมาก
      หลอดไฟนีออนกระพริบถี่ๆแสดงถึงกระแสไฟฟ้าเข้าไปทำปฏิกิริยากับระบบทำงานกระตุ้นให้ฟอสฟอรัสเรืองแสงกระทบอีกฝั่งหนึ่งของรถแท็กซี่สีเหลืองเขียวคันนั้น รถแท็กซี่จอดอยู่หน้าบ้านชั้นเดียวสไตล์ทาวน์เฮ้าส์ของการเคหะ ในยามนี้รถแท็กซี่เปรียบเสมือนตัวกลางของสองโลกที่มาเจอกันระหว่างโลกแห่งธรรมชาติสีส้มของพระอาทิตย์กับอีกฝั่งโลกแห่งเทคโนโลยี
      "เอาล่ะ..พี่ต้องกินข้าวบ้างนะ"เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาหลังจากเดินมาเปิดไฟหน้าบ้าน "เรื่องมันผ่านไปแล้วเราก็ต้องทำใจให้ได้" จากนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ในชุดโต๊ะทานข้าว เบื้องหน้าเป็นกับข้าวที่ถูกซื้อมา ประกอบไปด้วยกับข้าวง่ายๆสองอย่าง และจานที่ใส่ข้าวไว้ ถัดไปทางขวาติดกับหน้าต่างมีชุดโซฟาสีดำพิงกับกำแพงมีหญิงสาวอีกคนนั่งไหล่ห่อก้มหน้าปล่อยให้ผมยาวของเธอปรกหน้าหมด เธอสวมชุดสีดำ
      "นี่พี่...หนูรู้น่าว่าพี่เสียใจแต่คนเราก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ และที่สำคัญมันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่ด้วย" หญิงสาวผู้น้องพูดกับหญิงชุดดำที่นั่งอยู่ตรงโซฟา หญิงชุดดำเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งเอามือกอดที่ไหล่ทั้งสองของตนและเริ่มสั่น เสียงสะอื้นเริ่มก่อตัวขึ้นในลำคอ สาวผู้น้องมองไปทางพี่ของตนด้วยสายตาอ่อนใจในแววตาแฝงตำหนิอยู่ภายใน ถ้าเป็นไปได้คงอยากจะบอกว่า จะเศร้าอะไรนักหนาตัวเขาเองก็มีงานมีการต้องทำนะไม่มีเวลาอยู่เฝ้าตลอดหรอก
      เสียงโทรศัพท์มือถือจังหวะสดใสไม่สอดคล้องกับบรรยากาศดังขึ้นในกระเป๋าสะพายที่วางบนโต๊ะทานข้าว หญิงสาวผู้น้องค่อยๆหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของตนออกมาช้าโดยไม่แยแสว่าเสียงของมันจะไม่เหมาะกับอาการเศร้าของพี่สาวของตน
      "อื่อ...แม่เอง อ้ออยู่ที่บ้านพี่อารีย์นะ อ้อได้สิได้จ้า...โอเคจ๊ะ บาย"เธอกดที่ปุ่มวางสายจ้องมองที่โทรศัพท์ครู่หนึ่งจึ่งถอนหายใจแล้วจึ่งเงยหน้าขึ้นมองพี่ของเธอ
      "เดี๋ยวหนูต้องกลับแล้วล่ะที่บ้านเขามากันแล้ว"เธอพยายามจะเลี่ยงคำว่าลูกกับสามีที่พี่สาวของเธอสูญเสียไปหมด "เอาอย่างนี้นะหนูจะเปิดทีวีไว้เป็นเพื่อนแล้วหากพี่ต้องการอะไรก็โทรเรียกหนูละกัน"พูดจบเธอก็เดินไปเปิดโทรทัศน์
      "พบศพนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะแห่งหนึ่งแถบชานเมืองเช้านี้....."เสียงแหบปนหวานของนักข่าวหญิงหน้าหวานช่องเจ็ดดังออกมาจากลำโพงสะท้อนเข้าทุกมุมในบ้านยกเว้นเพียงในหูของอารีย์เท่านั้นที่เสียงต่างๆไม่สามารถจะแสดงตัวตนของมันได้ เสียงปิดประตูดัง น้องสาวเธอออกจากบ้านไปพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงพื้นของอารีย์
      "ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสงสัยว่าจะเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่องเพราะเกิดที่วิทยาลัยดังกล่าวถึงสามคดีและผู้เสียชีวิตยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันด้วย..." เสียงผู้รายงานสาวหน้าหวานเสียงแหบยังคงรายงานต่อไป.......


      ถนนสีเทาสะท้อนแสงไฟสีส้มเป็นดวงยามค่ำคืน ความมืดมิดที่อยู่เหนือถนนถูกแทรกแซงไปด้วยแสงสว่างที่หลุดรอดออกมาจากหน้าต่างของอาคารบ้านเรือนแลดูเหมือนกับมีดวงตานับร้อยนับพันจับจ้องสิ่งมีชีวิตที่สร้างพวกมันขึ้นมาอยู่
      เช่นเดียวกับอารยะ ถึงแม้บัดนี้จะไม่มีใครสามารถเห็นเขาได้ แต่ดวงตาแห่งหน้าต่างนับร้อยพันเหมือนกับจับจ้องเขา พวกมันไม่มีแม้ชีวิต ไม่มีแม้ความรู้สึก อย่ามาเหลิงบังอาจจะมาจับจ้องมองเขา ในขณะที่หนุ่มน้อยอารยะคิดนั้น เขาก็ตระหนักถึงตนเองขึ้นมาว่าตนนั้นก็ไร้ซึ่งชีวิตเช่นเดียวกันกับพวกมัน แต่อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน เขามีความรู้สึกอยู่เขารับรู้ได้ เพียงแค่นั้นก็บอกได้ว่าข้านั้นเหนือกว่าพวกแกแล้ว
      บัดนี้ไม่เพียงแค่รู้สึกรับรู้ได้ เขายังสามารถทำอะไรได้เพิ่มขึ้นมากมายกว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่จะทำได้ เพราะเขาได้ข้ามเหนือสิ่งมีชีวิตขึ้นมา อารยะสามารถที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิด ไม่มีใครสามารถจับผิดได้ และที่สำคัญหากจริงๆแล้วสถานที่ที่เขาจะต้องไปนั้นไม่มีจริง บัดนี้เขารู้สึกได้ถึงความสุขที่สุดยอดเหนือสิ่งอื่น
      อารยะได้สำเร็จโทษผู้ที่เขาโกรธแค้นในขณะที่เขายังมีชีวิตด้วยความสามารถที่เขาค้นพบมา อารยะยกมือขึ้นมามอง ใบหน้าแฝงไปด้วยความภูมิใจเล็กๆที่แสดงออกทางริมฝีปาก ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเมื่อเขาเพิ่มความรู้สึกของตนเอง ความโกรธ ความแค้น ความชิงชัง ก่อเกิดพลังและความรู้สึกดังความกระฉับกระเฉง นอกจากพลังแห่งความคล่องตัวเร็วขึ้นเขายังค้นพบอีกว่าเขาสามารถที่จะจับต้องวัตถุต่างๆได้ตามต้องการทั้งๆที่ความสามารถเก่าดังเดิมของวิญญาณยังอยู่คือการทะลุผ่าน
      หากให้คิดถึงว่าทำไมเขาถึงจับต้องสิ่งต่างๆได้นั้นไม่ยาก เขาลองคิดๆดูจากเมื่อครั้งตอนยังมีชีวิตอยู่ เที่ยงคืนวันเสาร์และอาทิตย์หนุ่มน้อยอารยะติดและจำต้องฟังรายการวิทยุอยู่รายการหนึ่ง มันเป็นรายการที่ให้ผู้ฟังโทรศัพท์มาเล่าเรื่องราวลึกลับผีสางต่างๆ ดำเนินรายการโดยดีเจเสียงแหบตัวอ้วนดำนัยน์ตาเล็ก "หากจะเรียกวิญญาณพวกนี้ว่าเป็นพลังงานชนิดหนึ่งก็เป็นได้" เสียงแหบของดีเจผู้นั้นแว่วในมโนจิตของอารยะ นั้นมักเป็นคำสรุปของดีเจผู้นี้เวลาจะอธิบายปรากฏการณ์วิญญาณให้ออกมาในรูปของวิทยาศาสตร์ "หากเป็นพลังงาน กฎของมันคือ ไม่สลายหายไปแต่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบอื่นได้" "เปลี่ยนแปลง...." อารยะบ่นพึมพำกับตนเองด้วยคำนี้ซ้ำไปมา พลังงานที่จะเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีขบวนการบางอย่างเกิดขึ้น แล้วขบวนการนั้นจะมาจากไหน ไม่ต้องหาคำตอบที่ไหน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตัวแปรที่จะทำให้เกิดขบวนการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมาจากไม่ภายในก็ภายนอกเพราะมันไม่มีจากไหนอีกแล้ว จากข้อสรุปนี้ตัวแปรที่อารยะใส่ลงไปคือ ความแค้น ความโกรธ และความชิงชัง ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้เปรียบดังตัวเร่งปฏิกิริยานั่นเอง ตัวเร่งนี้ทำให้กลุ่มก้อนพลังงานของเขา (วิญญาณ) มีพลังงานสูงขึ้น มีแรงต้านทานมากขึ้น และเหมือนมันจะเพิ่มจำนวนอัดแน่นมากขึ้นด้วย จากสมมติฐานนี้มีข้อยืนยันอีกอย่างคือ "สี" สีของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีแดงจากสีของผิวกายที่ออกจะใส เกิดพร้อมกับความสามารถจับต้องวัตถุได้ แต่ทว่าการจับต้องนั้นจะต่างจากตอนมีชีวิตอยู่คือ มันเหมือนการผลักดันหรือใช้การพยุงมากกว่า ตัวเขาเองไม่รู้สึกถึงการสัมผัสกับผิวหนังเพราะเขาไม่มีส่วนประกอบนั้น แต่เขาสามารถรับรู้พื้นผิวและอุณหภูมิมันได้
      อารยะยังคงจ้องมองมือตนเอง เอียงคอทำตาฉงนบางอย่าง สีของมือเขาเข้มขึ้น แต่ก่อนนั้นยังเป็นสีแดงแต่บัดนี้เหมือนมีสีม่วงเข้มเข้ามาแซม
      "เจ้าคิดจะไปไหนต่อไป?" เสียงจากข้างหลังก้องกังวานผ่านเข้าหูอารยะ
      "แกอีกแล้ว นี่เลิกถามชั้นซะที่ได้ไหม นี้ก็ครั้งที่สี่แล้ว ถามจริงเถอะแกจะตามชั้นไปตลอดเลยหรือไงกันหา?"หนุ่มน้อยถามแกมประชดสิ่งที่มองไม่เห็นข้างหลัง
      "ตาม?....อือจะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก แต่จะเรียกให้ถูกคือเจ้านะเหละเอาข้าไปไหนต่อไหนด้วย ข้าจึงต้องถามเจ้าไงว่าเจ้าจะไปไหน"
      อารยะเริ่มหงุดหงิดคำพูดที่มักจะวกวนของเสียงปริศนาข้างหลังมากขึ้น บัดนี้เขามีความคิดดีๆขึ้นมาว่าแต่ก่อนเขาช้ามาก แต่ตอนนี้เขาเร็วพอๆกับเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่สิเร็วกว่าเสียด้วย เขาต้องพยายามหันไปดูให้ได้ว่ามันคือใครกันที่ชอบมาพูดข้างหลังของตนตลอดทำให้รู้สึกรำคาญอยู่เป็นนิจ
      อารยะเคลื่อนที่หันหลังทันทีด้วยความเร็ว ตาเบิกโพลงอ้าปากยิ้มที่มุมปากเหมือนจะพูดว่า เสร็จชั้นล่ะ ...ว่างเปล่า เขาไม่เห็นใครหรืออะไรซักอย่างนอกจากหน้าต่างชั้นสองของบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่นักศึกษาสาวกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า
      "ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเจ้าไม่ต้องหาข้าหรอกเพราะข้าอยู่ "ข้างหลัง" ของ "เจ้า" ไง" อารมณ์เรียบเฉยของเสียงยังคงเดิมยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้เด็กหนุ่มเพิ่มขึ้น เด็กหนุ่มกัดฟันยอมจำนนภายนอกแต่ภายในยังเดือดพล่าน
      อารยะยังคงจับจ้องเข้าไปในหน้าต่างของบ้านจัดสรรไม่หันไปไหน นักศึกษาค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าชิ้นน้อยๆออกทีละชิ้นเผยให้เห็นผิวในเต่งตึงสดใสแม้จะผ่านเวลาแห่งทั้งวันซึ่งทำกิจกรรมต่างๆมาแต่มันก็ยังคงดูสดใสเหมือนพึ่งอาบน้ำเสร็จ
      เด็กหนุ่มจ้องมองพลางคิดเมื่อตอนตนยังมีชีวิตเขาเคยแอบดูเพื่อนบ้านอาบน้ำ เธอมีอายุมากกว่าเขาประมาณสามปี ตอนนั้นใจของเขาสั่นไม่เป็นจังหวะและมันรุนแรงขนาดว่ามันจะพุ่งทะลุหน้าอกเขาออกมาเลยทีเดียว ในใจคิดอยากจะเข้าไปสัมผัสทุกสัดทุกส่วนของเธอไม่ให้หลุดลอดหายไปซักเซ็นต์เดียว เขามักจะจำและเก็บไปนอนสร้างจินตนาการความนิ่มของหน้าอกเธอด้วยมือข้างหนึ่งโดยทำท่าเหมือนถือซาลาเปาลูกขนาดย่อมๆข้างบน มืออีกข้างก็ทำกิจกรรมที่สอดคล้องข้างล่างไป
      บัดนี้เขาไม่มีอวัยวะต่างๆ ไม่มีฮอร์โมน ไม่มีหัวใจ และไม่มีความต้องการชนิดนี้ อารยะหันละสายตาออกจากมุมมองระดับเฟิร์สคลาส และเคลื่อนตัวหายเข้าไปในความมืดอย่างไร้ใยดี
      "ชั้นจะไปบ้านอา...." เขาพูดกดเสียงต่ำเป็นสัญญาณบอกให้เสียงข้างหลังรู้ว่าคนต่อไปคือ อา ของเขา....



      5
      คลื่นความร้อนเหมือนจะพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น แม้เป็นคืนหน้าฝนแต่บัดนี้มิใช่เวลาที่ฝนมันอยากจะตก ณ บริเวณนี้ หากมองออกไปไกลๆจะเห็นว่ามีแสงวาบแว่บเป็นระยะบ่งบอกว่าถัดไปอีกประมาณสองถึงสามกิโลเมตร ที่นั่นฝนตกอยู่ อารยะเคยสงสัยว่า หากฝนนั่นจะนำพาความชุ่มชื้นมาให้ที่อื่นที่ไม่ใช่ที่ที่เขาอยู่เขาก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่ทำไมมันต้องมาทำให้ข้างๆมันร้อนขึ้นด้วย จะไม่สนก็ไม่เป็นไรหากจะจากไปก็ไปไม่ต้องวกกลับมาสนใจหรือชอบมาทำเป็นเป็นห่วงคอยดูแลสอดส่องนานๆครั้ง แล้วพอทำอะไรได้ไม่ดีหน่อย ก็มาทำเป็นรู้เรื่องทั้งหมดทั้งๆที่รู้เรื่องแค่หางอึ่ง
      สุมพุ่มไม้หยุดนิ่งไร้การขยับไหวเคลื่อนเอียงไปทางใดเมื่อไร้ลมซึ่งเป็นตัวผลักดันให้เกิดกิจกรรมเข้าจังหวะสอดคล้อง แสงสีขาวของหลอดไฟนีออนของบ้านสองชั้นสวยหรูมีพื้นที่สนามหญ้าแทงทะลุความมืดของยามค่ำ มันเสียดทะลุกรอบหน้าต่างผลักดันตัวเองจนเป็นรูปเดียวกับหน้าต่างและสุดท้ายความทะเยอทะยานของมันก็จบลงที่ต้นไม้และกำแพงรั้วบ้าน ถึงแม้อารยะจะไม่ค่อยได้มาบ้านหลังนี้แต่ด้วยความกว้างของมันทำให้เขาจดจำมันในลักษณะของสิ่งที่ต่างจากบ้านเขาโดยสิ้นเชิง บัดนี้เขาได้ยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้นเพื่อจุดประสงค์ที่ต่างโดยสิ้นกับเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
      อาเป็นคนดุ เข้มงวด แม่ของเขามักจะพูดถึงอาของเขาอย่างนี้เสมอแต่อารยะหาได้จะเกรงกลัวคำขู่ต่างๆนั้น จนกระทั่งเมื่อเขาโตขึ้นและพ่อได้มาเสียไป เริ่มรู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถจากการที่อาได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขามากขึ้น เรียนต่อสายวิทย์-คณิต สิถึงจะดี ต้องวิทย์-คณิต เรียนไปทำไปศิลปะจบมาก็ทำอะไรกินไม่ได้ แล้วเธอคิดว่าเธอจะเรียนได้เหรอ เธอไม่ได้มีความสามารถนี้นา คำพูดที่เหมือนจะบรรยายตัวตนของอารยะถูกพ้นออกจากปากของอา เขาเพิ่งจะรู้ว่าอารู้จักเขามากกว่าตัวของอารยะเองเสียอีก
      "เนี่ยเห็นไหม อาว่าแล้วว่าเราต้องเรียนไม่ได้ เห็นไหมเชื่ออาหรือยัง" "คุณครูค่ะเด็กคนนี้เป็นคนที่ไม่ฉลาดมากเท่าไรคุณครูต้องดูแลแกดีๆนะ" คำพูดจากความทรงจำสะท้อนแว่วเหมือนวิ่งผ่านมาจากด้านหลังกระแทกที่ที่เคยเป็นกระดูกสันหลังและเข้ามาวนอยู่ทั่วกายละเอียดของเขา ความโกรธแผ่พุ่งออกจากกายละเอียดอารยะจนเขาเองยังรู้สึกได้ว่าคลื่นพลังนั้นวิ่งแทรกรบกวนการทำงานของระบบไฟฟ้าแถวหน้าบ้านจนไฟกระพริบไปมา
      เสียงสุนัขเห่าหอนรุมจับจ้องจากประตูรั้วหน้าบ้านสายตาของพวกมันพุ่งเข้ามา ณ ประตูบานในก่อนเข้าตัวบ้านอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นที่ที่อารยะยืนอยู่ พวกมันคงสัมผัสบางอย่างได้ บางตัวเอาเท้าตะกายประตูรั้วสีน้ำเงินเข้มนี้เหมือนอยากจะเข้ามาบางตัววิ่งวนไปมาและก็หันมาเห่าบางตัวยืนนิ่งเชิดคอและหอนโหยหวน พฤติกรรมของพวกมันต่างกันแต่มีอย่างเดียวที่เหมือนกันคือหางของพวกมันตกหมด อารยะชำเลืองมองครู่หนึ่งแล้วจึงเคลื่อนตัวผ่านประตูเข้าไปในตัวบ้าน
      อามีลูกสามคน เป็นผู้หญิงหมดเลย ปกติน่าจะมีใครอยู่บ้านบ้างแต่รู้สึกว่าวันนี้ลูกสาวทั้งสามคนจะไม่อยู่ยกเว้นตัวอาเท่านั้น
      อารยะเคลื่อนแทรกผ่านกำแพงต่างๆจนถึงห้องรับแขกที่ประดับไปด้วยเครื่องเรือนไม้สีน้ำตาลเข้มดู
      หรูหรา อานั่งไขว่ห้างเอามือท้าวคางอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ตาของเธอจับจ้องไปที่โทรทัศน์ขนาดห้าสิบกว่านิ้วแบบไวด์สกรีน
      อารยะเอามือกำสายโทรศัพท์ที่โยงยาวจากตัวของมันซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเข้ามุม ถัดจากโทรทัศน์ทางซ้ายมือ มันต่อโยงซ่อนอยู่ข้างหลังไซด์บอร์ดทีวีจนถึงตำแหน่งที่อารยะอยู่
      เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีเมื่ออารยะสัมผัสมัน ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าตัวของเขาสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ เขาบังเอิญรู้เข้าตอนที่เผลอเหยียบสายโทรศัพท์ของบ้านรุ่นพี่คนแรกที่อารยะทำการปิดบัญชี หลังจากนั้นเขาก็ลองกับหลายๆอย่างแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์เขาก็สามารถที่จะเชื่อมแทรกและเปลี่ยนรหัสเป็นตัวหนังสือสื่อสารกับรุ่นพี่คนที่สามจนเจ้าตัวตกใจวิ่งหนีออกจากหอพัก อารยะยังเพิ่มความสะใจด้วยการทำให้หลอดไฟกระพริบไปมาอีกด้วย
      เสียงโทรศัพท์ดังสามครั้ง สี่ครั้ง ห้าครั้ง อารยะเห็นว่าอายังไม่เดินมารับสายอีกทั้งๆที่อยู่ใกล้แค่สี่ห้าก้าว อารยะเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น ความโกรธจากร่างเขาแผ่กระจายทำให้หลอดไฟกระพริบถี่ๆสองถึงสามครั้ง พลางสบถออกมาว่า เป็นห่าอะไรวะรับซะทีสิ
      ไฟกระพริบทำให้เธอสะดุ้งดึงมือที่ท้าวคางเข้ามาหาตัวมือกำกันไว้แน่น อาหดคอยกไหล่ตาเบิกกว้างอ้าปากค้างพร้อมเสียงหายใจเข้าหนึ่งเฮือก หันมองขึ้นไปบนหลอดไฟ เห็นว่าไม่มีอะไรจึงรู้ตัวว่ามีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าอยู่ จากนั้นเธอค่อยๆเคลื่อนร่างอ้วนเตี้ยของเธอออกจากที่นั่งทำท่ากึ่งวิ่งกึ่งเดินไปรับสาย
      "สวัสดีค่ะ บ้านรุ่งโรจน์วรรณศิลป์ค่ะ" อารับสายขึ้นมากล่าวแสดงสถานที่ที่อยู่ของเธอ
      "..............." ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายคู่สาย
      "ค่ะ สวัสดีค่ะ เอ่อนั่นใครพูดอยู่..." อาหยุดพูดกระทันหันเมื่อสิ่งที่อยู่ปลายสายนั้นมีมากกว่าคำว่าเงียบ
      ถึงแม้อารยะจะสามารถแปลงรหัสของคลื่นตนเองให้เข้ากับรหัสไฟฟ้าและแปลงเป็นตัวหนังสือแสดงบนจอคอมได้แต่ทว่าการจะเปล่งเสียงออกมานั้นมันไม่สามารถทำได้ แต่หากจะถามว่าทำไมถึงแปลงรหัสคลื่นตนเองได้ เขาก็คงจะตอบไม่ได้ มันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของสิ่งสิ่งนี้กระมังสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ มันคงคล้ายกับเด็กสามารถดูดนมจากอกแม่ได้เอง
      เสียงเสียดแหลมยาวพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำกระหน่ำเคลื่อนไหวไปมาเหมือนวนเวียนไม่สามารถหาทางออกได้ดังออกมาจากหูโทรศัพท์ มือที่กำหูโทรศัพท์อยู่ของเธอเริ่มสั่น โดยสัญชาตญาณของมนุษย์รู้เองได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงที่ไม่ธรรมดาและอาจจะเหนือกว่าสิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้
      เธอกัดฟันยังใจกล้าคิดว่าอาจจะมีคนแกล้งซึ่งจริงๆแล้วไม่เคยมีมาก่อน ด้วยความจริงนี้เธอจึงรู้สึกค้านอย่างรุนแรง ว่าด้วยทฤษฏีคนโทรมาแกล้ง
      เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวระคนตกใจสุดขีดดังขึ้นเมื่อไฟทั้งบ้านดับลง หูโทรศัพท์กระเด็นไปอีกทางจากการโยนของเธอ
      ความมืดและความเงียบบีบตัวกดเธอให้รู้สึกอึดอัด เธอค่อยๆนั่งคุดลงช้าๆดวงตาพยายามเบิกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อมองหาสิ่งต่างๆ
      เสียง "หวี่" บางอย่างวิ่งทิ่มเข้ามาในหูของเธอ เธอจำได้ว่ามันคล้ายเสียงของอะไรพร้อมกับหางตาของเธอรับรู้ความต่างของความมืดและแสงสว่าง เป็นดังที่เธอคิด เสียงของโทรทัศน์ โทรทัศน์กำลังทำงาน เธอรู้สึกโล่งอกว่าไฟฟ้ากำลังจะมา นี่เป็นแค่ไฟตกธรรมดาเท่านั้น อีกไม่กี่วินาทีเราก็จะหายกลัวและกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง "ใช้ชีวิตได้อีกครั้ง" เธอแปลกใจว่าทำไมคำพูดนี้ถึงออกมาได้
      เธอหันไปดูโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายพร้อมกับค่อยๆคลานพาตัวเองออกจากมุมเพื่อจะได้ดูโทรทัศน์ได้ชัดๆ ทันใดนั้นเธอสะดุ้งสุดตัวเท้ายันตัวเองโดยอัตโนมัติ เท้าทั้งสองพยายามจะตะเกียกตะกายให้ออกจากสิ่งที่เธอเห็น
      จอโทรทัศน์ถูกอาบไปด้วยของเหลวสีแดงสด ไหลสลับกับของเหลวข้นสีขาวเทา มันค่อยๆไหลลงมาจากข้างบนลงข้างล่าง บางครั้งสายธารการไหลนั้นขาดช่วงไปปรากฏเห็นเม็ดตุ่มนับพันวางเรียงตัวกันตะปุ่มตะป่ำ ตุ่มเหล่านั้นมีสีเหมือนกับสีเขียวของรอยพกช้ำปะปนสีม่วงช้ำเลือด บนหัวของเม็ดตุ่มมีจุดสีดำเล็กๆแต้มอยู่แลดูเหมือนมีปากเล็กๆนับพันอ้าพะงาบไปมาอยู่
      เธอกรีดร้องสุดเสียง ประสาทสัมผัสเครียดตึงจนใกล้ถึงขีดสุด ทันใดไฟก็ติดขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ยกเว้นโทรทัศน์อย่างเดียวที่ปิดอยู่
      ปากของเธออ้าค้างเป็นท่าเดียวกับตอนที่เธอกรีดร้องแต่เสียงเท่านั้นที่หยุดอยู่แค่ลำคอไม่ออกมา เช่นเดียวกับโทรทัศน์ที่ปิด ดวงตาของเธอเหลือบขึ้นเผยให้เห็นตาขาวเต็มดวง เส้นเลือดฝอยต่างพากันค่อยๆแตกจนมีเม็ดเลือดเล็กๆซึมผ่านออกมาไหลรวมกันพากันค่อยๆเคลื่อนตัวไหลย้อนขึ้นไปตามหน้าผากเพราะเธออยู่ในท่าเงยคอขึ้นแอ่นไปข้างหลังมือทั้งสองยังท้าวค้างอยู่ ขาตั้งชันนิ้วมือและเท้าจิกลงพื้น เธอหยุดอยู่ในท่านั้นตลอดไปและการเสียชีวิตของเธอยังคงเป็นปริศนาตลอดกาล..........
      อารยะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เหลือบตามองต่ำอยู่เหนือร่างของอาของเขาในใจคิดว่าไหนว่าดุนักดุหนา ที่แท้ก็อ่อนปวกเปียกยิ่งกว่าไอ้พวกเดนที่เขาจัดการไปเสียอีก
      สาสมใจ อารยะตัดสินใจจะออกไปจากบ้านนี้ หางตาเผลอไปเห็นอะไรบางอย่างบนโต๊ะกินข้าว อารยะเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะมีอัลบั้มรูปที่เปิดค้างไว้ ถัดไปติดๆมีถุงสีขาวเล็กหน้าถุงเขียนว่าโรงพยาบาล R ถัดไปอีกเกือบมุมโต๊ะมีรีโมทโทรทัศน์วางอยู่ อารยะแปลกใจว่าทำไมรีโมทถึงวางไกลตัวของอาจังทั้งๆที่เธอกำลังดูโทรทัศน์อยู่ คิดได้ดังนั้นอารยะจึงตระหนักว่าตรงที่วางอัลบั้มและถุงใส่ยาคือที่ๆอานั่งอยู่นั่นเอง
      อารยะเคลื่อนผ่านเข้าไปตรงกลางของโต๊ะเพื่อดูว่ามันเป็นอัลบั้มอะไร เขาเห็นเป็นรูปเด็กคนหนึ่งยืนเอียงอายอยู่ เกี่ยวแข้งเกี่ยวขาคนโน้นคนนี้ เหมือนเขาจะกลับมามีอวัยวะหัวใจอีกครั้ง และมันก็เต้นแรงซะด้วยเมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นคือเขาเอง ส่วนคนที่เขาเกาะแข้งขาก็มีพ่อบ้างแม่บ้าง ข้างล่างของภาพมีข้อความเขียนบรรยายเหตุการณ์นั้นๆอยู่เช่น ก่อนหนูเข้าโรงเรียน พยายามเข้านะ หรือ เด็กขี้อายของอา........
      "แม่คะหนูกลับมาแล้ว" มีเสียงของหญิงสาวแว่วดังมาจากหน้าบ้านพร้อมกับเสียงปิดประตู "หนูซื้อของกินมาฝากด้วยนะของโปรดแม่เชียวนะคะ....."
      อารยะจำได้ว่านั่นคือเสียงของลูกคนเล็กของอา มีเสียงกุกกักทำอะไรไปมาอยู่ตรงครัวซึ่งอยู่แยกออกไปอีกทาง ในขณะที่พูดเองเออเองอยู่
      "เออนี้แม่ วันนี้แม่กินยาหรือยัง หมอบอกว่าถ้าแม่ไม่กินแม่ก็จะเศร้าอยู่อย่างนี้นะ..."เสียงนั้นค่อยๆเข้าใกล้เข้ามาทางห้องรับแขก "จำได้ไหมว่าคุณหมอบอกว่านี่เป็นอาการทางสมอง........"เสียงของเธอขาดหายไปเมื่อรู้ว่าบุคคลที่เธอคุยอยู่นั้นได้อ้าปากค้างเงยคอกลับไปข้างหลังนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
      เสียงกรีดร้องอีกเสียงแผดดังขึ้นเป็นเสียงที่สองนอกจากอาของเขา บัดนี้ลูกสาวของเขาถลาตัววิ่งเข้ามากอดแม่ของเธอ เขย่าตัวร้องไห้ออกมาไม่เป็นเสียงอยู่เบื้องหน้าของอารยะ....
      "เจ้าคิดจะไปที่ไหนต่อไปอีกล่ะ ?" เสียงจากข้างหลังดังก้องกังวานในหูของอารยะ.......



      6
      "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." คลื่นน้ำวนบ้าคลั่งแห่งความคิดหมุนวนไม่รู้จบอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มนามอารยะ อารยะนั่งกอดเข่าก้มหน้าปากบ่นพึมพัมคำเดิมซ้ำไปมา เขาไม่สามารถจะหยุดความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้เพราะเขาไม่มีอวัยวะสมองส่วนที่จะหยุดความคิดของตนเอง ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงฟ้าออกคราม
      "เจ้าคิดจะไปที่ไหนต่อล่ะทีนี้" เสียงจากข้างหลังยังคงเฝ้าถามความเป็นไปอย่างไร้อารมณ์
      "เงียบน่า เงียบ!!" อารยะเอามือปิดหูฝังหน้าลงกับซอกเข่า เสียงและการเคลื่อนไหวของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
      "ตอนนี้เจ้าเป็นอิสระแล้วอยากจะไปไหนต่อล่ะ นรกก็ไม่มีจริง เจ้าจะทำอะไรก็ได้นะ" เสียงข้างหลังเร่งเร้าให้อารยะตอบ
      "ไม่จริง!!!ไม่จริงใช่ไหม!!...."สีของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงอีกครั้ง "ทั้งหมดเป็นเพราะแก..แกตามชั้นมาแล้วก็ถามชั้นอยู่ได้ว่าจะไปไหนจะไปไหนแล้ว…." สีของเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าครามอมดำ.....


      หลังจากที่อารยะปิดบัญชีกับผู้เป็นอาของเขาเสร็จ ทำให้เขารู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาของเขาต้องป่วยมีอาการซึมเศร้าจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ไม่ใช่เหตุผลกลใดเลย การที่อานั่งดูรูปตอนเด็กที่อารยะนั้นได้ลืมไปแล้วว่าแต่ก่อนพวกเขาเคยสนิทกัน ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม อานั่งมองดูรูปและเหม่อลอยจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของโทรศัพท์ เพราะเธอรู้สึกเสียใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น
      ตอนนั้นเขารู้สึกว่าตนเองมีอาการแปลกๆไปอย่างบอกไม่ถูก เขาเคลื่อนไหวช้าลง พูดช้าลง สีของเขาค่อยๆเปลี่ยนจากสีม่วงแดงเป็นสีฟ้าม่วงและคราม ทันใดที่เสียงข้างหลังถามว่าเจ้าคิดจะไปที่ไหนต่ออีก ความรู้สึกปวดแปลบวิ่งผ่านมาจากสันหลังวิ่งมาสู่ที่ที่เคยเป็นหัวใจ "คิดจะไปไหนต่อ" เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หลังจากที่มีเสียงทักจากข้างหลัง ตัวเขาจึงต้องไปต่อ ไปต่อ ไปตามที่ต่างๆที่เขาต้องการจะแก้แค้นจนกระทั่งบัดนี้ เขาพึ่งจะรู้ตัวว่าเขาจะหมดที่ไปแล้ว และที่ที่เหลือก็คือที่สุดท้าย บ้านของเขาและคนต่อไปก็คือแม่ของเขานั่นเอง
      แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าเขาอยู่คนเดียวในโลก จริงๆแล้วเขามีคนรอบตัวอยู่ เขาไม่เคยจะหันหลังกลับไปดูพวกเขา ได้แต่คิดว่าพวกเขาต่างทิ้งตนไปแต่จริงๆแล้วตนเองต่างหากที่เดินแซงหน้าและพยายามเร่งให้พวกเขาตามหลัง บัดนี้เขาแทบจะไม่เหลือใครจริงๆ
      อารยะตัดสินใจกลับไปที่บ้านของตนด้วยความสับสนในใจ เขาพึ่งจะสังเกตเห็นรถแท็กซี่ของแม่ว่ามันเก่ามาก เก่าเกินกว่าอายุการใช้งานของมันเสียอีก ใช่แม่ออกไปตั้งแต่เช้ากับไอ้สิ่งนี้และจากนั้นก็อยู่กับมันทั้งวัน ทั้งคืน กว่าจะกลับก็เช้าบ้าง บางครั้งเขารู้ทั้งรู้ว่าแม่พึ่งจะกลับมาแต่เขาก็อยากให้แม่ไปส่งที่วิทยาลัย แต่แล้วก็ถูกแม่ปฏิเสธ เขาโกรธมากและเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายโยนเป็นความผิดให้แม่ตลอด........
      เขาคิดถึงแต่ตัวเองและตัวเขาเองไม่เคยหันหลังกลับไปดูความจริงเลย ก็คิดได้ว่าเสียงข้างหลังนั้นเคยบอกว่าเขาอยู่ข้างหลังของเรา อารยะจึงถามเจ้าเสียงข้างหลังว่ามีความสัมพันธ์กับความทรงจำของเขาหรือไม่
      "ข้าเป็นสิ่งที่อยู่ "ข้างหลัง" ของเจ้าไง ข้าบอกไปแล้ว" คำพูดเดิมเหมือนเทปม้วนเก่านำมาเล่นอีกครั้ง สิ่งนั้นพยายามจะเตือนเราตั้งแต่แรกแต่เรากลับคิดว่ามันมาแกล้งเราเสียอีก
      บัดนี้เขาเริ่มเชื่อมโยงจุดต่างๆไว้ด้วยกันได้ การแสดงออกใช่ว่าจะเป็นความจริง จริงๆแล้วยังมีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอีกชั้น......
      แต่ทว่าบัดนี้มันจะสายเกินไปหรือเปล่า อารยะยืนจ้องหน้าบ้านตนเองอยู่ข้างๆกับรถแท็กซี่ของแม่ เขาได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังแว่วออกมาจากในตัวบ้าน สายลมเย็นหลังฝนตกกำลังพัดผ่านและนำความชุ่มฉ่ำของละอองน้ำมาด้วย เขารับรู้ได้ถึงความชื้นนั้น
      "ชั้นเข้าใจทุกอย่างแล้ว...."อารยะตั้งใจจะพูดกับเสียงข้างหลัง "ทุกๆอย่าง.........แต่สุดท้ายนรกก็ไม่มีจริง อาจจะดีก็ได้มันเหมือนจะให้โอกาสชั้น ชั้นจะเข้าไปขอขมาแม่"
      "............................." ไร้เสียงตอบรับจากข้างหลัง ไม่เหมือนกับทุกๆครั้ง
      อารยะตัดสินใจแน่วแน่ จากนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านทะลุสิ่งต่างๆเข้าไป เสียงจากโทรทัศน์ค่อยๆดังชัดขึ้น เขาจำได้ว่านี่เป็นเสียงของพระเอกหนุ่มคนหนึ่งทางช่องเจ็ด นี่เป็นรายการละครรอบเย็นก่อนที่เข้าสู่ข่าวช่วงค่ำ มันเป็นละครแนวตลก อารยะอดยิ้มที่มุมปากไม่ไหวเพราะเขาเคยดูมันอยู่ตอนหนึ่งแล้วจำได้ว่ามันค่อนข้างตลกมากเลยทีเดียว
      อารยะรู้สึกตื่นเต้นระคนกังวล เขาคิดว่าคงจะต้องใช้วิธีอะไรดีที่จะสื่อสารกับแม่ของตนรู้เรื่อง บัดนี้เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งเมื่อความขุ่นหมองมัวในจิตใจเหือดหายไป เขาพยายามจะเร่งความเร็วแต่เขาก็เร็วได้ไม่มากเท่าตอนที่เขามีความโกรธเกลียด แต่ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียดายความเร็วที่เสียไปเลย อารยะรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
      แม่คงยังสบายดีแน่ๆดูจากการที่ยังนั่งดูรายการตลกได้
      อารยะแทรกทะลุผ่านประตูหน้าบ้านเข้าไป
      เสียงโทรทัศน์เปิดดังในระดับพอดี ตัวละครยังวิ่งโลดแล่นเล่นละครอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับน้ำที่หยดจากปลายนิ้วเท้าของแม่
      เท้าของแม่ลอยสูงจากพื้นดินประมาณสองฟุต ปลายเท้าจิกเกร็งและทิ่มลงพื้นกระเบื้องสีฟ้าอ่อนที่นองไปด้วยน้ำซึ่งหลั่งไหลออกมาจากกายของแม่
      ไร้การเคลื่อนไหวดวงตากรอกกลับขึ้นจนแทบมองไม่เห็น ใบหน้าบูดเบี้ยวออกสีเขียวอมม่วง ปากห่อมีลิ้นแทงทะลุออกมา สูงขึ้นไปคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหตุของการลอย เชือกที่ผูกกับพัดลมเพดานห้อยลงมาพันกับคอของเธอจนไปจุกอยู่บริเวณคาง....
      อารยะมองตาค้างทรุดตัวพับลงกับพื้นกระเบื้อง มันตรงกันข้ามกันกับแม่ของเขาซึ่งกำลังลอยอยู่ คำว่าแม่ที่อยากจะพูดบัดนี้มันไม่ออกมา เสียงแหบแห้งฟังไม่เป็นประโยคดันออกมาแทน
      "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." "ชั้นทำอะไรลงไป...." ความรู้สึกอันแสนจะหนักไม่สามารถแปลออกมาได้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร วิ่งเข้ามากระแทกในกายละเอียดของอารยะ กระแทก กระแทก จนเหมือนกับกายของเขาจะสลายหายไป
      เขารู้สึกปวดที่หน้าอกทั้งๆที่ไม่มีอวัยวะใดๆหลงเหลืออยู่แล้ว อารยะเอามือกำที่หน้าอกตนเองแน่นอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ทำไม่ได้ ความทุกข์ทรมานจากการที่ไม่สมารถร้องไห้ได้ดังการแผดเผาทุกอย่างสิ้น อารยะค่อยๆเคลื่อนคลานเข้าไปใกล้แม่ของตน ค่อยๆเอื้อมมือจะเข้าไปกอดขาของแม่ไว้แต่ทุกอย่างก็ทะลุผ่านออกหมด
      อารยะโวยวายโทษใส่ร้ายสิ่งต่างๆไปมา อารมณ์ความรู้สึกพุ่งพร่าน สีของเขาเปลี่ยนไปมาสลับม่วงบ้าง ฟ้าครามบ้าง เทาบ้าง แดงบ้าง ไปมา หลอดไฟนีออนกระพริบติดดับตามการเปลี่ยนแปลงนั้น จนสุดท้ายหลอดไฟนั่นแตกกระจายตกลงสู่พื้นดิน บัดนี้ทุกๆอย่างตกลงสู่พื้นดินยกเว้นแม่ของเขา
      อารยะตะเกียกตะกายจะเอาแม่ของตนให้พ้นจากบ่วงเชือกพันธนาการนำลงสู่พื้นเหมือนดังทุกสิ่ง แต่มันเปล่าประโยชน์เขาไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้ดังเดิม เสียงแห่งการเฝ้าโทษทุกสรรพสิ่งกึกก้องไปทั่ว ทำไม! ทำไม! ทำไม! ทำไม! พร้อมกับฉากตลกในโทรทัศน์ยังคงตลกต่อไป……



      7
      ความมืดแห่งธรรมชาติค่อยๆเคลื่อนผ่านโดยถูกแสงอาทิตย์เบียดดันแทนที่ เสียงนกร้องขับขานรับอรุณแห่งวันใหม่ หยดน้ำคางค่อยๆไหล่เอื่อยๆตกลงสู่พื้นดินอันชุ่มไปด้วยน้ำ ก่อเกิดประกายสีขาวแทรกกับสีดำของดิน
      ทุกชีวิตเริ่มต้นชีวิตใหม่ในทุกๆเช้าด้วยกิจกรรมต่างๆเช่นงานหรือการเรียน เช่นกันเหล่าเจ้าหน้าที่ค่อยๆเคลื่อนศพของหญิงสาวผู้หนึ่งที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอ ร่างของเธอถูกห่อด้วยผ้าดิบสีขาวอมเหลือง ศพของเธอค่อยๆถูกวางอย่างบรรจงบนท้ายรถของเจ้าหน้าที่พร้อมกับญาติ เหล่าคนมุงดูต่างจับกลุ่มนินทาเสียงปนเปผสมผสานจนฟังไม่รู้เรื่อง ชีวิตของเธอจบลงตรงนี้ เวลานี้ ทั้งหมดจบสิ้นลงเมื่อตายจากดั่งวัฏจักรชีวิตทั่วไป การจบสิ้นแห่งการมีชีวิตก็เท่ากับว่าไม่ต้องรับรู้สิ่งใดๆ เช่นความทุกข์ หรือ การกลัวความสุขจะดับสูญไป คนมักจะพูดว่า ทุกข์ดังนรกอเวจี แต่จริงๆแล้วความทุกข์ต่างหากล่ะที่เปรียบดังการเตรียมขึ้นสวรรค์ เพราะหากไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่มีวันเลยที่จะรู้จักสุข แต่การกลัวว่าความสุขจะสลายหายไปต่างหากเป็นทุกข์ของจริง……
      เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่ ณ มุมบ้าน แววตาเลื่อนลอยไร้ความรู้สึกไม่ได้จับจ้องสิ่งใดๆ ทั้งตัวของเด็กหนุ่มถูกย้อมเป็นสีดำทะมึน ปากขยับไปมาซ้ำๆ เสียงแหบเบาลอยออกมาว่า "ชั้นทำอะไรลงไป..." ซ้ำไปซ้ำมา
      "เจ้าคิดจะไปที่ไหนต่อล่ะทีนี้...." เสียงจากข้างหลังถามเด็กหนุ่มแต่ไร้การตอบสนองใดๆ ได้แต่พูดประโยคเดิมซ้ำไปมา
      เด็กหนุ่มตกอยู่ในวังวนแห่งความเศร้า ทุกข์ ผิด เสียใจ คับข้องใจ แค้นเคือง โกรธา วนไปมาในภาวะไร้สมองเด็กหนุ่มจึงไม่สามารถหยุดแม้ความคิด และความรู้สึกตนเองได้ ไร้ซึ่งสติรับรู้การมีอยู่ของตน เขาคงจะต้องรู้สึกเช่นนี้ตลอดไร้กัลปวสาร ไร้การจบสิ้น ไร้ที่ไป เพราะ "สถานที่" ที่เรียกว่า "นรก" นั้นไม่มีจริง เขาจะต้องจมอยู่กับทุกข์จากความรู้สึกของเขาตลอดกาล
      "ไม่ต้องกังวลไปนะ ข้าเพียงอยู่ "ข้างหลัง" ของ "เจ้า" เท่านั้น จะอยู่กับเจ้าตลอดไปและจะไปกับเจ้าทุกที่ ข้าถึงต้องถามเจ้าไงว่า "เจ้าคิดจะไปที่ไหนต่อล่ะทีนี้...."


      ณ เวลานี้ หากอารยะเพียงแต่จะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยมวลเมฆสีดำ และไอเย็นแห่งความหนาวเหน็บ เขาจะพบว่าสตรีนางหนึ่ง ล่องลอยอยู่เท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้มนั้น สายตาของเธอเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้าฉาบไปด้วยแววตาแห่งความเศร้าหมอง ราวกับน้ำตาของเธอกำลังจะเอ่อล้นออกมา แต่ทว่า... เธอคงไม่สามารถมีน้ำตาได้ ทันใดนั้น น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นราวกับเสียงที่คุ้นเคย
      "เจ้าคิดจะไปไหนต่อล่ะ? "



      tell 0897699104
      http://blog.myspace.com/index.cfm?fuseaction=blog&pop=1&ping=1&indicate=1



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×