คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : +:...Remember Chapter 03...:+
ร่างของทินกรนั่งกอดอกมองน้องสาวแท้ๆของตัวเอง อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ส่วนเจ้าตัวแสบตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว เหมือนกับทั้งบ้านเหลืออยู่แค่สามชีวิตเท่านั้น ปลายตะวันดูพี่ชายทำหน้าทำหน้าตาเหมือนกับว่าเธอไปทำอะไรไว้หนักหนา ถึงต้องโผล่มาถึงแม่ฮ่องสอนด้วย พลภัทรเองก็เช่นกัน
“พี่ทีมีอะไรรึเปล่า ทำไมต้องมาตามปลายถึงแม่ฮ่องสอนด้วย” หญิงสาวคนเดียวเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน เท้าก็ก้าวไปที่ร้านน้ำก่อนจะตักน้ำในโอ่งขึ้นมาขึ้นมาดื่มดับกระหาย
“ทำไมเดี๋ยวนี้พี่มาเยี่ยมบ้างไม่ได้รึไง” อาการพลางของคนเป็นพี่ที่เริ่มหวงน้องเริ่มปะทุขึ้นจนน้องสาวไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี เธอมองหน้าพี่ชายพร้อมกับส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปรับของที่ชายหนุ่มผู้หวังดีถือมาให้
“ก็ไม่ได้บอกนี่ว่ามาเยี่ยมไม่ได้ หายกลัวเครื่องบินแล้วรึไงล่ะถึงเหาะมาหาปลายได้” กลัวเครื่องบิน คำนั้นที่หลุดออกมาจากสาวน้อย พลภัทรถึงกับปิดปากพยายามกลั้นอาการขัน มิน่าล่ะเจ้ารุ่นน้องตรงหน้าถึงไม่ค่อยชอบไปเมืองนอกเท่าไร ตอนแรกนึกว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เที่ยวแต่ในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านซึ่งส่วนมากจะอาศัยรถยนต์เป็นพาหนะ ที่ไหนได้
“ยัยปลาย!!!”
“ล้อเล่นน่าแหม!!” น้ำเสียงหวานพูดขึ้นพร้อมกับร่างของเธอที่เดินเข้ามาเบียดตัวเองลงนั่งข้างๆเขา มือน้อยๆยกขึ้นบีบสันจมูกของเขาเล่น มือหนาของพี่ชายปัดมือเล็กนั้นอกสายตาก็ยังคงเอาเรื่องเหมือนเดิม ไม่มีแววที่จะอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย พลภัทรมองภาพนั้นก็ยิ้มน้อยๆก่อนเดินเข้าห้องของตนไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว คนนอกอย่างเขาไม่น่าจะเกี่ยวแต่หารู้ไม่ว่า เกี่ยวเต็มๆกลับการมาแม่ฮ่องสอนของทินกรในครั้งนี้ ปลายตะวันยิ้มบางๆมองประตูห้องที่ค่อยๆปิดลง นั่นยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างกายจนอดแขวะรอยยิ้มนั่นไม่ได้
“แหม ยิ้มหวานเชียวนะ”
“อะไร ใครยิ้ม” หญิงสาวที่กำลังยิ้มอยู่หุบยิ้มลงทันที ไม่รู้ทำไมทั้งที่หัวใจมันเจ็บทุกครั้งในการ แอบรักผู้ชายคนนี้ แต่มันก็ยังยิ้มได้เมื่อเห็นใบหน้าและได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มันก็ไม่เคยจำความรู้สึกที่เขามองผ่าน มันเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ถึงกระนั้นแววตาที่อ่อนโยนของเขาก็ช่วยสมานแผลในใจให้หายไปในทันที ยิ่งยามที่เขาพูดคุยกับเธอ คิดแล้วคนที่อยู่ในอาการรักเขาข้างเดียวก็แดงร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าริมฝีปากมันจะหุบยิ้มไปแล้วแต่ดวงตาใสคู่นั้นมันก็ยังไม่เลิก ทินกรหัวเราะหึในลำคอ กับอาการของน้องสาวของเขาตอนนี้ เอาเข้าไป แต่ก็ต้องทำไขสือตามภาษาผู้ชาย ซื่อบื้อ ไว้ก่อน
“ไม่สบายเหรอเราหน้าแดง” พูดเหมือนจะเป็นห่วงแต่น้ำเสียงที่พูดออกไปมันกับตรงกันข้าม
“เปล่า”
“นี่พี่คุยกับเราอยู่นะปลาย หันหน้ามาทางนี้สิ” มือใหญ่จับหน้าของน้องสาวที่หันหน้าหลบสายตาจับผิดของเขาให้หันกลับมา จนปลายตะวันก็เริ่มรำคาญคนชอบหาเรื่อง ต้องปัดมือที่เริ่มสร้างความวุ่นวายนั้นทิ้งไป
“เอ๊ะ วุ่นวายจริง พี่ทีนี่ ทำตัวเหมือนพ่อขึ้นทุกวัน”
“เอ้าทำไม มาพูดงี้แหละถ้าไม่ให้พี่เหมือนพ่อ แกจะให้พี่ไปเหมือนใครล่ะ” อยากจะเอาหัวโขกโต๊ะข้างหน้าจริงๆ แต่ก็ยังนึกขอบคุณสวรรค์หรือนรกดีที่ส่งแค่พี่ชายจอมหาเรื่องขึ้นมาคนเดียว นี่ถ้าส่งผู้ให้กำเนิดบังเกิดเกล้า มาด้วยอีกคน เธอคงรับมือไม่ได้แน่ “อย่ามามองพี่แบบนั้นน่ะ” ดูแค่มอง ยังหาเรื่องไม่เลิก ก็ยังงี้คนเกิดเป็นน้อง ต้องทำใจ เธอคิดแล้วก็ผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ ก่อนหันหน้าหนีไปทางอื่น “แล้วทำไมต้องหันหน้าหนีพี่ด้วย”
“เปล่าปลายไม่ได้หันหน้าหนี แค่มองอย่างอื่นที่มันเจริญหูเจริญตากว่าเท่านั้น”
“แกพูดอย่างงี้หมายความว่าไงปลาย”
“..ก็แค่อยากอะไรที่มันสดชื่นจิตเท่านั้น” พูดจบร่างบางเล็กก็ทำท่าสูดหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปอย่างชุ่มปอด “อ่าสดชื่นจริงๆเลยวันนี้” ที่พูดมามันตรงข้ามหมดต่างหาก จะสดชื่นได้ไงเมื่อคนมาทำหน้ายักษ์นั่งอยู่ข้างๆแค่นั้นยังพอทนแต่เรื่องพาลหาเรื่องชาวบ้านเขาน่ะสิที่ไม่อยากทน สายตาจับผิดของพี่ชายจับจ้องมาที่เธออีกครั้ง อยากจะโละลูกตาออกมาจริงๆสายตาแบบนี้
“......”
“พี่ที ตกลงนี่ขึ้นมาหาปลายมีอะไรรึเปล่า”
“เปล่า พอดีเบื้องบนเขาให้พี่ลาพักร้อน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พี่ภัทรเขาก็มา แล้วก็คิดถึงแกอยู่พอดีด้วย” ที่พูดมาพึ่งแต่งเรื่องขึ้นมาสดๆจากเตา ที่จริงแล้วแอบหนีงานขึ้นมาต่างหาก
“จริงอ่ะ”
“จริงสิ พี่เคยโกหกแกด้วยรึไง”
“แล้วทำไมพี่ทีต้องโกหกปลายด้วย” เงียบทินกรแสร้งหันหน้าผิวปากเล่นก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดกายไปมาอย่างเมื่อยขบเต็มทีจากการนั่งกับพื้นไม้นานๆ แล้วเดินลงบ้านไปในทันที หญิงสาวเท้าคางมองไปบริเวณรอบบ้านซึ่งมันก็ดูเงียบจริงๆแหละ ร่างบางค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามพี่ชายตนลงไป เรื่องอะไรจะบนบ้านที่มีพลภัทรและเธอ ถึงแม้ว่าอีกคนจะเข้าห้องไปแล้วก็ตาม
ขันโตก สำรับอาหารมื้อเย็นของทางเหนือถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าหนุ่มสาว ด้วยฝีมือยายคำเอื้อง ซึ่งเป็นยายแท้ๆของเจ้าหลานตัวแสบสามคน ความปั่นป่วนเริ่มขึ้นในครัวเมื่อเจ้าหลายชายคนเล็กเข้าไปช่วยหรือเข้าไปป่วนก็ไม่รู้ แล้วตามมาด้วยหลานชายคนโตที่โผล่เข้ามาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงทำให้มือของยายคำเอื้องที่ถือตะหลิวอยู่ปาดลงไปหน้าผากของทินกรอย่างเต็มแรง ส่วนหลานสาวของยายแกนั้นไม่ต้องพูด ที่ทำเอากับข้าวไหม้ไม่รู้กี่รอบ เรียกว่ากว่าจะเสร็จกันออกมาได้อยู่ในสภาพทุรักทุเรพอสมควร จนยายคำเอื้องต้องหายารมยาดมยาหม่องมาดม กันเลยทีเดียว
“ยายจ๋า น้องเต้นท์หิวแล้ว” เสียงเจ้าหลานคนเล็กออดอ้อนคนเป็นยายใบหน้าเว้าวอนอยากจะซ้อยอาหารตรงหน้าเต็มที
“ยังบ่ต้องเลย ปลายไปตามแขกมากินข้าวกินปลาป่ะ” คำว่าแขกทำเอาทุกคนนึกขึ้นมาได้ทันที ว่าลืมชายหนุ่มคนหนึ่งไว้ในห้องนอน ปลายตะวันพยักหน้าน้อยแล้วค่อยๆลุกขึ้นไปตามพลภัทรโดยมีทินกรที่กำลังจะลุกตามไป แต่ก็โดนญาติผู้ใหญ่ดึงให้นั่งลงที่เดิมทันที “จะลุกไปไหนที นั่งคุยกับยายกับน้องก่อนสิไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
“โธ่ ยายครับเดี๋ยวก่อนได้เปล่า ผมจะไปเป็นเพื่อนปลาย”
“จะไปทำไม ยายใช้ไปตามแขกมากินข้าวไม่ได้ใช้สอยมะม่วงที่สวนสักหน่อย”
“ใช่พี่ที ห้องพี่ภัทรก็อยู่แค่นี้เอง” เต้นท์ช่วยสมทบปากก็พูดไปแต่มือเตรียมจะขโมยแคบหมูขึ้นมาแล้ว แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่รู้ทันเลยจัดการตีสั่งสอนจนเจ้าหัวขโมยต้องรีบชักมือกลับทันที “ยาย เต้นท์หิวข้าวท้องไส้กิ่วหมดแล้ว ขอคำนึงบ่ได”
“คำหนึ่งก็ต้องมีคำที่สอง บ่ต้องเลยรอแขกก่อน” แต่ยังไม่ทันไรแขกที่ทุกคนรอคอยก็เดินเข้ามาแล้วโดยมีร่างสาวตามมาติดๆพลภัทรยกมือไหว้ยายคำเอื้องอย่างนอบโน้ม หญิงชรารับไหว้เขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นกันราวกับถูกชะตากับแขกของปลายตะวันอย่างบอกไม่ถูก จนต้องก้มลงมากระซิบคนที่กำลังพันแขนเธออยู่ตอนนี้ “บ่าวผู้นี้เองหรือเต้นท์”
“แม่นแล้วยาย”
“แหมรูปงาม มารยาทก็ดี ยายมักจะได้เป็นหลานเขยแต๊” คำพูดกระซิบกระซาบ และเสียงหัวเราะคิกคักของสองยายหลานคู่นี้ทำให้คนที่กำลังโดนนินทามองด้วยแววตาสงสัย มีอะไรแปลกๆบนใบหน้าเขารึเปล่า “พี่ภัทรนั่งสิ” หญิงสาวเจ้าบ้านเชื้อเชิญให้เขานั่งลงข้างๆตนโดยถัดไปคือทินกรที่ทำหน้าเป็นยักษ์เฝ้าหน้าวัดอยู่
“เชิญเลยพ่อคู๊ณ บ่ต้องเกรงใจนึกเสียว่าเป็นบ้านตัวเองนะ เมื่อเช้ายายต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับนะคุณภัทร” ยายคำเอื้องพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งปกติยายคำเอื้องแกก็ทำหน้ายิ้มแย้มต้อนรับแขกทุกคนอยู่แล้ว แต่คนนี้ยายแกยินดีบริการให้เป็นพิเศษ พลภัทรพยักหน้ารับทราบพร้อมกับกล่าวว่าไม่เป็นไร ทันทีที่ชายหนุ่มนั่งลงยังไม่ทันเริ่มบทสนทนาอะไรเลยยายคำเอื้องก็พูดทันที “ปลายไปเอาน้ำมาให้คุณภัทรหน่อยไปลูกเดินทางมาคงจะเหนื่อย” คนที่โดนใช้ถึงกับงง เหนื่อยเพราะเธอจำได้ว่า คุณภัทรของยายเดินทางมาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว
“ยาย!?”
“เหอะน่า ยายบอกให้ไปเอามาก็ไปเอามาสิ”
“ไม่ต้องก็ได้ครับ” พลภัทรปฏิเสธอย่างเกรงใจเจ้าบ้าน ปลายตะวันที่กำลังจะลุกไปเอาน้ำตามคำสั่งของผู้ปกครองเตรียมจะนั่งลงที่เดิมแต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา“งั้นแกก็ไปเอาพี่นะปลาย” ทินกรออกปากทันทีหลังจากที่เงียบไปนาน
“เรื่องอ๊ะหยัง มาใช้น้องพ่อที ตั๋วอยากกินแล้วทำไมไม่ไปเอาเองล่ะ”
“ยายอ่ะ ผมพึ่งมาถึงนะ”
“ตั๋วเป็นเจ้าบ้านนี่บริการตัวเองสิ” จบคำประกาศิตทินกรหน้าบึ้งอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มจ้วงข้าวเหนียวแข่งกับเจ้าเต้นท์ที่ตอนนี้เอาข้าวจิ้มน้ำพริกอ่องสีแดงออกส้มๆเข้าปากไปเรียบร้อยแล้ว จนคนเป็นยายต้องรีบออกปากห้ามเจ้าหลานตัวแสบทั้งสองคนที่เริ่มทำสงครามแย่งอาหารเย็น ส่วนพลภัทรที่เอาแต่จ้องกับข้าวท้องถิ่นอยู่ ซึ่งแต่ละอย่างก็ล้วนฝ่าปากเขามาแล้วทั้งนั้นตามประสาตากล้องนิตยาสารท่องเที่ยว ปลายตะวันตักแกงอ่อมไก่มาใส่จานข้าวของเขาพร้อมกับรอยยิ้ม “พี่ภัทร อร่อยนะ” ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบก่อนจะตักกับข้าวที่หญิงสาวอุตส่าห์ตักให้พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆเข้าปาก และมันก็เป็นอย่างที่เจ้าบ้านโฆษณาไว้จริงๆ
อาหารเย็นผ่านไปด้วยความอิ่มหน่ำสำราญของทุกคน ตอนนี้ก็ถึงคราวของหวานที่ยกมาเสิร์ฟมั่ง ข้าวแต๋น ราดน้ำแตงโม ดูเหมือนว่าจะเป็นถูกปากของพวกหนุ่มสาวนักจะยกเว้นก็แต่ยายคำเอื้องที่แกขอบาย ไม่กินของที่ขบเคี้ยวยาก สามหนุ่มเกิดการสงบศึกกันชั่วครู่เพราะคนเปิดศึกลืมแผนการรบไปชั่วคราว นั่งรำลึกความหลังในวัยเยาว์กันอยู่โดยหญิงสาวคนเดียวนั่งร่วมอยู่ด้วย เสียงหัวเราะขบขันกันสลับกับเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นมาเป็นทอดๆ ซึ่งเหมือนกับมันผ่านมาไม่นานนี้ เจ้าเต้นท์หน้าแดงวาบ เมื่อทุกคนเริ่มเปิดศึกเผาตนขึ้น ตั้งแต่เรื่องต้นมะม่วงและความไร้เดียงสา ที่ไปเอาถุงยางมาเป่าเล่นเป็นลูกโป่ง ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าของถูกเผาจะยอมให้เผาอยู่ฝ่ายเดียว แต่สามรุมหนึ่งแบบนี้ก็ไม่ไหว ในที่สุดทุกอย่างก็ยุติลง เมื่ออากาศหนาวเริ่มครอบคลุมบริเวณนั้น โดยทั้งหมดก็ต่างแยกย้ายกันกลับห้องเพื่อกลับไปนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆในห้องกันหมด จะเหลือแค่เพียงความเงียบและความมืดเท่านั้นที่ยังอยู่ บ้านเรือนไทยกาแลมืดลง มีเพียงแค่แสงไฟหน้าบ้านเท่านั้น ถึงแม้ทั้งบ้านจะมืดสนิทเหมืนกับว่าทุกคนเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ยอมนอนหญิงสาวนอนพลิกกายไปมาอยู่บนที่นอนสีขาวภาพเมื่อตอนกลางวันมันยังวนเวียนอยู่ วงแขนแกร่งที่โอบเอวเธออยู่ ใบหน้าที่เข้ามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา
“พี่ภัทร” เสียงพึมพึมเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น ร่างบางกอดหมอนแน่น จะเรียกว่าความสุขของคนแอบรักก็ได้ อายุตัวเองก็ใช่ว่าจะน้อยๆแล้วยังจะมาเกิดอาการแบบคนอายุ 17-18 อีก เหมือนกับคนโดนความรักเข้าโจมตีครั้งแรก รักแรกเหรอ ใบหน้างามร้อนฉ่าอีกครั้ง จะผ่านไปกี่ปีผู้ชายคนนี้ก็ยังคงเป็นรักแรกของเธอเสมอสินะ
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนเมื่อแสงสีทองจากขอบฟ้าค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากทิวเขา ปลายตะวันก้าวออกมาจากห้องตัวเอง ก็ต้องพบชายที่เธอละเมอถึงเมื่อคืนนั่งจิบกาแฟอยู่ด้านนอกอยู่เงียบๆ พร้อมกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้ วันนี้เขาดูแต่งกายรัดกุมเป็นพิเศษ เพราะอากาศในยามนี้ ถึงแม้จะมีแสงพระอาทิตย์ส่องมาแล้วก็ตาม
“พี่ภัทร ตื่นนานแล้วเหรอคะ” ประโยคนั้นทำให้คนที่อ่านหนังสือพิมพ์ต้องเงยหน้ามามองหญิงสาวที่กำลังเดินมานั่งยังฝั่งตรงข้ามเขา
“ก็สักพักแล้วล่ะ”
“อืม แล้วนี่คนในบ้านไปไหนกันหมด” ปลายตะวันถามเมื่อเห็นบรรยากาศในบ้านรู้สึกว่ามันเงียบเหมือนเมื่อวานตอนเย็น ซึ่งปกติตอนเช้าของวันปกติอย่างวันนี้ จะต้องได้ยินเสียงโวยวายของยายคำเอื้องสลับกับเสียงบ่นออดๆแอดๆของเจ้าเต้นท์ ให้ลุกขึ้นมาทำงานบ้าน
“อืม พี่ตื่นมา ก็ยายคำเอื้องหอบเอาเจ้าเต้นท์กับเจ้าที ถือปิ่นโตไปวัดแล้วล่ะ”
“อะไรนะ!!”
“พี่ขอตามไปด้วย ยายแกก็บอกให้อยู่เฝ้าบ้านถ้าสายๆปลายตื่นก็ให้พาไปปายเลย” โอยอยากเป็นลม คนที่เป็นไกด์ผีถึงกับอาการหน้ามืดตรงนั้นเลยทันที แล้วปายก็ใช่ว่าจะใกล้ๆ ไปคนเดียวพอว่า แต่นี่...
“ลำบากใจรึเปล่า เรารอให้พวกนั้นกลับมาจากวัดก่อนก็ได้นะ” พลภัทรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังน้อยๆปนเกรงใจ ทำเอาหญิงสาวทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ถ้าให้ไปกับเขาสองคนมันจะไม่หน้าเกลียดไปรึไง แล้วอีกอย่างถ้าให้ไปตอนนี้ไปถึงที่นั่นก็คงประมาณบ่ายๆเย็นๆ ต้องค้างรีสอร์ทหรือโรงแรมที่นู่นก่อนสักวันหนึ่งรุ่งเช้าจึงจะออกเที่ยวได้ ตอนนี้ก็เป็นฤดูท่องเที่ยวซึ่งห้องพักที่นู่นก็คงจะเต็มหมดแล้ว หรือหรืออย่างต่ำก็ที่ละห้อง ที่ละห้อง คิดปุ๊บ อุณหภูมิในร่างกายของเธอก็สูงปรี๊ดทันที จนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับตกใจ
“ปลาย ไม่สบายรึเปล่า”
“คะ!?ไม่นี่ปลายไม่เป็นไร เลยพี่ภัทร”
“จริงอ่ะ แล้วทำไมหน้าถึงแดงขนาดนั้น” อะไรนะหน้าแดง
“จริงๆเหรอ ฮ่าๆๆ” เอาไงกับชีวิตดีเนี่ยอากาศก็หนาวแท้ๆทำไมหน้าถึงเหงื่อแตกผลั่กๆแบบนี้ล่ะ “เออปลายว่าพี่ภัทรไปเตรียมของดีกว่าค่ะ เดี๋ยวปลายพาเที่ยวเอง”
“จะไหวเหรอ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยร่างกายของเธอ
“ไหวสิ ปลายไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เดี๋ยวปลายไปเก็บของก่อนนะแล้วค่อยเจอกัน” ไม่รอให้เขาซักไซ้มากไปกว่านี้ ร่างบางก็รีบลุกจากที่นั่งไปรีบเผ่นแน่บเข้าห้องของตัวเองไปทันที ชายหนุ่มมองประตูห้องที่ปิดลงไปด้วยแววตาเป็นห่วงไม่น้อย ก่อนจะลุกไปเตรียมของอย่างที่เธอบอกอย่าง งงๆกับอาการของเธอ
ประตูห้องปิดลงแต่หัวใจของเธอก็ยังคงเต้นแรงกลัวจริงๆกลัวว่า พี่ภัทร ของเธอจะรู้อะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ตั้งนาน นี่แค่วันที่สองหล่อนยังสามารถแสดงอาการได้ถึงขนาดนี้ บ้าๆๆๆๆ มือเรียวยกขึ้นตีหน้าตัวเองไปมาเพื่อเรียกสติที่ลอยไปไกลให้กลับเข้าร่างซะที เมื่อไรเธอจะเลิกให้ความหวังหัวใจของเธอสักที รู้ก็รู้ว่าเขามีใครอยู่แล้ว คิดไปก็เท่านั้น ร่างบางเหวี่ยงกระเป๋าเป้ใบเล็กไปบนเตียงแล้วจัดการยัดเสื้อผ้าที่หนาๆเข้าไปแบบไม่สนที่จะพับ
ส่วนอีกห้องหนึ่งชายหนุ่มที่กำลังเก็บของค่อยๆเอาเสื้อผ้าในตู้ใส่เป้ เขาเป็นคนค่อนข้างละเอียดรอบคอบจึงต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าลืมอะไรรึเปล่า มือหนาเอื้อมไปหยิบรูปใต้หมอนเขาควรจะเอามันไปด้วยดีรึเปล่า แต่ระหว่างที่เขาใช้ความคิดอยู่นั่นเอง เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้เขาจัดการเอารูปนั้นยัดใส่ใต้หมอนเหมือนเดิม ร่างสูงเดินสะพายเป้ไปเปิดประตูห้องที่มีหญิงสาวยืนรออยู่ในสภาพที่เตรียมพร้อมแล้ว
“โอเคยังคะพี่ภัทร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วข้างหนึ่งมองหญิงสาวที่สภาพเตรียมลุยสุดชีวิต
“พี่ก็พร้อมลุยแล้ว” คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างรีบเดินลิ่วๆไปที่รถที่จอดเตรียมไว้ แต่ก่อนที่เธอจะนั่งเข้าที่คนขับ ก็โดนคนตัวสูงรั้งร่างของเธอไว้ก่อน ปลายตะวันมองคนที่ดึงร่างของเธอไว้ด้วยแววตาที่สงสัยว่าทำไม
“พี่รู้ว่าเราไม่สบายอยู่ ไปนั่งป่ะ เดี๋ยวพี่ขับให้เอง”
“พี่ภัทรรู้จักทางรึไง แม่ฮ่องสอนโค้งมันเยอะนะ”
“เยอะแล้วไง เดี๋ยวก็เอารถปลายไปฝากไว้แล้วก็นั่งรถไปปายก็ได้ไม่ต้องเสี่ยงดีด้วย”
“ฝากทำไม เปลืองเงินจะตาย”
“บางทีเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถซื้อความปลอดภัยให้คนสำคัญได้นะ”ความเงียบเข้าครอบงำทันที เมื่อเจอคำว่า คนสำคัญ ร่างบางถึงกับเถียงไม่ออก รอยยิ้มน้อยๆก็ผลุดขึ้นอีกครั้งคราวนี้หัวใจของเธอยิ่งกว่าลูกโป่งที่มันอัดแก๊สแล้วถูกปล่อยให้ลอยให้สูงขึ้นอีก แต่มันจะดีมากถ้าไม่มีคำพูดอะไรที่เป็นนกที่ใช้ปากมันทิ่มลูกโป่งหัวใจของเธอให้แตกโผละลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีนกตัวตัวนั้นซะด้วย
“ยิ้มทำไม”
“อะไร ก็คนมีความสุขนี่ทำไมจะยิ้มไม่ได้” หญิงสาวตอบแล้วก็หันหน้ามายิ้มให้กระจกรถต่อ พลภัทรเองอมยิ้มน้อยๆเหมือนกันในท่าทางของเธอก่อนจะค่อยๆหมุนพวงมาลัยรถออกไป
เสียงสวดของพระสงฆ์ที่สวดให้พรเหล่าพุทธสาวก พุทธสาวิกา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นคำเทศน์ชายหนุ่มสองคนนั่งพนมมือ แต่นั่นไม่ใช่การตั้งใจฟังแต่งอย่างใดทั้งคู่กำลังอยู่โหมดหลับ ศีรษะของทั้งสองใช้หลักพิงของกันและกัน ปากอ้ากว้างรับแมลงทุกชนิดที่บินเข้าไปสำรวจภายในร่างกายแบบฟรีไม่คิดเงิน ยายคำเอื้องถอนหายใจอย่างหน่ายๆ กับพฤติกรรมของเจ้าหลานสองคนนี้ เมื่อเช้าปลุกให้มาวัดด้วย ก็ยังมีบทมาเล่นง๊องแง๊งทั้งคนโตคนเล็กพอมาถึง ก็ทำอะไรเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน มันอะไรกันหนักหนา แต่ในใจของผู้สูงวัยกลับสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก มือเหี่ยวย่นทั้งสองยกขึ้นประนมไว้ หวังให้บุญรักษา หลานสาวคนรองกับพ่อยอดชายคนนั้นให้เดินทางปลอดภัย จนถึงเมืองปาย ด้วยเถิด
Ryuu renger Talk :: เปลี่ยนหน่อยเอา ริวซากิ ไม่เอาเอาล่ะจะเป็นไอ้แดง
ขบวนการเรนเจอร์ หึหึ เบื่อล่ะ แอลเดทโน้ต เป็นเรนเจ๋อดีกว่า เพราะงานอดิเรก
คือชอบเสือกเรื่องชาวบ้านไปทั่ว ม.ปลายปีสุดท้าย ปีหน้าก็ อยากไปเป็นนีกศึกษารั้วทองกราวกับหางนกยูง
จังเลยอ่ะ สงสัยจะได้ไปหาหลักศิลา ของพ่อขุนแทน สอบที่ไหนก็ไม่มีใครเอา
เพราะสอบข้อเขียนตก เวรจริงๆ เหนื่อยเนอะเด็ก ม.6 เนี่ย เครียดด้วย หวั่นๆ มน.
..รักษาสุขภาพด้วยนะครับทุกคน..
ป.ล. อยากกินของในขันโตกขนาด อยากหล๊ายหลาย
ป.ล.2 มาม๊าผมจัดการเอาคมแผกไปฌาปณกิจต่อหน้าต่อตา 3 อันรวด
ใจร้ายที่สุด
ป.ล.3 ต้องไปโรงเรียนจันทร์นี้แล้ว ขี้เกียจจริงๆเลย
ป.ล.4 มีข้อสงสัย ทิ้งไว้เดี๋ยวผมมาตอบให้
ป.ล.5 แก้ไขอย่างที่ป้าแนะนำแล้วนะครับ ขอบคุณครับที่เตือน
ขอตัวไปเลี้ยงลูกก่อน(มังกรเขียว) น่ารักเชียว 555+ ไปแล้วนะครับ
ทิ้งท้ายด้วยคำถาม
ทำไมมดแดงฟันบนถึงผุ ^^
ความคิดเห็น