คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มาร์โค & โซล
มาร์โค & โซล
แนะนำตัวละครภาคสลับเพศ
มาร์โค อัลบาร์น = มากะ อัลบาร์น
โซลวีคก์(โซล) อีสเตอร์ = โซล อีทเตอร์
พระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้ามืดมิดกำลังหัวเราะยิงฟันอยู่อย่างเงียบๆ แม้คืนนี้มันจะเกิดอาการเลือดออกตามไรฟันกำเริบจนเลือดสีแดงฉานไหลลงมาเป็นสาย แต่นี่ก็เป็นยามเที่ยงคืนที่จัดว่าเงียบสงบทีเดียวของเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในอิตาลี ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนุ่มๆอุ่นๆบนเตียงนอนแสนสบาย อย่างไรก็ตาม ยังมีคนบางส่วนที่ตื่นอยู่ พวกเขาทำงานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง คุยเล่นกันบ้าง นอนไม่หลับบ้าง ต่างๆกันไป
แต่ดูเหมือนทุกคนจะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับธุระของตนมากเสียจนไม่ทันได้รับรู้ถึงเสียงกรีดร้องแหลมบาดหูที่แทรกผ่านอากาศเย็นเยียบของเดือนกุมภาพันธ์
มาถึงตอนนี้ หญิงสาวเจ้าของเสียงเพิ่งจะสำนึกผิดได้ว่าตนไม่ควรกลับบ้านดึกเลย เธอควรจะกลับไปหาพ่อแม่ตั้งแต่เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว แทนที่จะออกไปเที่ยวเล่นไปเรื่อยจนลืมเวลา เธอควรจะทำตามประกาศของทางการที่ให้ทุกคนกลับเข้าที่พักภายในสี่ทุ่มตรงเนื่องจากข่าวลือที่ว่าฆาตกรแหกคุกโรคจิตกำลังออกอาละวาดอยู่ในพื้นที่แถบนี้ แทนที่จะเชื่อคำสัญญาของแฟนหนุ่มที่มาด้วยกันว่าจะคอยปกป้องเสมอ
ใช่ คำสัญญามันก็แค่ลมปาก เพราะชายหนุ่มที่ว่ากลับโกยอ้าวไปก่อนเธอเสียอีกเมื่อฆาตกรนั่นปรากฏตัวขึ้นจริงๆ และมันก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับเป็นสัตว์ประหลาดที่มีกรงเล็บแหลมคมยาวสองฟุต ลิ้นยาวน่าเกลียดตวัดไปมา และดวงตากระหายเลือดเรืองแสงได้
แล้วการไล่ล่าก็เริ่มขึ้น มันเป็นการรังแกกันชัดๆ ทั้งที่เธอออกวิ่งอย่างเต็มแรงไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ เร็วยิ่งกว่าที่เธอเคยสมัยวิ่งแข่งหนึ่งร้อยเมตรที่โรงเรียนมัธยมเสียอีก พร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือไปด้วย แต่เจ้าปีศาจกลับตามมาติดๆโดยเพียงแค่ใช้ขายาวๆผิดรูปนั่นก้าวไปอย่างสบายอารมณ์พร้อมทั้งระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังก้องไปทั่วบริเวณ
ราวกับมันสนุกกับการเล่นไล่จับนี้ ราวกับเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของเธอคือเสียงดนตรีอันไพเราะสำหรับมัน
สุดท้าย แม้แต่รองเท้าส้นสูงคู่ใจก็ทรยศเธอ มันไปสะดุดรอยแตกของหินปูพื้นถนน ทำให้หญิงสาวเสียหลักล้มลงไปกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่า บัดนี้เธอกลัวจับใจเสียจนไม่มีแรงขยับไปไหนแล้ว ทั้งร่างสั่นเทิ้ม น้ำตาเริ่มไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้ไล่ล่ายืนคร่อมอยู่เหนือเธอพร้อมกับยิ้มกว้างด้วยความสะใจ เผยให้เห็นฟันแหลมคมเหลืองอ๋อยน่าสะอิดสะเอียนแทบทุกซี่
“เกมโอเวอร์ซะแล้ว สาวน้อย ทีนี้ข้าจะเขมือบวิญญาณของแกล่ะ!!”
มันเงื้อกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นเหนือหัว หมายจะปลิดชีวิต เหยื่อสาวหลับตาแน่นรอรับความเจ็บปวดจากการที่ร่างถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทว่า ความเจ็บปวดนั้นกลับไม่เคยมาถึง มีแต่เพียงเสียงวัตถุแหวกผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว เสียงโลหะกระทบกัน และเสียงครางฮึมอย่างขุ่นเคืองใจของฆาตกรโหด
หญิงสาวรวบรวมความกล้าเพื่อจะค่อยๆลืมตาขึ้น ตรงหน้าเธอ ในตำแหน่งที่สัตว์ประหลาดนั่นเคยยืนอยู่ กลับถูกแทนที่ด้วยเคียว เคียวยักษ์เล่มหนึ่งปักลึกเข้าไปในพื้นถนน
เสียงของผู้ช่วยชีวิตดังขึ้นข้างหลัง “เกือบไปแล้วนา พี่สาว”
ร่างเล็กผอมผิวซีดขาวในชุดเสื้อโค้ตตัวยาวสีดำ กางเกงขายาวสีกากี และรองเท้าบู๊ตทหารย่างสุขุมเข้ามา ดวงตาสีเขียวสดใสของเขาไม่ฉายแววตื่นตระหนกใดๆ ผมสีบลอนด์เทาตัดสั้นปลิวไปด้านหลังเล็กน้อยตามแรงลม เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ กระชับมือที่สวมถุงมือสีขาวไว้รอบด้ามยาวของอาวุธเคียวและดึงมันขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดาย
“จริงๆนะ มาร์โค นายไม่จำเป็นต้องขว้างฉันมาแบบนี้ก็ได้ ฉันเป็นเคียวย่ะ ไม่ใช่ดาวกระจายเหมือนสึบาเสะคุงซะหน่อย” เคียวที่ว่าบ่นน้อยๆอย่างหงุดหงิดใจ
“สถานการณ์มันพาไป โซล” เด็กหนุ่มตอบเรียบๆก่อนจะหันมาทางหญิงสาวด้านหลังผู้กำลังมองเขาและอาวุธคู่หูด้วยสายตาพรั่นพรึง “หนีไปเถอะครับ พวกเรามาจากชิบุเซ็นก็เพื่อมาเก็บไอ้หมอนี่ล่ะ” เขาชี้ไปทางปีศาจฆาตกรที่ถอยห่างไปหลายเมตรอยู่
ผู้เคราะห์ร้ายไม่รอให้ถูกบอกซ้ำสอง เธอรีบตะกายลุกขึ้นหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับสาบานอยู่ในใจว่าจะไม่เที่ยวกลางคืนอีกแล้ว เด็กคนนั้นดูๆไปอายุไม่เกินสิบสามปีแน่นอน ซึ่งเป็นวัยที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ ในเวลาอย่างนี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขามาจากชิบุเซ็น สถาบันฝึกสอนอาวุธและผู้ใช้อาวุธแห่งเดียวของโลก เธอคิดว่าเขาคงรับมือได้
“ชิ! หมารับใช้ของชิบุเซ็นเรอะ มาขวางทางซะได้” อมนุษย์ซึ่งกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียแทนแผดเสียงลั่นก่อนจะตั้งท่าพร้อมสู้
มาร์โค อัลบาร์น ผู้ใช้อาวุธเคียวเหวี่ยงอาวุธคู่ใจขึ้นพาดบ่า ดวงตาจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้ตรงหน้า “...เขาเคยเป็นมนุษย์นะ” เด็กหนุ่มเปรย
เคียวปีศาจ โซลวีคก์ ‘โซล’ อีสเตอร์ ยิ้มที่มุมปาก “แหงล่ะ มาร์โค ฉันเองก็เป็นเคียว แต่ปกติก็อยู่ในร่างมนุษย์นี่นา รูปแบบหรือรูปร่างน่ะมันไม่สำคัญหรอก ใช่มะ ไอ้ปัญหามันอยู่ที่...” เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ให้ตายสิ น้ำลายสอเสียแล้ว
“...วิญญาณต่างหากล่ะ!”
ฆาตกรผู้มีกรงเล็บเป็นอาวุธส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าพร้อมกับกระโจนเข้าใส่เด็กวัยรุ่นทั้งคู่ มาร์โคฉากหลบไปด้านข้างอย่างง่ายดาย คู่ต่อสู้ที่โกรธแค้นหันขวับมาโจมตีต่อเป็นชุด แต่ผู้ใช้อาวุธก็หลบหลีกไปมาด้วยความว่องไว เคียวของเขาควงกวัดแกว่งสู้กับกรงเล็บคมยาว หลอกล่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อศัตรูเปิดช่องโหว่ เด็กหนุ่มเงื้ออาวุธขึ้น คมเคียวสีดำแดงลายสลับฟันปลาต้องสะท้อนแสงจันทร์อย่างน่าพรั่นพรึง
“ฆาตกรโฉด แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ วิญญาณของแก ฉันขอรับไว้เอง”
ด้วยการฟันอย่างชำนาญเพียงครั้งเดียว แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ก็ตัวขาดสองท่อน มันส่งเสียงร้องโหยหวนบาดใจก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวไปตามสายลม เหลือแค่เพียงวิญญาณดวงสีแดงก่ำลอยทิ้งไว้ วิญญาณชั่วร้ายที่สูญเสียความเป็นมนุษย์จนได้กลายเป็นไข่วิญญาณของคิชินในที่สุด
“วิญญาณดวงที่เก้าสิบเก้า ได้มาง่ายขนาดนี้เลยแฮะ คูล...” เคียวในมือของมาร์โคเปล่งแสงก่อนจะกลายร่างเป็นเด็กสาวอายุราวสิบสี่ปี เธอมีผมยาวประบ่าสีเงินออกขาวที่รวบอย่างเรียบร้อยไว้ด้วยผ้าคาดหัวกำมะหยี่ ดวงตาสีแดง ผิวสีแทนกำลังดี และสูงกว่าคู่หูของเธอเกือบครึ่งหัวได้(มันเป็นสิ่งที่ทำให้มาร์โครำคาญใจอยู่เสมอ “เธอแก่กว่าฉันตั้งสิบเอ็ดเดือนกว่าๆนะโซล! รอให้ฉันถึงช่วงยืดตัวก่อนเถอะ รับรองเธอจะกลายเป็นยัยเตี้ยไปเลย!” เขามักจะพูดอย่างนี้) โซลคงจะดูเหมือนคุณหนูผู้ดีมีตระกูลอย่างที่เธอเป็นจริงๆ หากไม่เลือกใส่เสื้อยืดสีขาวพิมพ์ลาย ‘ตายซะบาร์บี้’ ทับด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตเบสบอล กระโปรงสั้นเลยเข่าสีดำแดงลายตารางหมากรุก และรองเท้าผ้าใบสีเหลืองสลับดำเหยียบส้นพร้อมลายเขี้ยวฉลามที่เจ้าตัวบรรจงใช้ปากกาเมจิกกันน้ำวาดเพิ่มเอง เธอเอื้อมมือไปคว้าวิญญาณตรงหน้าแล้วจับใส่ปากทีเดียวทั้งดวงก่อนจะเคี้ยวหยับๆด้วยฟันที่แหลมคมผิดธรรมชาติอย่างมีความสุข
มาร์โคมองดูคู่หูอาวุธกลืนวิญญาณลงท้องไป “ให้ตายซี ท่ากินเธอเนี่ยน้า...แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ไบร้ท์สตาร์ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า โซล อีทเตอร์ ได้ไงล่ะ” เด็กหนุ่มแซว
โซลค้อนผู้ใช้อาวุธน้อยๆก่อนจะประกบมือเข้าด้วยกัน และเอ่ยว่า “ขอบคุณสำหรับอาหารค่า...” ตามธรรมเนียม เธอหันมายิ้มกว้างอวดเขี้ยวคม “ยังไงก็เถอะ ทีนี้พวกเราก็รวบรวมวิญญาณได้ครบเก้าสิบเก้าดวงแล้ว เหลืออีกแค่ดวงเดียวเท่านั้น วิญญาณของแม่มด--”
“--แล้วเธอก็จะได้กลายเป็นเดธไซต์สุดแกร่งของท่านยมทูต!” มาร์โคชิงพูดแทนอย่างตื่นเต้น ฝันของเขากำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว พ่อของมาร์โค สปิริต อัลบาร์น เป็นเดธไซต์คนปัจจุบันที่แกร่งที่สุดของยมทูต ส่วนแม่ของเขาก็คือผู้ใช้อาวุธที่ทำให้พ่อกลายเป็นเดธไซต์ได้สำเร็จตอนที่มาร์โคอายุสองขวบครึ่ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตครอบครัวก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะสปิริตมีนิสัยเจ้าชู้ประตูดินขั้นรุนแรง ทำให้ภรรยาของเขาแทบไม่สามารถทนอยู่ใกล้ๆได้ จนในที่สุดความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานของทั้งคู่ก็จบลงด้วยการหย่าร้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อเดือนที่แล้ว สำหรับมาร์โคนั้น ตลอดมาตั้งแต่เริ่มรู้ความจนโต ความคิดฝังหัวที่ว่าพ่อของเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลกทำให้เด็กหนุ่มมีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้ชายที่ดีกว่าพ่อ รวมถึงสร้างเดธไซต์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าให้ได้ด้วย
โซลแค่นหัวเราะก่อนหันหลังเดินขึ้นบันไดหินไป “เอาล่ะ ทีนี้พวกเราก็ไปรายงานท่านยมทูตกันเถอะ” มาร์โควิ่งตาม “ฮื่อ ก่อนอื่นก็ต้องหากระจกก่อน”
กระจก เด็กสองคนนี้เป็นพวกสำอางจัดงั้นหรือ สำหรับสาวน้อยวัยรุ่นอย่างโซลก็คงต้องมีกันบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับมาร์โค ไม่มีทาง(“บางวันเขาไม่ได้ล้างหน้าด้วยซ้ำ” โซลแอบกระซิบ) อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้จะตามหากระจกเพื่อจะส่องดูหน้าตัวเองหรอก แต่เพื่อติดต่อกับท่านยมทูต ผู้อำนวยการโรงเรียนที่น่าเคารพรักต่างหาก
มาร์โคเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งพบร้านขายของที่ปิดอยู่ เขาหายใจรดกระจกหน้าร้านจนฝ้าขึ้น แล้วใช้นิ้วขีดเขียนตัวเลขชุดหนึ่ง อย่างที่เรามักจะทำกับกระจกรถยนต์ในวันที่หมอกลงนั่นล่ะ
“เบอร์กระจกห้องท่านยมทูต 42-42-564”
ทันใดนั้น ผิวกระจกก็กระเพื่อมเป็นวงคลื่นราวกับโยนก้อนหินลงน้ำ เงาสะท้อนของคู่หูค่อยๆถูกแทนที่ด้วยภาพของร่างสูง 3 เมตรในชุดผ้าคลุมสีดำทะมึน มือโฟมสีขาวขนาดเท่ากระทะใบโต และหน้ากากรูปกะโหลกที่ดูน่ารักคล้ายปลาหมึกมากกว่า ท่านยมทูตผู้ควบคุมกฎเกณฑ์และสมดุลความเป็นตายของโลกใบนี้กำลังยืนเอา ‘ราก’ ปักพื้นอยู่ในห้องโถงโล่งกว้างที่ตกแต่งด้วยหลุมศพ กิโยติน โมบายรูปปุยเมฆขาว และผนังที่ทาเป็นสีฟ้าสดใส
เขาทักทายเด็กๆอย่างใจดีด้วยเสียงตลกๆเหมือนในการ์ตูน “อ้าว มาร์โคคุงกับโซลจังนั่นเอง ว่างายๆ~”
เด็กหนุ่มผู้ใช้เคียวรายงาน “สวัสดีครับท่านยมทูต นี่ผู้ใช้เคียว มาร์โค อัลบาร์น กับเคียวปีศาจ โซลวีคก์ อีสเตอร์นะครับ พวกเราเพิ่งจะเก็บไข่วิญญาณคิชินได้ครบ 99 ดวง ตอนนี้ก็เหลือแค่วิญญาณแม่มดอีกดวงเดียวเท่านั้นแล้ว”
ยมทูตดูประหลาดใจ “โอ้โฮ เยี่ยมไปเลยนะทั้ง 2 คน เร็วกันจริงๆ มาร์โคคุงนี่เป็นผู้ใช้อาวุธที่เก่งเหมือนแม่เลยแฮะ” เขากล่าวชมเชย ทำเอามาร์โคพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆอย่างเคอะเขิน
ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มผมแดงอายุราวสามสิบต้นๆก็เดินเข้ามาในฉาก พร้อมส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้โซล “หวัดดีโซลจัง ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ~!!!” เขาทักทาย ในขณะที่โซลกระเถิบถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความขยะแขยง แต่แล้วคู่หูของเธอก็ก้าวเข้ามาขวาง เขาจ้องเขม็งไปที่ชายในกระจกอย่างขุ่นเคืองเต็มที่ “แก่แล้วยังจะมาจ้องกินเด็กอีกเหรอป๊า...”
ใช่แล้ว ผู้ชายคนนี้คือ เคียวปีศาจ สปิริต อัลบาร์น เดธไซต์ของยมทูตและพ่อแท้ๆของมาร์โค
รอยยิ้มหวานเลี่ยนของสปิริตหายวับไปภายในพริบตาที่เห็นลูกชาย เขารีบเปลี่ยนมาใช้มาด ‘คุณพ่อผู้น่าเกรงขามและน่ายกย่อง’ แทน ซึ่งไม่สามารถตบตาใครได้เลย
คุณพ่อจอมเจ้าชู้กระแอมขึ้นอย่าง(พยายามจะทำให้ดู)เป็นทางการ “เอ้อ...ว่าไงไอ้ลูกชาย ป๊าขอแสดงความยินดีกับ...อ่า...ความสำเร็จของพวกลูกด้วย แล้ว คือ...ทีนี้นะมาร์โค พวกเราไม่ได้คุยกันจริงๆจังๆมานานแล้วตั้งแต่แม่เค้า...อืม...ช่างเหอะ แบบว่า ป๊าว่า...เรามาคุยกันตามประสาลูกผู้ชายหน่อยดีมั๊--” แต่เจ้าลูกชายตัวดีกลับตัดบทเอาดื้อๆ “เงียบไปเหอะ ยังไงผมก็ไม่เคยคิดว่าป๊าเป็นพ่อผมอยู่แล้ว”
คำพูดที่จี้ใจดำนี้ทำเอาคุณพ่อวัยหนุ่มถึงกับสลดไปทันใด จนท่านยมทูตต้องรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์
“เอ้าๆ พักเรื่องปัญหาครอบครัวไว้ก่อนดีกว่านะ”
“ครับผม” มาร์โครับคำ ไม่สนใจสปิริตที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ตรงมุมห้องเลยแม้แต่น้อย
ยมทูตลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจกล่าวต่อไป “เอาล่ะ พวกเธอคงรู้กันแล้วสินะ ว่าการที่โซลจังจะกลายเป็นเดธไซต์ได้หรือไม่นั้น สิ่งที่สำคัญและเป็นปัญหามากที่สุดก็คือ วิญญาณแม่มดนี่ล่ะ ฉันต้องทนเห็นผู้ใช้อาวุธมากมายสูญเสียชีวิตไปเพราะต่อสู้กับแม่มดพวกนี้มามากพอแล้ว ฉะนั้น ระวังตัวด้วย เธอเป็นเด็กเก่งนะ มาร์โคคุง สร้างเดธไซต์ที่เหนือกว่าแม่ของเธอให้ได้ล่ะ” เขาพยักพเยิดไปทางอาวุธคู่ใจที่นั่งซึมกอดเข่าอยู่ข้างๆ
โซลยิ้มยิงฟัน “วางใจเถอะค่ะท่านยมทูต รับรองไม่ผิดหวัง” ส่วนมาร์โคก็พยักหน้าตอบด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงบ้าง
แต่แล้ว สปิริตดูเหมือนจะยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับลูกชายคนเดียว “เออ ว่าแต่ช่วงนี้ลูกกับโซลเป็นไงมาไงกันบ้างล่ะ” เขาถามค่อยๆ มาร์โคตอบอย่างไร้อารมณ์ “ก็งั้นๆฮะ เราก็ทำงานด้วยกันได้ดี”
“แล้ว...อย่างอื่นล่ะ”
“ไม่มีนี่ครับ”
ผู้เป็นพ่อได้ฟังแล้วก็เผลอหลุดสันดานดิบของตนออกมา “อาไร๊…แค่เนี้ยอ่ะนะ!!! นี่ลูกอยู่กับโซลมากี่ปีแล้วนะ สองปีแล้วไม่ใช่รึไง หัดแต๊ะอั๋งให้เป็นซะมั่งซี่ เป็นผู้ชายรึเปล่าน่ะเรา!”
โซลหน้าแดงและกรีดเสียงขึ้นมาบ้าง “อะไรของคุณเนี่ยตาลุงงี่เง่า! เห็นอย่างนี้ฉันก็เลือกนะ เรื่องอะไรสาวสุดคูลอย่างฉันจะไปสนใจไอ้เด็กตัวกระเปี๊ยกอย่างมาร์โคกันล่ะ!”
เสียงเย็นเยียบแฝงแววอันตรายของเด็กหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงขัดขึ้น “หุบปากน่าทั้งคู่”
อาวุธคู่วิวาทเงียบเสียงลงทันทีราวกับถูกปิดสวิตช์ ก่อนที่ท่านยมทูตจะตัดการติดต่อไปจากเด็กทั้งสอง
ที่ห้องยมทูต เทพแห่งความตายถอนหายใจยาวผ่านรูบนหน้ากากที่เจาะไว้เป็นจมูก “ลูกของนายจะทำสำเร็จมั๊ยน้า สปิริต” เขาเปรยขึ้น ทว่า เคียวหนุ่มกลับไม่ได้สนใจฟังเจ้านายเลยแม้แต่น้อย เขากลับไปนั่งคร่ำครวญต่อที่มุมห้องพร้อมกับหยิบรูปถ่ายใบเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเงินที่ฟีบแบนหลังจากการเที่ยวกลางคืน ในรูปเก่าใบนั้น ตัวเขากำลังโอบไหล่ภรรยาที่อุ้มลูกชายตัวน้อยวัยสามขวบอยู่ ทุกคนดูมีความสุข ไร้ความกังวล เป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน ทว่า ช่วงชีวิตดีๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว วันเวลาที่เขาคือฮีโร่สุดเท่ของลูกชายมันกลายเป็นแค่อดีต ทุกอย่างเป็นเพราะนิสัยเสียที่แก้ไม่หายของเขาเอง
“มาร์โค...จริงๆแล้ว...ป๊ารักแม่กับลูกมากที่สุดเลยนะ...” สปิริตสูดน้ำมูกเสียงดังลั่น
ท่านยมทูตชักเริ่มรำคาญ เขาพูดเป็นเชิงเตือน “เงียบน่า เดี๋ยวปั๊ดเจอท่าท่านยมทูตตบเกรียน”
จบตอนที่ 1 เย้ๆ! ^o^
ความคิดเห็น