คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : โซโลโรบินแซมเปิ้ล .
PROLOGUE
เสียงคลื่นทะเลซัดผ่านเข้ามากระทบกับชายฝั่งดังขึ้นเป็นระลอกคลอเคล้าไปกับเสียงนกนาๆชนิดที่ดังแว่วขึ้นมาภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ฉาบให้แสงสว่างอยู่บนฟากฟ้า กลิ่นไอละมุนของบรรยากาศยามเช้าแทรกซึมผ่านเข้าไปภายในหัวสมอง เรียกให้สติของคนที่หลับไหลอยู่บนผืนทรายละเอียดนุ่มนั้นค่อยๆปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะปิดลงอีกคราเมื่อแสงอรุณนั่นสาดส่องเข้าไปผ่านทางม่านตาคู่สวย
มือเรียวยกขึ้นมาบดบังแสงอาทิตย์ที่สว่างจ้า ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับดวงตาสีดำขลับซึ่งเริ่มปรับสภาพคุ้นชินกับแสงสว่างก็เหลือบมองไปรอบตัวเพื่อสำรวจ ที่อยู่ในบริเวณนี้มีแค่หาดทรายและความว่างเปล่า ความเงียบที่ทำเอาประสาทสัมผัสของใบหูรับรู้ถึงเสียงคลื่นทะเลรวมไปถึงเสียงของเหล่านกน้อยที่บินผ่านไปมาอยู่บนฟากฟ้านั่นได้อย่างชัดแจ๋ว
อ๋อ … ลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่ง
เสียงกรนที่คุ้นหูนั่นก็ด้วย
หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก นั่นเพราะความเจ็บปวดที่บริเวณข้อเท้าจากแรงกระแทก แต่ถึงกระนั้นเธอก็มีความสามารถพอที่จะพาร่างของตัวเองไปยังร่างของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนอนไม่ได้สติ … หรือจะเรียกว่านอนหลับอยู่ดีล่ะถึงจะถูก
เธอค่อยๆย่อตัวลงนั่งกับผืนทรายอีกครั้ง พร้อมกับนัยต์ตาคมสวยซึ่งแต่งแต้มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหาอันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง จะค่อยๆลอบมองไปยังใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่อย่างสบายใจ สังเกตจากลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
คงกำลังหลับฝันหวานอยู่เลยสินะ …
“คุณนักดาบ” เสียงนุ่มหวานที่แฝงความเป็นผู้ใหญ่เอาไว้ เอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาแต่กระนั้นก็หน้าจะพอได้ยินอยู่เมื่อเทียบกับระยะความใกล้
“คุณนักดาบ …” คราวนี้ไม่พอจะทำให้อีกฝ่ายตื่นได้ เริ่มใช้มือของตัวเองนั้นเขย่าเข้าที่ไหล่แกร่ง
แต่ไม่ว่าจะยังไง โรโรโนอา โซโล ก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา
หญิงสาวถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ เธอไม่อยากจะใช้ความรุนแรงกับคนรู้จักสักเท่าไหร่นอกเสียจากเวลาที่โดนแซวเรื่องอายุจนทนไม่ไหวจริงๆ แต่ในกรณีนี้ถ้าเธอไม่ออกแรงอีกฝ่ายก็คงไม่มีทางตื่น ดูได้จากสถานการณ์ตัวอย่างของต้นหนเรืออย่างนามิที่ตระโกนแล้วตระโกนอีกคนที่นอนอยู่ก็ไม่ยอมตื่นจนกำปั้นที่เขกลงไปบนหัวเสียงดังลั่นนั่นแหละได้ผลดีทีเดียวเชียว
แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันนี้ต้องมาออกแรงทำด้วยตัวเอง
“ขอโทษนะ …”
เพี๊ยะ !
เสียงมือที่กระทบเข้ากับเนื้อแก้มดังลั่นบริเวณ …
“โอ๊ย !” และได้ผล อีกฝ่ายที่นอนอยู่รีบเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพลางลูบแก้มของตนเองที่ปรากฏเป็นรอยนิ้วมือทั้งห้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าหล่อเหลาของนักดาบหนุ่มหันไปมองค้อนใส่หญิงสาวซึ่งทำได้แต่เพียงส่งยิ้มบางมาให้
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ยห๊ะ !”
“ขอโทษนะ แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ คนแถวนี้ก็คงไม่ตื่นน่ะสิ” นิโค โรบิน ตอบกลับไปตามความจริง ก่อนโซโลจะสบถออกมาเสียงเบาอย่างช่วยไม่ได้ นั่นเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดค่อนข้างถูกเผงและตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
“เหอะ ช่างเถอะ … แล้วที่นี่ที่ไหน พวกคนอื่นๆล่ะ ?” ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องโดยฉับพลัน เขาเอ่ยถามพลางลอบมองไปรอบตัวด้วยความสงสัย
“คงพลัดหลงกันไปหมดแล้วล่ะ … ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่นี่ พวกเราโดนพายุลูกใหญ่เล่นงาน จำได้มั้ย ?” เธอเอ่ยทบทวนเรื่องราวและความหน้าจะเป็นไปได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะในระหว่างที่เดินเรือกันอยู่นั้นในช่วงบ่าย ความผิดปรกติของบนท้องฟ้าก็ปรากฏ ซึ่งตรงกับจังหวะที่ต้นหนของกลุ่มหมวกฟางพักผ่อนอยู่ในห้องนอนพอดี ส่วนเธอก็มัวแต่อ่านหนังสือไม่ได้สนใจอะไร จนเสียงของช็อปเปอร์และอุซปที่ดังขึ้นดึงสติของเธอให้มุ่งความสนใจไปยังท้องฟ้าที่แปรปรวนเปลี่ยนเป็นสีเทาจนเกือบดำ
และก่อนที่จะได้ทันทำอะไรนั้น สายฟ้าที่ส่องสว่างจนแสบตาก็ฟาดลงมาสู้น้ำทะเลเฉียดกับตัวเรือเธาซันด์ซันนี่ไปอย่างหวุดหวิดจนหน้าใจหาย และแน่นอนว่าความวิปราศของพายุคลื่นทะเลยักษ์และท้องฟ้านั้นยังไม่ได้จบลงแค่นี้ สายน้ำที่สาดกระเซ็นและตัวเรือที่เอนเอียงจนแทบจมหายลงไปในทะเลลึก แม้แต่อาวุธลับของเรือเธาซันด์ซันนี่เองนั้นก็แทบจะเอาไม่อยู่
พวกมีพลังพิเศษจากผลปีศาจเกือบครึ่งค่อนเรือต่างก็พากันหมดแรงไปอย่างช่วยไม่ได้เป็นเพราะน้ำทะเลที่สาดซัดพัดเข้ามากระทบหาอย่างรุนแรงบนตัวเรือจนไหลท่วมสร้างความเสียหายให้แบบล้นหลาม ความโกลาหล และเสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่ากลุ่มโจรสลัดหมวกฟางดังขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเรียกให้สติของผู้มีพลังพิเศษกลับคืนเข้าหาตัวเลย มิหนำซ้ำยังแย่เข้าไปอีก
จวบจนที่ลำตัวรู้สึกเบาหวิวขึ้นมา เมื่อเรือเธาซันด์ซันนี่นั้นได้เปลี่ยนความสามารถลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าเพื่อหนีพายุแทน แต่ดูเหมือนจะช่วยได้ไม่เท่าไหร่ สายฟ้านั้นก็ฟาดลงมาตีแผ่กลางลำเรือจนทุกคนนั้นกระจายตกกันไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พร้อมกับสติทุกอย่างที่ดับวูบลงไป
Day 1
“เป็นงั้นไป … แล้วทีนี้จะเอาไงกันต่อล่ะ ?”
หลังจากที่พอจะทบทวนเรื่องราวทุกอย่างได้บ้างแล้ว โซโลก็เอ่ยถามออกมาตามจริงก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับร่างของหญิงสาว มือหยาบกร้านจับคลำเข้าที่ดาบทั้งสามพร้อมกับสายตาคมที่เลื่อนมองไปสำรวจอาวุธของตนเองอย่างถี่ถ้วน
“นั่น … บาดเจ็บหรอ ?” พลันเสียงของโรบินเป็นฝ่ายถามขึ้นมา เมื่อสังเกตเห็นความผิดปรกติได้จากศีรษะของอีกฝ่าย คราบเลือดแห้งกรังนั้นเปรอะเปื้อนเลยมาถึงขมับของชายหนุ่ม แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้สึกตัว โซโลหันมามองหญิงสาวทันทีที่พูดจบ ก่อนจะเลื่อนมือของตนเองไปสัมผัสเข้ากับจุดที่รู้สึกปวดระบมอยู่เหมือนกัน
“สงสัยตอนตกลงมาหัวฉันคงไปกระแทกกับอะไรเข้าสักอย่าง ไม่ต้องห่วงไปหรอก” เขาตอบพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนสายตาคมนั่นจะเหลือบมองไปเห็นข้อเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เธอก็บาดเจ็บนี่” พูดขึ้น เมื่อเห็นว่าข้อเท้าของโรบินนั้นบวมช้ำจนสังเกตได้ ไหนจะเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลซึ่งเหมือนกับไปโดนอะไรสักอย่างบาดเข้าให้ ดูรุนแรงกว่าแผลบนศีรษะของเขาที่เริ่มแห้งไปแล้วนั่นซะอีก
“นิดหน่อย ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” เธอตอบพลางฉีกยิ้ม แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความไว้วางใจให้โซโลแต่อย่างใด ชายหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้าก่อนจะดึงเอาผ้าที่พันอยู่บริเวณต้นแขนของตนเองออกมาปิดพันรอบแผลของอีกฝ่ายอย่างถะนุถนอม อาจจะช่วยได้ไม่มากแต่ก็ยังดีว่าเปิดให้เชื้อโรคทั้งหลายเข้าไปทำให้บาดแผลนั่นแย่ยิ่งกว่าเดิม
“ขอบใจนะ” โรบินเอ่ยบอกเมื่อเห็นการกระทำของชายหนุ่ม
“ช่างเถอะ เรื่องแค่นี้เอง” โซโลตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจ แต่ถ้าจะให้บอกเคล้าความจริงนั่นก็คือเขาเขินอายกับคำขอบคุณของอีกฝ่ายเสียมากกว่า
โรบินเองก็ยิ้ม ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นกำลังรู้สึกยังไงอยู่
ก่อนที่หญิงสาวจะเลือกขยับตัวเองเดินไปสำรวจบริเวณชายหาดอย่างไม่รีบร้อน และจากที่ลองตรวจดูนั้น ในบางที่ก็เต็มไปด้วยเศษกระดาษที่ถูกเม็ดทรายกลบฝัง รวมไปถึงก้างปลาที่ถูกกินแล้วโยนทิ้งเอาไว้ เป็นข้อบ่งบอกได้ดีว่าที่นี่เคยมีคนมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่มาเป็นเพราะต้องการมาสำรวจเกาะ หรือเป็นเพราะมาติดเกาะอย่างที่เธอกับโซโลนั้นเป็นอยู่
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยแหะ” โซโลที่เดินตามหลังมาเอ่ยบอก ซึ่งข้อนี้โรบินเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างดี แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องสงสัยอะไรมากนัก เพราะทางด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคน คือป่าขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นอยู่
“นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย … เมื่อกี้จำได้ว่ายังไม่มีเลยนะ”
“อาจเป็นเพราะหมอกนั่นก็ได้” โรบินตอบพลางใช้เรียวนิ้วของตนเองชี้ไปยังหมอกสีขาวที่ลอยคลุ้งอยู่เหนือผืนดิน มีความเป็นไปได้สูงว่าก่อนหน้านั้นปริมาณของหมอกคนหนามากจนทำให้มองไม่เห็นทัศนียภาพทางด้านหลังอันเป็นแหล่งของป่าดิบชื้นนี่
“งั้นเหรอ นึกว่าจะมีอะไรสนุกๆซะอีก” โซโลว่าพลางแค่นยิ้มออกมา ก่อนสองเท้านั้นเตรียมจะตรงดิ่งเข้าไปภายในอณาเขตตรงหน้า
แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปจริงๆ เสียงของโรบินก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนคุณนักดาบ ฉันว่าฉันเจออะไรบางอย่าง” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะเลื่อนเท้าของตนเองเหยียบย่ำทรายเนื้อละเอียดนี้ไปอย่างค่อนข้างยากลำบาก เป็นเพราะความปวดหน่วงบริเวณข้อเท้าที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ
ทางด้านโซโลเองที่ได้ยินก็แอบเสียดายที่จะไม่ได้เข้าไปในนั้นในทันที เขาถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวหันไปมองหญิงสาวที่ก้าวเท้าเดินไปยังจุดที่ว่าอย่างทุลักทุเล
โรบินพาตัวเองเข้าไปใกล้กับน้ำทะเล จนชายหนุ่มเองก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปตรงนั้น แต่ก็ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเมื่อเขาเห็นกล่องอะไรบางอย่างลอยอยู่บนผิวน้ำพร้อมกับร่างของโรบินที่หยุดยืนอยู่
โรบินเตรียมจะใช้พลังวิเศษจากผลปีศาจของตนเองให้พากล่องใบนั้นกลับเข้ามาในฝั่ง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเมื่อโซโลนั้นเดินลุยน้ำทะเลไปเพื่อคว้าเอากล่องที่ลอยอยู่ตัดหน้าเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นร่างกำยำจะกลับมาพร้อมกับกล่องที่คล้ายกับจะใส่สมบัติเอาไว้
“เปิดเลยมั้ย ?” โซโลเอ่ยถามพลางมองไปยังกล่องไม้ตรงหน้า ซึ่งมีลูกกุญแจล็อคปิดไว้อย่างแน่นหนา
“จะเปิดต้องใช้กุญแจ แต่เราดันไม่มีนี่สิ” โรบินเองก็ตอบกลับไปอย่างนึกเสียดาย เธอยกแขนขึ้นมากอดอกพลางทำหน้าครุ่นคิด
“ใครว่าล่ะ ?” ทว่าน้ำเสียงของโซโลที่ดังขึ้นและรอยยิ้มกริ่มที่ถูกยกขึ้นมาประดับอยู่บนใบหน้า ทำเอาโรบินเริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าขึ้นมา ก่อนจะรู้ว่าหน้าที่ของตนเองคือต้องถอยห่างออกมาจากกล่องนั้นด้วยระยะห่างที่พอสมควร พร้อมกับโซโลที่เข้าไปยืนแทนที่ในทันที
มือหยาบกร้านหยิบดาบของตนเองขึ้น ก่อนจะเริ่มใช้วิชาดาบนั้นทำลายโซ่กุญแจที่พันธการอยู่กับตัวกล่องให้หลุดออกไปด้วยความรวดเร็ว
ความคิดเห็น