คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ( os ) ALWAYS : Chanbaek
Always ♥
Chanyeol x Baekhyun
End in part
Story by ToonkO
ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง เสียงนักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ดังไม่ต่างกับนกกระจอกแตกรัง หลายเสียงนั้นดังมาจากสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ที่กำลังนั่งเอาศอกเท้าคางขณะรอคอยกล่องข้าวกลางวันอาหารมื้อหลักจากเพื่อนอีกสองคนผู้เป็นเวรไปซื้อประจำวันนี้
แน่นอนว่าต่างคนก็ต่างมีวิธีการรอคอยแตกต่างกันไป
“แบคฮยอนอา...”
น้ำเสียงที่คนพูดคิดว่าหวานที่สุดในชีวิตลอยกระทบใบหูบาง คนถูกเรียกขานรับในลำคอคล้ายเคยชินกับสำเนียงชวนขนลุกนั้นขณะใช้ดินสอดำขีดเขียนบนกระดาษขาวอย่างชำนิชำนาญ
“หิวหรือยัง”
“ไม่อ่ะ เรื่อย ๆ แกหิวแล้วเหรอชานยอล”
ปาร์คชานยอล สุดหล่อของสาว ๆ ประจำคณะทำปากบู้ขัดอกขัดใจ
“พูดกับพี่ชานยอลไม่เพราะเลย”
โอเซฮุนที่กำลังทบทวนบทเรียนกับลู่หานที่นั่งเล่นนิ้วตัวเองเหล่มองชานยอลพลางส่งเสียงกระแอม ย้ำเตือนว่านอกจากแบคฮยอนแล้วยังมีพวกเขาสองคนนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย
จริง ๆ ก็ดูเหมือนจะเคยชินกันหมดแล้ว กลุ่มพวกเขามีกันหกคนและทั้งหกคนก็ทนฟังชานยอลจีบแบคฮยอนตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง เรียกได้ว่าเห็นหน้าปุ๊บปาร์คชานยอลก็ปิ๊งปั๊บทันที
หลังจากรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ชานยอลเคยป้อล้อแบคฮยอนอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้นตลอดมา หยอกเอินทีเล่นบ้างทีจริงบ้างจนเริ่มกลายเป็นความไม่แน่ใจไปแล้วว่าจีบเล่นเหรอเอาจริงกันแน่
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร พยอนแบคฮยอนคนถูกจีบแท้ ๆ ยังทำตัวชิลด์ ๆ ตามประสาเด็กติสท์ไม่สนใจอะไรนอกจากกระดานวาดรูปอย่างเดียว เลยกลายเป็นว่าการที่มีชานยอลมาตามติดใกล้ ๆ แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
“อยากได้หวาน ๆ ก็ไปคุยกับคนอื่นไป๊” เจ้าของฉายาหมาน้อยเหวี่ยงใส่ ตัวเล็ก ๆ ชะเง้อคอมองหาเพื่อนอีกสองคน “แล้วนี่จงอินกับจงแดมันไปซื้อข้าวเหรอไปตายวะเนี่ย นานชะมัด”
“มาแล้วๆ~!!” บ่นไม่ทันขาดคำก็มาพอดี แบคฮยอนอุบอิบในใจ...ตายยากจริง ๆ
“มาแล้ว เอ่อ...รอนานกันมั้ย”
ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนหอบกล่องข้าวคนละมือทั้งยังหอบแฮ่ก ๆ ก็นึกสงสารชอบกล ลู่หานผู้ใจดีเลยสงเคราะห์หยิบน้ำเปล่ากระแทกอกส่งให้คนละขวด
“อ้าว! ทำไมกล่องข้าวมันมีแค่ห้ากล่องเนี่ย แกสั่งขาดเหรอไงวะ”
เซฮุนโวยวายถามขณะใช้ฝ่ามือรื้อ ๆ ค้น ๆ แม้จะเห็นเต็มสองตาว่ามีแค่ห้ากล่อง คิมจงอินกับคิมจงแดสบตากันเลิ่กลั่ก เอ่ออ่าเป็นนาทีก่อนตอบเสียงอ่อย
“หิวเลยรีบวิ่งมา มันเลย...เอ่อ...ตกกระจายไปกล่องนึง”
“ของใคร”
สิ้นเสียงเรียบนิ่งจากลู่หานใบหน้าสองหนุ่มยิ่งดูแย่มากขึ้น จงแดถึงกับปาดเหงื่อตามไรผม ข้าวกลางวันหลังการเรียนช่วงเช้าและเป็นเรี่ยวแรงให้การเรียนภาคบ่ายอันแสนสาหัสสำหรับเด็กวัยเรียนอย่างพวกเขา ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันเป็นยิ่งกว่าแหล่งพลังงานซะอีก
“พวกเราขอโทษน้า...แบคฮยอน”
ร่างเล็กใช้เวลาประมวลคำพูดก่อนหน้านี้ไม่นานก็ตอบรับสั้น ๆ ในลำคอ ปลายนิ้วเรียวตวัดดินสอทำงานที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเสร็จกันไปหมดแล้วอีกครั้ง
นอกจากคำพูดคำจาห้วนสั้นแบคฮยอนก็มีนิสัยเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไปอีกอย่างคือไม่ติดใจคิดอะไรเล็กน้อย อะไรที่แก้ไขไม่ได้เขาก็ยินดีจะปล่อยไป
“ขอโทษจริง ๆ เว้ย เอาของพวกฉันไปกินก่อนไหม”
“บอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรเซ่...อ๊ะ!”
เสียงใสตอบจงอินไม่ทันจบประโยคก็หลุดอุทานเบา ๆ ไม่ใช่เพราะกล่องข้าวจากคนข้างกายที่เลื่อนมาให้แต่เป็นช้อนพลาสติกใสที่มีข้าวพูน ๆ ถูกยัดเข้าปากต่างหาก
“กินกับฉันนี่แหละ” คนตัวเล็กเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ พยักหน้าเล็ก ๆ แทนคำขอบคุณ
“จูบทางอ้อมไงล่ะ”
แบคฮยอนถึงกับสำลักควานหาขวดน้ำแทบไม่ทัน ฟังไอ้คนมีน้ำใจสวนขึ้นมาแบบนี้ก็นึกอยากให้รางวัลด้วยสันมือ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ฮึดฮัดแล้วลดมือลง อยู่ ๆ ความรู้สึกประหลาดกับน้ำใจที่อีกฝ่ายมอบให้ก็ผุดขึ้นมา...อีกครั้ง
ไม่ใช่ครั้งแรก แบคฮยอนรู้สึกตัวดีว่าเขาใจเต้นกับปาร์คชานยอล เพื่อนสนิทตัวเองคนนี้มาหลายหนหลายครั้งแล้ว
แต่นับวันมันยิ่งรุนแรงขึ้น จนกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ในสักวัน
“มีอะไรรึเปล่า”
ใบหน้าน่ารักผละห่างเมื่อชานยอลขยับกายเข้าใกล้...เกินความจำเป็น แบคฮยอนสั่นศีรษะแล้วหยิบช้อนขึ้นมาจ่อริมฝีปากร่างสูง นาทีนี้ชานยอลจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มกว้าง ๆ รับข้าวคำโต
“ถือว่าเจ๊ากัน โอเค้?”
เด็กหนุ่มตัดสินใจทิ้งอนาคตที่ยังมาไม่ถึงและยากเกินกว่าจะคาดเดาไว้ข้างหลัง วันข้างหน้าอะไรจะเกิดก็ช่าง ความรู้สึกจะเปลี่ยนจนยากยอมรับก็ไม่เป็นไร...ขอแค่มีชานยอลที่อ่อนโยนกับเขาแบบนี้ตลอดไป...ก็เพียงพอ
.
.
.
“ส่งตามกำหนดกันด้วย บอกไว้ก่อนเลยว่าช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวฉันก็จะไม่รับ”
ร่างสูงของอาจารย์ส่งเสียงนุ่มหูทิ้งท้ายให้นักศึกษาขวัญกระเจิงกับคอนเซปต์สั้น ๆ กับกำหนดส่งงานเอาไว้เพียงเท่านั้น ได้แต่มองตามพลางขมุบขมิบปากไล่หลังกันเซ็งแซ่...ทำอะไรสมกับเป็นอาจารย์ติสท์ตัวพ่อของจริง!
“ออกแบบอะไรก็ได้ โว้ย สั่งมาได้ยังไงวะ”
จงแดครวญครางลั่น นอนหงายลงกับพื้นปูนไม่ใยดีถึงความสกปรก เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่แทบจะเอาดินสอแทงตัวตายกันเลยทีเดียว
คนตัวเล็กมองเพื่อนสนิทแต่ละคนนั่งขมวดคิ้วมุ่น ร่ำร้องกันได้ไม่นานก็รีบแยกย้ายกันทำงานเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง แบคฮยอนก็เช่นกัน เขาถอนหายใจอย่างลังเลว่าควรจะวาดอะไรดี...
เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้ากระดานวาดรูป ดินสอแท่งยาวเริ่มขีดเขียนลายเส้นมั่ว ๆ เพราะความคิดยังไม่เข้าที่ แบคฮยอนสะบัดศีรษะเบา ๆ ไล่ผมหน้าที่ยาวลงมาปิดตาอย่างนึกรำคาญ
“เฮ้อ...”
ขีด ๆ เขียน ๆ สักพักก็ยังค้นความต้องการของตัวเองไม่เจอ แบคฮยอนหันไปหาคนข้างกายเตรียมจะขอคำแนะนำดังเคยก็ต้องชะงักงัน
“อะไรน่ะ”
อดยื่นหน้าเข้าไปดูไม่ได้ คนตัวเล็กจด ๆ จ้อง ๆ ชิ้นงานของปาร์คชานยอลซึ่งตอนนี้เริ่มดูออกเป็นรูปเป็นร่างผิดกันกับเขาไปไกลโข หากแต่ว่า...
“เฮ้ยชานยอล วาดอะไร”
เจ้าของชื่อหันมายิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แบคฮยอนเลยเขกเข้ากลางหน้าผากให้รู้ซะบ้างว่าเขากำลังต้องการคำตอบจริงจัง
“แบคฮยอนไง”
“อะไรนะ”
“ฉันวาดแบคฮยอน”
ย้ำหนักแน่นอีกรอบเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ทั้งรอยยิ้ม แบคฮยอนมองเพื่อนสนิทไม่ใคร่จะเข้าใจเท่าไหร่นัก
“จะบ้าเหรอไง วาดฉันทำไม”
“ก็ออกแบบไง...ออกแบบคนรักในฝันน่ะ”
ไม่ใช่แค่พยอนแบคฮยอนเท่านั้นที่อ้าปากค้าง เพื่อนร่วมคลาสรอบรัศมีการได้ยินก็อึ้งกิมกี่ก่อนร่วมกันส่งเสียงวี้ดวิ้วโดยพร้อมเพรียงให้แบคฮยอนเตรียมคว้ารองเท้าผ้าใบคู่เก่งเป็นอาวุธแก้เขิน (?)
คิมจงแดหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมกล่องข้าวแบคฮยอนยิ้มตาหยี เอ่ยคำพูดเพิ่มข้อหาให้ตัวเองอีกกระทง
“ไม่เคยได้ยินเหรอวะชานยอล...รักออกแบบไม่ได้”
แบคฮยอนถลึงตาใส่จงแดทันที แต่เมื่อเพื่อนทั้งห้องรวมไปถึงปาร์คชานยอลพากันหัวเราะเสียงดังคนตัวเล็กเลยอดไม่ได้ที่จะขำตามไปด้วย
“ฮ่า ๆ ฉันนี่แหละจะออกแบบรักให้ดูเป็นขวัญตา”
สำหรับแบคฮยอนแล้ว...ปาร์คชานยอลเป็นแบบนี้เสมอ
ทำอะไรตามใจตัวเองอยากทำ ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าบ่นว่าได้เพราะเป็นความเอาแต่ใจในแบบไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ชานยอลไม่เคยใช้ชีวิตตามกรอบ ไม่เคยเดินตามทางที่ใครขีดให้ และนั่นเป็นหนึ่งหลาย ๆ อย่างของชานยอลที่แบคฮยอนชื่นชม
“บ้านเป็นลิเกหรือไงวะ” ขมุบขมิบปากด่านิดแล้วหันไปจับดินสอตามเดิม
“โอ๊ย...!”
เสียงใสร้องลั่นทันทีที่รู้สึกถึงหนังศีรษะถูกกระชากจากข้างหลัง ดวงตาเรียวตวัดมองตัวการ ถามไม่เบานัก
“เจ็บนะ ทำอะไรของแกเนี่ยชานยอล!”
“อยู่เฉย ๆ สิ ไม่รำคาญผมบ้างหรือไง...ชานยอลบาร์เบอร์จัดการให้”
ตอบยิ้ม ๆ แล้วยึดศีรษะแบคฮยอนให้อยู่กับที่ ใช้เวลาไม่กี่วินาทีผมเส้นเล็กก็ถูกรวบมัดเป็นจุกน้ำพุด้วยที่มัดผมสีดำ แบคฮยอนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชานยอลพกติดตัวเวลาไปไหนต่อไหน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะหยิบมาใช้สักที
มือใหญ่ลูบเส้นผมข้างใบหน้าน่ารักเบามือ ทุกการกระทำเป็นไปอย่างนุ่มนวลจนแบคฮยอนเผลอขบฟันกับริมฝีปาก
ชานยอลอ่อนโยนกับเขาอีกแล้ว...
“ผมตรงนี้ทัดหูเอาแล้วกันเนาะ จะได้ไม่เกะกะไง”
ทั้งที่บอกแบบนั้นแต่กลับทำทุกอย่างให้ด้วยมือตัวเอง แบคฮยอนนั่งนิ่ง ก้มหน้าเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นสีขาว
“หน้าแดงเชียว เขินพี่ชานยอลเหรอครับ”
ชานยอลแกล้งดัดเสียงหวานหยอกล้อ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีเชิดใส่ให้สักทีสองที แต่ตอนนี้แบคฮยอนกลับก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ชานยอลยังคงเป็นเหมือนเดิม
เคยหยอดยังไงก็ยังหยอดอย่างนั้น เคยดูแลยังไงก็ยังทำเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยน เคยพูดจาภาษาปูเลี่ยนยังไงทุกวันนี้ก็ยังมีให้ได้ยิน
แบคฮยอนต่างหาก ความรู้สึกของแบคฮยอนต่างหาก...กำลังเปลี่ยนไปทุกนาที
.
.
.
“ฮ่า ๆ สุดยอดเลยว่ะชานยอล”
คิมจงอินหัวเราะลั่นชนิดที่ไม่ว่าใครก็ต้องหันมามองเป็นตาเดียวหลังจากคะแนนงานออกแบบเมื่ออาทิตย์ก่อนผลคือชานยอลได้ท็อปคลาส เพื่อนส่วนใหญ่ล้วนแต่มองเป็นเรื่องตลกโปกฮามากกว่าจะโมโหหรือเก็บมาวิจารณ์เพราะอิจฉาจริงจัง
“บอกแล้ว ยุนโฮน่ะติสท์ตัวพ่อของพ่อด้วยซ้ำ”
ชิ้นงานถูกส่งกลับคืนเจ้าของทุกคนและชานยอลก็กำลังถือรูปโชว์ไปทั่วคณะเนื่องจากกลายเป็นประเด็นเรื่องโด่งดังเพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันเข้าคิวขอประมูลภาพกันเป็นแถว
‘beep beep’
โทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงขึ้นมาของชานยอลทำให้ทุกคนแยกย้ายออกไปจากโต๊ะม้าหินของกลุ่มพวกเขาตามมารยาท จำใจหยุดประเด็น ‘รักออกแบบได้’ เอาไว้เท่านั้น
‘รูปนั้น ขอนะ’
ร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจกับแมสเสจสั้น ๆ นิ้วเรียวเลื่อนดูชื่อคนส่งด้วยความสงสัย ชั่วครู่รอยยิ้มก็พร่างพราวทั้งริมฝีปากและดวงตา
‘แบคฮยอน’
ชานยอลหันไปหาคนข้าง ๆ ก็เห็นว่าแบคฮยอนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ไม่รู้ว่าเป็นหนังสือปกดำแนวสืบสวนประเภทไหนคนน่ารักของเขาถึงได้อ่านไปหน้าแดงไปแบบนั้น
“อยากได้ก็เอาตังค์มาแลกสิ”
เสียงห้าวเอ่ยลอย ๆ ให้คนตัวเล็กตวัดตามอง แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ทันที
“ไม่ให้ก็ไม่เอา”
“โกรธเหรอ ล้อเล่นน่า...ให้ก็ได้ แต่ขอค่าตอบแทนหน่อยนะ”
แบคฮยอนยังไม่ทันได้แปลความร่างสูงใหญ่กว่าเขาหนึ่งเท่าตัวก็พิงลงมาโดยไม่เผื่อน้ำหนัก แบคฮยอนเอาศอกกระทุ้งสีข้างชานยอลเต็มแรงซึ่งมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับอีกฝ่ายเลย
“ไอ้ถึก! พิงดี ๆ นะ ถ้ากวนใจล่ะก็ถีบแน่”
“ครับผม”
ชานยอลรับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแบคฮยอนเริ่มเปลี่ยนไป...ในทางที่ดี และแน่ใจว่าแบคฮยอนเองก็คงรู้สึกถึงมันเช่นกัน
สายลมแผ่ว ๆ พัดมาให้ชานยอลหลับตาพิงแบคฮยอนอย่างสบายอารมณ์ นิ้วเรียวหยิบดินสอแท่งใหม่ขึ้นมาหมุนเล่นพลางยิ้มละมุน...มันเป็นดินสอที่แบคฮยอนซื้อให้หลังจากพวกเขาไปเดินเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียนเมื่อสามวันก่อน ถึงแม้แบคฮยอนเพิ่งตอบรับความรู้สึกเขาบ้างขณะที่ชานยอลได้แต่รอคอยมาตลอดเขาก็ไม่เคยนำมาคิดน้อยใจ แค่ให้รู้ว่าความพยายามไม่สูญเปล่าก็พอแล้ว
“โอ๊ยชานยอล! จะมาดึงผมฉันทำไม!”
“รักหรอกจึงหยอกเล่นไง”
^^
.
.
.
เช้าวันใหม่ยังคงสดใสสำหรับใครหลาย ๆ คน ชานยอล แบคฮยอน เซฮุนและลู่หานนั่งดูละครสดซึ่งคิมจงอินกับคิมจงแดกำลังนำแสดงอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฉากโหมโรงขึ้นมาพร้อมกับที่เซฮุนปรบมือรับเสียงลั่น
“รุ่นพี่ปาร์คชานยอลคะ รับนี่ไว้ได้ไหมคะ” คิมจงอินรับบทสาวน้อยคณะบริหาร ผู้หญิงรายล่าสุดที่มาสารภาพรักชานยอลสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อห้านาทีที่แล้ว
ชานยอลส่ายศีรษะ หันหน้าหนีให้กับภาพอุจาดตาอย่างสุดจะทน
“เอ่อ...คงไม่ดีมั้ง”
ลู่หานหัวเราะเสียงดัง ตบโต๊ะดังปังถูกอกถูกใจจงแดที่ทำเป็นปั้นหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ไม่ยักรู้ว่าเจ้าของฉายาไอ้รั่วจะเก๊กขรึมเป็น
“งั้น...กลางวันฉันจะมาใหม่นะคะ”
“ฮ่า ๆๆๆ”
พยอนแบคฮยอนปรายตามองศีรษะที่พาดวางบนไหล่ก่อนลอบถอนหายใจบางเบา เขาไม่รู้สึกดีตรงไหนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือพูดให้ถูกคือ คำว่าตลกนั้นตรงข้ามกับความรู้สึกในใจโดยสิ้นเชิง
และแบคฮยอนไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้
เวลารู้สึกถึงความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ เวลาที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
แบคฮยอนไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่กลับต้องมานั่งขมวดคิ้วจนปวดหัวเพียงแค่ชานยอลเอ่ยปากบอกกับผู้หญิงคนนั้นไปว่ายังไม่มีแฟน แม้จะเป็นเรื่องจริงแท้ ๆ ก็ตาม
แบคฮยอนไม่ใช่คนคิดมาก แต่ในหัวเต็มไปด้วยภาพของเพื่อนสนิทที่เคยพูดว่ารัก...แน่นอนว่าเขาลบมันออกไปไม่ได้
ปาร์คชานยอลเป็นคนขี้เล่น นิสัยนี้ใคร ๆ ก็ดูออก ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยถามว่าที่จีบแบคฮยอนเพราะชอบจริงหรือทำให้เป็นเรื่องโจ๊กประจำกลุ่มเท่านั้น กับข้อสงสัยนี้ ในเวลานี้...แบคฮยอนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาอยากจะรู้
“เฮ้ยชานยอล นี่ถ้าน้องเขามาอีกจะว่าไงวะ”
“อืม...ลองถามแบคฮยอนสิจงอิน”
ชื่อเขาที่ชานยอลเอ่ยออกมาทำให้แบคฮยอนสูดลมหายใจลึก มองข้ามหัวใจที่ปวดปร่าเพื่อหาหนทางหลุดพ้นจากความรู้สึกอ่อนไหวบ้า ๆ นี่เสียที ร่างเล็กแสร้งระบายรอยยิ้มบนเรียวปาก
ก่อนตอบออกไปสั้น ๆ
“ลองคบดูก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ”
ชั่วขณะความเงียบงันถาโถมใส่คนทั้งหกโดยไม่ทันตั้งตัว คำพูดไร้เยื่อใยไม่เคยได้ยินจากแบคฮยอนสักครั้ง มันเลยส่งผลให้เซฮุน จงอิน จงแดและลู่หานนิ่งอึ้ง แทบสะดุดลมหายใจตัวเอง
แบคฮยอนมองไม่เห็นถึงใบหน้าของเพื่อนสี่อีกสี่คน เพราะสายตาเขาถูกดวงตาหม่นแสงของชานยอลจ้องมองมาอย่างตัดพ้อ...ให้ไม่อาจหันไปทางไหนได้
วินาทีนี้แบคฮยอนอยากจะเหนี่ยวรั้งคำพูดนั้นกลับคืนมา ทว่าเขาเองก็รู้แก่ใจดี คำพูดเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้
เพราะฉะนั้น...เมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ คนอย่างพยอนแบคฮยอนจึงทำได้เพียงปล่อยไป
แม้จะเจ็บปวดกับการตัดสินใจสักเพียงใดก็ตาม
“งั้นเหรอ”
ปาร์คชานยอลร้องถามในลำคอแผ่วเบา ก่อนที่บรรยากาศจะแย่ไปกว่านี้จงอินกับจงแดก็เริ่มแสดงละครเรื่องอื่นโดยทุกคนก็ให้ความร่วมมือโดยไร้เงื่อนไข
ชานยอลหันไปหัวเราะให้มุขตลกของเซฮุน จ้องมองการแสดงจงอินกับจงแด เล่นงัดข้อกับลู่หาน เพียงสิ่งเดียวที่ชานยอลไม่กล้าทำก็คือ...
มองหน้าแบคฮยอน
เพราะเขากลัวเหลือเกิน...กลัวความผิดหวังในดวงตาจะสร้างความลำบากใจให้ใครอีกคน
.
.
.
“ฉันไปนะ”
คำพูดสั้น ๆ เอ่ยลาพร้อมกับร่างสูงออกไปจากคณะหลังเลิกเรียน พวกเขาควรจะชินมากกว่ารู้สึกวูบโหวงแบบที่กำลังเป็นอยู่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินและได้เห็น จงอินกับเซฮุนมองตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างไม่อาจทำอะไรมากกว่านี้ได้ ต่างกับลู่หานและจงแดที่เอาแต่จ้องมองเพื่อนตัวบาง...ประกายความสงสารจับดวงตาชัดเจน
ขณะที่คนถูกมองเอาแต่ก้มหน้ากับพื้นดิน
ชานยอลไปแล้ว...
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชานยอลไปหาใครคนนั้น ทำหน้าที่แฟนทุกอย่างตามที่มือทั้งสองของแบคฮยอนผลักไสไล่ส่ง
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยฟังคำใคร แล้วทำไมชานยอลถึงต้องเก็บคำพูดพล่อย ๆ ของเขาไปคิดทำอย่างจริงจังด้วย
เจ็บ...กับความสัมพันธ์ที่แปรเปลี่ยน หากไม่มีเสียงกระทั่งร่ำร้อง ไร้คำพูดเหนี่ยวรั้ง สองมือกำแน่นด้วยกลัวว่าจะเผลอตัวเอื้อมไปหาให้กลับมาอยู่เคียงข้างกันดังที่เคยเป็น
ดวงตาคู่เรียวหันมองถนนที่เคยเดินด้วยกัน โต๊ะม้าหินที่เคยนั่งด้วยกัน ที่ว่างข้างกายที่ใครคนหนึ่งเคยจับจองเป็นเจ้าของมาตลอด แต่จะโทษใครได้เล่า ไม่ใช่ตัวเขาเองเหรอที่เลือกทางนี้เพื่อตัดปัญหา เห็นแก่ตัวเพียงเพราะไม่อยากเจ็บปวดจึงเลือกที่จะสูญเสีย
ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ คนตัวเล็กย้ำถามกับตัวเองซ้ำ ๆ นี่เขาต้องทนมองเห็นชานยอลเดินจากไปอีกสักกี่ครั้งกี่หนกัน?
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ฉัน...อยากกลับบ้าน ขอโทษด้วยนะลู่หาน”
ลู่หาน เซฮุน จงอิน และจงแดพยักหน้ารับราวกับเข้าใจทุกอย่างแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“กลับถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วยนะ”
“อืม ไปนะ”
เพื่อนสี่คนพยักหน้ารับก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อแบคฮยอนเดินลับสายตาไป พวกเขาไม่โกรธชานยอล แล้วก็ไม่โกรธแบคฮยอนด้วย จากการเป็นเพื่อนกัน เรียนรู้นิสัยใจคอกันมานานทำให้มั่นใจโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาฟังคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น...แบคฮยอนก็แค่คนไม่เคยมีความรักและอยู่ในห้วงอารมณ์สับสนไม่มั่นใจก็เท่านั้น
แต่มันอาจจะแย่ไปสักหน่อยเมื่ออีกฝ่ายคือปาร์คชานยอล ผู้ชายที่เคยลั่นปากว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พยอนแบคฮยอนต้องการ
พวกเขาพยายามคิดในแง่ดีเช่นว่าบางทีทุกอย่างอาจจะไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด ทุกวันนี้ก็เหมือนการเว้นระยะให้แบคฮยอนอยู่กับตัวเอง ทบทวนหัวใจตัวเอง
เพื่อนสนิทหรือความรักกันแน่ที่แบคฮยอนผลักดันให้จากไป?
.
.
.
พยอนแบคฮยอนเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางเนือย ๆ ถอนหายใจดังให้ตัวเองได้ยินบ่อยครั้ง แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ยิ้มโดยไม่ต้องฝืนมันเมื่อไหร่
“กลับมาแล้วครับ”
ร้องบอกตามความเคยชิน โยนกระเป๋าลงบนโซฟาก่อนทิ้งตัวลงนั่งตาม ศีรษะเล็กเอนพิงพนักนุ่ม ซุกใบหน้าลงกับโซฟาราวกับต้องการลบเลือนภาพแผ่นหลังของใครบางคนที่ยังวนเวียนในความทรงจำ ตอกย้ำให้ยิ่งรู้ซึ้งถึงความผิดพลาด ในหูยังมีเสียงบอกลาดังก้องซ้ำ ๆ เหมือนไม่มีวันจบสิ้น
ต้องเป็นอย่างนี้อีกนานสักเท่าไหร่กัน
“กลับมาแล้วเหรอลูก วันนี้ก็ไม่ร่าเริงอีกแล้วนะ”
แบคฮยอนอืออาตอบรับในลำคอไม่ปฏิเสธคำพูดของมารดา เพราะถ้าให้หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เป็นไรมันก็ยากเกินตัวเขาในเวลานี้จริง ๆ
“ทะเลาะกับชานยอลเหรอ”
คุณแม่คนสวยนั่งลงข้าง ๆ ลูกชายพลางถามเสียงอ่อน ฝ่ามืออุ่นวางบนศีรษะแบคฮยอน เด็กหนุ่มยิ้มรับบาง ๆ ก่อนวาดแขนโอบเอวผู้เป็นแม่อย่างลูกหมาขี้อ้อน
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะฮะ”
“แบคฮยอนนี่นะ ตั้งแต่เด็กจนโตโรคความรู้สึกช้าไม่เคยเปลี่ยน ตกลงว่าทะเลาะกันมาจริง ๆ ใช่ไหมลูก”
“ไม่รู้สิครับ แล้วทำไมแม่ถึงคิดว่าเป็น เอ่อ...ชานยอล”
“ลูกไม่รู้ตัวเลยเหรอ ตั้งแต่เข้าเรียนมหา’ลัยไม่มีวันไหนเลยที่ลูกแม่จะไม่พูดถึงชานยอล พูดไปก็ยิ้มไปให้แม่ฟัง บางทีแม่ยังเผลอคิดเลยนะ เพราะมีชานยอลหรือเปล่าแบคฮยอนตัวน้อยของแม่ถึงเป็นเด็กยิ้มง่ายอย่างนี้ได้”
เขาคงรู้จักตัวเองไม่ดีพอ
แบคฮยอนสูดลมหายใจลึกเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง ตั้งแต่วันที่ชานยอลหันหลังให้เขาอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ความรู้สึกที่แท้จริงในใจก็ยากปฏิเสธขึ้นทุกที
เลิกหนีได้แล้วแบคฮยอน...นายรักชานยอล นายรักเพื่อนของนายคนนั้นที่ชื่อปาร์คชานยอล
‘แบคฮยอนอา หิวข้าวเหรอยัง’
‘กินกับฉันนี่แหละ’
‘ฉันวาดแบคฮยอน...ออกแบบคนรักในฝันน่ะ’
‘อยู่เฉย ๆ สิ ไม่รำคาญผมบ้างหรือไง...ชานยอลบาร์เบอร์จัดการให้’
‘รักหรอกจึงหยอกเล่นไง’
หลายครั้งที่ปลอบใจตัวเองว่าเพราะความเคยชินที่มีเสียงทุ้มคอยออดอ้อนข้างหู พอมันหายไปก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่...หากความคิดนี้ก็ถูกลบออกไปด้วยเหตุผลที่เขารู้แก่ใจดี
ไม่ใช่ความเคยชินทำร้ายให้เจ็บปวด แต่เป็นความรักต่างหาก
รัก
เขารักหมอนั่น...รักอย่างไร้หนทางตัดใจ
นิ้วเรียวสวยติดจะสั่นยามตัดสินใจกดโทรออกหาใครบางคน หัวใจแบคฮยอนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาวนาให้ชานยอลรับโทรศัพท์เสียที ก่อนที่หัวใจของเขาจะกระดอนออกมานอกอก
.
.
( ฮัลโหล )
น้ำเสียงห่างเหินเย็นชาต่างกับทุกครั้งที่เขาโทรหา มือเล็กสั่นไหว เรี่ยวแรงจะพูดมลายหายไปกับอากาศ
ทุกอย่าง...สายเกินไปกว่าจะเหนี่ยวรั้งให้กลับมา...สินะ
( แบคฮยอน โทรมามีอะไรเหรอเปล่า )
อีกฟากฝั่งที่แบคฮยอนมองไม่เห็น ปาร์คชานยอลกำลังเอามือก่ายหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าทรมาน เขาเหมือนคนโง่ที่ดีแต่รักและรักเข้าไปทุกที เพียงแค่ได้ยินเสียงเรียกเข้าซึ่งตั้งเป็นพิเศษสำหรับแบคฮยอนเพียงคนเดียว หัวใจที่เจ็บนักหนาก็ฟ้องให้เจ้าของรู้ว่ามันไม่เคยจำเลยด้วยอาการพองโตคับแน่นไปทั้งอก
“ชานยอล...”
( เป็นอะไร ใครทำอะไรรึเปล่าแบคฮยอน! )
ปลายสายเรียกชื่อเขาแผ่วหวิวให้ร้อนรนนั่งไม่ติดที่ ฝ่ามือร้อนรนคว้ากุญแจรถมากำไว้อย่างรวดเร็ว
“ชานยอลนั่นแหละ ชานยอลนั่นแหละที่ทำ”
คิ้วคมเข้มขมวดชิดกันไม่เข้าใจกับถ้อยคำนั้น
( ฉันทำอะไร )
ชานยอลต่างหาก...เขาเองไม่ใช่เหรอที่ถูกทำร้ายด้วยฝ่ามือคู่นั้นที่เอาแต่ผลักไสเขาไปไกล ๆ น่ะ
“แกทำให้ฉัน...ชานยอล!...ฉันมีอะไรจะบอก”
“...อะไร”
คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ถึงไม่อยากพูดผ่านเครื่องสื่อสารไร้ชีวิตสักเพียงใดเขาก็ต้องทำ เพราะพยอนแบคฮยอนจะไม่รอเวลาอีกต่อไป
“ฉันรักชานยอล”
ให้ตายเถอะ
ปาร์คชานยอลปล่อยพวงกุญแจรถร่วงลงพื้นประดุจคนไร้เรี่ยวแรง ขอฟังอีกครั้งจะได้ไหม...คำ ๆ นั้น
แล้วต่อให้ถึงตายชานยอลก็ยอม
“แล้วมาบอกอะไรตอนนี้ แบคฮยอน”
คนถูกถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วงให้แผ่นหลังกระแทกโซฟาจนเจ็บร้าว
ทุกอย่าง...มันสายไปแล้ว
“ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้ แบคฮยอน...ไม่งั้นเราก็เป็นแฟนกันไปนานแล้ว”
O_____O
ริมฝีปากบางขยับอึกอัก โรคความรู้สึกช้ากินเวลาไม่ถึงเจ็ดวินาทีแบคฮยอนก็ตะโกนใส่โทรศัพท์มือถือเสียดังลั่น คุณนายพยอนที่อยู่ในครัวถึงกับรีบวิ่งออกมายังห้องนั่งเล่นด้วยความตกใจ
“ไอ้บ้าชานยอล!!”
วินาทีต่อมา แบคฮยอนก็แทบปาโทรศัพท์ทิ้งเพราะปลายสายหัวเราะลั่น ตอบกลับเสียงสดใสไม่สะทกสะท้านกับคำด่าใด ๆ ทั้งสิ้น
“รักแบคฮยอนที่สุดเลย!”
.
.
.
Epilogue
บรรยากาศยามเช้าใต้ต้นไม้ต้นเดิม บนโต๊ะม้าหินโต๊ะเดิม และหน้าคณะมัณฑนศิลป์เหมือนเดิม
หากมีบางอย่าง...ไม่เหมือนเดิม
“ตกลงแกเคยคบกับเขารึเปล่า”
คนตัวเล็กถามเสียงสบาย ๆ ราวกับไม่คิดอะไรมาก แต่กระดานวาดรูปที่อยู่ในมือบางก็ทำคนถูกถามใบ้กินหลายวินาที
“ไม่เคยคบจริง ๆ”
“แล้วตอนเลิกเรียนหายหัวไปไหนทุกวัน”
โธ่ นี่นอกจากได้แฟนเป็นตัวเป็นตน ปาร์คชานยอลยังได้แม่ (ทูนหัว) เป็นของแถมด้วยใช่ไหมเนี่ย?
“ก็ไปอยู่กับพวกคยองซูเด็กนิติฯ ไง ไม่ได้ไปหาใครทั้งนั้นแหละ”
“อย่าให้รู้นะว่าโกหก”
“อะไร ไล่เค้าเองแท้ ๆ”
แบคฮยอนเชิดริมฝีปาก กระแทกกระดานวาดรูปลงกับโต๊ะดังปัง! เซฮุน ลู่หาน จงอินและจงแดที่แสร้งทำงานเหมือนไม่ได้ยินหลุดสะดุ้งกันเป็นแถบ ๆ
“ตกลงว่าไปมาใช่ไหม”
“ไม่ได้ไปจริง ๆ รักแล้วไม่เชื่อใจเหรอ”
ทำเป็นเอ่ยคำพูดตัดพ้อทว่าริมฝีปากลามไปถึงดวงตากลับยิ้มอย่างสุขใจ ชานยอลทำเนียนสอดแขนเข้าโอบเอวบางแน่น
“ไม่ได้ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย แล้วก็ไม่ต้องมากอดด้วย”
“ทำไมล่ะ จะกอด ๆๆ”
“ไอ้ชานยอล ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย!”
“ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย”
“ปาร์คชานยอล!”
เสียงคู่รักฮาร์ดคอร์ก็คงจะดังอยู่เช่นนั้น...เนิ่นนาน
THE END.
ความคิดเห็น