ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One Shot / Short Fiction | HUNHAN

    ลำดับตอนที่ #8 : ( os ) ALWAYS : Chanbaek

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 59







     

    Alwa
    ys

    Chanyeol x Baekhyun

    End in part

    Story by ToonkO



    ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง เสียงนักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ดังไม่ต่างกับนกกระจอกแตกรัง หลายเสียงนั้นดังมาจากสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ที่กำลังนั่งเอาศอกเท้าคางขณะรอคอยกล่องข้าวกลางวันอาหารมื้อหลักจากเพื่อนอีกสองคนผู้เป็นเวรไปซื้อประจำวันนี้
     

    แน่นอนว่าต่างคนก็ต่างมีวิธีการรอคอยแตกต่างกันไป
     

    “แบคฮยอนอา...”
     

    น้ำเสียงที่คนพูดคิดว่าหวานที่สุดในชีวิตลอยกระทบใบหูบาง คนถูกเรียกขานรับในลำคอคล้ายเคยชินกับสำเนียงชวนขนลุกนั้นขณะใช้ดินสอดำขีดเขียนบนกระดาษขาวอย่างชำนิชำนาญ

                 “หิวหรือยัง”

    “ไม่อ่ะ เรื่อย ๆ แกหิวแล้วเหรอชานยอล”
     

    ปาร์คชานยอล สุดหล่อของสาว ๆ ประจำคณะทำปากบู้ขัดอกขัดใจ
     

    “พูดกับพี่ชานยอลไม่เพราะเลย”
     

    โอเซฮุนที่กำลังทบทวนบทเรียนกับลู่หานที่นั่งเล่นนิ้วตัวเองเหล่มองชานยอลพลางส่งเสียงกระแอม ย้ำเตือนว่านอกจากแบคฮยอนแล้วยังมีพวกเขาสองคนนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย
     

    จริง ๆ ก็ดูเหมือนจะเคยชินกันหมดแล้ว กลุ่มพวกเขามีกันหกคนและทั้งหกคนก็ทนฟังชานยอลจีบแบคฮยอนตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง เรียกได้ว่าเห็นหน้าปุ๊บปาร์คชานยอลก็ปิ๊งปั๊บทันที
     

    หลังจากรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ชานยอลเคยป้อล้อแบคฮยอนอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้นตลอดมา หยอกเอินทีเล่นบ้างทีจริงบ้างจนเริ่มกลายเป็นความไม่แน่ใจไปแล้วว่าจีบเล่นเหรอเอาจริงกันแน่
     

    ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร พยอนแบคฮยอนคนถูกจีบแท้ ๆ ยังทำตัวชิลด์ ๆ ตามประสาเด็กติสท์ไม่สนใจอะไรนอกจากกระดานวาดรูปอย่างเดียว เลยกลายเป็นว่าการที่มีชานยอลมาตามติดใกล้ ๆ แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
     

    “อยากได้หวาน ๆ ก็ไปคุยกับคนอื่นไป๊” เจ้าของฉายาหมาน้อยเหวี่ยงใส่ ตัวเล็ก ๆ ชะเง้อคอมองหาเพื่อนอีกสองคน “แล้วนี่จงอินกับจงแดมันไปซื้อข้าวเหรอไปตายวะเนี่ย นานชะมัด”
     

    “มาแล้วๆ~!!” บ่นไม่ทันขาดคำก็มาพอดี แบคฮยอนอุบอิบในใจ...ตายยากจริง ๆ
     

    “มาแล้ว เอ่อ...รอนานกันมั้ย”
     

    ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนหอบกล่องข้าวคนละมือทั้งยังหอบแฮ่ก ๆ ก็นึกสงสารชอบกล ลู่หานผู้ใจดีเลยสงเคราะห์หยิบน้ำเปล่ากระแทกอกส่งให้คนละขวด
     

    “อ้าว! ทำไมกล่องข้าวมันมีแค่ห้ากล่องเนี่ย แกสั่งขาดเหรอไงวะ”
     

    เซฮุนโวยวายถามขณะใช้ฝ่ามือรื้อ ๆ ค้น ๆ แม้จะเห็นเต็มสองตาว่ามีแค่ห้ากล่อง คิมจงอินกับคิมจงแดสบตากันเลิ่กลั่ก เอ่ออ่าเป็นนาทีก่อนตอบเสียงอ่อย
     

    “หิวเลยรีบวิ่งมา มันเลย...เอ่อ...ตกกระจายไปกล่องนึง”
     

    “ของใคร”
     

    สิ้นเสียงเรียบนิ่งจากลู่หานใบหน้าสองหนุ่มยิ่งดูแย่มากขึ้น จงแดถึงกับปาดเหงื่อตามไรผม ข้าวกลางวันหลังการเรียนช่วงเช้าและเป็นเรี่ยวแรงให้การเรียนภาคบ่ายอันแสนสาหัสสำหรับเด็กวัยเรียนอย่างพวกเขา ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันเป็นยิ่งกว่าแหล่งพลังงานซะอีก
     

    “พวกเราขอโทษน้า...แบคฮยอน”

     

    ร่างเล็กใช้เวลาประมวลคำพูดก่อนหน้านี้ไม่นานก็ตอบรับสั้น ๆ ในลำคอ ปลายนิ้วเรียวตวัดดินสอทำงานที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเสร็จกันไปหมดแล้วอีกครั้ง

     

    นอกจากคำพูดคำจาห้วนสั้นแบคฮยอนก็มีนิสัยเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไปอีกอย่างคือไม่ติดใจคิดอะไรเล็กน้อย อะไรที่แก้ไขไม่ได้เขาก็ยินดีจะปล่อยไป

     

    “ขอโทษจริง ๆ เว้ย เอาของพวกฉันไปกินก่อนไหม”

     

    “บอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรเซ่...อ๊ะ!

     

    เสียงใสตอบจงอินไม่ทันจบประโยคก็หลุดอุทานเบา ๆ ไม่ใช่เพราะกล่องข้าวจากคนข้างกายที่เลื่อนมาให้แต่เป็นช้อนพลาสติกใสที่มีข้าวพูน ๆ ถูกยัดเข้าปากต่างหาก

     

    “กินกับฉันนี่แหละ” คนตัวเล็กเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ พยักหน้าเล็ก ๆ แทนคำขอบคุณ

     

     

    “จูบทางอ้อมไงล่ะ”

     

     

    แบคฮยอนถึงกับสำลักควานหาขวดน้ำแทบไม่ทัน ฟังไอ้คนมีน้ำใจสวนขึ้นมาแบบนี้ก็นึกอยากให้รางวัลด้วยสันมือ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ฮึดฮัดแล้วลดมือลง อยู่ ๆ ความรู้สึกประหลาดกับน้ำใจที่อีกฝ่ายมอบให้ก็ผุดขึ้นมา...อีกครั้ง

     

    ไม่ใช่ครั้งแรก แบคฮยอนรู้สึกตัวดีว่าเขาใจเต้นกับปาร์คชานยอล เพื่อนสนิทตัวเองคนนี้มาหลายหนหลายครั้งแล้ว

     

    แต่นับวันมันยิ่งรุนแรงขึ้น จนกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ในสักวัน

     

    “มีอะไรรึเปล่า”

     

    ใบหน้าน่ารักผละห่างเมื่อชานยอลขยับกายเข้าใกล้...เกินความจำเป็น แบคฮยอนสั่นศีรษะแล้วหยิบช้อนขึ้นมาจ่อริมฝีปากร่างสูง นาทีนี้ชานยอลจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มกว้าง ๆ รับข้าวคำโต

     

    “ถือว่าเจ๊ากัน โอเค้?”

     

    เด็กหนุ่มตัดสินใจทิ้งอนาคตที่ยังมาไม่ถึงและยากเกินกว่าจะคาดเดาไว้ข้างหลัง วันข้างหน้าอะไรจะเกิดก็ช่าง ความรู้สึกจะเปลี่ยนจนยากยอมรับก็ไม่เป็นไร...ขอแค่มีชานยอลที่อ่อนโยนกับเขาแบบนี้ตลอดไป...ก็เพียงพอ

     



    .

    .

    .




     

    “ส่งตามกำหนดกันด้วย บอกไว้ก่อนเลยว่าช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวฉันก็จะไม่รับ”

     

    ร่างสูงของอาจารย์ส่งเสียงนุ่มหูทิ้งท้ายให้นักศึกษาขวัญกระเจิงกับคอนเซปต์สั้น ๆ กับกำหนดส่งงานเอาไว้เพียงเท่านั้น ได้แต่มองตามพลางขมุบขมิบปากไล่หลังกันเซ็งแซ่...ทำอะไรสมกับเป็นอาจารย์ติสท์ตัวพ่อของจริง!

     

    “ออกแบบอะไรก็ได้ โว้ย สั่งมาได้ยังไงวะ”

     

    จงแดครวญครางลั่น นอนหงายลงกับพื้นปูนไม่ใยดีถึงความสกปรก เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่แทบจะเอาดินสอแทงตัวตายกันเลยทีเดียว

     

    คนตัวเล็กมองเพื่อนสนิทแต่ละคนนั่งขมวดคิ้วมุ่น ร่ำร้องกันได้ไม่นานก็รีบแยกย้ายกันทำงานเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง แบคฮยอนก็เช่นกัน เขาถอนหายใจอย่างลังเลว่าควรจะวาดอะไรดี...

     

    เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้ากระดานวาดรูป ดินสอแท่งยาวเริ่มขีดเขียนลายเส้นมั่ว ๆ เพราะความคิดยังไม่เข้าที่ แบคฮยอนสะบัดศีรษะเบา ๆ ไล่ผมหน้าที่ยาวลงมาปิดตาอย่างนึกรำคาญ

     

    “เฮ้อ...”

     

    ขีด ๆ เขียน ๆ สักพักก็ยังค้นความต้องการของตัวเองไม่เจอ แบคฮยอนหันไปหาคนข้างกายเตรียมจะขอคำแนะนำดังเคยก็ต้องชะงักงัน

     

    “อะไรน่ะ”

     

    อดยื่นหน้าเข้าไปดูไม่ได้ คนตัวเล็กจด ๆ จ้อง ๆ ชิ้นงานของปาร์คชานยอลซึ่งตอนนี้เริ่มดูออกเป็นรูปเป็นร่างผิดกันกับเขาไปไกลโข หากแต่ว่า...

     

    “เฮ้ยชานยอล วาดอะไร”

     

    เจ้าของชื่อหันมายิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แบคฮยอนเลยเขกเข้ากลางหน้าผากให้รู้ซะบ้างว่าเขากำลังต้องการคำตอบจริงจัง

     

    “แบคฮยอนไง”

     

    “อะไรนะ”

     

     

    “ฉันวาดแบคฮยอน”

     

     

    ย้ำหนักแน่นอีกรอบเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ทั้งรอยยิ้ม แบคฮยอนมองเพื่อนสนิทไม่ใคร่จะเข้าใจเท่าไหร่นัก

     

    “จะบ้าเหรอไง วาดฉันทำไม”

     

    “ก็ออกแบบไง...ออกแบบคนรักในฝันน่ะ

     

    ไม่ใช่แค่พยอนแบคฮยอนเท่านั้นที่อ้าปากค้าง เพื่อนร่วมคลาสรอบรัศมีการได้ยินก็อึ้งกิมกี่ก่อนร่วมกันส่งเสียงวี้ดวิ้วโดยพร้อมเพรียงให้แบคฮยอนเตรียมคว้ารองเท้าผ้าใบคู่เก่งเป็นอาวุธแก้เขิน (?)

     

    คิมจงแดหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมกล่องข้าวแบคฮยอนยิ้มตาหยี เอ่ยคำพูดเพิ่มข้อหาให้ตัวเองอีกกระทง

     

    “ไม่เคยได้ยินเหรอวะชานยอล...รักออกแบบไม่ได้

     

    แบคฮยอนถลึงตาใส่จงแดทันที แต่เมื่อเพื่อนทั้งห้องรวมไปถึงปาร์คชานยอลพากันหัวเราะเสียงดังคนตัวเล็กเลยอดไม่ได้ที่จะขำตามไปด้วย

     

    “ฮ่า ๆ ฉันนี่แหละจะออกแบบรักให้ดูเป็นขวัญตา”

     

    สำหรับแบคฮยอนแล้ว...ปาร์คชานยอลเป็นแบบนี้เสมอ

     

    ทำอะไรตามใจตัวเองอยากทำ ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าบ่นว่าได้เพราะเป็นความเอาแต่ใจในแบบไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ชานยอลไม่เคยใช้ชีวิตตามกรอบ ไม่เคยเดินตามทางที่ใครขีดให้ และนั่นเป็นหนึ่งหลาย ๆ อย่างของชานยอลที่แบคฮยอนชื่นชม

     

    “บ้านเป็นลิเกหรือไงวะ” ขมุบขมิบปากด่านิดแล้วหันไปจับดินสอตามเดิม

     

     

    “โอ๊ย...!

     

     

    เสียงใสร้องลั่นทันทีที่รู้สึกถึงหนังศีรษะถูกกระชากจากข้างหลัง ดวงตาเรียวตวัดมองตัวการ ถามไม่เบานัก

     

    “เจ็บนะ ทำอะไรของแกเนี่ยชานยอล!

     

    “อยู่เฉย ๆ สิ ไม่รำคาญผมบ้างหรือไง...ชานยอลบาร์เบอร์จัดการให้”

     

    ตอบยิ้ม ๆ แล้วยึดศีรษะแบคฮยอนให้อยู่กับที่ ใช้เวลาไม่กี่วินาทีผมเส้นเล็กก็ถูกรวบมัดเป็นจุกน้ำพุด้วยที่มัดผมสีดำ แบคฮยอนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชานยอลพกติดตัวเวลาไปไหนต่อไหน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะหยิบมาใช้สักที

     

    มือใหญ่ลูบเส้นผมข้างใบหน้าน่ารักเบามือ ทุกการกระทำเป็นไปอย่างนุ่มนวลจนแบคฮยอนเผลอขบฟันกับริมฝีปาก

     

    ชานยอลอ่อนโยนกับเขาอีกแล้ว...

     

    “ผมตรงนี้ทัดหูเอาแล้วกันเนาะ จะได้ไม่เกะกะไง”

     

    ทั้งที่บอกแบบนั้นแต่กลับทำทุกอย่างให้ด้วยมือตัวเอง แบคฮยอนนั่งนิ่ง ก้มหน้าเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นสีขาว

     

    “หน้าแดงเชียว เขินพี่ชานยอลเหรอครับ”

     

    ชานยอลแกล้งดัดเสียงหวานหยอกล้อ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีเชิดใส่ให้สักทีสองที แต่ตอนนี้แบคฮยอนกลับก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

     

    ชานยอลยังคงเป็นเหมือนเดิม

     

    เคยหยอดยังไงก็ยังหยอดอย่างนั้น เคยดูแลยังไงก็ยังทำเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยน เคยพูดจาภาษาปูเลี่ยนยังไงทุกวันนี้ก็ยังมีให้ได้ยิน

     

    แบคฮยอนต่างหาก ความรู้สึกของแบคฮยอนต่างหาก...กำลังเปลี่ยนไปทุกนาที

     

     

     

    .

    .

    .


     

     

     

    “ฮ่า ๆ สุดยอดเลยว่ะชานยอล”

     

    คิมจงอินหัวเราะลั่นชนิดที่ไม่ว่าใครก็ต้องหันมามองเป็นตาเดียวหลังจากคะแนนงานออกแบบเมื่ออาทิตย์ก่อนผลคือชานยอลได้ท็อปคลาส เพื่อนส่วนใหญ่ล้วนแต่มองเป็นเรื่องตลกโปกฮามากกว่าจะโมโหหรือเก็บมาวิจารณ์เพราะอิจฉาจริงจัง

     

    “บอกแล้ว ยุนโฮน่ะติสท์ตัวพ่อของพ่อด้วยซ้ำ”

     

    ชิ้นงานถูกส่งกลับคืนเจ้าของทุกคนและชานยอลก็กำลังถือรูปโชว์ไปทั่วคณะเนื่องจากกลายเป็นประเด็นเรื่องโด่งดังเพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันเข้าคิวขอประมูลภาพกันเป็นแถว

     

    ‘beep beep’

     

    โทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงขึ้นมาของชานยอลทำให้ทุกคนแยกย้ายออกไปจากโต๊ะม้าหินของกลุ่มพวกเขาตามมารยาท จำใจหยุดประเด็น รักออกแบบได้เอาไว้เท่านั้น

     

    รูปนั้น ขอนะ

     

    ร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจกับแมสเสจสั้น ๆ นิ้วเรียวเลื่อนดูชื่อคนส่งด้วยความสงสัย ชั่วครู่รอยยิ้มก็พร่างพราวทั้งริมฝีปากและดวงตา

     

    แบคฮยอน


     

    ชานยอลหันไปหาคนข้าง ๆ ก็เห็นว่าแบคฮยอนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ไม่รู้ว่าเป็นหนังสือปกดำแนวสืบสวนประเภทไหนคนน่ารักของเขาถึงได้อ่านไปหน้าแดงไปแบบนั้น
     

    “อยากได้ก็เอาตังค์มาแลกสิ”
     

    เสียงห้าวเอ่ยลอย ๆ ให้คนตัวเล็กตวัดตามอง แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ทันที
     

    “ไม่ให้ก็ไม่เอา”

     

    “โกรธเหรอ ล้อเล่นน่า...ให้ก็ได้ แต่ขอค่าตอบแทนหน่อยนะ”
     

    แบคฮยอนยังไม่ทันได้แปลความร่างสูงใหญ่กว่าเขาหนึ่งเท่าตัวก็พิงลงมาโดยไม่เผื่อน้ำหนัก แบคฮยอนเอาศอกกระทุ้งสีข้างชานยอลเต็มแรงซึ่งมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับอีกฝ่ายเลย
     

    “ไอ้ถึก! พิงดี ๆ นะ ถ้ากวนใจล่ะก็ถีบแน่”
     

    “ครับผม”
     

     

    ชานยอลรับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแบคฮยอนเริ่มเปลี่ยนไป...ในทางที่ดี และแน่ใจว่าแบคฮยอนเองก็คงรู้สึกถึงมันเช่นกัน
     

     

    สายลมแผ่ว ๆ พัดมาให้ชานยอลหลับตาพิงแบคฮยอนอย่างสบายอารมณ์ นิ้วเรียวหยิบดินสอแท่งใหม่ขึ้นมาหมุนเล่นพลางยิ้มละมุน...มันเป็นดินสอที่แบคฮยอนซื้อให้หลังจากพวกเขาไปเดินเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียนเมื่อสามวันก่อน ถึงแม้แบคฮยอนเพิ่งตอบรับความรู้สึกเขาบ้างขณะที่ชานยอลได้แต่รอคอยมาตลอดเขาก็ไม่เคยนำมาคิดน้อยใจ แค่ให้รู้ว่าความพยายามไม่สูญเปล่าก็พอแล้ว
     

     

    “โอ๊ยชานยอล! จะมาดึงผมฉันทำไม!
     

    “รักหรอกจึงหยอกเล่นไง”
     

    ^^

     

     
     

    .

    .

    .



     

    เช้าวันใหม่ยังคงสดใสสำหรับใครหลาย ๆ คน ชานยอล แบคฮยอน เซฮุนและลู่หานนั่งดูละครสดซึ่งคิมจงอินกับคิมจงแดกำลังนำแสดงอย่างตั้งอกตั้งใจ
     

    ฉากโหมโรงขึ้นมาพร้อมกับที่เซฮุนปรบมือรับเสียงลั่น
     

    “รุ่นพี่ปาร์คชานยอลคะ รับนี่ไว้ได้ไหมคะ” คิมจงอินรับบทสาวน้อยคณะบริหาร ผู้หญิงรายล่าสุดที่มาสารภาพรักชานยอลสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อห้านาทีที่แล้ว
     

    ชานยอลส่ายศีรษะ หันหน้าหนีให้กับภาพอุจาดตาอย่างสุดจะทน
     

     “เอ่อ...คงไม่ดีมั้ง”
     

    ลู่หานหัวเราะเสียงดัง ตบโต๊ะดังปังถูกอกถูกใจจงแดที่ทำเป็นปั้นหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ไม่ยักรู้ว่าเจ้าของฉายาไอ้รั่วจะเก๊กขรึมเป็น
     

    “งั้น...กลางวันฉันจะมาใหม่นะคะ”
     

    “ฮ่า ๆๆๆ”
     

    พยอนแบคฮยอนปรายตามองศีรษะที่พาดวางบนไหล่ก่อนลอบถอนหายใจบางเบา เขาไม่รู้สึกดีตรงไหนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือพูดให้ถูกคือ คำว่าตลกนั้นตรงข้ามกับความรู้สึกในใจโดยสิ้นเชิง
     

     

    และแบคฮยอนไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้
     

     

    เวลารู้สึกถึงความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ เวลาที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
     

    แบคฮยอนไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่กลับต้องมานั่งขมวดคิ้วจนปวดหัวเพียงแค่ชานยอลเอ่ยปากบอกกับผู้หญิงคนนั้นไปว่ายังไม่มีแฟน แม้จะเป็นเรื่องจริงแท้ ๆ ก็ตาม
     

    แบคฮยอนไม่ใช่คนคิดมาก แต่ในหัวเต็มไปด้วยภาพของเพื่อนสนิทที่เคยพูดว่ารัก...แน่นอนว่าเขาลบมันออกไปไม่ได้
     

    ปาร์คชานยอลเป็นคนขี้เล่น นิสัยนี้ใคร ๆ ก็ดูออก ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยถามว่าที่จีบแบคฮยอนเพราะชอบจริงหรือทำให้เป็นเรื่องโจ๊กประจำกลุ่มเท่านั้น กับข้อสงสัยนี้ ในเวลานี้...แบคฮยอนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาอยากจะรู้
     

    “เฮ้ยชานยอล นี่ถ้าน้องเขามาอีกจะว่าไงวะ”
     

    “อืม...ลองถามแบคฮยอนสิจงอิน”
     

    ชื่อเขาที่ชานยอลเอ่ยออกมาทำให้แบคฮยอนสูดลมหายใจลึก มองข้ามหัวใจที่ปวดปร่าเพื่อหาหนทางหลุดพ้นจากความรู้สึกอ่อนไหวบ้า ๆ นี่เสียที ร่างเล็กแสร้งระบายรอยยิ้มบนเรียวปาก
     

    ก่อนตอบออกไปสั้น ๆ
     

     

    “ลองคบดูก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ”
     

     

    ชั่วขณะความเงียบงันถาโถมใส่คนทั้งหกโดยไม่ทันตั้งตัว คำพูดไร้เยื่อใยไม่เคยได้ยินจากแบคฮยอนสักครั้ง มันเลยส่งผลให้เซฮุน จงอิน จงแดและลู่หานนิ่งอึ้ง แทบสะดุดลมหายใจตัวเอง
     

    แบคฮยอนมองไม่เห็นถึงใบหน้าของเพื่อนสี่อีกสี่คน เพราะสายตาเขาถูกดวงตาหม่นแสงของชานยอลจ้องมองมาอย่างตัดพ้อ...ให้ไม่อาจหันไปทางไหนได้
     

    วินาทีนี้แบคฮยอนอยากจะเหนี่ยวรั้งคำพูดนั้นกลับคืนมา ทว่าเขาเองก็รู้แก่ใจดี คำพูดเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้
     

    เพราะฉะนั้น...เมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ คนอย่างพยอนแบคฮยอนจึงทำได้เพียงปล่อยไป
     

    แม้จะเจ็บปวดกับการตัดสินใจสักเพียงใดก็ตาม
     

    “งั้นเหรอ”
     

    ปาร์คชานยอลร้องถามในลำคอแผ่วเบา ก่อนที่บรรยากาศจะแย่ไปกว่านี้จงอินกับจงแดก็เริ่มแสดงละครเรื่องอื่นโดยทุกคนก็ให้ความร่วมมือโดยไร้เงื่อนไข
     

    ชานยอลหันไปหัวเราะให้มุขตลกของเซฮุน จ้องมองการแสดงจงอินกับจงแด เล่นงัดข้อกับลู่หาน เพียงสิ่งเดียวที่ชานยอลไม่กล้าทำก็คือ...
     

    มองหน้าแบคฮยอน
     

    เพราะเขากลัวเหลือเกิน...กลัวความผิดหวังในดวงตาจะสร้างความลำบากใจให้ใครอีกคน
     

     
     

    .

    .

    .



     

    “ฉันไปนะ”

     

    คำพูดสั้น ๆ เอ่ยลาพร้อมกับร่างสูงออกไปจากคณะหลังเลิกเรียน พวกเขาควรจะชินมากกว่ารู้สึกวูบโหวงแบบที่กำลังเป็นอยู่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินและได้เห็น จงอินกับเซฮุนมองตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างไม่อาจทำอะไรมากกว่านี้ได้ ต่างกับลู่หานและจงแดที่เอาแต่จ้องมองเพื่อนตัวบาง...ประกายความสงสารจับดวงตาชัดเจน
     

    ขณะที่คนถูกมองเอาแต่ก้มหน้ากับพื้นดิน

     

    ชานยอลไปแล้ว...

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชานยอลไปหาใครคนนั้น ทำหน้าที่แฟนทุกอย่างตามที่มือทั้งสองของแบคฮยอนผลักไสไล่ส่ง
     

    ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยฟังคำใคร แล้วทำไมชานยอลถึงต้องเก็บคำพูดพล่อย ๆ ของเขาไปคิดทำอย่างจริงจังด้วย
     

    เจ็บ...กับความสัมพันธ์ที่แปรเปลี่ยน หากไม่มีเสียงกระทั่งร่ำร้อง ไร้คำพูดเหนี่ยวรั้ง สองมือกำแน่นด้วยกลัวว่าจะเผลอตัวเอื้อมไปหาให้กลับมาอยู่เคียงข้างกันดังที่เคยเป็น
     

    ดวงตาคู่เรียวหันมองถนนที่เคยเดินด้วยกัน โต๊ะม้าหินที่เคยนั่งด้วยกัน ที่ว่างข้างกายที่ใครคนหนึ่งเคยจับจองเป็นเจ้าของมาตลอด แต่จะโทษใครได้เล่า ไม่ใช่ตัวเขาเองเหรอที่เลือกทางนี้เพื่อตัดปัญหา เห็นแก่ตัวเพียงเพราะไม่อยากเจ็บปวดจึงเลือกที่จะสูญเสีย
     

    ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ คนตัวเล็กย้ำถามกับตัวเองซ้ำ ๆ นี่เขาต้องทนมองเห็นชานยอลเดินจากไปอีกสักกี่ครั้งกี่หนกัน?
     

    “ไปกินข้าวกันเถอะ”
     

    “ฉัน...อยากกลับบ้าน ขอโทษด้วยนะลู่หาน”
     

    ลู่หาน เซฮุน จงอิน และจงแดพยักหน้ารับราวกับเข้าใจทุกอย่างแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
     

    “กลับถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วยนะ”
     

    “อืม ไปนะ”
     

    เพื่อนสี่คนพยักหน้ารับก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อแบคฮยอนเดินลับสายตาไป พวกเขาไม่โกรธชานยอล แล้วก็ไม่โกรธแบคฮยอนด้วย จากการเป็นเพื่อนกัน เรียนรู้นิสัยใจคอกันมานานทำให้มั่นใจโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาฟังคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น...แบคฮยอนก็แค่คนไม่เคยมีความรักและอยู่ในห้วงอารมณ์สับสนไม่มั่นใจก็เท่านั้น
     

    แต่มันอาจจะแย่ไปสักหน่อยเมื่ออีกฝ่ายคือปาร์คชานยอล ผู้ชายที่เคยลั่นปากว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พยอนแบคฮยอนต้องการ
     

    พวกเขาพยายามคิดในแง่ดีเช่นว่าบางทีทุกอย่างอาจจะไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด ทุกวันนี้ก็เหมือนการเว้นระยะให้แบคฮยอนอยู่กับตัวเอง ทบทวนหัวใจตัวเอง

     

     

    เพื่อนสนิทหรือความรักกันแน่ที่แบคฮยอนผลักดันให้จากไป?

     

     

    .

    .

    .



     

    พยอนแบคฮยอนเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางเนือย ๆ ถอนหายใจดังให้ตัวเองได้ยินบ่อยครั้ง แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ยิ้มโดยไม่ต้องฝืนมันเมื่อไหร่

     

    “กลับมาแล้วครับ”

     

    ร้องบอกตามความเคยชิน โยนกระเป๋าลงบนโซฟาก่อนทิ้งตัวลงนั่งตาม ศีรษะเล็กเอนพิงพนักนุ่ม ซุกใบหน้าลงกับโซฟาราวกับต้องการลบเลือนภาพแผ่นหลังของใครบางคนที่ยังวนเวียนในความทรงจำ ตอกย้ำให้ยิ่งรู้ซึ้งถึงความผิดพลาด ในหูยังมีเสียงบอกลาดังก้องซ้ำ ๆ เหมือนไม่มีวันจบสิ้น

     

    ต้องเป็นอย่างนี้อีกนานสักเท่าไหร่กัน
     

    “กลับมาแล้วเหรอลูก วันนี้ก็ไม่ร่าเริงอีกแล้วนะ”
     

    แบคฮยอนอืออาตอบรับในลำคอไม่ปฏิเสธคำพูดของมารดา เพราะถ้าให้หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เป็นไรมันก็ยากเกินตัวเขาในเวลานี้จริง ๆ
     

    “ทะเลาะกับชานยอลเหรอ”
     

    คุณแม่คนสวยนั่งลงข้าง ๆ ลูกชายพลางถามเสียงอ่อน ฝ่ามืออุ่นวางบนศีรษะแบคฮยอน เด็กหนุ่มยิ้มรับบาง ๆ ก่อนวาดแขนโอบเอวผู้เป็นแม่อย่างลูกหมาขี้อ้อน
     

    “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะฮะ”
     

    “แบคฮยอนนี่นะ ตั้งแต่เด็กจนโตโรคความรู้สึกช้าไม่เคยเปลี่ยน ตกลงว่าทะเลาะกันมาจริง ๆ ใช่ไหมลูก”
     

    “ไม่รู้สิครับ แล้วทำไมแม่ถึงคิดว่าเป็น เอ่อ...ชานยอล”
     

    “ลูกไม่รู้ตัวเลยเหรอ ตั้งแต่เข้าเรียนมหาลัยไม่มีวันไหนเลยที่ลูกแม่จะไม่พูดถึงชานยอล พูดไปก็ยิ้มไปให้แม่ฟัง บางทีแม่ยังเผลอคิดเลยนะ เพราะมีชานยอลหรือเปล่าแบคฮยอนตัวน้อยของแม่ถึงเป็นเด็กยิ้มง่ายอย่างนี้ได้”
     

     

    เขาคงรู้จักตัวเองไม่ดีพอ


     

    แบคฮยอนสูดลมหายใจลึกเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง ตั้งแต่วันที่ชานยอลหันหลังให้เขาอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ความรู้สึกที่แท้จริงในใจก็ยากปฏิเสธขึ้นทุกที
     

     

    เลิกหนีได้แล้วแบคฮยอน...นายรักชานยอล นายรักเพื่อนของนายคนนั้นที่ชื่อปาร์คชานยอล
     

     

    แบคฮยอนอา หิวข้าวเหรอยัง
     

    กินกับฉันนี่แหละ
     

    ฉันวาดแบคฮยอน...ออกแบบคนรักในฝันน่ะ
     

    อยู่เฉย ๆ สิ ไม่รำคาญผมบ้างหรือไง...ชานยอลบาร์เบอร์จัดการให้
     

    รักหรอกจึงหยอกเล่นไง
     

     

    หลายครั้งที่ปลอบใจตัวเองว่าเพราะความเคยชินที่มีเสียงทุ้มคอยออดอ้อนข้างหู พอมันหายไปก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่...หากความคิดนี้ก็ถูกลบออกไปด้วยเหตุผลที่เขารู้แก่ใจดี
     

    ไม่ใช่ความเคยชินทำร้ายให้เจ็บปวด แต่เป็นความรักต่างหาก
     

     

    รัก


     

    เขารักหมอนั่น...รักอย่างไร้หนทางตัดใจ
     

    นิ้วเรียวสวยติดจะสั่นยามตัดสินใจกดโทรออกหาใครบางคน หัวใจแบคฮยอนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ภาวนาให้ชานยอลรับโทรศัพท์เสียที ก่อนที่หัวใจของเขาจะกระดอนออกมานอกอก
     

    .

    .

     

    ( ฮัลโหล )

     

    น้ำเสียงห่างเหินเย็นชาต่างกับทุกครั้งที่เขาโทรหา มือเล็กสั่นไหว เรี่ยวแรงจะพูดมลายหายไปกับอากาศ
     

    ทุกอย่าง...สายเกินไปกว่าจะเหนี่ยวรั้งให้กลับมา...สินะ
     

    ( แบคฮยอน โทรมามีอะไรเหรอเปล่า )
     

    อีกฟากฝั่งที่แบคฮยอนมองไม่เห็น ปาร์คชานยอลกำลังเอามือก่ายหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าทรมาน เขาเหมือนคนโง่ที่ดีแต่รักและรักเข้าไปทุกที เพียงแค่ได้ยินเสียงเรียกเข้าซึ่งตั้งเป็นพิเศษสำหรับแบคฮยอนเพียงคนเดียว หัวใจที่เจ็บนักหนาก็ฟ้องให้เจ้าของรู้ว่ามันไม่เคยจำเลยด้วยอาการพองโตคับแน่นไปทั้งอก
     

    “ชานยอล...”
     

    ( เป็นอะไร ใครทำอะไรรึเปล่าแบคฮยอน! )
     

    ปลายสายเรียกชื่อเขาแผ่วหวิวให้ร้อนรนนั่งไม่ติดที่ ฝ่ามือร้อนรนคว้ากุญแจรถมากำไว้อย่างรวดเร็ว
     

    “ชานยอลนั่นแหละ ชานยอลนั่นแหละที่ทำ”
     

    คิ้วคมเข้มขมวดชิดกันไม่เข้าใจกับถ้อยคำนั้น
     

    ( ฉันทำอะไร )
     

    ชานยอลต่างหาก...เขาเองไม่ใช่เหรอที่ถูกทำร้ายด้วยฝ่ามือคู่นั้นที่เอาแต่ผลักไสเขาไปไกล ๆ น่ะ
     

    “แกทำให้ฉัน...ชานยอล!...ฉันมีอะไรจะบอก”
     

    “...อะไร”
     

    คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ถึงไม่อยากพูดผ่านเครื่องสื่อสารไร้ชีวิตสักเพียงใดเขาก็ต้องทำ เพราะพยอนแบคฮยอนจะไม่รอเวลาอีกต่อไป
     

     

    “ฉันรักชานยอล”
     

     

    ให้ตายเถอะ
     

    ปาร์คชานยอลปล่อยพวงกุญแจรถร่วงลงพื้นประดุจคนไร้เรี่ยวแรง ขอฟังอีกครั้งจะได้ไหม...คำ ๆ นั้น
     

    แล้วต่อให้ถึงตายชานยอลก็ยอม
     

     

    “แล้วมาบอกอะไรตอนนี้ แบคฮยอน”
     

     

    คนถูกถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วงให้แผ่นหลังกระแทกโซฟาจนเจ็บร้าว
     

    ทุกอย่าง...มันสายไปแล้ว
     

     

    “ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้ แบคฮยอน...ไม่งั้นเราก็เป็นแฟนกันไปนานแล้ว”
     

     

    O_____O

     

    ริมฝีปากบางขยับอึกอัก โรคความรู้สึกช้ากินเวลาไม่ถึงเจ็ดวินาทีแบคฮยอนก็ตะโกนใส่โทรศัพท์มือถือเสียดังลั่น คุณนายพยอนที่อยู่ในครัวถึงกับรีบวิ่งออกมายังห้องนั่งเล่นด้วยความตกใจ


                  “ไอ้บ้าชานยอล!!

     

    วินาทีต่อมา แบคฮยอนก็แทบปาโทรศัพท์ทิ้งเพราะปลายสายหัวเราะลั่น ตอบกลับเสียงสดใสไม่สะทกสะท้านกับคำด่าใด ๆ ทั้งสิ้น

     

    “รักแบคฮยอนที่สุดเลย!

     
     

    .

    .

    .



     

    Epilogue


     

    บรรยากาศยามเช้าใต้ต้นไม้ต้นเดิม บนโต๊ะม้าหินโต๊ะเดิม และหน้าคณะมัณฑนศิลป์เหมือนเดิม
     

    หากมีบางอย่าง...ไม่เหมือนเดิม

     

    “ตกลงแกเคยคบกับเขารึเปล่า”

     

    คนตัวเล็กถามเสียงสบาย ๆ ราวกับไม่คิดอะไรมาก แต่กระดานวาดรูปที่อยู่ในมือบางก็ทำคนถูกถามใบ้กินหลายวินาที
     

    “ไม่เคยคบจริง ๆ”
     

    “แล้วตอนเลิกเรียนหายหัวไปไหนทุกวัน”
     

    โธ่ นี่นอกจากได้แฟนเป็นตัวเป็นตน ปาร์คชานยอลยังได้แม่ (ทูนหัว) เป็นของแถมด้วยใช่ไหมเนี่ย?
     

    “ก็ไปอยู่กับพวกคยองซูเด็กนิติฯ ไง ไม่ได้ไปหาใครทั้งนั้นแหละ”
     

    “อย่าให้รู้นะว่าโกหก”
     

    “อะไร ไล่เค้าเองแท้ ๆ”
     

    แบคฮยอนเชิดริมฝีปาก กระแทกกระดานวาดรูปลงกับโต๊ะดังปัง! เซฮุน ลู่หาน จงอินและจงแดที่แสร้งทำงานเหมือนไม่ได้ยินหลุดสะดุ้งกันเป็นแถบ ๆ
     

    “ตกลงว่าไปมาใช่ไหม”
     

    “ไม่ได้ไปจริง ๆ รักแล้วไม่เชื่อใจเหรอ”
     

    ทำเป็นเอ่ยคำพูดตัดพ้อทว่าริมฝีปากลามไปถึงดวงตากลับยิ้มอย่างสุขใจ ชานยอลทำเนียนสอดแขนเข้าโอบเอวบางแน่น
     

    “ไม่ได้ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย แล้วก็ไม่ต้องมากอดด้วย”
     

    “ทำไมล่ะ จะกอด ๆๆ”
     

    “ไอ้ชานยอล ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย!
     

    “ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย”
     

    “ปาร์คชานยอล!

     

     

    เสียงคู่รักฮาร์ดคอร์ก็คงจะดังอยู่เช่นนั้น...เนิ่นนาน



    THE END.



    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×