คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ❧ DAFFODIL : II
กลีบปากสองคู่ผละออกจากกันเชื่องช้า ลู่หานเอนร่างพิงพนัก เซฮุนยกแอลกอฮอล์สีอำพันขึ้นจิบก่อนวาดแขนตามความยาวของโซฟา หรืออีกมุมหนึ่งก็คือกักร่างเล็กไว้ในอาณัติตัวเอง ต่างฝ่ายต่างทำคล้ายกับว่าเนิ่นนานนาทีก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ที่แทบจะหยุดลมหายใจของคนมองเกิดขึ้น
แล้วเพื่อนร่วมวงทั้งสามจะทำอย่างไรได้นอกจากพร้อมใจกันมองเมิน
...เอาวะ ไม่มีอะไรก็ไม่มี
“อยู่ตรงนี้กันนี่เอง หาตั้งนานแน่ะ”
กลุ่มนักร้องชื่อดังเงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู ไม่ต้องรอให้เอ่ยปากร้องสั่งทุกคนก็ขยับตัวให้ผู้มาใหม่ได้นั่งด้วยกันบนโซฟาทรงครึ่งวงกลมที่พวกเขาแหกแข้งแหกขากันตามอำเภอใจอยู่
“วันนี้ฉันเป็นยังไงบ้าง”
ลู่หานนั่งตัวตรงอย่างกระตือรือร้น ดวงตาคู่สวยจ้องเพื่อนสนิท ยิงคำถามแรกทั้งที่ยังไม่ทันพูดทักทายด้วยซ้ำ
“น่ารักเหมือนทุกวันนั่นแหละ”
พยอนแบคฮยอนหนึ่งในแขกยามวิกาลตอบพร้อมรอยยิ้ม นิ้วเรียวเกลี่ยแก้มเพื่อนสนิทหยอกเย้าเล่น แบคฮยอนกับลู่หานสนิทกันตั้งแต่พวกเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก เป็นหนึ่งในสองแฟนคลับ DAFFODIL ที่มีโอกาสได้พูดคุยสนิทสนมกับนักร้องที่ผู้คนทั่วทั้งประเทศปลาบปลื้ม
และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ลู่หานอนุญาตให้เรียกว่าเสี่ยวลู่ได้อย่างสนิทใจ
“ฉันหมายถึงที่แสดงวันนี้ต่างหาก”
“พี่ลู่หานกับทุกคนสุดยอดเลยครับ คนข้างๆ ผมกรี๊ดจนผมปวดแก้วหู อ่า...โดยเฉพาะตอนเซฮุนเดินไปหาพี่ลู่หานน่ะ หูแทบแตกเลย”
ได้ฟังคำตอบจากโดคยองซูคนถามก็หัวเราะเสียงใส ญาติผู้น้องของแบคฮยอนคนนี้เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เรียกได้ว่าเป็นเด็กนักศึกษาเพียงคนเดียวในกลุ่ม
แม้ DAFFODIL จะเป็นไอดอลชื่อดังทว่าการดำเนินชีวิตของสมาชิกทั้งห้ากลับแสนจะปกติธรรมดา พวกเขานั่งทานอาหารร้านข้างทางได้ง่ายๆ ไม่ใช่คนติดหรูมากนักยกเว้นลู่หานกับคริสที่ดื่มสาบานตนยอมเป็นทาสเสื้อผ้าเครื่องประดับแบรนด์ดังตั้งแต่ก่อนเดบิวต์ และถ้าแฟนคลับกล้าเข้ามาพูดคุยหรือขอถ่ายรูปพวกเขาก็ยินดีตอบรับ แต่ก็นั่นแหละ...น้อยคนนักที่จะกล้า เพราะรู้ขอบเขตของตัวเองเป็นอย่างดี หากขืนล้ำเส้นมากไปโอกาสจะพบเห็นพวกเขาข้างถนนง่ายๆ ก็อาจเป็นศูนย์
“แล้วเมื่อไหร่ใครสักคนจะยอมเป็นนักร้องนำเต็มตัวล่ะ”
คำถามแบคฮยอนทำให้แดฟโฟดิลต้องมองหน้ากันก่อนหลุดเสียงหัวเราะออกมา
เหมือนพวกเขาคือศิลปินกลุ่มเดียวที่ไม่มีนักร้องนำเป็นของตัวเอง ทั้งห้าคนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตั้งแต่เรียนมัธยมเพราะชอบดนตรีสไตล์เดียวกัน ไม่มีใครยอมทิ้งสิ่งที่ตัวเองรักง่ายๆ สุดท้ายเลยตัดสินใจพบกันครึ่งทาง ถ้ายังอยากฟอร์มวงดนตรีแนวป๊อปร็อคตามความฝันพวกเขาต้องช่วยกันจับไมค์ร้องเพลงด้วย
“ไม่มีวันนั้นหรอกมั้ง เป็นอย่างนี้ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว” คริสยักไหล่ แบคฮยอนพยักหน้ารับคำตอบนั้นง่ายๆ
“นั่นสินะ วันไหนพวกนายสักคนยอมเป็นนักร้องนำคงตลกพิลึก”
“งั้นจะถามขึ้นมาทำไม”
ใบหน้าน่ารักหันขวับ แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าประโยคกวนประสาทแบบนี้มาจากใคร สายตาสองคู่สบประสานราวกับจะจิกทึ้งให้อีกฝ่ายเหลือแต่ซาก เซฮุน ลู่หาน จงอินและคริสมองหน้ากันทันที
นึกว่าคืนนี้จะพลาดมวยคู่เอกแล้วแท้ๆ
“แล้วเกี่ยวอะไรกับนาย”
“ไม่เกี่ยวได้ไง นายถามเรื่องวงฉันนี่”
“แต่ฉันไม่ได้ถามนาย”
“แต่คำถามมันเกี่ยวกับฉัน”
“ก็บอกว่าไม่ได้ถามนายไงล่ะ จะเสนอหน้าทำไม”
“ก็บอกว่ามันเกี่ยวกับฉันไงล่ะ”
“นี่จะยั่วโมโหกันใช่ไหมปาร์คชานยอล!”
แบคฮยอนลุกพรวด ชานยอลยังลอยหน้าลอยตาชวนให้กระแทกกำปั้นเข้าหน้าหล่อๆ สักหมัด และก่อนที่จะมีใครได้ชกใครจริงๆ ลู่หานก็ลุกขึ้น
“พักยกสักวันเถอะน่า” เอ่ยปรามพลางกดบ่าเพื่อนสนิทให้นั่งลงตามเดิม “ฉันจะเข้าห้องน้ำ จงอินไปด้วยกันไหม”
คิมจงอินวางแก้วว่างเปล่าลงบนโต๊ะ แน่นอนว่าคำตอบของเขาทุกคนตรงนี้ล้วนเดาได้เป็นอย่างดี
“อืม”
เพียงเสี้ยวนาทีคนสองคนก็ลุกถูกแสงไฟกับเหล่าผู้คนกลืนกินจนมองไม่เห็น
เพลงจังหวะหนักดังกระหึ่มทั่วทั้งผับ กระนั้นก็ยังแว่วเสียงโดคยองซูเปรยแผ่วเบา
“จงอิน...ไม่เคยขัดใจพี่ลู่หานเลยสินะครับ”
*
เวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่หลายชั่วโมงแล้ว หากนับจำนวนแก้วที่ดื่มเข้าไปก็เกินสิบ แต่ลู่หานกลับไม่ได้รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำดังปากบอก เขาแค่รู้ตัวดีว่ามีบางเรื่องที่ตัวเองต้องรับฟัง
ใช่ รับฟัง
เพราะฝ่ายพูดคือคิมจงอินไงล่ะ
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า”
ร่างเล็กยืนพิงอ่างล้างมือ จับจ้องดวงตาที่ไม่เคยซ่อนความรู้สึกตรงหน้านิ่งๆ
กับคิมจงอินแล้ว แค่สบตาลู่หานก็เห็นทุกความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องรอคำบอกใคร
ถ้าถูกถามว่าเพราะอะไร ลู่หานก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
“อย่าทำแบบนั้นอีกนะครับ”
เสียงขึ้นจมูกทอดอ่อนราวคำวอนขอ ฝ่ามือใหญ่วางบนกลุ่มผมสีเข้มที่เซ็ตให้รับกับกรอบหน้าหวานของคนเป็นพี่ ลู่หานไม่ได้ติติงการกระทำนั้นเพราะความเคยชิน เขาแค่เอียงคอมองอย่างงุนงง
“ทำอะไร”
“ทำอย่างเมื่อกี้”
“อะไรล่ะ”
จงอินคิดว่าพูดชัดเจนแล้ว แต่ดูเหมือนยังไม่เพียงพอ
“จูบ”
“อ้อ...”
สีหน้าคนตัวเล็กทำให้จงอินเดาว่าคำขอของเขาอาจได้รับการปฏิเสธ
ลู่หานถอนหายใจ ขยับตัวชิดใกล้แล้วพิงศีรษะกับแผ่นอกหนา แขนเล็กกอดเอวจงอินออดอ้อน
“นั่นเซฮุนนะจงอิน ใช่คนอื่นที่ไหน อย่าห่วงเลยน่า”
“ไม่ได้ห้ามเรื่องนั้น” มือกีต้าร์หน้านิ่งส่ายหัว “นี่มันที่สาธารณะ คนไม่หวังดีในมุมมืดมีแค่ไหนก็ไม่รู้ ระวังตัวหน่อยสิ”
ปากแดงๆ ยื่นเกือบชิดจมูกเพราะจงอินใช้เสียงดุ ลู่หานขืนตัวให้ร่างสูงรีบเพิ่มแรงรัดแน่นขึ้น
“โกรธเหรอครับ”
“เปล่า”
“เสี่ยวลู่...”
“.............”
“ผมเตือนเพราะเป็นห่วงนะ”
สุดท้ายก็ทอดเสียงอ่อนอย่างยินยอม ลู่หานถึงได้ยอมพยักหน้ากับอกเสื้อเขา เสียงใสตอบรับคำให้จงอินเบาใจ
“ขอบคุณนะจงอิน ทีหลังฉันจะระวังตัว”
.
.
ทั้งคู่กลับมาอีกครั้งและพบว่าน้ำเมาบนโต๊ะพร่องลงจนแทบไม่มีเหลือ ขวดเปล่าวางระเกะระกะ ลู่หานกับจงอินทรุดตัวลงนั่งตำแหน่งเดิมจังหวะเดียวกับที่คริสปิดฝาพับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าติดจะหงุดหงิด
“เป็นอะไรน่ะ”
“แกเลยไอ้เซฮุน จุนมยอนให้ถามว่าปิดเครื่องทำไม” เสียงห้าวเอ่ยชื่อผู้จัดการวงจอมดุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโอเซฮุน
“ผมไม่รับโทรศัพท์นอกเวลางาน”
น้องเล็กของวงตอบเสียงเรียบ ทุกวันนี้หากไม่ติดเรื่องงานเซฮุนคงเลิกใช้โทรศัพท์แล้วด้วยซ้ำ เขาเกลียดความวุ่นวายและกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่โทรมาก็ตัวน่าเวียนหัวชัดๆ นึกไม่ออกเลยว่าเวลาเลือกสาวสักคนติดมือเกณฑ์ในเวลานั้นคือมึนหรือเมากันแน่
“แน่ล่ะสิไอ้เพลย์บอย ต่อไปใครพูดว่าแกน่ะคนนิ่ง คนขรึม ฉันจะตะโกนใส่หน้ามันว่าไอ้โกหก”
ชานยอลหัวเราะลั่น พยักหน้ารับอย่างสุดแสนจะเห็นด้วยกับมือกลองรูปงาม คนส่วนใหญ่มักมองว่าคิมจงอินกับโอเซฮุนแห่งแดฟโฟดิลจัดอยู่ในประเภทหล่อเหลาเย็นชา คนแรกเขาไม่เถียง จงอินพูดน้อย เคร่งขรึมจริงอย่างทุกคนคิด แต่กับคนที่เปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า เจ้าชู้ตัวฉกาจอย่างโอเซฮุนจะเอาตรงไหนมาเรียกว่านิ่งขรึมกัน มันขี้เกียจพูดล่ะสิไม่ว่า
“เซฮุนพูดน้อยจริงๆ นี่”
ชานยอลร้องเหอะ “พี่น่ะเข้าข้าง”
“อย่างน้อยชานยอลก็พูดมากกว่าเซฮุนแล้วกัน”
ลู่หานเถียง ผลของการออกโรงปกป้องคืออ้อมแขนคนถูกกล่าวหาค่อยๆ สอดรอบเอวบาง
คริสขมวดคิ้ว มองฝ่ามือ ‘คนขรึม’ ยุกยิกกับเอวบางก็หัวเราะหึ
“น้ำนิ่งไหลลึกน่ะสิ อย่างมันน่ะ”
“เถอะน่า ผมจะเป็นยังไงก็เรื่องของผม ตกลงพี่จุนมยอนโทรมาด่าแค่นี้หรือไง”
“บอสฝากมาบอกให้พวกเราเตรียมตัว อีกสามวันจะประกาศคอนเสิร์ตที่อเมริกาเพิ่ม...ให้ตายสิ ฉันอุตส่าห์วางแผนเที่ยวล่วงหน้าแล้ว!”
แดฟโฟดิลพร้อมใจร้องครางสุดจะเซ็ง ยกเว้นมือคีย์บอร์ดตัวเล็กที่นิ่งงัน
“เสี่ยวลู่ ต่อไหนรึเปล่า”
“...ไม่แล้ว อยากนอน”
เสียงที่ฟังยังไงก็ไม่สดใสเหมือนนาทีก่อนไม่ได้มีแค่โอเซฮุนที่สังเกตเห็น
สายตาทุกคู่พร้อมใจกันมองลู่หาน แต่ร่างเล็กแค่แค่นยิ้มกลับไปให้เท่านั้น
“เป็นอะไรรึเปล่าฮะ พี่ลู่หาน”
“ฉัน...แค่ง่วงน่ะคยองซู อยากกลับแล้ว”
“งั้นกลับกับผม คืนนี้ค้างด้วยกันนะ”
คล้ายประโยคบอกเล่ามากกว่าคำถาม คอนโดเซฮุนเป็นที่ที่ลู่หานคุ้นเคยราวกับบ้านตัวเอง ยิ่งเวลาแต่งเพลงเขาจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่นั่นเป็นอาทิตย์ๆ ด้วยซ้ำ
“คืนนี้ไม่หิ้วสาวกลับหรือไง”
เป็นที่รู้กันว่าสาวๆ ของเซฮุนไม่กินเส้นกับลู่หานนัก คราวซวยเหี่ยวแห้งของเซฮุนก็ตอนที่ลู่หานอยู่ด้วยเป็นเดือนๆ เนี่ยแหละ
“เหนื่อยจะตายหิ้วใครไหวที่ไหนล่ะครับ” ตอบยิ้มๆ เขย่าปลายคางลู่หานเบามือ “ที่สำคัญ มีลู่หานทั้งคน สาวคนไหนก็ชิดซ้ายอยู่แล้ว”
ลู่หานย่นจมูกใส่คนที่นานทีจะปากหวานสักหนหนึ่ง ทั้งคู่บอกลาเพื่อนร่วมวง แบคฮยอนและคยองซูสั้นๆ ก่อนพากันเดินออกจากผับไป
อู๋อี้ฟานกับปาร์คชานยอลเหลือบมองจงอิน เมื่อพบใบหน้าเฉยเมยไร้ความผิดปกติใดก็ถอนหายใจอย่างคลายกังวล
“เรากลับกันบ้างเถอะครับ พี่คริสไม่ได้เอารถมาก็กลับกับผม คยองซูด้วยนะ...พี่ชานยอล ฝากส่งพี่แบคฮยอนสักคนได้ไหม”
“ไม่เป็นไรหรอกจงอิน ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้” พยอนแบคฮยอนสวนทันควัน ตรงข้ามกับชานยอลที่คว้ากุญแจรถขึ้นมาเดาะเล่นอย่างสบายอารมณ์
“นี่มันตีสองแล้ว อย่าทะเลาะกันตอนนี้น่า” จงอินบอกกลั้วหัวเราะ ดวงตาคมพราวระยับ “อีกอย่าง คยองซูเคยบอกผม...ในบรรดาพวกเรา ห้องพี่มีโปสเตอร์พี่ชานยอลคนเดียวไม่ใช่หรือไง”
วางระเบิดลูกใหญ่ก่อนคว้ามือผู้โดยสารทั้งสองจากไปทันควัน ทิ้งให้แบคฮยอนนิ่งอึ้ง ตั้งสติได้ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตามหลัง
ใครบอกว่าคิมจงอินนิ่งขรึม เขาก็จะตะโกนใส่หน้ามันว่าไอ้โกหกเหมือนกัน คอยดู!
*
ปาร์คชานยอลผิวปากเป็นทำนองเพลงรักขัดหูแบคฮยอนนัก ร่างเล็ฏขมุบขมิบปากด้วยขี้เกียจเปลืองน้ำลายพูดคุย นึกสงสัยว่าทำไมหมอนี่เวลาอยู่บนเวทีกับตัวจริงถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างนี้ ยอมรับหรอกว่านิ้วยาวๆ นั่นกับเบสเหมาะกันมาก ท่าทาง หน้าตาก็ยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่
สำหรับแบคฮยอน หากถามว่าแดฟโฟดิลคนไหนเท่ที่สุด...ถ้าตัดอคติทิ้งก็คงเป็นมือเบสจอมกวนคนนี้เนี่ยแหละ
เสียอยู่อย่างเดียว
“เอ้า! ถึงแล้ว รอให้ฉันเปิดประตูรถด้วยหรือไง”
“เออ รู้แล้ว”
“เหม่ออะไรนักหนา หรืออยากอยู่ด้วยกันนานๆ”
แบคฮยอนทำหน้าหยี “แหวะ ขนลุก ที่พูดน่ะเอาสมองหรือเล็บขบคิด”
“งั้นก็ลงไปสักที ดึกๆ กรึ่มๆ แบบนี้...ขนไม่ลุก อย่างอื่นอาจจะลุกแทน”
“ไอ้ทุเรศเอ๊ย ฉันไปล่ะ...ขอบคุณ!!”
เน้นย้ำคำขอบคุณใส่หน้า คราวก่อนเขาเอ่ยปากขอบคุณช้านิดเดียวหมอนี่ด่าเขาไร้มารยาทไปสามวัน
“ไม่เป็นไร แต่คราวหน้าคิดตังค์นะ”
“ขี้งก”
ทิ้งท้ายถ้อยคำหวานหูก่อนปิดประตูรถ ทว่า ยังไม่ทันก้าวถึงรั้วบ้านสารถีหน้าหล่อก็ตะโกนไล่หลังให้ได้ยิน
“เฮ้! ราตรีสวัสดิ์นะ จอมเหวี่ยง”
“…..ขับรถดีๆ แล้วกัน ไอ้โย่ง”
ปาร์คชานยอลหัวเราะแผ่ว หนังตาเริ่มหย่อนเกินกว่าจะฝืนยืนต่อล้อต่อเถียง มือเบสรูปงามกระชากรถคันหรูจากไปทิ้งให้แบคฮยอนยืนมองไฟท้ายจนลับสายตา
พร้อมรอยยิ้มเบาบาง...ซึ่งเจ้าของมันก็ไม่ทันรู้สึกตัว
*
Audi R8 จอดส่งอู๋อี้ฟานเมื่อยี่สิบนาทีก่อนและหยุดลงอีกครั้งหน้ารั้วบ้านขนาดกลาง จงอินเอ่ยถามเด็กช่างพูดที่ชวนคุยสัพเพเหระตลอดทางจนเขาเกือบลืมถามเรื่องคาใจ
“วันนี้สนุกมั้ย”
“มากฮะ ผมชอบเพลง last heaven ที่สุด!” คยองซูยิ้มจนตาปิด “ว่าจะถามตั้งนานแล้ว ช่วงกลางเพลงที่มีเสียงผู้หญิงกระซิบขึ้นมาน่ะ ใครเหรอครับ”
“ลองเดาดูสิ”
“คุณโซยู? คุณฮโยริน? คุณฮายอง?”
จงอินหัวเราะกับการเดาที่ผิดจากความจริงสุดโต่ง ชายหนุ่มส่ายหน้า
“เราไม่ทำงานกับผู้หญิงหรอก กลัวมีเรื่องวุ่นวายตามมาน่ะ”
“โธ่...” เด็กหนุ่มครวญเสียงอ่อน “ใครจะเดาถูกล่ะครับ จงอินเฉลยเถอะ”
“วงฉันเนี่ยแหละ ภายในห้าคนนี้คิดว่าใคร”
คนถูกถามทำตาโต เสียงใครกันที่หลอกคนทั้งประเทศว่าเป็นผู้หญิงได้อย่างเหลือเชื่อ
“ไม่ใช่พี่ลู่หานแน่ เพราะถ้าเป็นพี่ลู่หานจงอินคงไม่ถามหรอกใช่ไหมล่ะ งั้น...พี่คริส?”
จงอินหัวเราะอีก โบกมือแทนคำปฏิเสธให้คยองซูทำปากบู้
“ฉันเอง”
“ฮะ!!?”
“แปลกใจอะไรขนาดนั้น เข้าบ้านได้แล้วคยองซู จะตีสามแล้ว” วางฝ่ามือบนศีรษะเล็ก จับโยกไปมาก่อนเอ่ยราตรีสวัสดิ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝันดีนะ”
โดคยองซูยิ้มรับ รู้ดีว่าทุกการกระทำล้วนเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีความรักมอบให้เหมือนที่ลู่หานอาจได้รับ แต่คยองซูก็พอใจ...และมีเหตุผลมากพอจะอิจฉาหรือเรียกร้อง
“ฝันดีเหมือนกันนะครับ จงอิน”
แค่ได้เฝ้ามองอย่างที่ทำมาตลอด...คยองซูก็พอใจแล้ว
*
ร่างเล็กในชุดนอนสีน้ำตาลลายทางกรอมมือกรอมเท้าใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากปลายผม คอนโดแห่งนี้มีแค่เซฮุนเท่านั้นที่พักอยู่ คุณพ่อกับคุณแม่เซฮุนทำธุรกิจต่างประเทศนานทีจะกลับมาสักหนหนึ่ง น้องชายเซฮุนก็เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่นเช่นกัน ลู่หานจำได้...เซฮุนเคยเล่าให้ฟังว่าเคยเกือบถูกตัดออกจากกองมรดกเพราะมัวแต่สนใจดนตรีจนลืมการเรียน กระทั่งเรียนจบและสัญญาว่าอิ่มตัวกับทางนี้เมื่อไหร่จะยอมสืบทอดกิจการให้ ครอบครัวโอถึงยุติปัญหาเกี่ยวกับอนาคตลูกชายคนโตลง
“ใช้ไดร์สิครับ”
ร่างสูงโผล่มากระซิบข้างหู มือใหญ่ถือไดร์เป่าผมข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างสางผมให้เบามือ ลู่หานนั่งหลับตาพริ้มอย่างผ่อนคลาย จวบจนผมแห้งสนิทและเซฮุนก้มลงพับขากางเกงนอนให้ด้วยนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าเขามันเอาเปรียบเซฮุนชะมัด
“เซฮุนง่วงหรือยัง”
“ครับ”
“งั้นนอนกันนะ”
ร่างสูงเอนกายบนเตียง ตบที่ว่างข้างตัวพร้อมรอยยิ้มแทนคำพูดให้ลู่หานปิดไฟแล้วมานอนข้างๆ กัน
หลังจากแผ่นหลังสัมผัสความนุ่มของผืนเตียง ลู่หานก็ซุกตัวเข้าหาไออุ่นจากอกกว้างอย่างคุ้นเคย
“อย่าคิดมากนะ”
“...เรื่องอะไร”
“เรื่องคอนเสิร์ต ผมรู้ว่าเสี่ยวลู่ทำได้ ลืมเรื่องเก่าๆ เถอะ”
ลู่หานปัดจมูกกับอกเสื้อเพื่อนร่วมวง ความผิดพลาดเมื่อสามปีก่อนที่อเมริกาเขายังจำได้ดี ลู่หานลืมเนื้อร้องซ้ำยังเล่นผิดจังหวะในเพลงหนึ่ง แม้จะไม่ถึงกับล่มแต่มันก็ฟ้องว่าเขายังยังฝึกซ้อมไม่เพียงพอ ยังไม่เป็นมืออาชีพมากพอ
“ฉันแย่มากนะเซฮุน...วันนั้น...”
“ผมเองก็เคยพลาด งานโรงเรียนสมัยมอปลายผมเล่นผิดตั้งหลายเพลง จำได้ไหม คิดดูสิเสี่ยวลู่ พี่เล่นดนตรีมาตั้งนานเพิ่งจะพลาด แต่ผมพลาดกับงานเล็กๆ แถมยังพลาดก่อนหน้าพี่ตั้งหลายปี ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ดีก็เท่ากับพี่กำลังว่าผม”
น่าแปลกที่คำพูดธรรมดากลับคลายความกังวลใจออกไปได้ราวกับเรื่องโกหก ทั้งที่เซฮุนไม่ได้ใช้น้ำเสียงปลอบโยนเลย ออกจะดุเขาด้วยซ้ำไป
“นอนซะ”
ริมฝีปากได้รูปกดแนบเหนือหน้าผากมน กระชับอ้อมแขนให้ใบหน้าสวยซุกไหล่
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีที่มีเพียงแค่แสงสว่างจากดวงจันทร์สาดส่อง ลู่หานเงยหน้ามองเซฮุนผ่านแสงสลัวแค่นั้น...
โอเซฮุนเพลย์บอย โอเซฮุนมือกีต้าร์ชื่อดัง โอเซฮุนเพื่อนร่วมวง เซฮุนที่เงียบขรึม เซฮุนที่เจ้าชู้ และเซฮุนที่อ่อนโยน
คนไหนกันนะที่เป็นตัวจริง
“เลิกกังวลอะไรไร้สาระสักที นอนได้แล้วเสี่ยวลู่”
เมื่อไหร่ล่ะลู่หาน เมื่อไหร่กันที่นายจะเข้าใจเซฮุนเหมือนที่เซฮุนเข้าใจนาย
“พี่ก็รู้...ผมอยู่ตรงนี้”
เปลือกตาบางหลับพริ้มในที่สุด
ขอบคุณนะเซฮุน ขอบคุณที่เข้าใจฉันเสมอมา
To be continued.
มีคนอ่านก็จะมาต่อเรื่อยๆ อิอิ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า ^ - ^
#ดฟด
ความคิดเห็น