คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7
Title : HOLD A BLIND MARRIAGE
Author : sosweetcafe
Chapter : 7
Pairing : Sehun x Luhan ft. Chanyeol x Baekhyun
Story : vanilla1127
กว่าสองชั่วโมงแล้วที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทั้งที่เป็นเวลาเพียงเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น แต่แบคฮยอนไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อีกต่อไป อันที่จริงคือไม่ได้นอนเลยเสียมากกว่า ตั้งแต่เมื่อคืนที่จงอินใจดีขับรถพามาส่งถึงคอนโด จัดการเช็ดหน้าเช็ดตาให้เสร็จสรรพจนรู้สึกดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังยากลำบากเหลือเกินที่จะข่มตาหลับได้ลง ในเมื่อภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังวนเวียนอยู่ในจิตใจ
ร่างบางดึงเอาผ้านวมผืนหนาขึ้นมาคลุมโปง หันหลังหนีแสงอาทิตย์ยามเช้าที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาทางสาบผ้าม่านสีสะอาดตา นิ้วเรียวคลึงเปลือกตาบางเบาๆ สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านออกมา อาจเป็นเพราะผ่านการร้องไห้มาตลอดทั้งคืน
แบคฮยอนเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหัวเตียง สไลด์ปลดล็อกด้วยใจที่หวังจะได้เห็นจำนวนมิสคอลหรือข้อความที่คนรักส่งมาง้องอนแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า จะมีก็แต่ข้อความจากผู้จัดการส่วนตัวที่ส่งมาเตือนเรื่องตารางงานถ่ายแบบให้เสื้อผ้าแบรนด์ดังในวันนี้
ถึงแม้จิตใจห่อเหี่ยวจนไม่อยากจะออกไปไหน แต่งานก็คืองาน จริงอยู่ที่เขาค่อนข้างมีนิสัยเอาแต่ใจเพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ แต่แบคฮยอนเป็นนายแบบหน้าใหม่ในวงการที่กำลังแจ้งเกิด คงไม่ดีนักถ้าจะสร้างชื่อเสียให้ตัวเองตั้งแต่เพิ่งเริ่มต้น อีกอย่าง ถ้าหากว่าได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็คงจะดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้องที่มีแต่กลิ่นไอของคนรักอยู่แบบนี้
‘เชื่อใจผมนะ ผมน่ะ รักแบคฮยอนมากที่สุด’
น้ำเสียงคุ้นหูและสัมผัสที่คุ้นเคยยังเด่นชัดในความรู้สึก คำบอกรักที่เซฮุนเคยบอกให้ฟัง แบคฮยอนจำได้ขึ้นใจแล้วก็เชื่ออย่างนั้นเสมอมา แต่ทว่ามันกลับพังทลายจนไม่เหลือเศษซาก มันเจ็บไปทั้งหัวใจยามที่เห็นอ้อมแขนที่คุ้นเคยโอบกอดคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง
แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขายังเชื่อใจเซฮุนได้อยู่อีกไหม
แต่หากเพียงเซฮุนจะอธิบาย แบคฮยอนก็พร้อมจะรับฟัง
.
.
.
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยามเช้าดูเหมือนว่าอยู่ในสถานการณ์ปกติเหมือนเช่นทุกวัน แต่การที่ลูกสะใภ้คนโปรดเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองจานอาหาร ซ้ำยังเอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา ไม่มีเสียงหวานคอยพูดเจื้อยแจ้วชวนคุย ส่วนลูกชายตัวดีก็ตีหน้าบึ้งเป็นยักษ์ คิ้วเข้มชนเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องแอบลอบมองตากันอย่างสงสัย สุดท้ายก็ไม่พ้นคุณนายโอที่ต้องออกโรงทุกครั้งไป
“ทำไมไม่ค่อยทานเลยล่ะคะ ไม่สบายหรือเปล่าลูก ลู่หาน”
ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือไปอังหน้าผากด้วยความห่วงใย ร่างบางที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอถูกมือเย็นสัมผัสเข้าให้ก็สะดุ้งเฮือกหลุดออกจากภวังค์ ได้แต่ยิ้มแหยๆ แทนคำขอโทษที่เสียมารยาท
“ปละ...เปล่าครับคุณแม่”
“หรือว่าอาหารไม่ถูกปากจ๊ะ ให้แม่บ้านทำให้ใหม่ไหมลูก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณแม่ ผมแค่...ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
ลู่หานอ้อมแอ้มตอบ พอเห็นว่าคนเป็นแม่ไม่ได้ตั้งใจจะถามอะไรต่อก็โล่งใจ ลึกๆ ก็แอบกลัวว่าที่มีปากเสียงกับคนเอาแต่ใจเมื่อคืนนั้นจะดังจนถึงหูคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่า หากแต่เบาใจอยู่ได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อถูกยิงคำถามที่กำลังนึกกลัวเข้าใส่อย่างจัง
“แล้วเมื่อคืนทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าคะ แม่ว่าแม่ได้ยินเสียง” คุณนายโอถามเอากับลูกสะใภ้ แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบก็หันไปคาดคั้นลูกชายแทน “เซฮุนแกล้งอะไรน้องหรือเปล่าคะลูก”
“ไหงย้อนมาที่ผมล่ะครับคุณแม่ ผมจะไปแกล้งอะไรคนโปรดของคุณแม่ได้ล่ะ” ชายหนุ่มยักไหล่ แสร้งถอนหายใจ ที่ถูกมารดากล่าวหา
“ก็เราน่ะแหละ ชอบแกล้งน้องเรื่อยเลย”
“ไม่เชื่อก็ถามคนดีของคุณแม่ดูสิครับ”
ร่างบางนึกค่อนขอดในใจเมื่อเซฮุนโยนความหนักใจกลับมาให้ คงจะรู้ดีว่ายังไงเขาก็คงไม่กล้าเอาเรื่องน่าอายแบบนั้นไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ ถึงได้ยกยิ้มอย่างเป็นต่ออยู่อย่างนั้น
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับคุณแม่”
เพียงแค่ลูกสะใภ้คนโปรดยิ้มหวานประกอบคำพูด คุณนายโอก็ยอมถอดใจคลายความสงสัยในทันที แต่ยังไม่วายแอบเหล่มองเจ้าลูกชายด้วยความไม่ไว้ใจเท่าไหร่ จนเซฮุนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นลูกชายบ้านนี้กันแน่
“ไม่มีอะไรก็ดีจ้ะ อ้อใช่...คุณบอกลูกหรือยังคะ เรื่องนั้นน่ะ” คุณโอลดช้อนลงเมื่อภรรยาหันมาถาม เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ ดูเหมือนจะลืมไปเสียสนิท
“เรื่องอะไรเหรอครับ” เซฮุนถาม
“คืออย่างนี้ พ่อกับแม่แกจะไปเที่ยวยุโรปกันอาทิตย์หน้าน่ะ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้แกมาช่วยงานแล้ว ก็เลยว่าจะไปพักผ่อนกันสักหน่อย ไม่ได้ไปเที่ยวนานเต็มที”
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่ครับ”
“ก็น่าจะสักสองอาทิตย์หรือนานกว่านั้น เรื่องงานถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามเลขาคิมได้เลย พ่อบอกเขาไว้แล้วล่ะ ว่าให้ช่วยสอนงานให้”
เซฮุนพยักหน้ารับรู้ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม กำลังจะขออนุญาตลุกจากโต๊ะอาหารแต่ทว่าเสียงของมารดาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อิ่มแล้วหรือคะลูก วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า ไปสปาเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิ”
“อ้าว วันนี้คุณแม่ไม่เข้าบริษัทกับคุณพ่อเหรอครับ”
“ไม่ล่ะค่ะ อยากพักดูแลตัวเองบ้าง” คุณนายโอพูดตามประสาคนมีนิสัยรักสวยรักงาม หญิงสาวส่งยิ้มหวานที่เซฮุนรู้ดีว่าคงปฏิเสธได้ยาก แต่จะทำอย่างไรในเมื่อวันนี้เขามีภารกิจสำคัญที่จำเป็นต้องไปทำ
หลังจากที่เมื่อคืนเขาปล่อยแบคฮยอนเอาไว้แบบนั้นโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เซฮุนรู้ตัวดีว่าเขาทำให้คนรักต้องเสียใจมากแค่ไหน ยอมรับว่า ณ เวลานั้นเขาลืมแบคฮยอนไปเสียสนิท กว่าจะรู้ตัวสำนึกผิดอีกครั้งก็ตอนลืมตาตื่นเมื่อเช้านี้ ความตั้งใจแรกคืออยากโทรศัพท์ไปง้องอน แต่ก็กลัวว่าแบคฮยอนจะโกรธจนไม่ยอมรับสาย ดังนั้นถ้าหากเขาจะโผล่หน้าไปหาพร้อมช่อดอกไม้สวยๆ สักหนึ่งช่อคงจะเป็นวิธีที่ดีกว่า
“เอ่อ ผม...ผมมีนัดกับไอ้จงอินมันน่ะครับแม่”
“เมื่อวานก็เพิ่งเจอกันไม่ใช่เหรอคะ โทร.ไปเลื่อนได้ไหมลูก นานๆ แม่จะว่างสักที นะคะ”
“ไปเป็นเพื่อนแม่เขาหน่อยเถอะตาเซฮุน นี่ก็เห็นบ่นมาหลายวันแล้วว่าอยากไป”
เมื่อโดนกดดันจากทั้งสองทางเซฮุนก็หมดคำแก้ตัว ไหนจะสายตาเจือแววขอร้องของคุณแม่ แล้วยังเสียงสำทับจากคุณพ่อที่นานครั้งจะยอมเอ่ยปากสักครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มแอบพ่นลมหายใจยาวด้วยความหนักอกหนักใจ ก่อนจะยิ้มรับให้มารดาได้สบายใจ ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าแบคฮยอนรับฟังคำขอโทษจากเขาบ้าง แต่คงไม่มีคำแก้ตัวใดๆ เพราะเซฮุนก็รู้ดีว่าหนนี้เขาผิดเต็มประตู
.
.
.
สตูดิโอ X
แบคฮยอนขับรถมาถึงสตูดิโอประมาณสิบโมง ร่างบางส่องกระจกหน้ารถเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจหยิบแว่นกันแดดอันโปรดมาสวมเพื่ออำพรางดวงตาคู่งามที่ยังมีร่องรอยแดงช้ำ ถึงแม้สภาพจะไม่พร้อมเท่าไหร่ แต่นั่นเป็นเรื่องที่เมคอัพอาร์ทิสต์ทั้งหลายคงจัดการให้ได้
สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง แบคฮยอนเชิดหน้าขึ้นตามความเคยชิน พยายามไม่คิดมากทั้งที่ในใจยังปวดปร่าในเมื่อคนรักยังคงนิ่งเงียบ ไร้การติดต่อใดๆ ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งแบคฮยอนก็ใจดีพอที่จะให้เวลาอีกฝ่าย แต่ก็จะยอมให้ถึงแค่เคลียร์ตารางงานวันนี้เสร็จเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วหากยังไร้เงาโอเซฮุนอยู่ เขาจะอาละวาดให้บ้านแตกเลยคอยดู
บรรยากาศในกองถ่ายแลดูออกจะวุ่นวายไปสักหน่อย ทีมงานหลายฝ่ายวิ่งวุ่นอยู่กับการเตรียมความพร้อม ทั้งฉากที่ยังเซ็ตไม่เสร็จดี นั่นดูเหมือนจะเพิ่มให้แบคฮยอนหัวเสียขึ้นไปอีก แต่เอาเถอะ เวลานี้ก็ยังไม่อยากจะเหวี่ยงใครนักหรอก ร่างบางส่งยิ้มตอบเมื่อทุกคนในสตูดิโอส่งยิ้มทักทายมาให้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจุนมยอน ผู้จัดการส่วนตัวที่กำลังคุยรายละเอียดอยู่กับตากล้องมือทอง
“แบคฮยอน วันนี้ต้องถ่ายทั้งหมดสี่เซ็ตนะ เป็นธีมแฟชั่นเสื้อผ้าในสี่ฤดูน่ะ ต้องไปฟิตติ้งก่อน ราวทางขวามือน่ะของเรา ทีมงานเตรียมไว้ให้หมดแล้ว คิดว่าเรื่องไซส์ไม่น่าจะมีปัญหานะ”
ดูเหมือนว่าคิมจุนมยอนจะไม่ค่อยมีเวลาคุยด้วยเท่าไหร่นัก ขนาดว่าพูดไปตาก็ยังไม่ละจากสมุดบันทึกในมือ แบคฮยอนจึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงักหมุนตัวเดินไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ทันได้ฟังว่าต่อจากนั้นคุณผู้จัดการได้อธิบายอะไรต่ออีก รู้เพียงแต่ว่าเขาต้องถ่ายแบบคู่กับใครสักคนเนี่ยแหละ แต่ว่าใครนั้น แบคฮยอนไม่ได้สนใจจะฟัง
.
.
.
อาจเพราะแบคฮยอนมัวแต่ให้ความสนใจกับรายละเอียดของเสื้อผ้าตรงหน้าจนไม่ทันได้สนใจกับความเคลื่อนไหวรอบกาย จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูและฝีเท้าถึงได้หันไปมองแล้วก็ถึงกับผงะ แบคฮยอนก้าวถอยหลังไปจนเกือบชิดผนัง ไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ตกใจจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
“ไอ้บ้าชานยอล!คุณแบคฮยอน!”
“เฮ้ย คุณ! มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามนาย”
ดูเหมือนชานยอลจะเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อน ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาสีแดงกลางห้อง ไม่ยี่หระต่อแมวน้อยที่ตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่ ยิ่งเรียกความหมั่นไส้ให้กับแบคฮยอนได้เป็นอย่างดี
“ผมก็มาถ่ายแบบสิครับ แล้วคุณล่ะ”
“ฉันก็มาถ่ายแบบเหมือนกัน”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณก็เป็นนายแบบกับเขาด้วย”
“เออ! ไม่รู้ก็รู้ไว้ซะ แล้วฉันก็จะดังกว่านายด้วย! ไอ้มือกีต้าร์กิ๊กก๊อก”
แบคฮยอนยิ้มเหยียดแต่ชานยอลก็ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์ให้ต้องหงุดหงิด เขาพอจะเข้าใจนิสัยของแบคฮยอนดี แล้วก็ใจเย็นพอที่จะไม่ถือสาหาความ
“พูดให้มันดีๆ นะคุณ แฟนคลับผมมีเป็นแสนนะครับ”
“ขี้คุยล่ะสิไม่ว่า แล้วอย่าบอกนะว่าฉันต้องถ่ายแบบคู่กับนาย”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ”
“ไม่จริงอ่ะ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ฉันจะไปถามพี่จุนมยอน!” แบคฮยอนทำท่าจะวิ่งปร๋อออกไป หากว่าชานยอลไม่ฉุดเอาไว้ก่อน
“ผมว่ายังไงวันนี้เราคงต้องทำงานด้วยกันแล้วล่ะ ทำใจซะเถอะคุณ”
“ไม่ ยังไงก็ไม่ นายด่าฉันไว้คราวที่แล้ว ฉันยังจำได้นะ!”
“แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกหรือไงล่ะ ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลยนะคุณเนี่ย”
ขายาวยกขึ้นพาดโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าพร้อมกับกอดอกเอนหลังด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ลืมหยอดความกวนประสาทลงในน้ำเสียง แบคฮยอนตาลุกวาว จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ รู้สึกคันมือยิบๆ อยากทำร้ายร่างกายคน ยิ่งเห็นชานยอลยักคิ้วให้อย่างยียวนก็ยิ่งโมโห
ในตอนแรกแบคฮยอนก็เกือบจะยอมความ ไม่ถือโทษถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ภาพเหตุการณ์หนึ่งที่ซ้อนเข้ามาในหัวสมองทำให้ห้ามตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป ร่างบางกระโจนเข้าหาอีกฝ่าย จัดการขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มนั่นก่อนจะเหวี่ยงไปมา อารมณ์โกรธ โมโห น้อยใจ เสียใจ ดูเหมือนจะพรั่งพรูออกมาพร้อมกัน ระบายใส่ร่างสูงจนชานยอลน้ำตาเล็ดร้องเสียงหลง
“โอ๊ย! นี่คุณ! หยุดนะ! เฮ้ย! เป็นบ้าหรือไงห๊ะ!”
“สมควรโดนแล้วนายน่ะ! รู้ไหมว่าเมื่อคืนเพื่อนนายทำอะไรกับฉันไว้!”
ชานยอลตัดสินใจผลักอีกฝ่ายออกเบาๆ เพราะทนเจ็บไม่ไหว แบคฮยอนหอบหายใจ ยังคงยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่ลดละ ในมือมีเส้นผมที่หลุดติดมือไป ทำเอาชานยอลครางแผ่วด้วยความใจหาย ลองถ้าแบคฮยอนเอ่ยถึงเพื่อนของเขาก็คงไม่ต้องเสียเวลาคิด ก็คงไม่พ้นลู่หานแน่ๆ
“เสี่ยวลู่น่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ! นายรู้ไหมว่าเมื่อคืนเซฮุนจูบมัน! ต่อหน้าต่อตาฉัน!” คำบอกเล่าจากปากแบคฮยอนทำเอาชานยอลชะงักไปครู่หนึ่ง
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ มันเจ็บนะคุณ หัวคนนะไม่ใช่หัวหุ่น ดึงอยู่ได้” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหัวป้อยๆ ยังหวาดระแวงยามที่แบคฮยอนยกมือขึ้นกลางอากาศ เจ็บชะมัดเลย
“ก็เพื่อนนายมันมายุ่งกับแฟนฉัน บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ไปบอกเพื่อนนายว่าอย่ามายุ่งกับเซฮุน”
“นี่ แทนที่จะโทษคนอื่น คุณก็หัดทำตัวให้มันน่ารักบ้างสิ ทั้งเหวี่ยงทั้งวีนแบบนี้มันน่ารำคาญรู้ไหม ผมไม่แปลกใจเลยถ้าคุณเซฮุนจะเปลี่ยนใจไปรักเสี่ยวลู่ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็เลือกเสี่ยวลู่เหมือนกัน ไม่เลือกคุณหนูขี้โวยวายแบบคุณหรอก”
ด้วยความที่พูดออกไปตามแรงอารมณ์ ชานยอลไม่รู้หรอกว่าคำพูดของตัวเองทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากเพียงใด ใจดวงน้อยที่เหมือนว่าอาการจะดีขึ้นแล้วกลับปวดปร่าและเต้นช้าลงอีกครั้ง ในหัวมีแต่คำถามลอยวนเวียนอยู่เต็มไปหมด
แบคฮยอนไม่เข้าใจ เขาทำผิดอะไร ถึงต้องเป็นฝ่ายเสียเซฮุนไป
ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูแข็งกระด้าง ทั้งยังหยิ่งยะโสเหมือนไม่เคยสนใจโลกหรือใครๆ แต่ลึกข้างในแล้วแบคฮยอนก็แบกรับความเจ็บปวดไว้มากมายเหลือเกิน จนกระทั่งมันเต็มล้นถึงคราวที่ต้องระบายออกมา ร่างบอบบางสั่นเทิ้มพร้อมกับหยาดน้ำใสที่กลั่นตัวออกมาจากตาเรียวคู่สวย
“แล้วฉันทำผิดอะไรล่ะ นายบอกฉันได้หรือเปล่า ฉันถึงต้องเสียเขาไป นายจะให้ฉันทนดูเซฮุนเขาไปอยู่กับคนอื่นเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ฉันก็มีหัวใจ มีความรู้สึก ฉันก็เจ็บเป็นนะปาร์คชานยอล”
เขาว่ากันว่าคนที่ดูเข้มแข็งที่สุด เวลาร้องไห้ก็น่าสงสารที่สุดเหมือนกัน
ปาร์คชานยอลเชื่ออย่างสนิทใจ นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด เขาคงย้อนเวลากลับไปเอาคำพูดพวกนั้นกลับมาไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำดวงนี้ให้กลับมาเข้มแข็งดังเดิม
“ฉันผิดด้วยเหรอที่กลัวจะเสียเขาไป นายบอกฉันทีสิ”
“คุณไม่ผิดหรอก อย่าร้องไห้เลยนะ”
ร่างสูงลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเลื่อนลงมาเช็ดหยาดน้ำตาที่เปรอะแก้มใส ถึงแม้ว่าชานยอลจะไม่ชอบเห็นแบคฮยอนทั้งเหวี่ยงทั้งวีน แต่เขาก็ยอมให้เป็นอย่างนั้นตลอดไป ถ้าหากว่ามันจะทำให้เขาไม่ต้องเห็นใบหน้าน่ารักต้องหมองเศร้าอย่างตอนนี้
To be continued.
กราบสี่สิบแปดทีไม่แบมือ มาต่อช้าอีกแล้ว ไรต์ขอโทษ
พาร์ทนี้พักคลายเครียด (?) กันกับชานแบคนะคะ
จิกกัดตบตีไรต์ได้ตามสบาย ;A; อย่าโกรธกันเลยนะ
ขอบคุณรีดทุกคนที่ติดตามค่ะ
อ่านให้สนุกนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
ปอลอ บ่นฟิคเรื่องนี้ในทวิต ติดแท็ก #habmhunhan ได้นะเคิ๊บ
เดี๋ยวไรต์แวะเข้าไปส่อง
โค้งคำนับอีกสามที
ความคิดเห็น