คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ❧ DAFFODIL : V
CHAPTER 5
“...ได้โปรด อย่าไปไหน...”
คืนนั้น...
ลู่หานฟุบหลับข้างเตียงคนป่วยโดยที่มือข้างหนึ่งส่งผ่านถ่ายเทไอร้อนจากฝ่ามือคนบนเตียง
เพียงแค่เขาพยักหน้าตอบรับคำขอจงอินก็หลับสนิทอย่างง่ายดายราวกับเด็กชายตัวน้อยไร้ที่พักพิง
ลู่หานเสียอีกที่หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน มือเล็กอีกข้างถือสมาร์ทโฟนบางเฉียบเอาไว้แล้วเพียรโทรออกเลขหมายเดิมซ้ำๆ
แม้จะติดต่อไม่ได้เลยก็ตาม เพราะเขายังเชื่อ เชื่อว่าคนที่บอกว่าจะมา ยังไงก็ต้องมา
ทว่า โอเซฮุนไม่ได้มา
ตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะผวาตื่นขึ้นมารอสักกี่ครั้ง เซฮุนก็ไม่ได้มา
‘ขอโทษที ช่วงนี้ผมไม่ว่าง’
และไม่ว่าจะโทรไปหาสักกี่ครั้ง ส่งข้อความไปสักกี่หน คำตอบที่ได้รับกลับก็ไม่เคยเปลี่ยน
ทั้งที่เป็นช่วงพักผ่อนของวงแท้ๆ แทนที่พวกเขาจะได้ไปเที่ยวเล่นกันบ้างเซฮุนกลับหายหน้า
ไม่มาผ่อนคลายตามสถานที่ที่ชอบไปด้วยกันดังเคย ไม่มาให้พบเจอแม้แต่เงา
เช่นนี้แล้ว ลู่หานควรจะแปรความหมายของการกระทำเหล่านั้นว่าอย่างไรดี
ความสัมพันธ์ที่ในใจกู่ร้องว่ามัน...ไม่เหมือนเดิม
*
“เอาล่ะ เลิกเงียบแล้วบอกสักทีว่าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
พยอนแบคฮยอนยกมือกดอก กดเสียงถามรอดไรฟันบริเวณมุมที่เงียบที่สุด
เขากำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ข้างบริษัท ดวงตาเรียวรีมองมือเบสจอมกวนที่ตอนนี้กลับกลายเป็นมนุษย์เงียบขรึมไปเสียแล้ว
ปาร์คชานยอลโทรเรียกแบคฮยอนลงมาหา หากชายหนุ่มไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรสักคำเมื่อพบกัน
ปล่อยให้แบคฮยอนนั่งมองใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นานสองนานจนความอดทนอันน้อยนิดก็หมดลงง่ายๆ
“ปาร์คชานยอล นี่นายจะเงียบอีก...”
“เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวคนอื่นหรือเปล่า”
ชานยอลชิงพูดตัดบทก่อนแบคฮยอนจะตะโกนให้กระจกร้านแตกเป็นเสี่ยงๆ
ใบหน้าหล่อเหลายุ่งเหยิง เรียวคิ้วขมวดชิดติดกันบ่งบอกถึงความเคร่งเครียด
“นายตามฉันลงมาเองนะ จะมาด่ากันพล่อยๆ อย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน!”
ชานยอลมองคู่สนทนาพลางส่ายศีรษะอย่างสุดแสนระอาใจ
“ฉันไม่ได้ว่านายสักหน่อย บ้ารึเปล่า คนถามดีๆ มาหาเรื่องกันเฉย”
“ก็เห็นพูดแบบนั้น...”
แบคฮยอนยิ้มเจื่อน เอาตามตรงเขาไม่เคยวุ่นวายเรื่องส่วนตัวใครหรอก
มีแต่เรื่องวุ่นวายนั่นแหละชอบวิ่งมาหาเขาเอง
“ไม่เคย ทำไม? ไปยุ่งเรื่องของใครมาเหรอ”
ชานยอลหัวเราะขัดกับสีหน้าไร้ซึ่งความรื่นรมย์โดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้ยุ่งเรื่องส่วนตัวใคร...แค่อย่างเดียว
แต่การตัดสินใจกระทำบางอย่างเพราะเหตุผลชั่ววูบอาจทำลายบางสิ่งที่เขาเพียรรักษามันไว้ก็ได้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชานยอลเห็นเซฮุนควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแต่ก็จนใจจะเข้าไปซักถามในเมื่อมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของน้องเล็กรูปหล่อกับความประพฤติเฉียดไปทางผู้ชายรักสนุก
และชานยอลคงไม่รู้สึกอะไรจริงๆ ถ้าลู่หานไม่โทรมาถามว่าเซฮุนเป็นอะไรรึเปล่า
ไม่รับสาย ไม่ติดต่อหามือคีย์บอร์ดหน้าหวานร่วมอาทิตย์แล้ว
ลองลู่หานถึงกับโทรมาหาเขา แสดงว่าเซฮุนคงแปลกไปจริงๆ
“แบคฮยอน นายคิดว่าจงอินคิดยังไงกับลู่หาน”
“แค่ก!” พนักงานออฟฟิศตัวเล็กถึงกับสำลักกาแฟ “นายนึกยังไงถึงได้ถามฉันเนี่ย”
“ก็ไม่นึกยังไง แค่อยากรู้ว่านายคิดยังไง”
“ฉัน...เอ่อ...ก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอก” นิ้วเรียววางถ้วยสีขาวลงบนจานรอง
ปรับเปลี่ยนท่าทีให้จริงจังเมื่อต้องข้องแวะกับประเด็นอ่อนไหว “เสี่ยวลู่เป็นเพื่อนสนิทฉัน คยองซูก็เป็นน้องที่คุยกันกับฉันแล้วก็เสี่ยวลู่ได้ทุกเรื่อง”
“แล้วไง”
“นี่นายแกล้งไม่รู้หรือยังไงหา! คยองซูน่ะแอบชอบจงอินมานานแล้ว
จู่ๆ จะให้ฉันพูดปาวๆ ว่าจงอินชอบเสี่ยวลู่ชัวร์อย่างนั้นหรือไง!?”
“อ้อ นายคิดแบบนั้นเหรอ”
ชานยอลยิ้มพราว แบคฮยอนเลยไม่รู้จะขำหรือเคืองตัวเองดี
“เออๆ ก็ทำนองนั้นนั่นแหละ”
“แต่...ถ้าลู่หานอยู่กับจงอินก็คงจะมีความสุข นายว่างั้นไหม”
เสียงทุ้มต่ำเรียบเรื่อยทำให้แบคฮยอนขมวดคิ้วฉับ
ภาพในหัวย้อนกลับไปถึงวันที่จงอินไม่สบาย ฝ่ามือคร้ามกุมมือลู่หานไว้แล้วพูดอะไรบางอย่างที่แบคฮยอนไม่ได้ยิน
แต่คนที่ชัดแจ้งเต็มตาเต็มหูคงเป็นชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอึ้งหน้าประตูห้องนอนก่อนหายไปกดโทรศัพท์เงียบๆ
คนเดียวแน่
และหลังจากนั้น...ไอ้บ้านั่นก็มานั่งเคร่งเครียดอยู่หน้าแบคฮยอนตรงนี้
“ฉันไม่กล้าเดาหรอกนะว่านายไปแตะต้องอะไรมา แต่จะบอกอะไรให้ชานยอล”
“..........”
“หัวใจคนน่ะยากจะเข้าใจมากที่สุด มนุษย์เราไม่ได้อยู่กับคนดีแล้วมีความสุขหรอกนะ...เขาจะมีความสุขก็ต่อเมื่ออยู่กับคนที่รักต่างหาก”
ชานยอลใช้เวลาไม่นานกับการครุ่นคิดตามคำพูดนั้น
ชายหนุ่มหัวเราะพลางคิดเล่นๆ ว่าจะใช้คำพูดของแบคฮยอนไปแต่งเพลงสักเพลงหนึ่ง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น...
เขาควรแก้ไขความผิดพลาดเสียก่อนสินะ
*
จุดสิ้นสุดของความอดทนคือช่วงหัวค่ำสุดท้ายของวันหยุด หลังจากคิดทบทวนกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าสลับกับเฝ้ารอโทรศัพท์ราวกับคนบ้าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ลู่หานก็คิดได้ว่าควรพอเสียที ทำไมเขาต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองอย่างการลังเลกลัวๆ
กล้าๆ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างแบบนี้ด้วย กับโอเซฮุนแล้วสิ่งที่พวกเขาเป็นมาตลอดคือความตรงไปตรงมาไม่ใช่หรือ
สงสัยอะไรจงถาม คาใจอะไรจงเอ่ย แล้วก็จบสิ้นเสียทีกับความอดอึดจนจุกไปทั้งอกแบบที่กำลังเป็น
ขาเรียวพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าประตูคอนโดคุ้นเคย เสียงกุกกักในห้องคนที่บอกว่าไม่ว่างดังเล็ดรอดออกมานอกบานประตูให้คนฟังทวีคำถามหลายร้อยพันข้อขึ้นในหัว
ลู่หานกดกริ่ง รอคอยไม่นานนักประตูสีดำสนิทก็เปิดกว้าง
“มาหาใครคะ”
ซนนาอึน?
นักร้องสาวชื่อดังยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าสวยถามคล้ายสงสัยหนักหนาต่อให้รู้เต็มอกว่าลู่หานคือ
‘เพื่อนร่วมวง’
ของโอเซฮุนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านใน
“เซฮุนอยู่ใช่ไหม”
เชิดมาก็เชิดกลับเช่นกัน เรื่องเขม่นขี้หน้ากับเด็กเซฮุนลู่หานน่ะชินซะแล้ว
“ใช่ค่ะ กำลัง...อาบน้ำอยู่”
เน้นหนักในวลีสุดท้าย ริมฝีปากแดงส่งยิ้มยั่วเย้าให้ชายหนุ่มหน้าสวยต้องลอบถอนหายใจ
คงเห็นเขาเป็นหนึ่งในฮาเร็มของโอเซฮุนหรือเป้าหมายที่ควรต้องกำจัดให้พ้นทางไปแล้วสินะ
ไม่เข้าใจสักนิด ลู่หานมีญาติเป็นผู้หญิงตั้งมากมายแต่ก็ไม่เห็นคนไหนนิสัยเหมือนเด็กๆ
ของเซฮุนสักคน
“งั้นเหรอ”
ไม่ต้องถามว่าเข้าไปได้ไหมร่างเล็กก็ก้าวผ่านซนนาอึนโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง
ลู่หานไม่เห็นความจำเป็นต้องเกรงใจคนที่ไม่ใช่เจ้าของห้อง เขาตรงไปยังหน้าประตูห้องน้ำ
มือบางเคาะส่งสัญญาณสามครั้งแล้วหมุนลูกบิด
ริมฝีปากแดงกระตุกยิ้มใส่นักร้องสาวที่ยืนกัดฟันแน่น
กระชากบานประตูสีขาวส่งตัวเองเข้าไปข้างในก่อนปิดดังปัง
ภาพแรกที่เห็นคือโอเซฮุนกำลังยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ซึ่งกินพื้นที่ตลอดแนวกำแพงหนึ่งในสี่ด้านของห้องน้ำกว้าง
ใบหน้าคมคายมองลู่หานโดยไร้ความแปลกใจในแววตา ต่างกับลู่หานที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจยามจับจ้องร่างสูงสมส่วนในชุดคลุมอาบน้ำหลวมๆ
แหวกให้เห็นแผ่นอกกว้าง เส้นผมดำสนิทเปียกชื้นกับใบหน้าหล่อเหลาพราวหยาดน้ำ
ลู่หานสูดลมหายใจลึก ย้ำกับตัวเองว่าไม่ใช่เวลาเขินอายกับเรือนร่างกำยำนั่น
คิ้วเรียวขมวดชิดพร้อมกับริมฝีปากแดงเม้มแน่นเมื่อประหวัดไปถึงร่างอรชรหน้าห้อง
“ไหนเซฮุนบอกว่าไม่ว่าง แล้วทำไมถึงอยู่ห้อง”
...กับผู้หญิงคนนั้น
“มีอะไรรึเปล่า มาถึงที่นี่”
กลายเป็นถามกลับแทนคำตอบ ดูเหมือนยิ่งพบหน้าจะยิ่งรังแต่สร้างความแปลกใจมากกว่าเดิม
ที่ผ่านมามีหรือลู่หานจะได้รับคำถามเย็นชาห่างเหินแบบนี้จากเซฮุน
“แปลกไปนะ เซฮุนน่ะ”
รอยยิ้มมุมปากไม่น่ามองสำหรับลู่หานแม้แต่น้อย...
เกิดอะไรขึ้นกับเซฮุน เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของพวกเขากันแน่
ลู่หานก้าวเดินตรงไหนผิดพลาดไปหรืออย่างไร
“เหรอครับ ช่วงนี้ผมยุ่งจริงๆ” ชายหนุ่มพาดผ้าขนหนูผืนเล็กกับต้นคอ “กลับไปเถอะเสี่ยวลู่
นี่มันค่ำแล้ว”
“ค่ำ? คนที่เซฮุนควรไล่กลับมันสมควรเป็นฉันหรือไง
ในเวลาค่ำมืดดึกดื่นนี่ ถ้าจะเป็นห่วงล่ะก็เซฮุนน่าจะ...”
“วันนี้นาอึนจะค้างที่นี่”
หยุดทุกคำพูดด้วยประโยคเดียว
โอเซฮุนกระชากสำนึกลู่หานออกมาในวินาทีนี้...
มือคีย์บอร์ดตัวเล็กตั้งคำถามกับตัวเอง ความตั้งใจแรกของเขาคือการมาหาเรื่องผู้หญิงของเซฮุนอย่างนั้นหรือ
ลู่หานตั้งใจมาถามการกระทำของเซฮุนที่แปลกไปไม่ใช่หรือไง
แล้วเพราะเหตุผลบ้าบอข้อไหนลู่หานถึงต้องมาจุกจนพูดไม่ออกเพราะคำพูดประโยคเดียว
“โอเค เข้าใจแล้ว”
กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปแผ่นหลังบางก็เกือบหายลับบานประตูห้องน้ำกว้าง
เซฮุนมองตามลู่หานด้วยสายตายากอธิบาย หลายร้อยความรู้สึกอัดแน่นในหน่วยตาคม
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลู่หาน...พี่ชายร่วมวงที่เซฮุนให้ความเอ็นดูเกินใครกำลังแสดงสีหน้า
นัยน์ตา หรือกระทั่งรู้สึกแบบไหน
มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน วินาทีต่อมาเซฮุนตรงเข้ากระชากเรียวแขนขาวด้วยสติสัมปชัญญะที่ขาดหาย
เขาผลักร่างเล็กกระแทกบานกระจกเงา ไม่เปิดโอกาสให้ดิ้นรนหนี เซฮุนใช้ร่างกายสูงใหญ่แทนกำแพงหนากักขังคนตัวเล็กเอาไว้
ใช้เรี่ยวแรงที่มากกว่าตรึงข้อมือบาง
ก่อนใช้ริมฝีปากฉกจูบรวดเร็ว
“เซ...อื้อ!...”
เสียงร้องด้วยความตกใจดังให้ยินเพียงเท่านั้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างหลังริมฝีปากถูกดูดเม้มรุนแรง
เช่นเดียวกับแนวกรามโดนบีบจนต้องเผยอปากให้เรียวลิ้นอุ่นตวัดชิดเกี่ยวพัน
ถึงจะเคยจูบกันหากมันก็แค่สัมผัสภายนอก อาจลึกซึ้งกว่าจูบแบบเด็กๆ แต่ไม่มีครั้งไหนที่เซฮุนจะล่วงเกินเขาอย่างนี้
เสียงริมฝีปากสัมผัสดังชัดเจน มือใหญ่ลูบคลึงแผ่นหลังไล่ลงมาถึงสะโพกเพรียวกระชับ
กดแนบลำตัวให้ส่วนอ่อนไหวสัมผัสจนคนตัวเล็กดิ้นพล่านโดยที่กลีบปากยังไม่คลายจากกัน
“อ๊ะ...ไม่!...เซฮุน...”
เสียงหวานครางสั่น ทั้งที่เป็นผู้ชายแต่จิตใจตอนนี้กลับอ่อนไหวจนน่าโมโห
เซฮุนกำลังทำให้ลู่หานรู้สึกว่าตัวเขาไม่มีค่า
ไม่มีความรู้สึกให้ต้องเสียเวลาใส่ใจ
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเชื่อมั่นว่าโอเซฮุนคนเดิมไม่มีวันทำกับลู่หานแบบนี้
แล้วเพราะอะไรล่ะ เพราะอะไร
เซฮุนมีเหตุผลอะไร...
“อย่า...พอ...”
ดูเหมือนความใกล้ชิดแสนอันตรายจะยังไม่เพียงพอสำหรับเซฮุน
ชายหนุ่มสอดฝ่ามือผ่านเนื้อผ้าเพื่อสัมผัสผิวเนื้อแท้ด้านใน สะโพกนุ่มเนียนถูกบีบคลึงเรียกร้องการตอบสนองช้าๆ
ชายหนุ่มละริมฝีปากออกมาระรานซอกคอขาว ขบเม้มจนเกิดรอยกลีบกุหลาบแดงเข้ม
“เซฮุน...อึก...ขอร้อง...”
เสียงสั่นเจือร่องรอยสะอื้น แต่เซฮุนยังทำราวกับไม่รับรู้
ชายหนุ่มเดินหน้ารุกรานหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“พอสักที ฉันไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นของเซฮุนนะ!!”
เรี่ยวแรงสุดท้ายถูกส่งออกไปให้ร่างสูงเสียหลักเซไปด้านหลัง ลู่หานเม้มริมฝีปาก
ดวงตาแดงก่ำมองสบตาเซฮุน...ทั้งตัดพ้อ ทั้งเสียใจ
“ที่แท้...ต้องการแบบนี้ ใช่ไหม”
“เสี่ยวลู่...”
ถูกทำเหมือนคนไร้ค่า เซฮุนที่เขาให้ความสำคัญมากกว่าใครน่ะหรือ ทั้งๆ ที่คิดมาตลอดว่าตัวเองคงมีความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก
ทว่าเวลานี้เซฮุนกลับบีบขยี้ความคิดนั้นลงกับมือตัวเอง
“ฉันเข้าใจแล้ว...แค่พูดตรงๆ ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้...”
“เข้าใจว่ายังไง”
“ฉันเกลียดเซฮุน”
“.........”
“อยากให้เกลียดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพูดให้เซฮุนฟัง...เกลียดเซฮุน
เกลียดที่สุด”
“.........”
“ต่อไปฉันจะไม่วุ่นวายกับเซฮุนอีกแล้ว”
ไร้หยาดน้ำตาให้เห็น ลู่หานตัดสินใจเดินจากมาโดยแน่นอนว่าไม่มีการเรียกรั้งจากคนข้างหลัง
ริมฝีปากกับผิวขาวฟ้องไม่ต่างกับเสียงร้องที่อาจเล็ดรอดออกมานอกบานประตูห้องน้ำทำซนนาอึนที่ยืนอยู่ไม่ห่างมองมาอย่างเคียดแค้น
ฝ่ามือหญิงสาวกำแน่นแต่ลู่หานไม่พร้อมจะเปิดศึกกับใครทั้งนั้นเวลานี้
ลู่หานพิงกายอันไร้เรี่ยวแรงกับกำแพงหนาทันทีที่บานประตูคอนโดปิดสนิทลง
ใบหน้าสวยซบกับฝ่ามือตัวเอง ปลดปล่อยเสียงสะอื้นกับหยดน้ำตาซึ่งเก็บกลั้นมานานได้ไหลริน
“...ฮึก...”
ครั้งแรกนับตั้งแต่เจ็ดปีที่รู้จักกัน
ครั้งแรกที่เซฮุนทำให้น้ำตาพวกนี้มันไหลลงมา
*
คิมจงอินเดินเตร็ดเตร่ย่านศูนย์การค้าอย่างที่นานทีปีหนจะนึกคึกอยากใช้เงินในกระเป๋าบ้าง
ท่ามกลางผู้คนเดินสวนขวักไขว่ หลายคนจ้องมองหากยังไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาเอ่ยทักสักคน
จงอินเองก็เข้าใจ นักร้องดังเดินช็อปปิ้งโดยไร้แว่นหรือหมวกอำพรางตัวคงดูโจ่งแจ้งจนน่าสงสัยว่าตัวจริงหรือแค่หน้าเหมือน
คนใดยิ้มมาเขาก็ยิ้มตอบ คนใดมองเฉยจงอินก็เลือกของต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หายไปไหนของเขา”
มือใหญ่ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์หลังปลายสายยังคงติดต่อไม่ได้
ลู่หานปิดเครื่องตั้งแต่เย็นจนค่ำ จงอินพยายามคิดไปในแง่ดีเช่นว่าวันนี้มือคีย์บอร์ดคงกำลังนอนเอาแรงทั้งวันเพื่อใช้วันหยุดสุดท้ายของเดือนให้คุ้มค่าที่สุดกระมัง
“หมวกนี่สวยดีแฮะ”
มือหนาเกี่ยวหมวกไหมพรมสีครีมขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาพิจารณาอย่างสนใจ
ตอนนี้ผมลู่หานยาวประบ่าแล้ว หมวกไหมพรมคงเหมาะเจาะกับคนตัวเล็กแบบไม่ต้องสงสัย
เพียงแค่นึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากบางแดงๆ กับหมวกสีครีมใบนี้จงอินก็วาดยิ้มอ่อน เอาไปคิดเงินอย่างไม่ลังเล
“จงอินครับ”
เสียงคุ้นหูเรียกให้คนตัวสูงที่ถือถุงสี่ห้าใบพะรุงพะรังหันกลับไปมองต้นเสียงอัตโนมัติ บริเวณมุมเครื่องประดับเผยให้เห็นโดคยองซูกำลังยิ้มเผล่โบกมือให้ จงอินยิ้มตอบ หัวเราะเล็กน้อยเมื่อผู้คนรอบด้านมองตรงมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว
“ไหนวันก่อนบอกว่าวันนี้มีสอบตัวสุดท้าย ทำไมมายืนช็อปปิ้งอยู่แถวนี้”
“จงอินจำได้ด้วยเหรอ”
“จำได้สิ” ชายหนุ่มหยุดยืนข้างคยองซู
ก้มใบหน้าหล่อเหลาลงมองสร้อยเส้นเล็กสีเงินในมือเด็กแก้มกลม “ซื้อให้ใครน่ะ”
“ผมอยากได้ คิดว่าไม่ได้ซื้อของขวัญให้ตัวเองนานแล้วครับ สวยดีด้วย”
จงอินครางอือออรับรู้ ดวงตาคมมองพนักงานในร้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนก้มลงกระซิบข้างหูคยองซูเบาๆ
“ไม่ต้องซื้อหรอก ไปกินรามยอนกัน ฉันเลี้ยง”
ว่าแล้วก็ไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น จงอินจัดการเอาสารพัดถุงรวบถือไว้ในมือเดียว
อีกมือเขาลากแขนเด็กมหา’ลัยตาโตที่ยังงุนงงออกจากร้านไป
รามยอนร้านโปรดของจงอินห่างไปไม่ไกลนัก คยองซูก็พอจำทางได้อยู่บ้างแม้ว่าจะไม่ได้ทานบ่อยแต่ด้วยผู้คนเบียดเสียดทำให้จงอินต้องจับมือเด็กหนุ่มกันพลัดหลงตลอดทาง
ดวงตากลมโตมองเรียวนิ้วสอดประสานก็ได้แต่เผลอใจเต้นแรงเพียงลำพัง
บอกแล้วว่าโดคยองซูคนนี้ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการความรักของจงอิน
ไม่ต้องการแย่งชิงชายหนุ่มกับใครหน้าไหนทั้งนั้น
แค่ขอพื้นที่เล็กๆ ให้เขาได้มีความสุขในมุมของตัวเอง
ได้ใจเต้นไม่เป็นส่ำกับเรื่องไม่สำคัญในสายตาคนอื่น ได้เก็บความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ มาประติดประต่อให้สวยงามแล้วเก็บไปฝันหวานคนเดียว
แค่นี้คยองซูก็มีความสุขมากกว่าได้ครอบครองโลกทั้งใบแล้ว
“ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
เสียงใสเปรยขึ้นระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ
โต๊ะติดริมกระจกเป็นมุมเหมาะให้คยองซูนั่งท้าวค้าง เอนศีรษะกลมๆ พิงกระจกใส
“หื้ม เรื่องอะไร?”
“จงอินน่ะสิครับ หิวขนาดรอผมซื้อของก่อนไม่ได้เลยเหรอ”
จงอินส่ายหน้า นิ้วเรียวดีดเปาะเข้ากลางหน้าผากคยองซูแม่นยำ
“บ๊อง ฉันไม่ได้ตะกละขนาดนั้นนะ”
“งั้นจองโต๊ะไว้ก่อน กลับไปซื้อสร้อยข้อมือเส้นนั้นกับผมเลย”
“จะซื้อไปทำไม เปลืองเงิน”
จงอินยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น
ชายหนุ่มฉวยจังหวะที่คยองซูทำหน้ามุ่ยหันมองนอกกระจกหยิบกล่องสีน้ำเงินวางบนมือเด็กหนุ่ม
“อ๊ะ”
“ฉันซื้อมาให้ ตั้งใจว่าจะขับรถไปให้ที่บ้านคยองซูคืนนี้แต่เราดันเจอกันก่อน”
“จงอิน...”
หากไม่ใช่คนเข้มแข็งมีหวังได้ร้องไห้ออกมาง่ายๆ โดคยองซูกระพริบตาปริบ
ริมฝีปากรูปหัวใจคลายยิ้มกว้างเมื่อเปิดกล่องออกมาเห็นสร้อยข้อมือสีเงินเส้นเล็กวิบวับต้องแสงไฟ
อาจไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมายนัก แต่สาบานได้เลยว่าเอาอะไรมาแลกเขาก็ไม่มีวันยอม
“แบบเดียวกับที่คยองซูอยากได้เลยใช่ไหม มา ฉันใส่ให้”
คยองซูยื่นข้อมือให้นักร้องหนุ่มอย่างเต็มใจ จงอินสวมเสร็จก็จับมือเล็กพลิกไปมา
นึกขำกับความบังเอิญแต่กลับรู้สึกแปลกๆ ในอกเมื่อเหตุการณ์นี้บอกได้ว่าเขาทั้งคู่ใจตรงกัน
“เหมาะกับนายดีนะ”
“ขอบคุณฮะ ขอบคุณมากๆ เลย”
ฝ่ามือหนาจับศีรษะคยองซูโยกไปมา แสดงอาการรับรู้ด้วยกิริยาอ่อนโยน
“เปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้เย็นมาซื้อของกับฉันอีกรอบได้ไหม
ยังเหลือของที่อยากได้อีกเยอะเลย แต่นี่มันค่ำแล้ว ฉันไม่อยากไปส่งคยองซูดึก
ที่บ้านนายจะเป็นห่วงเอา”
“ได้สิฮะ ผมก็ต้องซื้อของอีกเหมือนกัน”
“งั้นทำสัญญากันก่อน กันนายเบี้ยวฉัน”
เหลือเชื่อจนดวงตากลมโตเบิกกว้าง จงอินที่เงียบขรึมนี่นะกำลังยื่นนิ้วก้อยตรงหน้าเขา
คยองซูหัวเราะเสียงดังจนต้องปิดปากตัวเอง ยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ เกี่ยวกับนิ้วเรียวพร้อมเสียงตึกตักในใจ
ไม่นานมื้อค่ำกรุ่นกลิ่นหอมน่าทานก็มาเสิร์ฟ คยองซูยิ้มตลอดมื้อแม้กระทั่งกำลังสูดเส้น
ยิ่งจงอินหัวเราะคยองซูก็ยิ่งยากจะหยุดยั้งรอยยิ้มจริงๆ
ไดอะรี่สำหรับวันนี้คงมีเรื่องใหม่ให้เขียนลงไปแล้ว
เรื่องราวที่คยองซูตั้งชื่อว่า รามยอนที่หอมหวานที่สุดในชีวิต
To be continued.
หายไปเต็มๆ 1 ปีกับ 6 เดือน ขอโทษค่ะ T _ T
ใครลืมเนื้อเรื่องตอนเก่าๆ ไปแล้ว (มั่นใจว่าทุกคน 55555) ย้อนกลับไปอ่านทบทวนความจำกันก่อนนะ
เรื่องนี้เราแต่งจบไว้หลายปีแล้ว ถ้ายังมีคนรออ่านก็จะรีไรท์มาลงเรื่อยๆ ค่ะ
ไม่ต้องห่วงว่าจะแย่งเวลาแต่งหมุนปืนหรือฟิคใหม่นะ อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้แต่งจบแล้ว เหลือแค่รีไรท์ แฮ่
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า ขอบคุณทุกคอมเม้นกับทุกแท็กค่ะ ♡
#ดฟด
ความคิดเห็น