คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : หัวไม้ : 17 {100%}
"หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้..."
ฝ่ามือขาวสั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่ เซฮุนต่อสายหาปาร์คชานยอลมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากโทรไปบอกคุณลุงบยอนแบคโฮกับคุณป้าปาร์คยูรา
ท่านทั้งสองคนกำลังเดินทางมาแต่ไอ้คนที่อยู่บ้านเดียวกันดันปิดเครื่องไปซะนี่
"หยุดเดินแล้วนั่งนิ่งๆสักที! กูรำคาญ!!"
เสียงเท้าของคยองซูยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจนเผลอตะคอกออกไป ตอนนี้แบคฮยอนอยู่ในห้องฉุกเฉินและเขาเองก็เป็นกังวลจนทุกอย่างมันแย่ไปหมด
ตอนแรกที่ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเซฮุนแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองและเขาก็ไม่เชื่อจริงๆ แต่เมื่อเห็นข้อความจากคยองซูเขาก็รีบบึ่งรถมาทันที
ไอ้เพื่อนบ้า อย่าเป็นอะไรมากนะเว้ย
ห้องประชุมที่ยังคงเปิดไฟสว่างด้านในนั้นมีเด็กปีสามหลายชีวิตกำลังช่วยกันเก็บของอยู่ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว
ชานยอลเปิดมือถือทันทีที่แยกตัวออกมาจากคนอื่นๆ ข้อความหลายฉบับเด้งป๊อบอัพขึ้นมาบนหน้าจอ เขาเลือกเปิดแต่อันที่น่าสนใจ
D.O.
20:20 P.M. มาโรงพยาบาลด่วน!
SEOH
20:20 P.M. แบคฮยอนถูกรถชน
20:20 P.M. ตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉิน
20:20 P.M. มาโรงพยาบาลด่วน!
MomPark
20:30 ม๊าโทรหาหนูไม่ติดเลย ตอนนี้ม๊ากำลังไปนะ
โทรศัพท์ในมือแทบจะร่วงลงพื้น เขาคงไม่มีเวลามาคิดว่ามันคือเรื่องล้อเล่น
ชานยอลคร่อมมอเตอร์ไซด์ทะยานออกไปจากโรงเรียนอย่างรวดเร็ว เขาคิดเสมอว่าถ้ารีบก็แค่เร่งเครื่องให้แรงขึ้น ไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมายเอง
แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะบิดคันเร่งสักแค่ไหนโรงพยาบาลมันก็ช่างห่างไกลเหลือเกิน
แม้แต่สัญญาณไฟสีแดงตรงสี่แยกก็ไม่คิดจะจอดรอให้มันเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพราะตอนนี้สมองเขามีแค่แบคฮยอนเท่านั้น
...ชานยอลกำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว
ขายาวพาร่างตัวเองมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน คยองซูรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นพี่ชายเพื่อนตัวเอง
แขนยาวค้ำลงกับหน้าขาแล้วหอบเอาอากาศเข้าปอด "เกิดอะไรขึ้น"
"ผมก็ไม่รู้ครับ แต่ข่าวบอกว่ารถแท็กซี่ที่แบคฮยอนนั่งถูกรถบรรทุกชนท้าย"
"แบค...แบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่เห็นครับ ...นั่น หมอออกมาแล้ว"
ชายวัยกลางคนในชุดกราวน์สีขาวขยับแว่นเล็กน้อยแล้วเอื้อนเอ่ยประโยคเดิมๆ "ใครเป็นญาติผู้ป่วยครับ?"
"ผมครับ"
"คนไข้เสียเลือดมาก โรงพยาบาลเกรงว่าเลือดที่มีอยู่จะไม่พอ คุณเลือดกรุ๊ปโอหรือเปล่าครับ"
"เปล่าครับ ผมกรุ๊ปเอ"
ป๊ากับม๊าวิ่งเข้ามาฟังบทสนทนาได้ทัน เข่าปาร์คยูราแทบพับลงไปกองกับพื้น เธอไม่คิดว่าลูกชายจะเป็นอะไรมากกว่าแผลถลอก
"ผมกรุ๊ปโอครับ ผมเป็นพ่อเขา"
บยอนแบคโฮเสนอตัวแต่ก็ถูกภรรยารั้งไว้ "ป๊า เอาเลือดม๊าดีกว่า ป๊าอยู่รอลูกตรงนี้แหละ"
"เลือดผมนี่แหละคุณ ไม่ต้องห่วงหรอก"
"งั้นเชิญทางนี้เลยครับ"
แบคโฮกอดให้กำลังใจภรรยาเบาๆแล้วเดินตามคุณหมอไป
สีหน้าทุกคนดูก็รู้ว่าเป็นห่วงคนเจ็บมากขนาดไหน คราบน้ำตาของปาร์คยูราเปรอะเลอะเต็มหน้า
"น้องเป็นไงบ้างลูก"
"ผมไม่รู้ครับม๊า ผมมาถึงน้องก็อยู่ข้างในแล้ว" ชานยอลพยุงคนเป็นแม่ไปนั่งที่เก้าอี้
"อ้าวคุณ" บยอนแบคโฮเดินกลับมาหาลูกชายคนโตและภรรยาอีกครั้ง หญิงสาวทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็โดนสามีประคองให้นั่งลงเหมือนเดิม
"โชคดีที่ร่างกายแบคฮยอนเข้ากันได้กับเกล็ดเลือดที่โรงพยาบาลมีอยู่น่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก แบคฮยอนปลอดภัยแล้ว"
เด็กหนุ่มมองใบหน้าหญิงสาวที่ตนรักที่สุดอยู่เนิ่นนาน เธอเป็นผู้หญิงแกร่งและเก่งที่สุด ขณะนี้เธอกำลังอ่อนแอเพราะฉะนั้นหน้าที่ของลูกก็ควรจะให้กำลังใจ
แต่ชานยอลก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการกุมมือม๊าเงียบๆ ตอนนี้เขามีคำถามที่รอให้ผู้เชี่ยวชาญสักคนมาให้คำตอบ
ว่าทำไมป๊ากับม๊ารวมถึงแบคฮยอนมีเลือดกรุ๊ปโอ แต่ทำไมเขาถึงมีเลือดกรุ๊ปเอ
ผ่านไปหลายชั่วโมงหมอก็ออกมาบอกว่าแบคฮยอนพ้นขีดอันตรายแล้ว และจะให้ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษในวันพรุ่งนี้ คืนนี้ให้ญาติกลับไปพักผ่อนก่อน
ชานยอลปลีกตัวออกมาเพื่อเข้าไปรับคำปรึกษาจากหมอในห้องเป็นการส่วนตัว
"ขอโทษนะครับ คือผมมีเรื่องสงสัย"
ชายแก่ท่าทางดุดันมองผ่านแว่นสายตามายังเขาแล้วพยักเพยิดให้นั่งลงตรงข้าม "มีอะไรไอ้หนุ่ม"
"คือ...ถ้าพ่อกับแม่เลือดกรุ๊ปโอ มีโอกาสที่ลูกจะเลือดกรุ๊ปเอไหมครับ"
"อืม..." มือสากลูบคางอย่างใช้ความคิด ชานยอลลุ้นกับคำตอบจนตัวโก่ง "ไม่มีนะ ถ้าไม่ใช่ความผิดปกติของยีนที่เรียกว่า Bombay Phenomenon น่ะทำไมหรอ?"
"ผมแค่สงสัยน่ะครับ"
"เรื่องของวิทยาศาสตร์มันซับซ้อนน่ะไอ้หนู ถ้าสนใจก็เรียนต่อด้านนี้สิ"
"ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ" เด็กหนุ่มโค้งตัวเก้าสิบองศาแล้วเดินออกมาหาที่นั่งแถวนั้น
เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้งานที่พวกเขาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจผ่านไปได้ด้วยดี มันเกือบจะเป็นวันที่ดีที่สุดอยู่แล้วเชียว...
...แต่ก็มาเกิดเรื่องแบคฮยอนจนได้
ร่างสูงค้ำศอกลงกับหน้าขาลูบหน้าตัวเองอยู่พักใหญ่ ถ้าเขารู้สักนิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ เขาจะปลีกตัวออกไปรับแบคฮยอนมาเอง
ขอโทษนะแบคฮยอน พี่ขอโทษ
"มานั่งอยู่ตรงนี้เองลูกม๊า กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูก พรุ่งนี้เราค่อยมาหาน้องแต่เช้ากัน"
"ม๊าครับ..." ปากหยักเม้มเข้าหากันแน่น เรียบเรียงคำพูดในสมองอยู่นาน เด็กหนุ่มจ้องไปยังผู้เป็นแม่ที่กำลังตั้งใจฟังแล้วสุดท้ายก็แค่ยกยิ้มออกมา "กุญแจอยู่ที่เดิมนะครับ ผมขอไปหาเพื่อนแถวนี้ก่อน"
แต่ชานยอลก็ยังไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามออกไป
ร่างสูงเดินไปตามทางเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย ล้วงสองมือไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อหลบลมหนาว ...คืนนี้มันหนาวเกินไปหรือเปล่านะ
ลมหายใจเข้าออกมันดูไร้เรี่ยวแรงแต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ยังเดินห่างทางที่จะกลับบ้านออกไปไกล
มันมากกว่าคำว่าว้าวุ่น มันคือความผกผันในห้วงของความคิด ดำดิ่งลงในสีดำทมิฬคล้ายคนหมดอาลัยตายอยากอะไรสักอย่าง
ทอดถอนหายใจจนเกิดไอสีขาวกลุ่มก้อนใหญ่ ปล่อยให้เวลาหมุนผ่านไปเนิ่นนานเพื่อคิดเพียงแค่เรื่องเดียว
...คิดถึงเพียงแบคฮยอนเท่านั้น...
เมื่อไหร่ความรู้สึกแบบนี้จะหายไปสักที ความรู้สึกที่อยากให้คนที่เจ็บปวดนั้นเป็นเขา ความรู้สึกที่ทับถมจนสูงเกินกว่าจะปัดออก
แบคฮยอนคือน้องชายที่เข้มแข็งที่สุด คือคนที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน
แบคฮยอนน่ะ...น่าสงสารนะ
ทำไมถึงไม่เป็นเขาที่นอนอยู่ตรงนั้น อยากจะลองเจ็บแบบแบคฮยอนบ้าง ให้ได้เข้าใจว่าต้องอดทนแค่ไหนถึงจะยิ้มออกมาง่ายดายแบบนั้น
นานแล้วเหมือนกันที่ชานยอลไม่ได้รู้สึกเคว้งคว้างขนาดนี้ ตอนนั้นเขาอาจจะยังเด็กเกินไป เด็กเกินกว่าจะกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยยามที่น้องชายตัวเองร้องไห้วอแว
ชานยอลแค่กลัวว่าจะยิ่งทำให้แบคฮยอนเจ็บมากขึ้นหากพลั้งมือไปจับมือเล็กแรงเกิน เพราะถ้าเทียบกับตนแล้วคนตัวเล็กช่างเปราะบาง
ครืด~ ครืด~ ครืด~
หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อหญิงสาวคนเดียวของบ้าน แทนที่ชานยอลจะรีบรับสายแต่เขากลับปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นแล้วออกเดินอีกครั้ง
แต่เมื่อสายตัดไปมันก็สั่นขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มคิดได้ว่ามารดาคงเป็นห่วงจึงกดรับสาย
เพราะความเป็นห่วงมันทรมานมากเลยนะ รู้หรือเปล่า?
"ผมกำลังกลับครับม๊า"
"โอเคจ้ะ"
แค่นั้นแหละ คนที่เป็นห่วงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการรับรู้ว่าคนที่เรากำลังห่วงปลอดภัยหรอก
ชานยอลตื่นมาอาบน้ำแต่เช้าตรู่ ความจริงไม่ได้เรียกว่าตื่นหรอก เขายังไม่ได้นอนเลยต่างหาก แต่ก็ไม่ต่างกับป๊ากับม๊าเท่าไหร่เพราะท่านทั้งสองก็ดูอิดโรยไม่แพ้กัน
ร่างเล็กย้ายมาอยู่ในห้องพิเศษแล้วแต่ยังไม่รู้สึกตัว มีเพียงแค่เสียงจากทีวีเท่านั้นที่ทำลายความเงียบของห้องนี้
ทุกคนลอบมองไปยังเตียงผู้ป่วยเป็นระยะเพื่อหวังจะเห็นปฏิกิริยาตอบสนอง แต่แบคฮยอนก็ยังคงนอนนิ่งเหมือนเดิม
"ป๊าครับ ม๊าครับ"
ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์มองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียง ลูกชายเขาดูจริงจังเกินไปหรือเปล่า
"หิวหรอครับลูกม๊า?" เสียงอบอุ่นที่ปาร์คยูรามักใช้กับลูกๆอยู่เสมอทำให้กล้ามเนื้อข้างซ้ายของชานยอลเต้นระรัว
"หนูมีคำถาม"
"ว่ามาสิลูก"
"หนู... " เสียงลมหายใจหนักหน่วงที่พ่นออกมาและสูดเข้าไปใหม่นั้นชัดเจน และแน่วแน่ "…หนูใช่ลูกของป๊ากับม๊าหรือเปล่าครับ?"
คมมีดที่กำลังหั่นลงบนผลไม้เฉือนนิ้วมือของมารดาจนเลือดไหลซึม แบคโฮเห็นว่าภรรยาบาดเจ็บจึงปรี่เข้าไปหาแล้วพาไปล้างแผล
จากที่เงียบอยู่แล้วตอนนี้มันกลับเงียบขึ้นไปอีก
ชานยอลก้มลงมองฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อของตัวเอง เขาควบคุมมันไม่อยู่
ปลายรองเท้าหนังคู่หนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะตามมาด้วยแรงบีบที่ไหล่ น้ำใสไหลออกจากดวงตาทันทีที่สัมผัสนั้นเคลื่อนมาลูบศีรษะ
เขากะไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะยอมรับความจริงไม่ได้
"ป๊ากับม๊ารักหนูนะชานยอล"
ไหล่กว้างสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อความเสียใจตีขึ้นมาไม่หยุด เขากลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ได้จนมันดังกลบเสียงรายการวาไรตี้ในทีวีไปเสียแล้ว
คนเป็นพ่อดึงลูกชายเข้ามาซบตรงหน้าท้อง ลูบหลังเด็กหนุ่มที่ตัวโตกว่าเขาหลายเซ็นเป็นการปลอบประโลม
"พอแล้วลูก พอแล้ว" แบคโฮปาดน้ำตาตัวเองลวกๆ เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไปพร้อมลูกชายและภรรยา
ปาร์คยูรายังคงยืนอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ตั้งแต่ทำแผลเสร็จ เธอก็ร้องไห้ไม่แพ้ชานยอลเช่นกัน ...ใครๆก็กลัวความจริงกันทั้งนั้น
เสื้อยืดสีขาวชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาหลังจากชานยอลผละใบหน้าออก มือสากของคนแก่ยังคงลูบหัวเขาอยู่
"หนูคือลูกของป๊ากับม๊า ชานยอล"
เจ้าของชื่อพยักหน้าเข้าใจ ถึงแม้ความจริงจะไม่มีคำตอบออกมาจากปาก แต่น้ำเสียงและการกระทำก็ยืนยันได้แล้วว่าเขา...ไม่ใช่ลูกแท้ๆของปาร์คยูราและบยอนแบคโฮ
ความอ่อนโยนของชายตรงหน้าหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนอ่อนโยน และผู้หญิงที่ยังคงยืนสะอึกสะอื้นอยู่ไม่ไกลนั้นก็สอนให้เขาเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แบบจนทุกวันนี้
ชานยอลไม่ได้ถูกปฏิบัติแตกต่างจากลูกแท้ๆเลยด้วยซ้ำ
"หนูคือครอบครัวของเรานะ ปาร์คชานยอล"
เพราะท่านทั้งสองรักและเลี้ยงดูชานยอลมาราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าไม่แพ้แบคฮยอนเลย
มันอาจจะผิดที่พวกเขาปิดบังความจริงไว้ แต่ถ้ามันจะทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้นก็คงต้องยอม
ยูราแค่กลัวว่าชานยอลจะรับความจริงไม่ได้ อีกอย่างเธอเองก็ไม่กล้าพูดเพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จนเวลามันก็ล่วงเลยมาแสนนาน
ทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป เพราะถึงยังไงพวกเขาก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกันตั้งแต่ตัดสินใจรับชานยอลมาอยู่ด้วยแล้ว
แต่สุดท้ายความลับมันไม่มีในโลกจริงๆ
"ผม...เดี๋ยวผมกลับมานะครับ"
แบคโฮดึงยูราไว้ทันก่อนที่เธอจะถึงตัวชานยอล ยื้อไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ควรปล่อยให้เด็กมันได้ใช้เวลาได้ลองคิดอะไรดูบ้าง
ชานยอลโตแล้ว ไม่ใช่โตแค่ตัวหรือเลขอายุ แต่ความคิดความอ่านของเด็กคนนี้ก็โตพอที่จะแยกแยะว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
มันโอเคตั้งแต่ที่ชานยอลเข้าใจคำตอบด้วยความเงียบนั้นด้วยตัวเองแล้วล่ะ
ตอนนี้เขาแค่ต้องการเวลา มันอาจจะเร็วเกินไปหรืออาจจะช้าเกินไปด้วยซ้ำสำหรับความจริงที่ได้รับรู้
แต่เชื่อไหม...ความจริงบางอย่าง ไม่รู้มันเลยซะยังดีกว่า
ร่างสูงนอนราบลงกับพื้นหญ้า เปลือกตาบางปิดสนิท ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาก่ายหน้าผากเพื่อบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์
เมื่อสิบนาทีที่แล้วเขายังเป็นคนมีพ่อมีแม่อยู่เลย ไหงตอนนี้มันกลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้วล่ะ
แถมในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดแบคฮยอนกลับไม่อยู่ให้กำลังใจเขาซะงั้น
เด็กหนุ่มเผลอหลับด้วยความเหนื่อยล้า โดยที่ข้างกายมีหัวหน้าครอบครัวแอบย่องมานั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
แบคโฮขว้างหินก้อนเล็กลงสระน้ำเพื่อรอเวลาให้ลูกชายเขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนเขาเองก็ไม่ได้นอนแถมยังทำงานมาทั้งวันและต้องขับรถมาจากบ้านเป็นชั่วโมงอีก
แต่คนเป็นพ่อก็ย่อมเป็นห่วงความรู้สึกลูกก่อนเสมอ
เขาอาจไม่ใช่พ่อที่ดีที่สุดแต่เขาก็ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง
ชานยอลเป็นลูกชายที่เขากับภรรยาภาคภูมิใจมากคนหนึ่ง ชานยอลทำให้คิดอยู่เสมอว่าพวกเขาตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกรับเด็กคนนี้เข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัว
แน่นอนว่าพระเจ้าคงไม่ใจร้ายรังแกเด็กน่าสงสารอย่างชานยอลหรอก เด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกน่ะ ...น่าสงสารจะตาย
ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรให้เจ้าตัวต้องฉุกคิดขึ้นมาว่าจะใช่ลูกชายแท้ๆหรือไม่ ป๊ากับม๊าไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ ไม่ได้ต่อต้านหรือทำร้ายร่างกาย แม้แต่การละเลย ...ท่านก็ไม่เคยทำ
แต่ความรู้สึกที่มันก่อตัวขึ้นมาต่างหากทำให้สมองเขาเผลอคิดอะไรแปลกๆ และกับคำถามที่หลายคนสงสัยว่าชานยอลกับแบคฮยอนเป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่านั้น
...ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจถามได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้มันเลยเที่ยงวันมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วและแสงแดดที่ให้ความอบอุ่นก็หักเหทิศไปทางอื่น
ชานยอลลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองหนาวจนเหมือนกำลังถูกแช่แข็ง เขามองแผ่นหลังคุ้นตาเพื่อทบทวนให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันอยู่
และเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มันก็เกิดขึ้นจริง
"ป๊า" ชายหนุ่มหันหน้ามองลูกชาย
"ตื่นแล้วหรอ หิวแล้วล่ะสิ"
"ป๊า..."
"ไปกินข้าวกันเถอะ ม๊ารออยู่"
ชานยอลรู้สึกหวิวโหวงในหัวใจ มันคล้ายกับว่ายังเจ็บปวดแต่ก็เหมือนจะรู้สึกดี
เขาเดินตามคนอายุมากกว่าเข้าไปในตึก ระหว่างขึ้นลิฟต์ไม่มีใครเปิดบทสนทนาจนเดินมาถึงหน้าห้องพิเศษที่มีชื่อคนไข้ติดอยู่ 'บยอน แบคฮยอน'
มือสากแตะลงกับประตูเลื่อน แบคโฮหยุดการกระทำและหันมาพูดกับลูกชาย "ป๊ากับม๊าขอโทษที่ปิดบังหนู"
"…"
"เพราะป๊ากลัวว่าหนูจะเสียใจอย่างนี้ไง"
"..."
"อย่าเปลี่ยนไปนะชานยอล"
"…"
"…ป๊าขอ"
มวลแห่งความเศร้ายังคงตลบอบอวลอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เป็นเหตุให้มื้อกลางวันที่ทานเข้าไปมันไม่มีรสชาติ
ยูรายังต้องคอยปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเป็นระยะ จมูกเธอขึ้นสีแดงจนน่าสงสาร เห็นแบบนั้นชานยอลจึงเอื้อมฝ่ามือใหญ่ของตัวเองไปกุมมือเธอไว้
"ผม...ขอบคุณนะครับสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ผมสัญญาว่าจะกลับไปเป็นปาร์คชานยอลลูกชายของป๊ากับม๊าเหมือนเดิม ให้เวลาผมหน่อยนะครับ"
หญิงสาวโผกอดลูกชายร้องไห้โฮ เธอเข้าใจความรู้สึกของเด็กอายุสิบแปดปีที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แถมตอนนี้ยังมีหลายปัญหาถาโถม
...ชานยอลจะต้องลำบากใจมากแค่ไหน
ปาร์คยูราและบยอนแบคโฮออกไปสูดอากาศด้านนอกจนดึกดื่น เขาให้กำลังใจกันและกันและเชื่อเสมอว่าชานยอลจะต้องเข้าใจในเหตุผลที่บอกไป
ไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเจ็บปวดหรอก
เขาเลี้ยงลูกด้วยตัวเองมาเกือบยี่สิบปี และน้อยครั้งมากที่ชานยอลจะงอแง ...ถ้าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับแบคฮยอน
ผู้ใหญ่ทั้งสองกลับห้องมาตอนฟ้าเริ่มสว่าง เห็นว่าชานยอลฟุบหลับอยู่ข้างเตียงเลยปลุกให้ไปนอนบนโซฟา แต่เด็กหนุ่มกลับตื่นทันทีเมื่อได้เห็นหน้าท่านทั้งสอง
เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยังคงเงียบ บรรยากาศมันดูแห้งๆชอบกลหลังจากที่เขารู้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับใครสักคนในห้องนี้
ชานยอลโค้งตัวเก้าสิบองศาและกำลังจะเดินออกไปจากห้องถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงแหบแห้งดังขึ้นซะก่อน
"ชาน..."
ไวเท่าความคิดร่างสูงหมุนตัวกลับมายังเตียงผู้ป่วย คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังเจ็บปวดนั้นทำให้เขารู้ได้ทันทีเลยว่า...แบคฮยอนรู้สึกตัวแล้ว
ทั้งที่ยังหลับตาอยู่แต่แบคฮยอนกลับเรียกชื่อพี่ชายเป็นบุคคลแรก ราวกับจิตใต้สำนึกมันกำลังบอกว่าชานยอลต้องการเขา
หลังจากยืนรอหน้าห้องให้หมอตรวจคนเจ็บอยู่หลายนาทีก็ได้เข้ามานั่งถามไถ่กันข้างเตียง
ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยรอยบาดแผลแต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังคงยิ้มแป้น
"เจ็บมากไหม?"
เนิ่นนานที่ไม่มีคำตอบจนทำให้ชานยอลต้องถามย้ำขึ้นอีกครั้งเพราะคิดว่าน้องชายอาจจะมีปัญหาด้านการได้ยิน
"เจ็บสิ เจ็บไปหมดเลยเนี่ย ตรงนี้ ตรงนี้" สาบานเถอะว่านี่คืออาการของคนเพิ่งผ่านช่วงชีวิตของความเป็นความตายมา
แบคฮยอนจะเข้มแข็งมากเกินไปแล้ว
"หลับไปหลายชั่วโมงเลย ง่วงมากหรอ" มือหนาเสยผมออกจากใบหน้าอิดโรยอย่างเอ็นดู
"สงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อน"
ชานยอลอยากจะหัวเราะไปพร้อมกับร้องไห้ เขารู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนได้รับการเยียวยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แบคฮยอนเป็นเหมือนเจ้านายที่ชานยอลพร้อมจะกระดิกหางเข้าหาเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้กำลังเล่นของเล่นอยู่ก็พร้อมจะทิ้งของเล่นแล้ววิ่งเข้าไปตะกรุยขา
เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าคนที่เขารักมีรอยยิ้มแค่นั้น...เพียงแค่นั้น
ก็ไม่มีอะไรทำให้ชานยอลเจ็บปวดอีกแล้ว
"ร้องไห้ทำไม"
ใช่แล้ว... ปาร์คชานยอลกำลังร้องไห้
ก็ดูแบคฮยอนสิ ที่แบคฮยอนต้องเจ็บขนาดนี้น่ะ มันเป็นเพราะเขาไม่ใช่หรอ
ถ้าเขาบอกว่าจะไปรับแบคฮยอนแล้วให้แบคฮยอนรออยู่กับเพื่อนอีกสักแปป แบคฮยอนก็คงไม่ต้องนั่งรถแท็กซี่คันนั้นไม่ใช่หรอ
"ขอโทษ พี่ขอโทษนะ" มือหนากอบกุมมือเล็กเข้ามาแนบหน้า น้ำตาอุ่นใสเปรอะเลอะจนร่างเล็กยกยิ้ม
ไม่ใช่ยิ้มเพราะชอบใจที่เห็นน้ำตาพี่ชายหรอกนะ แต่ยิ้มเพราะชอบใจในความเป็นห่วงของชานยอลต่างหาก
"เหมือนเดิมเลยนะ"
"เหมือนเดิมอะไร?"
แบคฮยอนปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหล่อ "ขี้ร้อง"
"เปล่า"
"ยังจะมาปฏิเสธอีก" ร่างเล็กขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้นเล็กน้อย "ตอนผมป่วยพี่ก็ร้องไห้ทุกครั้งแหละ"
"ก็พี่กลัวนี่นา"
"..."
ชานยอลฟุบหน้าลงกับเตียงสีขาว เขาอึดอัด อยากจะจับแบคฮยอนเขามากอดแน่นๆแล้วบอกว่าเขารักแบคฮยอน... รักมากกว่าชีวิตตัวเองซะอีก
แต่เขาก็กลัว...กลัวว่าแบคฮยอนจะตีตัวออกห่าง
เขาเคยคิดว่ามันคงจะดีถ้าตัวเองไม่ได้เป็นพี่น้องกับแบคฮยอน แต่พอมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา...เขากลับอยากจะเป็นพี่น้องกับแบคฮยอนอีกครั้ง
"พี่กลัวจะเสียเราไป..."
คำพูดของชานยอลมันทำให้คนเจ็บใจสั่นรัว เหมือนจะยิ่งตอกย้ำว่าชีวิตนี้ร่างสูงไม่มีใครอีกแล้วนอกจากแบคฮยอน
.
.
เป็นอีกครั้งที่ขายาวทอดน่องไปตามทางเดินสลัว ยิ้มเยาะให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง
นานแล้วที่ไม่ได้ตัดพ้อโชคชะตาแบบนี้ เหวี่ยงเขาให้มาเจอกับแบคฮยอน ให้ตกหลุมรักในฐานะพี่ชายกับน้องชาย แล้วก็เฉลยความจริงว่า...เขามันก็แค่ใครคนหนึ่งที่ตกหลุมรักแบคฮยอน
กลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์จากสเปรย์ปรับอากาศช่วยบรรเทาความฟุ้งซ่านออกไปได้บ้าง
ร่างสูงเดินหายเข้าไปในชั้นหนังสือ ใช้เวลาเลือกปกที่น่าสนใจกับบทย่อด้านหลัง เขาคงต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาในระหว่างที่แบคฮยอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
MomPark
22:20 P.M. หายไปไหนอ่ะ?
SonPark
22:21 P.M. เดินเล่น
MomPark
22:22 P.M. เบื่อ
22:22 P.M. ม๊ากับป๊าเป็นอะไรไม่รู้
22:23 P.M. ไม่ยอมเล่นด้วยเลย
SonPark
22:24 P.M. จะเล่นอะไรล่ะ ทำไมไม่นอน
MomPark
22:24 P.M. นอนทั้งวันแล้ว
SonPark
22:25 P.M. พักผ่อนเยอะๆ
MomPark
22:26 P.M. จะเป็นง่อยแล้ว
SonPark
22:26 P.M. ให้แผลหายก่อนเดี๋ยวพาไปเดินเล่น
MomPark
22:27 P.M. อยากกินขนม
22:27 P.M. ม๊ามาแล้ว!
22:27 P.M. รีบกลับมานะ
22:28 P.M. คิดถึงๆ
นี่แหละ...ข้อดีของการที่ยังไม่ต้องรับรู้ความจริง
เขาเดินออกจากร้านโดยไม่มีหนังสือติดมือมาสักเล่ม สำหรับแบคฮยอนแล้วหนังสือมันคงไม่ใช่ทางหรอก ต้องของกินสิ
แล้วเงินในกระเป๋าก็ถูกขนมหวานในตู้สอยไปจนได้ ชานยอลมีความสุขเสมอแหละเวลาเลือกของที่แบคฮยอนชอบน่ะ
เพราะแค่คิดถึงรอยยิ้มที่คนตัวเล็กจะให้กลับมามันก็ทำให้หัวใจดวงนี้พองโต
"ป๊ากับม๊ากลับก่อนนะ อยู่กันเองได้ใช่ไหม?"
"สบายอยู่แล้วครับ ยังไงหนูก็ออกไปซนที่ไหนไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง กลับไปทำงานเถอะ"
เสียงเล็กพูดเจี้ยวจ้าว ในขณะที่สองมือถือถ้วยพุดดิ้งไว้แน่น
"ฝากน้องด้วยนะชานยอล"
"ครับ"
เสียงทุกอย่างในห้วงความคิดเงียบสงบ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของปาร์คยูราแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นมีแค่แววของความห่วงใย
ชานยอลไม่ได้ยินเสียงความคิดใครอีกแล้ว
หญิงสาวกอดลูกชายตัวสูงแน่น เกือบจะพลั้งน้ำตาให้ไหลออกมาอีกรอบแต่ก็นึกได้ว่าแบคฮยอนยังไม่รู้เรื่องนี้
"ขับรถดีๆนะครับ ป๊า ม๊า"
"บ๊ายบายครับ" แบคฮยอนโบกมือลาด้วยท่าทางน่ารัก มันน่าเอ็นดูเสมอสำหรับคนเป็นพ่อและแม่
พวกเขาไม่อยากให้แบคฮยอนต้องเจ็บปวดเลย ...ไม่อยากเลย
แต่ตั้งแต่เล็กจนโต แบคฮยอนมักจะเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่เสมอ เพราะเป็นโรคภูมิแพ้และโรคหอบ
ร่างกายแบคฮยอนอ่อนแอกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า เป็นเหตุให้หลายครั้งเวลาพี่ชายออกไปเล่นนอกบ้านน้องชายจะส่งสายตาละห้อยผ่านกระจกใสมองคนทีกำลังเล่นสนุกอย่างอิจฉา
และมันยังมีความจริงอีกข้อที่รอบอกให้เด็กทั้งคู่รับรู้พร้อมกัน นั่นคือ...แบคฮยอนอายุมากกว่าชานยอล
"ชานยอล ขอน้ำหน่อย"
ไร้ปฏิกิริยาตอบรับจากร่างสูงที่นั่งจ้องทีวีตาไม่กระพริบ
"ชานยอล"
เหมือนคนกำลังใจลอยอะไรสักอย่าง
"ชานยอล!"
"ห้ะ? ตะโกนทำไมเนี่ย"
"เรียกรอบที่ล้านเล่า ขอน้ำหน่อย"
สายตาที่ใช้มองน้องชายตอนนี้มันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับป๊าและม๊า
การบอกความจริงที่อาจจะทำให้คนรับรู้เจ็บปวด มันอึดอัดและน่ากลัวเกินกว่าจะกล้าพอ
จะให้เขาบอกแบคฮยอนว่า 'รู้หรือเปล่าว่าพี่ไม่ใช่ลูกแท้ๆของป๊ากับม๊านะ เราไม่ใช่พี่น้องกัน' ถึงจะเป็นประโยคที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันก็น่ากลัวอยู่ดี
ต่อให้สรรหาถ้อยคำที่ระมัดระวังและนุ่มนวลที่สุด มันก็กระทบจิตใจให้เจ็บปวด
ดูอย่างเขาสิ...ขนาดคำตอบที่ได้มาเป็นเพียงความเงียบงัน มันก็ทำลายทุกส่วนของหัวใจไปจนย่อยยับ
"พรีเซ้นงานเป็นไงบ้าง ผ่านฉลุยเลยป่ะ?"
"แน่นอนอยู่แล้ว"
"พี่ชายใครเนี่ย นอกจากจะหูกางแล้วยังขาโก่งด้วย หลอกๆ พี่ชายใครเนี่ย นอกจากหน้าตาดีแล้วยังเก่งด้วย"
...แบคฮยอนร่าเริงเสมอเลยนะ
"ทำไมรถไม่ชนปากมึงนะ เอาให้พูดไม่ได้ไปสักระยะไปเลย"
"ไม่เอาหรอก ขาดใจตายพอดี"
มือหนาหยิกพวงแก้มยุ้ยจนขึ้นรอยนิ้วก่อนจะโดนฟาดแขนกลับมาจนขึ้นเป็นรอยนิ้วเช่นเดียวกัน
คุ้มค่า
โรคจิตหรอ ปาร์คชานยอลก็คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นแหละ แต่การที่มีแบคฮยอนไว้ให้ก่อกวนมันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ดีกว่าตอนไม่มีเป็นไหนๆ
และการกวนตีนคนอื่นจนเขารำคาญมันก็คือความสำเร็จในชีวิตเรื่องหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือไง
"นอนได้แล้ว"
"ฝันดี ไอ้ช้อน"
"ฝันดี นุ้งแป๊ก"
แบคฮยอนนอนตัวแข็งทื่อผิดจากนิสัยปกติเพราะเจ็บแผลผ่าตัดตรงช่วงท้อง ทำให้ตื่นมาแล้วน้องรู้สึกเมื่อยไปทั้งตัวจนหน้าตายับยู่ยี่
กลิ่นอากาศสดชื่นในยามเช้าพัดเข้ามาทางประตูระเบียง เขาเห็นร่างสูงยืนเท้าแขนกับที่กั้นแหงนมองฟ้าแล้วรู้สึกอิจฉาอยากออกไปยืนสูดอากาศบ้าง
แต่ลำพังแค่จะพลิกตัวตอนนี้ยังลำบากเลย เพราะกลัวไส้จะปริปากแผลทะลักออกมาซะก่อน
แบคฮยอนเอื้อมหยิบมือถือพี่ชายบนโต๊ะมากดเข้าแอพไลน์ตามคยองซูกับเซฮุนให้มาหา เพื่อนคงจะเป็นห่วงเขามากๆเหมือนกัน
ไม่นานนักทั้งสองคนก็มาตามคำเชิญ ชานยอลเห็นว่าน้องชายมีเพื่อนอยู่ด้วยแล้วจึงปลีกตัวออกมาข้างนอก
แปลกดีที่สิ่งที่หลงเชื่อมาตลอดสิบกว่าปีนั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก ถึงแม้จะโกหกเพื่อให้สบายใจก็เถอะ...
"เห้อ~" เด็กหนุ่มปล่อยละอองแห่งความอึดอัดเป็นกลุ่มควันสีเทา นิโคตินเข้าไปในขั้วปอดแล้วละล่องออกมาฟุ้งภายในอากาศ
หลายคนคิดว่าการสูบบุหรี่สามารถทำให้จิตใจสงบลงได้ แต่หารู้ไม่ว่าการที่เราหายใจเข้าออกยาวๆนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เราผ่อนคลาย
ชานยอลไม่เคยอึดอัดแบบนี้มาก่อนเลย เขาไม่เคยคิดว่าการมองหน้าแบคฮยอนจะทำให้หนักใจถึงขั้นนี้เพราะตลอดมาแบคฮยอนทำให้เขาสบายใจอยู่เสมอ
ต่อให้ต้องตามเช็ดตามล้างเรื่องที่น้องชายก่อไว้มันก็ไม่น่ารำคาญถึงเพียงนี้ เขาหวนกลับไปคิดถึงชีวิตที่ผ่านๆมา
แบคฮยอน...ป่วยตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถออกไปเล่นน้ำฝนเป็นเพื่อนเขาได้ ทุกฤดูแบคฮยอนจะเอาแต่อยู่ในบ้าน อากาศหนาวก็ไม่ชอบ และไม่ได้หมายความว่าแบคฮยอนจะชอบอากาศร้อนนะ เพราะโดนแดดแค่แปปเดียวก็ป่วยแล้ว
เขาจะเป็นคนนอนเล่าความรู้สึกให้เด็กขี้สงสัยฟังว่าเวลาหยดน้ำเย็นฉ่ำมันหล่นมาสัมผัสเราน่ะ สดชื่นแค่ไหน 'มันไม่เหมือนการอาบน้ำหรอ?' แต่เด็กน้อยตาแป๋วก็ยังคงสงสัยไม่เลิก
น่าเอ็นดูเสมอเลย
ถ้าจะถามว่าความสนุกในวัยเด็กของชานยอลเป็นยังไงก็คงจะตอบได้ว่า ...ความสุขของชานยอลคือการออกไปเล่นน้ำฝนหน้าบ้าน โดยที่ความสนุกคือการที่น้องชายตัวน้อยจ้องมองผ่านบานหน้าต่างมาด้วยรอยยิ้มล่ะมั้ง
ป๊าชอบบอกว่าให้เล่นอยู่บริเวณใกล้ๆเพื่อให้น้องมองเห็นได้ ให้น้องรู้สึกเหมือนเล่นกับหนูนะชานยอล
จนถึงวันนี้แบคฮยอนเข้มแข็งขึ้นมาจากวัยเด็กแต่ก็ยังเปราะบางสำหรับชานยอลอยู่ดี
นั่นคือทุกครั้งที่น้องชายเขาไปมีเรื่องแล้วต้องไปประกันตัวออกจากโรงพัก ชานยอลจะทิ้งทุกอย่างเพื่อไปดูให้เห็นกับตาว่าแบคฮยอนจะไม่เป็นอะไร
หัวใจเขาเต้นรัวทุกทีเวลาเห็นเด็กที่ใส่ชุดนักเรียนแบบน้องชายบาดเจ็บ เพราะถ้าคนตัวเล็กเป็นอะไรไป
ไม่ใช่เพราะแบคฮยอนไม่ดูแลตัวเองหรอก…แต่เป็นเขานี่แหละที่ดูแลแบคฮยอนไม่ดี
TBC.
#หัวไม้ชานแบค
เบื่อกันยัง?
เครียดแทนพี่ชานจังเลยอ่ะ
ไม่เป็นไรนะคะพี่ เดี๋ยวหนูไปปลอบพี่เอง
ไม่อยากนึกถึงวันที่บะแบ้กรู้ความจริงเลย
งือออออออ
และเราอยากบอกอีกครั้ง...ขอบคุณสำหรับโปสเตอร์ฟิคหน่าก้ะคุณ @n_FoNn
ขี้เห่ออ่ะ ไม่เคยมีใครทำให้
รักรักรัก
ความคิดเห็น