ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] ✰ หัวไม้ ' {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #16 : หัวไม้ : 13 {120%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.49K
      3
      8 มิ.ย. 58





     

     

              "ชานยอล ตื่น"

     

              "อืม"

     

              "ตื่นเร็ว"

     

              "ไรอ่ะ"

     

              "ไปบริจาคเลือดกัน เดี๋ยวสายแล้วคนเยอะ"

     

              "ขอนอนไม่ได้หรอ?"

     

              "ไม่ได้ ไปทำบุญกัน" ชานยอลหันตูดให้น้องชายแล้วมุดหัวเข้าผ้านวมผืนใหญ่ แต่แขนล่ำนั่นไม่สามารถต้านทานพลังช้างสารของแบคฮยอนได้ "ลุกขึ้น"

     

              "คร่อกกกกก~"

     

              "เล่นงี้ใช่ไหม?"

     

              "คร่อกกก ฟี้~"

     

              "ได้"

     

              "ฟี้~"

     

              "ชานนนนนยอลลลลล!!!!! ตื่นนนนน!!!!! ไป!! บริจาค!! เลือด!! กันนนนน!!!!!"

     

              "งื้อ แบคฮยอน เดี๋ยวข้างบ้านก็โทรแจ้งตำรวจหรอก"

     

              "ลุกขึ้นเร็วๆเลย" ร่างเล็กยืนกอดอกอยู่ข้างเตียงแล้วทำหน้าดุ แต่มันจะดุได้สักแค่ไหนกันเชียว อย่างกับแมว

     

     



     

              อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็แว๊นมอไซด์ไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ขนาดช่วงเช้าคนยังเยอะขนาดนี้ปาร์คชานยอลขอชิ่งเป็นลมก่อนเลยแล้วกัน

     

              ขายาวสั่นพรึ่บพรั่บเหมือนผ้าที่ตากไว้บนดาดฟ้า ใบหน้าเริ่มถอดสีเมื่อเยื้องย่างเข้ามาในแผนกธนาคารเลือด

     

              "เอ๊ะ นี่ใช่บยอนแบคฮยอนกับปาร์คชานยอลหรือเปล่าจ้ะ"

     

              "อ้ะ คุณป้าอึนบี สวัสดีฮะ" เด็กหนุ่มทั้งสองคนโค้งตัวทักทายหญิงสาววัยกลางคน

     

              "โตเป็นหนุ่มจนป้าจะจำไม่ได้แล้วนะเนี่ย หล่อจริงๆทั้งสองคนเลย"

     

              "ขอบคุณครับ"

     

              "จะไปไหนกันหรอลูก?"

     

              "มาบริจาคเลือดครับ แล้ว...ทำไมป้าอึนบีมาอยู่ที่นี่ล่ะฮะ" คุณป้าใจดีเพื่อนม๊าเป็นนางพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลโซล ทำไมมาโผล่อยู่แถวปูซานล่ะ

     

              "ป้ามาขอประวัติผู้ป่วยน่ะ รอโรงพยาบาลทำให้ไม่ไหวหรอก ช้าอย่างกับหอยทาก" คุณป้าป้องปากนินทา

     

              "อ่า นั่นสินะครับ"

     

              "ว่าแต่สองพี่น้องจะไปไหนกันนะ ป้าลืม"

     

              "ไปบริจาคเลือดฮะ"

     

              "อ๋อ งั้นโชคดีนะลูก ป้าไปก่อนนะไว้เจอกัน"

     

              "ครับ เจอกันนะครับคุณป้า"

     

              "เอ๊ะเดี๋ยว!..." ไม่ทันออกเดินคุณป้าก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วหันกลับมาดึงแขนแบคฮยอนไว้อีกครั้ง "บริจาคเลือดหรอ?"

     

              "ใช่ครับ"

     

              "บอกป๊ากับม๊าหรือยัง?"

     

              "ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่ฮะ" แบคฮยอนพูดขำๆ ปนงง

     

              "อ่า จริงด้วย งั้นป้าไปจริงๆแล้วนะ"

     

              "ลาก่อนครับ"



     

              เด็กหนุ่มทั้งสองโค้งให้จนป้าอึนบีเดินออกไปไกลพอสมควร มือเย็นชืดของชานยอลชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่เคยรู้สึกอยากอ้วกแบบตอนนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ



     

              "บ แบคฮยอน"

     

              "ชานยอล ไหวไหมเนี่ย?"

     

              "ไม่ไหวว่ะ จริงๆ"

     

              "งั้นมึงรอกูอยู่ข้างนอกแล้วกัน"

     

              "โอเค" ร่างสูงฝังตัวเองอยู่ในเก้าอี้เกือบห้านาทีนางพยาบาลก็พยุงตัวน้องชายเขาออกมา มือข้างขวาถือไม้ชุบแอมโมเนียโบกให้ตัวเองก่อนจะนั่งลงข้างๆ


     

              "น้องชายคุณกลัวเข็มจนเป็นลมน่ะค่ะ"

     

              "พรืดดดดดดด" จากที่นั่งหน้าซีดอยู่ก่อนเป็นอันว่าต้องขำพรืดอย่างห้ามไม่ได้ รู้อยู่แก่ใจว่ากลัวเข็มยังจะมาทำเก่งบริจาคเลือดอีก เด็กบ๊องเอ้ยยยยยยย "ขอบคุณมากนะครับ"

     

              "ยังไงก็ขอบคุณที่คิดจะบริจาคเลือดนะคะ รับขนมกับนมไปกินรองท้องก่อนนะอาการจะได้ดีขึ้น"


     

              เมื่อพยาบาลเดินจากไปแล้วชานยอลก็แกะขนมป้อนให้ร่างเล็กที่ใช้ไหล่เขาเป็นที่พักพิง ริมฝีปากบางค่อยๆเปลี่ยนจากสีนู้ดเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าอาการเริ่มดีแล้ว



     

              แบคฮยอนน้อยใจตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรกับอาการกลัวเข็มแม้แต่เข็มเย็บผ้าเขายังกรี๊ดแตก นึกว่าพอโตแล้วอาการเหล่านั้นมันจะทุเลาลงไปบ้าง...แต่เปล่าเลย

     

              "เหม็นไอ้นี่จนจะอ้วกตายห่าอยู่แล้ว" มือเล็กชูก้านไม้ชุบแอมโมเนียก่อนจะเขวี้ยงออกไปด้านหน้า

     

              "ทำไมทำนิสัยงี้ล่ะ?" ชานยอลดันศีรษะกลมไปพิงไว้กับกำแพงแล้วลุกไปหยิบก้านไม้ปั่นหูยักษ์มาทิ้งลงถังขยะข้างๆ

     

              "หงุดหงิดว่ะ นึกว่าหายกลัวแล้วนะเนี่ย"

     

              "เอ๊าๆๆๆ หัวยุ่งหมดแล้ว"

     

              "คอยดูนะ เดือนหน้าจะมาอีก คอยดู!" ร่างเล็กขยำหัวตัวเองพร้อมกระทืบเท้ายิ่งกว่าคนสติไม่ดี

     

              "รอด้วยซี่ แบคฮยอนรอพี่ด้วย" ร่างสูงหอบหิ้วถ้วยกาชาดฟรีไว้ข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็คว้าคอน้องชายมากอดไว้แล้วช่วยจัดทรงผมมั่วซั่วนั่นให้เข้าที่


     

              เดินกลับไปยังรถมอเตอร์ไซด์ด้วยสีหน้ามุ่ย น้องชายตัวแสบยังคงเฟลและขี้เกียจพูดกับใครทั้งนั้น ชานยอลเลยพาขับรถเล่นกินลมไปเรื่อยๆจนจบลงด้วยการมาเดินเล่นภายในห้าง

     

              "หิวยัง?"

     

              "อืม"

     

              "ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างงี้ดิ หืม?"

     

              "ผมอยากบริจาคเลือดบ้างอ่ะ"

     

              "การทำบุญมีตั้งหลายทาง ไม่เห็นต้องบริจาคเลือดอย่างเดียวเลย"

     

              "ก็มัน...เฮ้อ" เด็กหนุ่มสอดนิ้วยาวไว้ระหว่างนิ้วเรียวสวย กุมไว้แน่นแล้วพาเดินเข้าตัวอาคาร

     

              "อย่างอแง ไม่น่ารักเลย"

     

              "ฮื่อ" แบคฮยอนหันหน้าหนีเมื่อถูกนิ้วมือเขี่ยริมฝีปากเล่น เขาแค่ทำปากยื่นเหมือนเป็ดแค่นั้นเองมันน่าแกล้งอะไรนักหนา

     

              "แต่ก็น่ารักดีว่ะ"

     

              มือเล็กพยายามดึงออกจากการกอบกุมแต่นั่นยิ่งทำให้ชานยอลบีบแน่นมากขึ้นไปอีก สายตาของคนรอบข้างไม่เป็นผลต่อร่างสูงเลยสักนิด เขายังคงจ้ำอ้าวไปเรื่อยๆมุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร





     

              พอเข้ามาในร้านก็จับจองพื้นที่โต๊ะด้านในสุดริมกระจก คลายมือเล็กออกแล้วลากเก้าอี้ให้น้องชายนั่ง ทำตัวเหมือนเป็นบอดี้การ์ดมาดูแลคุณหนูอย่างไงอย่างงั้น


     

              แบคฮยอนถอนหายใจเบื่อหน่ายเมื่อคิดถึงเรื่องเรียนต่อ พอเขาเริ่มทำใจว่าจะไปอยู่หอคนเดียวโดยปราศจากคนตัวสูงข้างหน้าให้ได้ ชานยอลก็ยังมาทำอย่างนี้ให้เขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจอีก

     

              "หยุดสปอยล์ผมได้แล้ว"

     

              "เปล่านะ"

     

              "ผมจะฟ้องป๊าว่าพี่ทำให้ผมเป็นเด็กนิสัยไม่ดี"

     

              "ไรอ่ะ พี่ทำอะไร?"

     

              "ก็พี่ทำตัวแบบนี้ไงผมถึงได้ใจอ่ะ แล้วดูสิว่าผมทำอะไรเป็นบ้าง กับข้าวก็ทำไม่เป็น งานบ้านก็แย่ ทุกอย่างผมต้องพึ่งพี่ไปหมดเลย ผมเหมือนเด็กอมมือ ผมรู้สึกแย่ ผม..." ใบหน้าหวานนองไปด้วยหยดน้ำตา ร่างเล็กก้มหน้ามองเท้าตัวเองเพราะไม่อยากให้คนตรงข้ามเห็นว่าเขากำลังร้องไห้


     

              ยิ่งวันเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งคิดมากเท่านั้น แบคฮยอนรู้แล้วว่าจบมอปลายไปเขาจะเรียนด้านไหน นิเทศศาสตร์มันอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาเรียนมาแต่นั่นน่าจะเป็นสาขาที่เขาสนใจมากที่สุดแล้ว อย่างน้อยการเลื่อยไม้ก็ไม่ใช่งานหลักล่ะนะ


     

              "พี่ขอโทษ พี่แค่เป็นห่วงเรามากจนกลายเป็นว่าสิ่งที่พี่ทำไปทั้งหมดมันไปทำร้ายเราทางอ้อม"


     

              "..." เด็กน้อยยังคงงอแงไม่เลิก


     

              "แต่พี่แค่รักแบคฮยอนมากไป...เท่านั้นเอง" เขาอยากจะเลี้ยงน้องชายให้ดีที่สุด ดีกว่าพี่ชายคนไหนในโลกจะทำได้



     

              ชานยอลเอื้อมมือเชยคางเด็กแสบแล้วค่อยๆปาดน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะขอโทษแบคฮยอนอีกล้านครั้งที่ทำอะไรไปโดยไม่คิด มันเป็นความเคยชินและความเห็นแก่ตัวของเขาเองที่กลัวว่าน้องชายจะลำบากจนส่งผลเสียต่ออนาคตถึงเพียงนี้


     

              "..."


     

              "พี่ขอโทษ"




     

              ...อยากจะขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นเรื่องแย่

     

     
















     

              ช่วงสอบปลายภาคมาถึงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แบคฮยอนต้องเคลียร์งานค้างที่เหลือทั้งหมดให้ทันก่อนกำหนดเดทไลน์ ส่วนชานยอลเองก็ปั่นทั้งโปรเจคและการบ้านที่อาจารย์ทั้งหลายยังคงตั้งหน้าตั้งตากระหน่ำให้กันอย่างสนุกสนานราวกับไม่รู้ว่าใกล้จะถึงเวลาสอบแล้ว


     

              สองอาทิตย์มานี้สองพี่น้องแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเว้นแต่ตอนเช้าที่ซ้อนท้ายกันไปโรงเรียนเท่านั้น บางวันแบคฮยอนก็ต้องกลับบ้านเองแต่เขาต้องพยายามไม่นอยด์เพราะต้องฝึกการอยู่คนเดียวให้ได้ มีบ้างที่เซฮุนอาสาไปส่งแต่ถ้าวันไหนมันไม่ขับรถมาแบคฮยอนก็เดินกลับคนเดียว


     

              ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะงานที่เข้ามารุมเร้าทำให้เวลาไม่ตรงกันแต่เป็นเพราะวันนั้นที่ได้ลองเปิดใจคุย แบคฮยอนขอร้องให้ชานยอลเลิกสนใจเลิกตามใจ มันอาจจะทำให้ใช้ชีวิตลำบากไปบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเขาเองก็โตแล้ว ใครๆเขาก็ทำสิ่งนี้กันได้ทั้งนั้น


     

              "ม๊าครับ แล้วหนูต้องใส่น้ำปลากี่ช้อน?"

     

               [ถ้าทำแค่นั้นหนูใส่แค่ช้อนครึ่งพอครับ] แบคฮยอนวางมือถือที่โชว์ใบหน้าคุณแม่คนสวยก่อนจะบีบน้ำปลาปรุงข้าวผัดในกระทะ

     

              "ม๊าครับ หนูต้องทำไงต่อ" เสียงเล็กตะโกนแข่งกับเสียงเดือด

     

               [ผัดไปลูก ระวังอย่าให้ไหม้ ลองชิมดูว่าอร่อยพอแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ถูกใจก็ปรุงอีกได้]

     

              "โอ๊ยยย อ๊าาา"

     

               [มีอะไรหรือเปล่าแบคฮยอน?]

     

              "ป เปล่าครับ มันแค่ร้อนน่ะ" ร่างเล็กปิดเตาแก๊สแล้วก้มหยิบช้อนที่เผลอปล่อยลงบนพื้นตอนชิมรสชาติ เดินไปหยิบน้ำเย็นในตู้มากระดกรวดและเก็บกวาดเม็ดข้าวที่กระจุยกระจาย

     

               [โถ่ ม๊าเป็นห่วงหนูจังเลย]

     

              "อย่าห่วงไปเลยครับ ผมทำได้อยู่แล้ว" ปาร์คยูราได้เห็นใบหน้าลูกชายคนเล็กอีกครั้งหลังจากจ้องเพดานบ้านมาหลายนาที หนึ่งอาทิตย์ให้หลังมานี้แบคฮยอนโทรไลน์มาให้เขาสอนทำอาหารอยู่บ่อยๆ

     

               [อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะลูก หนูให้ม๊าสอนทำข้าวผัดติดกันสามวันแล้วนะ มันยังไม่อร่อยอีกหรอ]

     

              "ก็มันไม่เหมือนที่ม๊าทำให้นี่ฮะ"

     

               [หนูให้พี่ชานยอลเขาสอนสิ รายนั้นทำฝีมือเดียวกับม๊าเดี๊ยบเลย]

     

              "มันไม่ว่างหรอก นี่ก็ยังไม่กลับบ้านเลย สงสัยจะโต้รุ่ง" ตาเรียวเหลือบมองนาฬิกาในโทรศัพท์ มันเลยมื้อเย็นไปแล้วแบบนี้ปาร์คชานยอลคงจะไม่กลับมาง่ายๆหรอก

     

               [เฮ้อ~ สู้ๆนะลูกรักของม๊า]

     

              "ครับ ขอบคุณนะครับม๊า"

     

               [กินข้าวให้อร่อยนะลูก อย่าอดข้าวล่ะ]

     

              "ครับ บ๊ายบายครับ จุ๊บ" แบคฮยอนฝืนกินข้าวผัดฝีมือตัวเองมาสามวันแล้ว มันน่าหงุดหงิดตรงที่เขาทำตามสูตรที่ม๊าบอกทุกอย่างแต่ทำไมรสชาติมันยังออกมาแย่ถึงขนาดนี้อีกก็ไม่รู้

     

              มันบอกไม่ถูกอ่ะ หรือจะเป็นที่ข้าว เขาอาจจะหุงข้าวแฉะไปก็ได้


     

     

         ติ๊งต่อง~

     


     

              หืม? ใครมากดออดป่านนี้?



     

              "อ้าว ว่าไงครับโดคยองซู แหม มาหาเพื่อนมืดๆค่ำๆอย่างนี้ต้องมีอะไรไม่สบายใจแน่นอนเลย"

     

              "ทะเลาะกับจงอินนิดหน่อย" คยองซูแทรกตัวเข้ามาภายในบ้าน ถือวิสาสะกินข้าวในถ้วยที่น่าจะเป็นของแบคฮยอน

     

              "อะไรวะ ไปหิวมาจากไหน"

     

              "ยังไม่ได้กินข้าวเย็น แค่กๆๆๆ ขอน้ำ" ยกกำปั้นขึ้นทุบหน้าอกก่อนจะรับแก้วน้ำมาจากเจ้าของบ้านแล้วคืนแก้วเปล่ากลับไป

     

              "เฮ้อ~ งี้แหละน้าคนมีความรัก พอสุขก็สุขฉิบหาย พอทุกข์ก็ทุกข์อย่าบอกใครเลย" เหน็บแนมชาวบ้านด้วยท่าทางอ้อร้อไขว่ห้างเท้าคาง

     

              "ทำเป็นรู้ดี ชาตินี้มึงจะรักใครได้อีกแบคฮยอน"

     

              "ก็..." เด็กน้อยยักไหล่แบบขอไปทีแล้วหันหน้าไปโฟกัสหน้าจอทีวีที่กำลังฉายหนังสงคราม บางทีก็คิดนะว่าคยองซูมันอาจจะเป็นคนที่มีเซ้นต์แรงก็ได้ เพราะหลายครั้งที่ทุกข์ใจมันมักจะโผล่หน้ามาเสมอเลย

     

              "แล้วนี่พี่ชายมึงไม่อยู่หรอ?"

     

              "เออ สงสัยคืนนี้จะไม่กลับบ้านอ่ะ" ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้สึกหงุดหงิดเมื่อนึกถึงร่างสูงที่ชอบกวนประสาท พอคิดว่าชานยอลเอาแต่ทำงานจนไม่สนใจเขาสีหน้ามันก็แสดงอารมณ์ออกมาเอง

     

              "แล้วเรื่องเรียนว่าไง จะไปเรียนโซลจริงๆหรอ?"

     

              "อืม ชานยอลมันจะเรียนแถวนี้อ่ะ"

     

              "แล้วทำไมป๊ามึงถึงต้องอยากให้แยกกันอยู่ขนาดนั้นด้วยว้า กูล่ะไม่เข้าใจเลย"

     

              "ดีแล้วแหละ อะไรๆมันจะได้ดีขึ้น"

     

              "อะไรที่มึงหมายถึงคืออะไร..." คยองซูขมวดคิ้วพยายามเค้นคำตอบ เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเด็กดื้ออย่างแบคฮยอนถึงยอมทำตามคำสั่งคนเป็นพ่ออย่างง่ายดาย "ไม่ใช่เพราะอยากจะเลิกรู้สึกแบบนั้นหรอกใช่ไหม?"



     

              "ข้าวอร่อยไหม?"

     

              "ไม่ต้องมาทำเปลี่ยนเรื่องเลยไอ้แบคฮยอน กูจะบอกมึงให้เอาบุญนะ ไม่มีใครห้ามหัวใจตัวเองได้หรอก มึงรักเขามึงก็แค่ยอมรับว่ามึงรักเขามันจะไปยากอะไรวะ"

     

              "กูก็ยอมรับ..."

     

              "แล้ว? มึงจะหนีไปเรียนที่อื่นให้มันยุ่งยากทำไมอีก"

     

              "ชานยอลเป็นคนดี มันไม่ควรต้องมาลำบากเพราะกู" แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก้อนสะอื้นเคลื่อนขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอ ละสายตาจากขอบทีวีมาก้มมองมือตัวเองบนตัก ไม่เหลือเค้าแบคฮยอนผู้มากด้วยความกวนตีนเหมือนเคย เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในโหมดจริงจัง

     

              "กูก็ไม่เห็นว่าชานยอลจะคิดว่ามึงเป็นภาระเลยนี่หว่า มึงอย่าไปคิดแทนคนอื่นสิ"

     

              "มันดูแลกูมาตั้งแต่เล็กเลยนะเว้ย มันควรจะพักได้แล้ว"

     

              "กูเบื่อมึงว่ะแบคฮยอน กูเพิ่งพูดไปแหมบๆว่าไม่ควรคิดแทนคนอื่น มึงเอากูไปอ้างให้พี่ชายมึงเกลียดขี้หน้ากูไม่พอ มึงยังจะทำให้กูผิดหวังในตัวมึงอีกนะ"

     

              "อะไร กูไปทำอะไรให้มึง"

     

              "ก็ที่มึงเอากูเข้าไปอยู่ในความคิดแล้วบอกว่ารักกูนักรักกูหนาให้ชานยอลเข้าใจผิดว่ามึงชอบกูไง ลืมไปแล้วหรอเพื่อน?"



     

              ใช่ เขาลืมไปเลยว่าเคยเอาคยองซูมาเป็นกำแพงกั้นความรู้สึกของตัวเองกับปาร์คชานยอลไว้ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่ามันกลายเป็นความรักที่ไม่ใช่แบบพี่น้องมากเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าขืนปล่อยให้อะไรๆมันเป็นไปตามน้ำแล้วถลำลึกไปมากกว่านี้เขาจะต้องทำให้ป๊ากับม๊าผิดหวังและเสียใจแน่นอน

     

     

              เจ้าตัวแสบเงียบลงอีกครั้ง เขาเคยสารภาพกับคยองซูว่ารู้สึกดีกับพี่ชายตัวเองจนมันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่ เขารู้สึกหึง รู้สึกหวง รู้สึกหงุดหงิดที่เห็นคนอื่นเข้าใกล้ปาร์คชานยอล ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นแค่เพื่อนที่โรงเรียนหรือเป็นแค่พนักงานแคชเขียร์เขาก็อยากจะเข้าไปแทรกกลาง


     

              มันกลายเป็นความรักที่เริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ แบคฮยอนเองก็ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เขาเรียกว่ารักหรือเปล่า เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่เคยรักใครได้เท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต





     

              "แต่กูตัดสินใจแล้ว กูอยากใช้ชีวิตแบบคนอื่นบ้าง คนที่ไม่มีใครคอยดูแลทุกลมหายใจขนาดนี้"

     

              "กูกลัวมึงจะเสียใจภายหลังนี่สิ เอ้อ แล้วข้าวผัดมึงอ่ะ อร่อยดีนะ"

     

              "จริงอ่ะ?"

     

              "อื้อ เปิดร้านได้เลยนะเนี่ย พี่ชายทำให้หรอ"

     

              "เปล่า กูทำเอง คอลไลน์ไปขอสูตรม๊าด้วยตัวเองเลยนะ"

     

              "หืม จริงอ่ะ?" เพื่อนตัวเล็กตักข้าวเข้าปากอีกคำ เคี้ยวกร้วมๆแล้วป้อนให้อีกคนได้ลองชิม แต่แบคฮยอนกลับเบือนหน้าหนี เขากินมาสามวันแล้วทำไมจะไม่รู้ว่ารสชาติมันห่วยแตกแค่ไหน "เออดี ไม่กินงั้นกูกินเอง"





     

              หรือความอร่อยมันอาจจะไม่ได้เป็นที่รสชาติกันนะ?





     






     

              สามวันแล้วที่ชานยอลไม่ได้กลับบ้าน พวกเขาไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเพียงแต่งานชิ้นสุดท้ายของชานยอลมันมีปัญหา เขาต้องใช้เวลาในการแก้งานใหม่เกือบทั้งหมดเลยไม่มีเวลาปลีกตัวกลับไปทำอะไรอร่อยๆให้แบคฮยอนทานเลย

     

              ร่างสูงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า การคุยไลน์มันไม่ได้ทำให้เขาเป็นห่วงน้องชายน้อยลง ปาร์คชานยอลต้องห้ามตัวเองแค่ไหนที่จะไม่ทำตัวเหมือนเดิม เขาจะไม่ยอมให้การกระทำของตัวเองทำร้ายแบคฮยอนเด็ดขาด


     

              น้องชายเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปเรียนมหาลัยในเมือง ถึงแม้ในใจจะขัดขวางแต่เขากลับทำได้แค่เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยเท่านั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เลิกเป็นห่วงคนที่ทำให้เป็นห่วงมาตลอดช่วงชีวิต มีชีวิตมา18ปีเขาก็ดูแลแบคฮยอนมาตลอดทั้ง18ปี จะให้เลิกทำภายในวันเดียวมันคงไม่ง่ายขนาดนั้น


     

              "ไอ้ชานยอล สอบเสร็จไปเที่ยวไหนกันดีวะ" เพื่อนในกลุ่มเดินมากอดคอแล้วนั่งลงข้างๆ

     

              "ไม่อ่ะ ขี้เกียจ"

     

              "เห้ย! ได้ไงอ่ะ พวกกูเลือกที่เด็ดๆมาทั้งนั้นเลยนะเว้ย กะจะให้มึงเลือกเนี่ย" ดงอุนกางกระดาษลงกับโต๊ะหินอ่อน ทุบมือลงจนเกิดเสียง

     

              "ไม่! ไป! โว้ย!" แต่ปฏิกิริยาของชานยอลก็ชัดเจน

     

              เด็กหนุ่มเดินกลับไปทำงานต่อหลังจากพักกินน้ำคนละสิบนาที คืนนี้พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะกลับบ้านไปนอนพักผ่อนที่บ้านหลังจากทำให้โรงเรียนกลายเป็นบ้านมาหลายวัน



     

              เสียงเลื่อยไม้ ตอกตะปู หรือแม้แต่ไขควงไฟฟ้าดังแข่งกันระงม ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แต่กลุ่มอื่นๆก็ใช้พื้นที่ของโรงเรียนทำโปรเจคเช่นกัน ไม่ต้องกลัวงานจะโดนลอกเพราะหัวข้อที่ได้มาแตกต่างกัน

     

              มองเวลาที่เกือบจะเที่ยงคืนก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที ทุกคนวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วช่วยกันตรวจดูว่ามันมีตรงไหนที่เป็นจุดบกพร่องอีกหรือไม่ จะได้จดไว้เพราะพรุ่งนี้จะปล่อยให้อ่านหนังสือและนอนอืดอยู่บ้าน

     

              "งั้นเก็บกุญแจไว้ที่มาร์ตินละกัน"

     

              "ได้ขอรับ" เพื่อนชาวต่างชาติตัวเท่าหลักกิโลคว้ากุญแจห้องเก็บของไปถือก่อนจะแยกกันไปเก็บสัมภาระแล้วแยกย้ายกลับบ้าน

     

              ชานยอลคิดถึงกลิ่นบ้านจะแย่อยู่แล้ว

     

     

     



     

              เมื่อกลับมาถึงก็ต้องทำตัวเหมือนโจรที่ต้องค่อยๆแอบย่องเบาเข้าบ้านเนื่องจากน้องชายหลับไปแล้ว บ้านทั้งหลังมือสนิทจนเผลอเตะขอบตู้ไปสองครั้ง อาบน้ำชำระร่างกายที่หมักหมมเหงื่อไคลมาทั้งวันจากที่ตาจะปิดก็กลายเป็นสว่างโล่

     

              "ชานยอลหรอ?"

     

              "อ อื้อ พี่เอง โทษทีเสียงดังหรอ?"

     

              "อืม หนวกหู" ร่างเล็กเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ชานยอลนั่งดูทีวีเสียงเบายิ่งกว่ามดเดินซะอีก แต่เขาตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงร่างสูงเข็นรถเข้ามาในบ้านแล้วล่ะ "ทำไมกลับดึกจังง่ะ"

     

              "ทำงานน่ะ แล้วนี่ไม่มีงานทำหรอ?"

     

              "ไม่มี ขี้เกียจ"

     

              "เห้ยได้ไง ไหน? มีการบ้านอะไรเอาออกมาทำเดี๋ยวนี้"

     

              "ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ ยังไงก็ไม่ต้องไปโรงเรียนอยู่แล้ว"

     

              "ขี้เกียจตลอด สันหลังก็ไม่ได้ยาวสักหน่อย"

     

              "ขี้บ่นตลอด"

     

              "ขอบ่นบ้างเหอะ ไม่ได้บ่นน้องชายตั้งสามวันเหงาขี้ฟันชะมัดเลย"

     

              "ปล่อยยยยย" แบคฮยอนพยายามดึงท่อนแขนที่พาดคออยู่ออก เขาง่วงจะตายห่าอยู่แล้วทำไมยังต้องมาเล่นอะไรปัญญาอ่อนกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายตัวเองด้วยเนี่ย

     

              "ไม่ได้ฟังเสียงบ่นน้องชายนานแล้วด้วย โหหหหห"

     

              "อยากให้บ่นเดี๋ยวจะบ่นทั้งคืนเลย ปิดทีวีแล้วไปนอนเดี๋ยวนี้ กูง่วง"

     

              "ง่ะ ก็ได้"

     

              ชานยอลลุกไปปิดสวิตช์ไฟหลังจากไอ้เด็กแสบแย่งรีโมทไปกดปิดทีวีหน้าตาเฉย เขายีศีรษะทุยอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วยืนโบกมือรอให้แบคฮยอนเข้าห้องนอนไปก่อนถึงจะยอมเข้าห้องนอนตัวเอง



     

              การได้ทำอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้ว แบคฮยอนอาจจะไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ชานยอลยืนมองบานประตูห้องนอนค่อยๆปิดลง เขาแอบภาวนาให้ร่างเล็กเปิดมันออกมาอีกครั้งแล้วขอมานอนกับเขามากแค่ไหน


     

              'ชานยอล ผมจะบ่นพี่แล้วนะ เตรียมตัวได้เลย'

     
     

              เจ้าของชื่อยิ้มออกมาอย่างปิดไม่มิด ไอ้ตัวน้อยของเขากำลังหัวเราะลั่นในความคิดด้วยความสะใจ ชานยอลคิดถึงแบคฮยอนแค่ไหนไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขาเอง


     

              'ถ้าพรุ่งนี้ตื่นสายผมจะเอาบอระเพ็ดมาถูปากพี่จริงๆด้วย ใครเขาสั่งเขาสอนให้นอนดึกขนาดนี้กันเล่า ถ้าขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าขึ้นมาจะว่ายังไง นิสัยไม่ดี'

     
     

              ชานยอลต้องนอนยัดหูฟังและเร่งเพลงเสียงดังเพราะน้องชายเอาแต่บ่นเขาในใจไม่หยุด เมื่อถึงเวลาที่เพลียมากและต้องการพักผ่อนจากเสียงที่เคยน่ารักก็ค่อยๆกลายเป็นน่ารำคาญ

     

              และเมื่อพี่ชายเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วคนตัวเล็กที่กำลังกระวนกระวายก็แอบเปิดประตูเข้ามา


     

              แสงสว่างเพียงสลัวทอดจากดวงไฟด้านนอกส่องผ่านผ้าม่านกระทบเสี้ยวหน้าของคนหลับใหล ในคืนนี้พี่ชายเขาคงนอนหลับสนิทเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน

     

              แบคฮยอนย่อตัวลงข้างเตียงหยิบเอาหูฟังที่ยังเสียบคาอยู่ข้างหนึ่งออก สีหน้าเรียบเฉยบ่งบอกว่าคนตัวสูงยังฝังตัวอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในใจของคนมองแค่ภาวนาว่าให้พี่ชายแสนดีคนนี้ของเขาหลับฝันดี แบคฮยอนจะขอปกป้องร่างกายอันแสนมีค่าของชานยอลเอง ให้ชานยอลได้โลดแล่นในจินตนาการแห่งความสุขอย่างสนุกสนาน


     

              จู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวตรงเบ้าตา อีกไม่นานเขาจะต้องจากบ้านหลังนี้ไป แผนนี้มันไม่มีอยู่ในสมองเขาเลยสักนิด แบคฮยอนยังไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองจะต้องไปใช้ชีวิตไกลจากปาร์คชานยอล

     

              "ขอบคุณนะ...สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา"

     

     

     

     

     












     

              สัปดาห์นรกผ่านไปอย่างทรมาน วันนี้ทั้งสองพี่น้องสอบเสร็จเรียบร้อย และนัดกันว่าจะไปหาคุณยายที่ยางกูกัน

     

              "ฮ้าาาาา ในที่สุดก็จบมอปลายแล้ว รู้สึกดีเป็นบ้า"

     

              "ตกลงจะรู้สึกดีหรือจะเป็นบ้า" แบคฮยอนหันมองร่างสูงตาขวาง ทำไมต้องขัดอารมณ์สุนทรีย์ของเขาด้วยนะ

     

              "มึงสิบ้า ไปเก็บเสื้อผ้าดีกว่า"

     

              สองพี่น้องวิ่งวุ่นกันทั้งคืน ช่วยกันเลือกเสื้อผ้าที่จะเอาไปบ้านยายและที่จะไปเที่ยว ชานยอลยึดเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นที่แบคฮยอนถือมาอวดพร้อมกับสั่งให้เจ้าตัวไปหาชุดที่จะไปเที่ยวกับเด็กในแผนกมาใหม่



              กระเป๋าเป้ใบเล็กสำหรับไปบ้านยายและกระเป๋าเดินทางใบกลางสำหรับไปพักผ่อนก็เสร็จเรียบร้อย ร่างสูงขนกระเป๋าทั้งสี่ใบมาไว้หน้าโซฟาเพราะชานยอลเองก็จะไปเที่ยวกับเพื่อนๆแก๊งพลอยเหมือนกัน


     

     

              วันนี้รถไม่ติดเหมือนทุกวันเพราะเด็กมัธยมปิดเทอมกันหมดแล้ว ทั้งสองคนออกรถแต่เช้า ชานยอลเตรียมยาและถุงพลาสติกวางไว้คอนโซลกลางรถเพราะวันนี้เขาเปลี่ยนมาขับรถยนต์แทนมอเตอร์ไซด์

     

              ใจจริงแล้วอยากขับมอไซด์มากกว่าแต่ด้วยระยะทางที่ไกลอาจจะทำให้ก้นพังและหลังเสียได้ป๊าเลยยอมสละรถมาให้ยืมใช้

     

              "กินยาแล้วนอนซะ"

     

              "เกิดเป็นแบคฮยอนนี่ลำบากจริงๆเลยน้า" เด็กน้อยรับยากับขวดน้ำมากระดกอั้กๆพูดแซะตัวเองและรอเวลาให้ง่วง

     

              ไม่ถึงสิบห้านาทีไอ้เด็กแสบก็ผล็อยหลับไปซะแล้ว ชานยอลปรับเบาะให้เอนลงแล้วห่มผ้าให้ลวกๆระหว่างติดไฟแดง อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาปฏิเสธจะขับรถยนต์เพราะแบคฮยอนเมารถนี่แหละ ยอมหลังขดขับมอไซด์ให้น้องชายซ้อนไปไหนมาไหนด้วยดีกว่า

     

              ชานยอลอ้าปากหาวหวอดไปตลอดทาง เหงาหูอย่างบอกไม่ถูกที่ไม่มีใครคอยส่งเสียงน่ารำคาญให้ขี้หูเต้นระบำ ดวงตาโตหันมองทุกครั้งที่ร่างกายเด็กน้อยมีการเคลื่อนไหว


     

              สองชั่วโมงผ่านไปแบคฮยอนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เดินทางมาครึ่งทางแล้ว สี่ล้อเลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อพักรถและทำภารกิจส่วนตัว ชานยอลแวะมินิมาร์ทซื้อกาแฟและขนมอีกเล็กๆน้อยๆ

     

              "ไม่กินยาแล้วได้ป่ะ?" ขึ้นรถปุ๊บไอ้เด็กแสบก็งอแงปั๊บ

     

              "ไม่ได้ เกิดโอ้กอ้ากขึ้นมากลางทางทำไง ถ้ารถเลอะป๊าเฉ่งกระบาลพี่ตายเลย"

     

              "ก็อยากมองข้างทางบ้างนี่"

     

              "แถวนี้ไม่มีอะไรให้มองหรอก เดี๋ยวถึงแล้วพี่ปลุกละกัน"

     

              "แน่นะ"

     

              "อืม หลับเถอะ" ชานยอลสงสารน้องชายจับใจที่ไม่มีโอกาสได้เห็นตึกรามบ้านช่องเหมือนคนอื่น แต่เขาก็ไม่อยากให้คนตัวเล็กทรมานถ้าเกิดอาเจียนขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นคงเป็นการทรมานจิตใจตัวเองน่าดู


     

              ผ่านไปอีกสองชั่วโมงจากตัวเมืองที่มีรถอุ่นหนาฝาคั่งก็ค่อยๆขับสบายมือขึ้นมาหน่อย สองข้างทางเปลี่ยนจากตึกรามเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ชานยอลเอื้อมมือไปเขย่าไหล่น้องชายเบาๆอย่างเห็นใจ

     

              แบคฮยอนใช้หลังมือขยี้ตากระพริบปริบอยู่ไม่กี่ครั้งแล้วทำท่าจะหลับต่อ

     

              "จะถึงแล้วนะ จะดูวิวไม่ใช่หรอ"

     

              "หืม? จริงอ่ะ?" ดีดตัวขึ้นหลังตรงก่อนจะปรับเบาะแล้วบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บ

     

              เท้าคางไว้กับคอนโซลหน้ารถสอดสายตาไปรอบๆ ชานยอลลดกระจกฝั่งน้องชายลงให้กลิ่นธรรมชาติตีปะทะใบหน้าเล็กของเด็กจอมซน แบคฮยอนยื่นมือออกไปสัมผัสลมเย็นด้านนอก จากดวงตาเรียวเล็กก็เบิกกว้างด้วยความตื่นใจ


     

              กังหันอันเล็กอันใหญ่หมุนว่อนจนอดไม่ได้ที่จะมองตาม เด็กน้อยโบกมือทักทายทุ่งหญ้าที่ไหวเอนตามลมตามประสาก่อนรถจะเลี้ยวเข้าเขตรั้วไม้

     

              เมื่อล้อหยุดนิ่งกับที่เด็กแสบก็รีบลงจากรถวิ่งเข้าไปหาร่างท้วมของหญิงชราที่ยืนรออยู่ไม่ไกล เข้าไปกอดเข้าไปหอมเข้าไปออดอ้อนตามแบบฉบับที่เคยทำมาตั้งแต่เด็กจนโต



     

              "น้องแบคฮยอนคิดถึงคุณยายจังเลย"

     

              "เป็นหนุ่มขึ้นเยอะเลยนะไอ้ลิงลมของยาย" เสียงพูดอันแสนหวานติดเนิบนาบช่างชวนให้อบอุ่นหัวใจ

     

              แบคฮยอนกอดยายไว้ไม่ปล่อยจนร่างสูงต้องมาแงะออกแล้วสวมกอดบ้าง "ยายอ้วนขึ้น"

     

              "ไอ้ชานยอล เดี๋ยวเอ็งจะโดนนะ"

     

              รอยยิ้มบนใบหน้าหญิงชราแต่งแต้มไปด้วยความดีใจ หลานชายทั้งสองที่เคยตัวเท่าหัวเข่าบัดนี้ได้สูงพ้นตัวเขาแล้ว ฝ่ามือที่เคยเล็กจนกำได้เพียงแค่นิ้วชี้ตอนนี้กลับเป็นคนแก่ซะเองที่โอบอุ้มได้ไม่หมด


     

              ปลาบปลื้มใจที่เด็กๆไม่ลืมคนแก่ไร้ประโยชน์คนนี้ ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากไอ้ตัวเล็กว่าจะแวะมาหาคนเป็นยายก็รีบเตรียมห้องหับ ซื้อขนม ซื้อของกินมาตุนไว้เต็มบ้าน จนพยาบาลส่วนตัวถึงกับต้องเอ่ยห้ามให้หยุดเห่อหลานได้แล้ว

     

              "คุณยายครับ น้องแบคฮยอนซื้อเสื้อไหมพรมมาฝากคุณยายด้วยนะ" แบคฮยอนเปิดซิปแล้วหยิบเสื้อที่ว่ามากางออก "สีโอรสด้วยนะคุณยาย"

     

              "แหม๊ ไอ้เด็กนี่มันช่างรู้ใจคนแก่จริงๆ มาๆ เข้าไปในบ้านกันก่อนดีกว่า"

     

              ร่างเล็กโอบเอวคุณยายเข้าบ้านปล่อยให้หน้าที่แบกกระเป๋าเป็นของพี่ชายตัวสูงไป

     

              กลิ่นตัวของหญิงชราเป็นสิ่งที่แบคฮยอนชอบที่สุด จมูกรั้นฝังจมอยู่ในต้นแขนของคุณยายอย่างไม่รังเกียจ สูดหายใจเข้าออกรุนแรงราวกับจะสูดเอาทั้งตัวเข้าไปด้วย

     

              "ปล่อยยายได้แล้วหลาน"

     

              "ไม่เอา น้องแบคฮยอนคิดถึงคุณยายจนจะตายอยู่แล้ว ขอกอดคุณยายแบบนี้หนึ่งวันเลยได้ไหม?"

     

              "เกรงว่าจะไม่ได้น่ะสิ นู่น ไปช่วยพี่ชานยอลขนกระเป๋าไป"

     

              "เป้แค่สองใบมันขนได้น่า ผมไม่ว่าง" หญิงชราส่ายศีรษะจนเส้นผมสีหงอกพริ้ว

     

              ไอ้แบคฮยอนมันขี้อ้อนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีนิสัยคล้ายเด็กผู้หญิง อันนี้ก็แพ้ อันนั้นก็กลัว แต่เว้นเรื่องงานบ้านงานเรือนไว้อย่าง ใช้ให้ทำทีไรอิดๆออดๆ ไอ้คนเสนอหน้าเข้ามาช่วยก็คือพี่ชายมันนั่นแหละ กลัวนักกลัวหนาว่าน้องชายจะเหนื่อย ไม่รู้มีน้องหรือมีลูกกันแน่

     

              "อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?"

     

              "จะ18แล้วฮะ" ตอบคำถามโดยที่ยังไม่ปล่อยคุณยายออกจากอ้อมแขน

     

              ชานยอลเดินมานั่งบนพื้นข้างๆแล้วซบศีรษะลงบนตัก กอดขาป้อมๆไว้เหมือนหมีโคอาล่า พี่ชายมันก็ขี้อ้อนเหมือนกันเพียงแต่น้อยกว่าน้องชายก็เท่านั้น ชานยอลดูสุขุมและใจเย็นกว่า ไม่โผงผางขี้โวยวายเหมือนอีกคน แล้วอีกอย่าง...ชานยอลหล่อกว่าด้วย

     

              "วันนี้ยายจะได้ลุกไปไหนไหมล่ะเนี่ยถ้ามานั่งกอดยายอยู่แบบนี้ หื้ม?" มือเหี่ยวลูบกลุ่มผมเด็กทั้งสองคนเบาๆ หลานเขากำลังโตขึ้นเรื่อยๆมีสังคมมากขึ้น มีพละกำลังมากขึ้น ผิดกับตัวเขาเองที่แก่ลงเรื่อยๆ จะมากขึ้นก็เพียงแค่โรคภัยเท่านั้น

     

              "ยายสบายดีไหมครับ?"

     

              "สบายดี เอ็งสองคนล่ะ เป็นยังไงบ้าง?"

     

              "ผมกับน้องเรียนจบมอปลายแล้วครับ กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย"

     

              "เร้อะ เออดีๆ ตั้งใจเรียนล่ะ ยายไม่มีอะไรให้พวกเอ็งหรอกนอกจากคำสั่งคำสอน"

     

              "ครับ" เสียงนุ่มทุ้มครางรับในคอ ใช้สองมือนวดท่อนแขนยายเบาๆส่วนอีกข้างก็ให้มือเล็กรับหน้าที่ไป

     

              คนแก่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่มีบริการนวดฟรีถึงบ้านขนาดนี้ ไม่นานนักพยายาลส่วนตัวก็เข้ามาทักทายและอนุญาตพาคุณยายไปกินยาก่อนอาหาร เห็นอย่างนั้นชานยอลจึงลุกไปเข้าครัวทำมื้อกลางวันทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา



     

              เสียงช้งเช้งดังอยู่อย่างต่อเนื่อง จะว่าหนวกหูก็ไม่ใช่ รำคาญก็ไม่เชิง กลับกัน...เจ้าบ้านรู้สึกมีความสุขมากเป็นไหนๆที่ได้เห็นหลานรักทั้งสองยังทะเลาะกันเหมือนเดิม แม้กระทั่งบนโต๊ะอาหารเสียงเจี้ยวจ้าวราวกับนักเลงยกพวกก็ทำให้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

     

              เหมือนเจ้าแบคฮยอนยังเป็นเด็กแปดขวบเมื่อวานนี่เอง ตอนนี้มันจะสิบแปดซะแล้ว อะไรๆก็ผ่านไปไวหมดเลยนะ

     

              "คุณยายครับ น้องแบคฮยอนอยากไปเดินเล่น"

     

              "โอ้ย ยายไปไม่ไหวแล้วไอ้ตัวเล็ก ชวนคนหนุ่มๆไปเถอะ ยายเดินไปมีหวังเป็นลมเป็นแล้งกันพอดี"

     

              แบคฮยอนทำหน้ามู่แล้วหันไปหาพี่ชายที่กำลังยืนล้างจานอยู่ในครัวหลังจากมื้อเที่ยงผ่านไป "ไอ้ช้อน จะไปเดินเล่น ไปไหม?"

     

              "ไปไหนนะ" เสียงทุ้มตะโกนกลับมาหลังจากหมุนปิดก็อกน้ำเพราะฟังไม่ถนัด

     

              "ไปเดินเล่น"

     

              "ไปด้วยๆ รอแปปๆ" ชานยอลเร่งมือให้ทันใจเจ้าเด็กแสบ เกิดชักช้ามันไม่ยอมรอแล้วพาลมางอนอีก กูซวย







     

              สองพี่น้องเดินขนาบข้างกันไปเรื่อยๆบนเขาลูกเล็กๆ พื้นหญ้าสีเขียวชะอุ่มสบายตาทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆที่ชอบกลิ้งไปกลิ้งมาจนเนื้อตัวมอมแมม พื้นที่ตรงนี้ยังคงสวยงาม สนามเด็กเล่นเล็กๆก็ยังอยู่ที่เดิม แม้แต่บรรยากาศ ความรู้สึก ...ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

     

              แบคฮยอนเดินเลี้ยวเข้าไปในสวนดอกไม้ของคุณยายที่ยังคงสภาพดีไว้แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครดูแล แปลงดอกคัตเตอร์ที่ชานยอลเป็นคนปลูกดูจะสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ชนิดอื่นๆจนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้เพื่อเยี่ยมเยียน

     

              "ฝีมือใครปลูกน้า ดูสิชานยอล สวยมากเลย"

     

              "โอ้โห ดอกไม้ที่รัก พวกเธอช่าง..." มือหนาปรบเข้าหากันเป็นจังหวะหนักแน่นเหมือนภูมิใจในความแข็งแรงของเหล่าหมู่มวล "สุดยอดจริงๆ"

     

              เหลือบมองดอกเดซี่สีขาวของเจ้าตัวเล็กแล้วมันก็ยังคงเอนไสวไปตามสายลมสวยงามเช่นกัน ดอกเดซี่สีขาวที่เป็นตัวแทนแห่งความไร้เดียงสาและความบริสุทธิ์ เหมือนกับน้องชายของเขาไม่มีผิด...

     

              "ดอกไม้จ๋า พี่แบคฮยอนขอเด็ดได้ไหม?" เจ้าของเสียงหวานนั่งยองเกาะรั้วไม้เตี้ย

     

              "อย่าเด็ดเลยแบคฮยอน ให้มันอยู่ในที่ของมันอย่างนี้แหละดีแล้ว"

     

              "ขอดอกเดียว นะนะ" ชานยอลถอนหายใจแล้วยอมให้น้องชายเด็ดดอกเดซี่สีขาวที่เขาช่วยไอ้ตัวเล็กปลูกมาหนึ่งดอก ก่อนจะวางแซมเอาไว้ในเส้นผม "ถ่ายรูปให้หน่อยสิ"

     

              ปากหยักยกยิ้มกว้างเมื่อเห็นแบคฮยอนทำท่าทางน่ารักทั้งที่ยังมีดอกไม้ประดับอยู่บนหัว เท้ายาวสาวเข้าไปใกล้ก่อนจะกดกล้องหน้าแล้วถ่ายรูปคู่ด้วยกัน ดวงตาโตยิ้มจนหยีเล็กเท่ากับขนาดตาของแบคฮยอน


     

              เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อพี่ชายดึงดอกไม้จากศีรษะร่างเล็กมาวางไว้บนเส้นผมตัวเองบ้าง แบคฮยอนสั่งให้นายแบบตัวสูงโพสท่าเหมือนนางแบบจากวิคตอเรียซีเคร็ทและกดชัตเตอร์ไปพร้อมกับกุมท้องขำ

     

              "คืน" ถ่ายไปเป็นสิบรูปก็รู้สึกเหนื่อยโพสท่าร่างสูงจึงเดินเข้ามาหาน้องชาย


     

              คนเตี้ยกว่าไล่สายตาจากหน้าอกแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงริมฝีปากหนา สันจมูก และดวงตาหวานที่ชวนให้ใจเต้นทุกครั้งยามได้มอง ชานยอลบรรจงเสียบดอกไม้ให้กับน้องชายอย่างเบามือ เกลี่ยปอยผมที่โดนลมพัดแล้วมองต่ำลงเพื่อสบตากับคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว


     

              เบลอภาพทุกอย่างรอบตัวและจ้องมองเพียงแค่นัยตาเรียวเท่านั้น มือหนาไล้นิ้วกับโครงหน้าลงมาหยุดอยู่ที่ปลายคาง ก่อนจะเชยขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับเข้าไปใกล้

     

              ลมหายใจขาดห้วงเมื่อริมฝีปากหนาทาบทับลงช้าๆราวกับกล้าๆกลัวๆ ค้างไว้อย่างนั้นเนิ่นนานเพราะหัวสมองกำลังขาวโพลน คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อดี อีกใจก็กำลังลังเลว่านี่คือความฝันหรือความจริง





     

              ผ่านไปเกือบนาทีมือเล็กก็บีบต้นแขนร่างสูงเบาๆก่อนจะเป็นฝ่ายผละออกแล้วหันหลังเดินหนีไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมสิบเท่าเมื่อได้สติแล้วพบว่าตัวเองยังยืนโง่อยู่ที่เดิม

     

              ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากก่อนจะตีหัวตัวเองแรงๆหลายที

     

              ชัดเจน ทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน ปาร์คชานยอลจูบบยอนแบคฮยอนแล้ว ทั้งหมดคือความจริง ทำอะไรลงไป นี่กูทำอะไรลงไป





     

              ...ฉิบหายแน่ๆ
























    TBC.
    #หัวไม้ชานแบค


    สรุปน้องแบคไม่ได้ชอบคยองซูนะ
    น้องฉลาดพอที่จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมันแย่เพราะความรู้สึกของน้องเอง
    คยองเลยลำบากไปด้วยเลย



    แล้วอิพี่ชานก็จุ๊บน้องแบคแล้วด้วยอ่ะ เค้าจุ๊บกันแล้วอ่ะ ฮือออออออ
    ตอนนี้แถมให้เป็น120%เพราะอยากลากมาให้ถึงตอนนี้แหละ อิอิ






    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×