ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lazy Center : OS , SF — chanbaek ft.EXO

    ลำดับตอนที่ #1 : OS : GoodBye Forever | Hello to say GoodBye {end}

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 60




     

    ผมคิดว่าวันที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตก็คงจะหนีไม่พ้นวันนั้น...

     

     

    ร่างอาบเลือดของชายหนุ่มตัวเล็กนอนหายใจรวยรินอยู่ขอบถนนบนทางลาดชัน ถัดไปเป็นเหวลึกที่นำไปสู่มหาสมุทรแสนกว้างใหญ่

     

    ถ้าตกลงไปก็ไม่รู้เลยว่าจะงมเจอหรือไม่

     

     

    แบคฮยอนปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เขารู้สึกขอบคุณพระเจ้าเหลือเกินที่ไม่ใจร้ายผลักเขาลงไป

     

    แต่ความจริงแล้วต้องขอบคุณลูกน้องคุณคริสมากกว่าที่ตัดสินใจไม่ฆ่าคนทรยศเจ้านายตัวเองแบบเขา

     

     

    ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแต่แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาขยับตัวไม่ได้เพราะบาดเจ็บไปหมดทั้งร่าง เหมือนกระดูกแตกละเอียดไปหมด แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหน

     

    แสงไฟหน้ารถสาดใส่หน้าจนต้องเบือนหนี หายใจเข้าลึกสุดปอดและพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้ ถ้าเขาลุกได้ตอนนี้เขาก็จะรอด

     

    ...แต่แบคฮยอนไม่มีแรงมากพอจะทำอย่างนั้น

     

    ได้แต่ภาวนาว่าจะมีคนมองเห็นและช่วยชีวิตไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะตรอมใจตายไปซะก่อน

     

     

    พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาทั้งดวง

     

    เสียงหายใจหอบและฝีเท้าหนักแน่นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากถนนด้านบน แบคฮยอนได้ยินทุกอย่างชัดเจนและเขาก็แน่ใจว่าคนๆนั้นจะไม่วิ่งผ่านเขาไป

     

    "ช่วยด้วย"

     

    เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเพื่อขอความช่วยเหลือ ร่างสูงในชุดวอร์มชะลอความเร็วลงและเปลี่ยนเส้นทางมาตรงที่คนบาดเจ็บนอนอยู่

     

    ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันเนิ่นนานก่อนที่หยดน้ำใสจะกลิ้งออกจากดวงตาเรียว

     

     

    แบคฮยอนถูกช้อนตัวขึ้นอย่างระมัดระวังจากเจ้าหน้าที่ เขาถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินและรักษาอย่างเร่งด่วน

     

    สีหน้าที่เป็นกังวลตั้งแต่ได้เห็นกันครั้งแรกยังคงฉายชัดอยู่ในตอนนี้ แบคฮยอนพันผ้าสีขาวเกือบทั้งตัวและนอนพักในห้องพิเศษโดยมีคนที่พบเจอเขาอยู่ในห้องด้วยกัน
     

    "คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"

     

    คนป่วยพยักหน้าหงึกหงัก

     

    "ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่"

     

    "ขอบคุณ...ขอบคุณนะครับ"

     

    "คุณต้องรีบติดต่อญาตินะครับ เขาจะได้มารับตัวคุณไปรักษาที่อื่น โรงพยาบาลที่นี่ไม่ค่อยได้มาตรฐานเท่าไหร่หรอก" ถึงจะพูดติดตลกแต่เขาก็พูดความจริง

     

    แบคฮยอนทำเพียงแค่ส่งยิ้มกลับไปให้เท่านั้น เขาติดต่อใครไม่ได้เพราะไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว จะมีก็แต่คริสที่อุปถัมภ์ตนจากบ้านเด็กกำพร้าไปเลี้ยงเมื่อห้าปีก่อน

     

    ...แต่คริสเพิ่งสั่งฆ่าเขาไปเมื่อวานนี้เอง

     

    "หรือผมควรอยู่กับคุณจนกว่าญาติจะมาดี" เจ้าของความสูงเกิดความลังเล เขาเดินถอยกลับมาที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง

     

    "ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณช่วยเขียนเบอร์ติดต่อให้ผมหน่อยได้ไหม เผื่อผมหายดีแล้วจะได้เลี้ยงขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้"

     

    "ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก แค่คุณปลอดภัยก็เท่ากับเป็นการตอบแทนผมแล้วล่ะ"

     

    "ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณแล้วจริงๆนะเนี่ย"

     

    "เอาเป็นว่าผมตัดสินใจอยู่เป็นเพื่อนคุณจนกว่าญาติจะมาดีกว่า" แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

     

    "ไม่มีใครมาหรอกครับ" ทั้งห้องเงียบสงัด แบคฮยอนส่งยิ้มกลับไปอีกครั้ง รอยฟกช้ำบนใบหน้ามีมากเกินกว่าจะสังเกตเห็นไฝเม็ดเล็กน่ารักบนมุมปากได้ "ผมไม่มีญาติที่ไหน"

     

    "อ่า ผมขอโทษ"

     

    "มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ" คนตัวเล็กหลุดขำพร้อมโบกมือไม่ให้คนข้างๆคิดมาก

     

    "แล้วคุณจะรักษาตัวที่นี่ต่อไปหรอ"

     

    "ก็...ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง"

     

    "งั้นผมจะลงชื่อเป็นญาติคุณก็แล้วกัน"

     

    "ไม่ต้องหรอกครับ ลำบากคุณเปล่าๆ"

     

    "เอาน่า ยังไงผมก็ยื่นมือมาช่วยคุณแล้ว ผมไม่ใช่นักต้มตุ๋นหรอกนะ"

     

    "ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ" ดวงตาเรียวหยีจนแทบปิด เขารู้สึกมีความสุขครั้งแรกในรอบหลายเดือน "ผมแบคฮยอนครับ บยอนแบคฮยอน"

     

    "ผมปาร์คชานยอล ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"

     

    เมื่อจับมือทักทายกันอย่างเป็นทางการเจ้าของขาเรียวยาวก็ขออนุญาตกลับไปทำธุระส่วนตัว

     

     

     

    แบคฮยอนเหม่อมองท้องฟ้าผ่านประตูกระจก ที่นี่คงจะไกลพอที่คุณคริสจะไม่สั่งให้ลูกน้องหวนกลับมาตามหาศพเขาอีก

     

    มือเล็กตรงหน้าตักสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกย้อนถึงความบ้าบิ่นของตัวเองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว เขาถอนหายใจและปลอบตัวเองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร มันจะผ่านไปด้วยดี

     

    ถ้าหลุดพ้นจากวงจรนั้นมาได้ ชีวิตเขาคงจะมีความสุขมากขึ้น

     

     

    ไม่ถึงสองชั่วโมงชานยอลก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเป้สีดำ เขาอยู่ในชุดลำลองขาสั้นและเสื้อยืดลายสดใส

     

    "ผมไม่รู้ว่ามานอนโรงพยาบาลต้องเอาอะไรมาบ้างน่ะ เลยขนมาซะเยอะเลย"

     

    "อย่าบอกนะว่าคุณจะมานอนเฝ้าผมที่นี่?"

     

    "ครับ" ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างใสซื่อ

     

    "ผมขอบคุณน้ำใจคุณมากนะ แต่คุณกลับไปนอนที่บ้านเถอะครับ"

     

    "ผมบอกแล้วไงว่าจะไปลงชื่อเป็นญาติคุณ" ชานยอลขยิบตาให้หนึ่งทีก่อนจะรื้อเสื้อผ้าออกมาแขวนในตู้

     

    สาบานเลยว่าถ้าข้อเท้าไม่เจ็บอยู่แบคฮยอนจะลงจากเตียงไปผลักเขาออกจากห้องด้วยตัวเอง

     

    มันไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเขา แถมยังไม่มีเหตุผลอะไรให้คนตัวสูงต้องมาดูแลเขาแบบนี้ด้วย

     

    "เอาล่ะ ผมจะบอกความจริงกับคุณก็ได้" ชานยอลเลื่อนปิดตู้เสื้อผ้าแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียง "ผมแค่เบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวน่ะ เปลี่ยนบรรยากาศซะบ้างมันคงจะดี"

     

    คิ้วเรียวถึงกับกระตุกเข้าหากัน "คุณไปเที่ยวก็ได้นะ ไม่เห็นต้องมาลำบากนอนโซฟาที่โรงพยาบาลเลย"

     

    "ไปคนเดียวมันก็ไม่สนุกอยู่ดีอ่ะคุณ... นี่!"

     

    "หืม?" แบคฮยอนหันไปตามแรงสะกิดจากต้นแขน

     

    "ไหนๆคุณก็ไม่มีใครแล้ว เรามาเป็นเพื่อนกันดีไหม?"

     

    "ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจคุณหรอกนะ แต่คนอย่างผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเพื่อนกับใครได้หรอก"

     

    "แปลกแฮะ" ชานยอลยกมือเกาศีรษะ เพ่งมองใบหน้าคนที่เพิ่งปฏิเสธมิตรภาพจากตนแล้วกอดอก

     

    แบคฮยอนหดคอหลบเล็กน้อย เอาจริงก็สงสัยว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหน มันจะมีสักกี่คนบนโลกที่จะอยากเป็นเพื่อนกับคนที่เจอกันครั้งแรกด้วยสภาพไม่สู้ดีแบบนี้

     

    "หน้าตาคุณเหมือนเพื่อนสมัยมอปลายผมมาก แต่เธอเป็นผู้หญิงน่ะ นี่คุณไม่ได้ปลอมตัวมาใช่ไหม?"

     

    "ดูหนังมากไปแล้วนะครับ"

     

    "นั่นสิ เพื่อนผมผิวดีกว่านี้ ตัวก็บางกว่านี้ด้วย"

     

    "ก็เธอเป็นผู้หญิงนี่ครับ ผมเป็นผู้ชาย"

     

    ชานยอลยักไหล่แล้วลุกไปหยิบนมจากตู้เย็นออกมาสองขวดก่อนจะเปิดฝายื่นให้

     

    ทั้งสองไม่ได้ต่อบทสนทนาอะไรกันมากเพราะยังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่

     

    เป็นแค่คนแปลกหน้า

     

     

     

    ปกติแบคฮยอนก็ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว น้อยคนนักที่จะได้พูดคุยและทำความรู้จักกับเขา

     

    ในเมื่อตัวเขาเองไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาใคร การสร้างเครือข่ายก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นกัน แค่ต้องรู้จักชื่อคนที่เป็นคู่ค้าของคริสเท่านั้น คนอื่นก็ไม่จำเป็น

     

    แม้แต่คนที่อยู่ในองค์กรเดียวกับเขาเองก็คุยได้แค่ไม่กี่คน

     

    แบคฮยอนไม่ใช่คนหยิ่ง แต่แค่เป็นคนปิดกั้นสังคม เพราะเขาเห็นว่ามันไม่จำเป็น

     

    คนเราเกิดมาคนเดียว ตายคนเดียว ทำไมจะอยู่คนเดียวไม่ได้... นั่นคือสิ่งที่เขาคิดมาตลอดยี่สิบปี

     

    "เที่ยงแล้วนี่"

     

    ร่างเพรียวที่นอนเหยียดอยู่บนโซฟาดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนแบคฮยอนตกใจ ไม่ถึงสิบวินาทีนางพยาบาลก็ยกถาดอาหารเข้ามา

     

    ชานยอลปรี่เข้าไปช่วยเธอถือไว้เพื่อนำมาวางบนโต๊ะคนป่วย เขาดูกระตือรือร้นตลอดเวลาจนแบคฮยอนสงสัยว่าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

     

    อาหารรสชาติจืดมาตรฐานของโรงพยาบาลผ่านลำคอไปอย่างง่ายดาย ร่างเล็กไม่ใช่คนเรื่องมาก กินอะไรก็ได้ ถึงแม้ไม่ได้กินเขาก็ไม่โวยวายอะไร

     

    "แล้วคุณไม่ทานข้าวหรอครับ?"

     

    "อ้อ" ชานยอลเปิดตู้เย็นหยิบอาหารแช่แข็งไปอุ่นแล้วมานั่งกินพร้อมกัน

     

    เขาจัดการยกถาดอาหารและเลื่อนโต๊ะทานข้าวไปวางที่เดิมให้เรียบร้อยจนแบคฮยอนต้องห้ามปราม

     

    มีแต่คำถามผุดขึ้นในสมองมากมายว่าผู้ชายคนนี้เอานิสัยมาจากใครกันนะ ถูกครอบครัวเลี้ยงดูมายังไง โตมาในสังคมแบบไหน

     

    "ถ้าอยากเข้าห้องน้ำเรียกผมได้ตลอดเลยนะ"

     

    "คุณชานยอล"

     

    "จะเข้าห้องน้ำหรอ?"

     

    แบคฮยอนหัวเราะอีกแล้ว

     

    สีหน้าตกใจปนกังวลของชานยอลทำให้เขาดูดีขึ้นจริงๆ แปลกดีที่แค่การขมวดคิ้วคนตรงหน้าก็ดูหล่อขึ้นได้ "ผมว่าคุณทำตัวตามสบายเถอะครับ คิดซะว่ามาพักผ่อนแล้วกัน ไม่ต้องดูแลผมหรอก"

     

    "คุณอึดอัดหรอ?"

     

    "ก็นิดหน่อย"

     

    "ผมขอโทษ ผมแค่กลัวว่าคุณจะลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ไหวน่ะ"

     

    "ขอบคุณนะครับ ไว้ให้ผมเดือดร้อนจริงๆแล้วผมจะขอช่วยคุณนะ"

     

     

    อาการแบคฮยอนดีขึ้นตามลำดับ คืนแรกก็มีบ้างที่ต้องกลั้นใจเรียกชานยอลให้ช่วยพยุงเขาเดินไปห้องน้ำ ตอนแรกเขาคิดว่าปวดแค่ข้อเท้า แต่ที่ไหนได้...มันร้าวขึ้นมาถึงสะโพก

     

     

     

    ร่างเล็กไม่ค่อยเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนสักเท่าไหร่ แต่หลังจากได้หนังสือที่ชานยอลแนะนำให้อ่านเขาก็เริ่มเป็นคนตั้งคำถามก่อนบ้าง

     

    "ผมจะออกไปสูดอากาศสักหน่อย คุณจะไปด้วยกันไหม?"

     

    "ไปสิ ว่าแต่คุณเถอะ เดินไหวแน่หรอ"

     

    "ผมมีไม้ค้ำ"

     

    ทั้งสองร่างเดินคู่กันไปตามทางเดินของโรงพยาบาลช้าๆ แบคฮยอนเดินช้ากว่าเดิมเป็นเท่าตัว ร่างเล็กหยุดยืนอยู่หน้ากระจกใสติดผนัง

     

    ใบหน้าบวมเฉ่งแถมยังมีรอยเลือดกรังอยู่หลายจุด สภาพดูไม่ได้ยิ่งกว่าตอนไปคุ้ยกองขยะเพื่อหาเศษเหล็กชั่งขายตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าซะอีก

     

    "ไหวไหมคุณ?" มือหนาบีบลงบนลาดไหล่เบาๆ

     

    "ไหวครับ"

     

    แบคฮยอนเดินหน้าต่อ ใช่...เขาต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ดี ต้องเดินต่อไปด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

     

    คุณคริสคือผู้มีบุญคุณเหลือล้น ชุบชีวิตจากเด็กต่ำเตี้ยเรี่ยดินให้พอมีการศึกษาและรู้จักสังคมที่สูงขึ้น

     

    เขามีที่ซุกหัวนอน มีอาหารให้กินทุกมื้อ มีเงินใช้ ก็เพราะความเมตตาจากคริส แต่สิ่งเหล่านั้นก็ต้องแลกมาด้วยความแข็งแกร่งของจิตใจที่มากพอ 

     

    เพราะคริสไม่ใช่คนดี...

     

     

    "พรุ่งนี้คุณก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดีใจด้วยนะ" ชานยอลไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยสักเท่าไหร่ เขาพูดคุยแบบสบายๆและใช้คำพูดที่ไม่ค่อยเป็นทางการมากเท่าไหร่นัก

     

    ต่างจากแบคฮยอน...

     

    "ครับ"

     

    "ว่าแต่...คุณจะไปอยู่ไหนหรอ?"

     

    ดวงตาเรียวหลุบมองข้อเท้าตัวเองอยู่พักใหญ่ "ไม่รู้สิครับ ผมอาจจะกลับไปอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าก็ได้"

     

    "แล้วคนที่ทำร้ายคุณเขาจะไม่ตามไปหรอ"

     

    นั่นสิ...แบคฮยอนเองก็แอบหวั่นว่าคริสจะรู้หรือเปล่าว่าเขายังไม่ตาย ถ้าตราบใดที่ไม่เจอศพ คนฉลาดแบบนั้นก็คงจะรู้

     

    "เอางี้..."

     

    "..." แบคฮยอนหันไปจ้องดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีประกายสวยของน้ำหล่อเลี้ยง

     

    "ไปอยู่กับผมก่อนสักพัก ผมให้คุณอยู่ฟรีเลยแต่ต้องมีข้อแม้นะ"

     

    "ข้อแม้?"

     

    "คุณต้องยอมให้ผมเป็นเพื่อนคุณก่อน"

     

    คนฟังอมยิ้ม นี่คือสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการเป็นค่าตอบแทนที่ยอมให้ไปอยู่ที่บ้านฟรีๆหรอ

     

    "ผมกับคุณอยู่ด้วยกันมาเกือบอาทิตย์แล้วนะครับ"

     

    ร่างสูงพยักหน้าขึ้นลง ตั้งใจฟังสิ่งที่แบคฮยอนกำลังจะพูด

     

    "ผมว่าแค่นี้ก็ชัดเจนพอแล้วหรือเปล่า"

     

    "ไม่เข้าใจอ่ะ" แบคฮยอนยืนขึ้นอีกครั้ง หยิบไม้ค้ำเตรียมจะเดินออกไป "ผมไม่เข้าใจอ่ะแบคฮยอน"

     

    เจ้าของชื่อเผลอใจเต้นรัวกับเสียงเรียก ชานยอลเรียกชื่อแบคฮยอนเป็นครั้งแรกพร้อมกับสีหน้างงงวยเหมือนเด็กๆ ...แต่แบคฮยอนไม่ชอบเด็ก

     

    "ผมไม่คุยกับใครเกินหนึ่งอาทิตย์หรอกนะ"

     

    ชานยอลก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี...

     

    "ถ้าไม่ใช่เพื่อนน่ะ"

     

    หลังจากประมวลผลอยู่นานปากหยักก็ยกยิ้มกว้างจนอวัยวะบนใบหน้ายิ้มตาม "จริงนะ"

     

    "ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ"

     

    "ว้าว ดีจัง~"

     

     

     

    แบคฮยอนยืนรอเจ้าของบ้านไขกุญแจอยู่หน้าประตู ปลายนิ้วเรียวข้างหนึ่งขึ้นสีเข้มเพราะเกี่ยวกระเป๋าไว้ ไม่นานนักประตูก็เปิดออก

     

    "นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ ผมจะไปจัดห้อง"

     

    "ไม่ต้องหรอกครับ"

     

    "ไม่ได้หรอก ผมอายน่ะ" ชานยอลถือกระเป๋าเป้หายเข้าไปในห้องนอนประมาณสิบนาที

     

    ร่างเล็กนั่งมองสำรวจบ้านไปรอบๆ มีกีตาร์วางพิงอยู่ตรงมุมห้อง มีตู้ปลาเล็กๆ มีจักรยานหนึ่งคัน ของใช้ไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเลยสำหรับชายหนุ่มที่อยู่ตัวคนเดียว

     

    แบคฮยอนกระเผลกขาไปยังตู้ไม้ บนนั้นมีกรอบรูปวางเรียงปนกับหนังสือไม่กี่เล่ม

     

    รูปครอบครัว รูปเดี่ยว รูปเพื่อนฝูง ... ความทรงจำทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในกรอบไม้สี่เหลี่ยม ทุกอย่างสวยงาม

     

    "แบคฮยอน คุณไม่คิดมากใช่ไหมถ้าเรานอนเตียงเดียวกัน"

     

    "ผมยังไงก็ได้อยู่แล้วครับ"

     

    "งั้นเดี๋ยวผมหาชุดนอนให้ ถึงเวลาที่คุณต้องทานยาแก้ปวดแล้วล่ะ" ร่างสูงชี้ลงไปบนเท้าที่เข้าเฝือกแล้วหยิบยาออกมาวางบนมือเล็ก

     

    แบคฮยอนตาปรือลงจนเกือบจะปิดในขณะนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา ไม่นานนักก็ย้ายตัวเองเข้าห้องนอน

     

    เตียงชานยอลไม่ใหญ่มาก ลำพังเขานอนคนเดียวก็เกือบเต็มแล้ว แต่คืนนี้กลับมีแขกรับเชิญมานอนด้วยอีกคนมันเลยดูจะอึดอัดไปสักหน่อย

     

    ...แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนเจ็บ เพราะเขาเป็นคนไม่เรื่องมาก ยังไงก็ได้

     

    และอีกอย่าง ที่นี่ไม่ใช่บ้านเขา แบคฮยอนเป็นแค่ผู้อาศัย

     

     

     

    เช้าตรู่ในหลายวันถัดมา ทั้งคู่เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อถอดเฝือก แบคฮยอนเดินปร๋อหลังจากกลับมาอยู่ที่บ้าน คอยทำงานบ้านงานเรือนทุกอย่างแถมยังขออนุญาตซื้อสุนัขตัวเล็กเข้ามาเลี้ยงอีกด้วย

     

    "คุณคุยกับมันมากกว่าผมอีกนะ" ชานยอลนั่งยองลงข้างๆบนสนามหญ้าในสวนเล็กๆ

     

    "ผมไม่ค่อยชอบคุยกับมนุษย์เท่าไหร่น่ะ"

     

    ...แบคฮยอนก็เป็นซะแบบนี้

     

    "ผมต้องเป็นหมาหรอคุณถึงจะคุยด้วย หืม?"

     

    ร่างเล็กเพียงแค่หันมาสบตาแล้วส่งยิ้มให้เบาๆ แย่งกระดูกปลอมออกจากปากสัตว์เลี้ยงก่อนจะโยนไปอีกฟากฝั่ง

     

    พยักเพยิดชี้ให้คนข้างๆไปเอามันกลับคืนมา ซึ่งชานยอลก็คลานสี่ขาทำตามใจจนใบหน้าหวานยกยิ้ม

     

    "เก่งมาก"

     

    "ผมเป็นหมาให้คุณแล้ว คราวนี้คุณก็ต้องยอมคุยกับผมแล้วนะ"

     

    "ได้เสมอ" แบคฮยอนยักไหล่ เขาผ่อนคลายมากขึ้นตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่

     

     

    ชานยอลเป็นผู้ชายหลายบุคลิก มีความสามารถหลายด้าน เป็นผู้ชายในฝันของใครหลายคน แต่แปลกที่เขามักจะไม่เริ่มความสัมพันธ์กับใคร ทำให้ต้องอยู่คนเดียวมาหลายปี

     

    ชานยอลเป็นคนอ่านง่าย เพียงแค่มองตาก็รู้แล้วว่าต้องการอะไร อย่างเช่นตอนนี้ที่แบคฮยอนกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเปลผูกใต้ต้นไม้

     

    เขาก็เดินลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างๆแล้วออกแรงแกว่งจนตาลาย

     

    "คุณอ่านหนังสือมาสองชั่วโมงแล้วนะ"

     

    "ผมชอบอ่านหนังสือน่ะ" แบคฮยอนเลื่อนสายตาไปมองรูปหน้าที่กำลังงองุ้ม

     

    "ผม..."

     

    "ผมจะเข้าไปร้องเพลงเป็นเพื่อนคุณในบ้าน โอเคนะ"

     

    "เย่!"

     

    บอกแล้วว่าปาร์คชานยอลน่ะ...อ่านง่าย

     

     

    แผ่นกระดาษที่วางเรี่ยราดเกลื่อนโต๊ะบ่งบอกได้ว่าเจ้าของบ้านกำลังมีอารมณ์สุนทรีย์ในการประพันธ์เพลง 

     

    แบคฮยอนเท้าศอกลงบนโต๊ะประสานมือไว้ใต้คาง มองคนตรงข้ามที่กำลังอุ้มกีตาร์ไว้ในอ้อมกอด

     

    เขาดูมีเสน่ห์ ซึ่งจริงๆแล้วเสน่ห์ชานยอลมีหลากหลาย ...หลากหลายจนไม่สามารถพูดได้จนครบ เพราะแม้แต่ตอนนั่งดูทีวีเฉยๆแบคฮยอนก็มองเห็นเสน่ห์ที่อยู่ในตาคู่นั้น

     

    หรือแม้แต่ตอนนอนข้างกันเสน่ห์ของชานยอลก็ยังคงตรึงสายตาไม่ให้หลับใหล

     

    ชานยอลพอใจที่ได้ยินเสียงหวานเคล้าไปกับเสียงคอร์ดที่ตัวเองเป็นคนคิดมันขึ้นมา เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยมีนักร้องส่วนตัวเช่นกัน...แต่นั่นก็แค่อดีต

     

    ทุกๆวันเริ่มต้นเหมือนเดิมและจบลงเหมือนเดิม จะมีผิดเพี้ยนไปบ้างเมื่อเจ้าของร่างสูงนึกอะไรสนุกๆออก เขาอยากรู้จักแบคฮยอนให้มากกว่านี้

     

    และแบคฮยอนเองก็อยากรู้จักชานยอลให้มากขึ้นเช่นกัน

     

    ร่างเล็กเริ่มเปลี่ยนบุคลิก เหมือนนิสัยจะถ่ายโอนกันได้เพียงแค่ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

     

    เขาไม่รังเกียจสัมผัสจากชานยอล ไม่รังเกียจที่จะเข้าหาก่อน และไม่รังเกียจที่จะยอมเปิดใจให้คนที่เคยเป็นแค่คนแปลกหน้า

     

     

    "ชานยอล ผมจะปิดไฟแล้วนะ" แบคฮยอนอ่อนโยนขึ้น ไม่กระด้างเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก

     

    "รอผมด้วยสิครับ" ชานยอลวิ่งเข้ามาในห้องหลังจากหากระดาษเนื้อเพลงโปรดที่วางอยู่บนโต๊ะไม่เจอเนื่องจากมันรกมากเกินไป "คุณอ่ะ"

     

    น้ำเสียงคล้ายแง่งอนทำให้แบคฮยอนหัวเราะเสียงเบา เขาชอบเหลือเกินที่ชานยอลเป็นแบบนี้

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอมีใจให้ตอนไหน แต่ตอนนี้รู้สึกว่าถ้าทุกวันก่อนนอนได้เจอหน้าเขาและตื่นมาในตอนเช้าก็ยังคงนอนข้างเขาแบบนี้เรื่อยๆก็คงจะดี

     

    ...แบคฮยอนตกหลุมรักชานยอลซะแล้ว

     

    "กลัวความมืดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

     

    "ก็ตั้งแต่คุณมาอยู่กับผมนั่นแหละ..." ชานยอลเท้าศีรษะไว้กับมือจ้องเสี้ยวหน้าที่โดนผ้าห่มปิดไปเกือบมิด "คุณชอบแกล้ง"

     

    "ก็คุณชอบแกล้งผมก่อน"

     

    "ก็คุณมันน่าแกล้งนี่นา"

     

    "นอนเถอะ"

     

    ชานยอลไม่รู้หรอกว่าแบคฮยอนกำลังหน้าแดง...

     

    แบคฮยอนตะแคงหนีเจ้าของรอยยิ้มที่คว้าใจเขาไปได้ ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะ

     

    แขนแกร่งดึงคนตัวเล็กเข้าอ้อมกอดจากด้านหลัง แล้วทุกอย่างก็เงียบไปแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ

     

    "คุณ..."

     

    "ตัวคุณนิ่มจัง" ...หัวใจทำงานหนักเหลือเกิน

     

    ลมหายใจร้อนรินรดพวงแก้มใสที่ร้อนฉ่า ชานยอลดอมดมกลิ่นหอมจากร่างเล็กช้าๆ มันเย้ายวนจนเขาไม่สามารถหยุดได้

     

    "ชานยอล"

     

    "ครับ"

     

    เสียงใสท้วงห้ามเป็นนัยแต่ก็ไม่ชัดเจนพอที่จะหยุดการกระทำนั้น ชานยอลเลื่อนมือมาจับมือเล็กที่กำหากันแน่นก่อนจะสอดประสานเอาไว้หลวมๆ

     

    แบคฮยอนตัวสั่นเป็นลูกนก...

     

    "เรียกผมแล้วเงียบหรอ หืม?" เสียงแหบพร่ากระซิบข้างใบหูจนแบคฮยอนขนลุกซู่

     

    ทำได้แค่เพียงหดคอหนีแล้วหลับตาแน่น เผลอบีบมือชานยอลแรงเกินไปด้วย

     

    "แบคฮยอน"

     

    "ห หืม?"

     

    "เราอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนแล้ว"

     

    "ป ประมาณสี่เดือนแล้ว มั้ง"

     

    "ผมว่า..."

     

    แบคฮยอนใจเต้นตึกตักเมื่อถูกอีกคนเกลี่ยเส้นผมเล่น

     

    ชานยอลจับตัวให้เขานอนหงายก่อนจะสัมผัสแก้มใสด้วยปลายจมูกเบาๆ กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายแข็งเกร็งและรู้สึกได้ว่าสายตาคู่นั้นกำลังจ้องลึกลงมาเหมือนกัน

     

    "ผมรักคุณเข้าแล้วล่ะแบคฮยอน"

     

    "คุณไม่คิดมากเรื่องเพศหรอ? " เสียงหวานเต็มไปด้วยความสั่นไหว

     

    "เพศไม่ใช่เงื่อนไขของความรักแบคฮยอนหัวใจต่างหาก"



     

    _ _ _ _ _ _ _

    C U T

    _ _ _ _ _ _ _


     

     

    แสงสว่างที่ลอดหน้าต่างเช่นทุกวันยังคงเป็นนาฬิกาปลุกให้แก่เจ้าของร่างบางได้ดี

     

    แบคฮยอนเห็นว่าโต๊ะที่ชานยอลใช้เวลากับมันทั้งวันนั้นรกตาเกินกว่าจะทนได้ไหว เขาจึงตั้งใจลุกมาเก็บกวาด

     

    กระดาษเอสี่ที่ตีบรรทัดห้าเส้นกองพะเนินเป็นภูเขา มีทั้งใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ ...ชานยอลรักเสียงเพลง และดนตรีก็คือชีวิตของเขา

     

    สิ่งที่แบคฮยอนทำคือแยกประเภทของกระดาษให้ชัดเจนเพราะเห็นว่าหลายครั้งที่เจ้าของโต๊ะมักจะหาอะไรไม่เจอจนหงุดหงิด

     

    เขาเผลอปัดกระบอกใส่ดินสอไม้จนหล่นกระจายเต็มพื้น ไส้ดินสอหักเกือบหมด ตอนนั้นเองที่แบคฮยอนคิดว่าเขาควรจะตื่นขึ้นมาเพื่อดูทีวีเหมือนเช่นทุกวันซะมากกว่า

     

    ต้องเสียเวลาไปกับการเหลาดินสออีกเกือบห้านาที ก่อนจะเก็บกระดาษที่ยังไม่ใช้เข้าลิ้นชัก

     

    เมื่อบนโต๊ะไร้สิ่งกีดขวางทำให้บางอย่างที่ฝังอยู่มานานเด่นชัดขึ้น

     

    แบคฮยอนเอียงคอมองรูปภาพอย่างสงสัย มันถูกติดกับกาวตรงมุมโต๊ะ อารมณ์ในรูปให้บรรยากาศเหมือน...คนรัก

     

    เขารู้สึกคุ้นหน้าเธอเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน และพอมองไปยังชั้นไม้ก็ไขข้อสงสัย ผู้หญิงคนนั้นมีรูปคู่กับปาร์คชานยอลใส่กรอบ

     

    แบคฮยอนไม่ใช่คนขี้หึง...

     

    อาการนั้นมันแสดงออกยากเกินไปสำหรับคนอย่างเขา

     

    "ทำอะไรอยู่ครับ" เสียงทุ้มลอยมาพร้อมกับวงแขนแกร่งโอบรอบเอว

     

    "ผมจัดโต๊ะให้คุณน่ะ มันรกเกินไป"

     

    "โห ใจดีจัง" แบคฮยอนหันไปตามแรงหมุนของคนด้านหลัง

     

    กลิ่นชานยอลช่างมอมเมาเหลือเกิน มันทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจนเกือบจะกลายเป็นคนละคน

     

    แบคฮยอนไม่เคยยอมให้ใครกอดขนาดนี้ ไม่เคยยอมให้ใครรุกล้ำได้ขนาดนี้ ถึงแม้ร่างกายอาจจะโดนกระทำบ่อย แต่เรื่องของหัวใจ...ชานยอลคือครั้งแรก

     

    "เช้านี้กินอะไรดีครับ"

     

    "อืม..." ร่างสูงทำท่าครุ่นคิด "กินคุณได้ไหม?"

     

    ชานยอลเจ้าเล่ห์

     

    แต่แบคฮยอนก็มอบจูบรสหวานให้อย่างเต็มใจ เช้าของทุกวันมันเป็นวันที่ดีเสมอ เมื่อเขาตื่นมาแล้วพบว่า...บนโลกใบนี้ยังมีคนยินดีที่เขาเกิดมา

     

     

     

    คืนนี้ชานยอลไม่กลับบ้าน เป็นครั้งแรกที่เขาไปนอนค้างที่อื่นตั้งแต่แบคฮยอนย้ายเข้ามา

     

    ร่างเล็กจัดตู้เสื้อผ้าใหม่เพราะเสื้อผ้าของเขาที่เพิ่งซื้อมากำลังแย่งพื้นที่เสื้อผ้าของปาร์คชานยอล

     

    เขาไม่ยอมให้แบคฮยอนซื้อเสื้อสีทึบโดยให้เหตุผลว่า 'แบคฮยอนคือความสดใส' และไม่ยอมให้ซื้อเสื้อแขนสั้นทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ออกไปนอกบ้าน แถมเสื้อแขนยาวพวกนั้นก็มักจะยาวจนเลยปลายนิ้วเรียวแทบทุกตัว

     

    แบคฮยอนหยิบกรอบรูปที่ถูกวางอยู่ด้านในของตู้ออกมาดู ...เป็นเธออีกแล้ว

     

    แน่นอนว่าคนตัวเล็กไม่เคยถามถึงเรื่องราวในอดีต เขาไม่รู้ว่าชานยอลเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน พ่อแม่เป็นคนยังไงหรือถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน

     

    เขารู้แค่ว่าพ่อแม่ของชานยอลทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ และพี่สาวคนเดียวก็อยู่กับสามีและลูกชายในโซล เป็นครอบครัวที่อบอุ่น

     

    มือซนของแบคฮยอนสัมผัสแผ่นกระดาษด้านหลังกรอบรูป จริงๆแล้วนิสัยส่วนตัวของเขาไม่ใช่แบบนี้ ไม่เคยอยากรู้เรื่องราวของคนอื่นแบบนี้

     

    'ผมขอโทษ รีบกลับมานะ ผมยังรอคุณอยู่เสมอ'

     

    ...แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไป

     

    อยู่ๆความรู้สึกมันก็รื้นขึ้นเต็มขอบตา แบคฮยอนกำลังร้องไห้...ร้องไห้ให้กับความรักที่ชานยอลมีให้ผู้หญิงคนนี้มันมากมายเหลือเกิน

     

    เขาแน่ใจว่าชานยอลจะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง จึงลากเก้าอี้เพื่อปีนขึ้นไปหยิบกล่องบนหลังตู้

     

    'หลายวันแล้วนะที่คุณหายไป ไม่คิดถึงผมหรอ'

     

     

    'คุณครับ วันนี้วันครบรอบห้าปีของเรา จำได้ไหม?'

     

     

    'ถ้าคุณไม่รีบกลับมาตอนนี้ผมจะหาแฟนใหม่แล้วนะ . . . ผมล้อเล่น'

     

     

    'คุณหายไปไหนกันแน่ ผมทนไม่ไหวแล้วนะ'

     

     

    แบคฮยอนหยุดอ่านข้อความพวกนั้นไม่ได้ กระดาษทุกแผ่นเต็มไปด้วยลายมือของชานยอลที่เขาจำได้ดี และทุกครั้งมันก็ถูกลงวันที่ไว้

     

    'ผมรู้ว่าคุณยังไม่ตาย'

     

    และแผ่นล่าสุดที่เพิ่งถูกเขียน...

     

    'ขอโทษนะ'

     

    ...คือเมื่อวาน

     

     

     

    "วันนี้ผมจะพาคุณไปดูทุ่งทานตะวันตรงเนินเขาด้วยแหละ ตื่นเต้นไหม?"

     

    แบคฮยอนหัวเราะเบาๆ เพราะสิ่งที่ชานยอลกำลังพูดอยู่มันไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นเลย ชานยอลบอกล่วงหน้าไว้แล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ เขาย้ำมันทุกวันนั่นแหละ

     

    "ผมหรือคุณกันแน่ที่ตื่นเต้น"

     

    "อ่า ผมตื่นเต้นจริงๆด้วย" พูดจบก็คล้องกล้องตัวเล็กไว้กับคอ

     

    ชานยอลน่ารัก... เขาใส่เสื้อลายทางสีเหลืองสดใส กางเกงสามส่วนสีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาว และแบคฮยอนเองก็ใส่เหมือนกัน

     

    ชานยอลบอกว่ามันคือไอเท็มคู่ ...คือสิ่งที่คนรักกันแต่งตัวเหมือนกันทุกอย่าง

     

     

    ไม่แปลกใจว่าทำไมร่างสูงถึงดูตื่นเต้นขนาดนี้ ทั่วทั้งบริเวณถูกระบายไปด้วยสีเหลืองของทานตะวัน เมื่อกระทบกับแสงแดดก็ยิ่งทำให้มันสว่างขึ้นไปอีก

     

    แบคฮยอนหายเข้าไปในสีพวกนั้นพร้อมกับกระโดดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่ดูยังไงก็สดใสกว่าดอกไม้

     

    ทั้งสองวิ่งเล่นราวกับเด็ก ลืมตัวตนที่เคยสร้างมา...

     

    "โอ๊ะ!"

     

    "แบคฮยอน!" หัวเข่าข้างซ้ายถลอกจนเลือดซึม แบคฮยอนนั่งชันเข่าขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่เจ็บนะ"

     

    "อื้ม" มันไม่เจ็บหรอก แผลแค่นี้เอง

     

    "เดินไหวไหม?"

     

    "ผมไม่เป็นไร ยังวิ่งได้อีกนะ แข่งกันเปล่า"

     

    ชานยอลเป่าเพี้ยงเบาๆแล้วพยุงคนตัวเล็กขึ้นมา เขาดึงแบคฮยอนเข้าอ้อมกอด

     

    "คุณมีความสุขไหม?"

     

    "อื้ม ผมมีความสุขมาก"

     

    "ผมดีใจนะที่เห็นคุณยิ้มได้แบบนี้..." เขาคลายอ้อมกอด บีบหัวไหล่มนเบาๆ "ยิ้มให้มากกว่านี้อีกนะ ยิ้มให้ผมมากกว่านี้อีก"

     

    "ผมก็ไม่เคยยิ้มให้ใครขนาดนี้เลยนะ"

     

    "ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นมุมนี้ของคุณคนเดียวนะแบคฮยอน"

     

    ชานยอลได้ทุกอย่างไปจากแบคฮยอนคนเดียว...เขาคือครั้งแรกของแบคฮยอนคนเดียว

     

    "ผมรักคุณ"

     

    "เช่นกัน"

     

    แม้แต่คำว่ารักที่ออกจากปาก นั่นก็คือครั้งแรก

     

     

     

    เป็นเช้าที่ชานยอลตื่นขึ้นมาทำอาหารเพราะแบคฮยอนไม่สบาย เขามีพรสวรรค์ด้านนี้นิดหน่อยเพราะทำกินเองมาตั้งแต่เด็ก

     

    กลิ่นหอมของข้าวต้มหมูสาหร่ายก็เป็นเครื่องการันตีได้แล้วว่ารสชาติมันจะออกมาสุดยอดขนาดไหน

     

    แบคฮยอนดื้อเกินกว่าจะยอมให้พาไปโรงพยาบาล เพิ่งรู้วันนี้ว่าคนที่แข็งแกร่งอย่างเขาจริงๆแล้วกลัวเข็มเหมือนกัน

     

    ชานยอลตั้งนาฬิกาปลุกทุกๆชั่วโมงเพื่อที่จะเดินเข้าไปดูอาการคนป่วยในห้องนอน เขาอยากให้แบคฮยอนได้พักผ่อนเต็มที่

     

    "เช้าวันนี้เรามาดูความคืบหน้าข่าวคนหายกันนะคะ...นางสาวเอนามสมมติที่หายตัวไป หลังจากที่เธอออกจากที่ทำงานเพื่อขับรถไปหาแฟนหนุ่ม วันนี้ครบรอบปีที่สองแล้วที่เธอหายตัวไป ทางครอบครัวเข้าแจ้งเรื่องอีกครั้งเพื่อให้ตำรวจเร่งค้นหา..."

     

    ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

     

    ชานยอลละสายตาจากทีวีเพื่อปิดนาฬิกาปลุก อาการแบคฮยอนดีขึ้นมากแล้ว คนตัวเล็กพาร่างตัวเองมานอนอยู่บนโซฟาเป็นเพื่อน

     

    "เล่นกีตาร์ให้ผมฟังหน่อย"

     

    ปากหยักยกยิ้มให้กับคำออดอ้อนก่อนจะลุกไปหยิบกีตาร์มาเกาเล่น เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอเล่นเพลงที่มันเศร้าจนจับคลื่นความเสียใจได้

     

    แบคฮยอนเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ส่วนชานยอลก็กลับไปคิดเรื่องราวของตัวเองใหม่

     

    มันไม่ผิดที่ใครทั้งนั้น ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาเอง

     

    ครืด~ ครืด~

     

    เสียงโทรศัพท์ที่ไม่ได้มาจากการตั้งปลุกดังขึ้น...

     

    "สวัสดีครับ"

     

    เรื่องราวของเขายังคงยืดยาวมาจนถึงวันนี้

     

    "คุณคือใคร?"

     

    วันที่ชานยอลไม่กลับบ้าน นั่นคือวันที่เขาเข้าไปยื่นเรื่องให้กับตำรวจอีกครั้ง

     

    "ต้องการอะไร?"

     

    คนรักของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยถึงสองปีเต็ม...

     

    "..."

     

    และวันพรุ่งนี้...

     

    "...โอเค"

     

    เขาจะได้เจอกับเธออีกครั้ง

     

     

     

    แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงชวนเขาออกมาข้างนอกในตอนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ทั้งที่ตัวเขายังไม่หายไข้ดีนัก

     

    จะชวนมาดูดาวหรอ?

     

    "ชานยอล คุณจะเดินไปไหนอ่ะ ผมเหนื่อยแล้วนะ"

     

    "..." ร่างสูงไม่ตอบ เพียงแค่เดินให้ช้าลงแล้วกุมมือเล็กขึ้นแนบอก "รู้สึกไหม?"

     

    "อ อืม" แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงก่ำ

     

    "มันเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่กับคุณ..."

     

    "อ่า"

     

    "จริงๆนะ"

     

    "..." ร่างเล็กเกาแก้มแก้เขิน

     

    ชานยอลเดินหน้าต่อไปในขณะที่มือยังกุมกันแน่น แบคฮยอนก้มหน้างุดมองรอยรองเท้าที่ใหญ่กว่าเท้าของเขาหลายไซส์ เผื่อโอกาสสำคัญเขาจะได้ซื้อรองเท้าคู่กับชานยอลอีก

     

    เสียงปิดประตูรถดังแว่วมาทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองรองข้าง แบคฮยอนเห็นเงาสีดำอยู่ไกลๆแต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก

     

    "อ่า ชานยอล ผมว่าท่อนสุดท้ายของเพลงมันควรจะเป็น 'ทิ้งฉันไว้ตรงนี้ตลอดไป' ดีไหม?"

     

    เจ้าของชื่อหันมายิ้ม ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แบคฮยอนกลายเป็นคนอ่อนโยนเก็บเรื่องคนอื่นมาคิดแบบ นี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แบคฮยอนกลายเป็นคนร่าเริงแบบนี้

     

    ...ตั้งแต่ที่เปิดใจให้กับชานยอลหรือเปล่า?

     

    "ผมว่า...มันควรจะเป็น 'กลับมาหาผมเถอะ ผมยังรอคุณอยู่ที่เดิม' มากกว่า"

     

    "มันเพราะกว่าหรอ?"

     

    "มันสมควรจะเป็นอย่างนั้นน่ะ"

     

    แบคฮยอนหันไปมองเงาตะคุ่มข้างรถที่เดิม หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในกรอบตาพร้อมกับชายหนุ่มชุดดำ

     

               คนตัวเล็กก้มมองมือที่ถูกคลายออกช้าๆ ชานยอลยืนหันหลังให้เขาเนิ่นนานก่อนจะเดินเข้าไปหา...เธอคนนั้น

     

    "ช ชานยอล"

     

    "..." ไร้เสียงตอบรับ

     

    ปาร์คชานยอลรับเธอต่อมาจากชายชุดดำและดึงเข้าสู่อ้อมกอด เสียงสะอื้นร่ำราวกับได้ของรักของหวงกลับคืนมาของเขาบาดลึกหัวใจคนตัวเล็กจนเหวอะหวะ

     

    "ชานยอล"

     

    "..." และไม่ว่าจะตะโกนเรียกอีกกี่ครั้ง

     

    "ชานยอล!"

     

    ปาร์คชานยอลก็ไม่หันกลับมา

     

     

    ข้อมือเล็กถูกลากถูลู่ถูกังไปยังรถยนต์ในขณะที่สายตาพร่ามัวไปด้วยหยดน้ำใส แบคฮยอนยังคงกู่ก้องชื่อร่างสูงเต็มแรง

     

    แต่ปาร์คชานยอลก็ยังเดินต่อไปพร้อมกับเธอคนนั้น... เธอคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขามากกว่าแบคฮยอน

     

     

    ...เธอที่ปาร์คชานยอลยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตอันไร้ค่าของแบคฮยอน

     

     

    ...เธอที่ชนะและเอาปาร์คชานยอลไปจากชีวิตของแบคฮยอน

     

     

    ...เธอที่อยู่ในรูปถ่ายบนโต๊ะ บนชั้นไม้ ในกล่องหลังตู้ ในเนื้อเพลงที่เพิ่มคำร้องไปเมื่อสักครู่ อยู่ในที่ๆเคยเก็บไว้มิดชิดตั้งแต่วันแรกที่แบคฮยอนย้ายเข้ามาอยู่

     

     

    ...เธอที่ใบหน้าช่างคล้ายคลึงกับแบคฮยอนนัก

     

     

    ...แต่เธอไม่ใช่แบคฮยอน

     

     

    ร่างเล็กยังคงต่อสู้กับแรงที่พยายามยัดเขาเข้ารถ คนของคุณคริสตรึงร่างเขาไว้กับเบาะหลังรถแน่น

     

    ปาร์คชานยอลลับสายตาไปแล้ว เขาออกไปไกลเกินกว่าแบคฮยอนจะมองเห็นแล้ว

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนกลับมาอยู่ที่เดิม... ที่ๆมีแค่แบคฮยอน

     

    ที่ๆไม่มี ' เ ร า อีกแล้ว

     

     

    และวันที่เจ็บปวดหัวใจมากที่สุด...ก็คงจะไม่พ้นวันนี้

     

     

    ลาก่อน ... ตลอดไป ... ปาร์คชานยอล










     



     

    เช้าที่ยังมีชีวิตรอดอยู่อีกวันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

     

    บยอนแบคฮยอนไม่ได้ถูกฆ่าทันทีเหมือนอย่างที่คิดไว้ในทีแรกแม้จะไม่ได้ร้องขอ เพราะคริสยังเห็นว่าเขามีประโยชน์และอยากลองให้โอกาสอีกสักครั้ง

     

    มันยังไม่ถึงเวลาที่แบคฮยอนต้องตาย...

     

    แต่ร่างเล็กไม่ได้มีความยินดีกับโอกาสที่คริสหยิบยื่นมาให้เลยสักนิด เขาไม่ได้ดีใจกับโอกาสที่ผ่านเข้ามา เพราะถ้าตายไปเขาอาจจะไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้ อย่างน้อย...

     

    "แบคฮยอน พร้อมหรือยัง?"

     

    ...เขาอาจจะไม่ต้องออกไปฆ่าคนเหมือนอย่างตอนนี้ก็ได้

     

     

    มือเล็กถือด้ามปืนสีดำมะเมื่อมอย่าง คุ้นชินราวกับว่ามันเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มานาน ซ้อนท้ายรถบิ๊กไบท์คันใหญ่ไปตามทาง ใส่หมวกกันน็อคมิดชิดและเสื้อหนังสีดำอย่างที่เห็นกันในละครหลังข่าวทั่วไป

     

    สมองเขายังคงมีภาพผู้ชายคนเดิมที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ข้างหุบเหวเมื่อหลายเดือนก่อน และหัวใจยังคงจำความเจ็บปวดของวันสุดท้ายนั้นได้ดี

     

    วันสุดท้ายที่ทำให้เขากลับมาอยู่ที่นี่และทำแต่เรื่องผิดบาปอีกครั้ง

     

    แม้จะผ่านมาสองเดือนแล้วแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแบคฮยอนยังคงฝันร้ายซ้ำๆและมันมักจะหน่วงความรู้สึกให้ดิ่งลงเสมอ

     

    ...มันคือความทรงจำที่ทรมานเรื่องหนึ่งในชีวิตเมื่อนึกย้อนไปช่วงเวลาที่ทำได้แค่มองแผ่นหลังกว้างห่างไกลออกไป

     

    แต่ยังไงแบคฮยอนก็ยังคงคิดถึงปาร์คชานยอลคนใจร้ายที่ย่ำยีหัวใจดวงน้อยจนแหลกเป็นผุยผงอยู่ดี

     

    บทเรียนของวันนั้นทำให้แบคฮยอนมองความรักเป็นสีดำยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่เปลี่ยนให้มันเป็นสีสดใสได้ไม่นาน

     

    สดใสเหมือนเสื้อคู่สีเหลืองของเรา สดใสเหมือนรอยยิ้มของชานยอล สดใสเหมือนดอกทานตะวันที่ได้เจอกับแสงแรกของดวงอาทิตย์ทุกเช้า

     

    "ไหนวะ?" เสียงหวานสบถออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อขับรถเรียบแนวป่ามาตั้งหลายกิโลแล้วแต่ก็ยังไม่เจอเป้าหมาย

     

    "อย่ารีบดิ นายนี่อารมณ์ร้อนขึ้นนะ"

     

    แบคฮยอนพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย มองซ้ายมองขวาเพื่อหารถตู้สีดำเหมือนอย่างในรูปที่ดูก่อนออกมา

     

    คู่หูที่ชื่อโอเซฮุนจอดรถข้างทางหยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาเจ้านายเพื่อถามรายละเอียดอีกครั้ง ความจริงแล้วคริสมักจะมีมือขวาไว้ช่วยจัดการทุกเรื่อง ลูกน้องไม่สามารถต่อสายโดยตรงหาเขาได้

     

    แต่มือขวาคนนั้นโดนปลดให้ลงมาเป็นมือปืนกระจอกงอกง่อยอยู่ตรงนี้ ...บยอนแบคฮยอนนั่นเอง

     

    "พี่คริส ไหนพี่บอกว่าเข้ามาไม่ไกลไง แล้วนี่อะไร! จะให้ผมขับข้ามไปเกาหลีเหนือเลยมั้ย?" เซฮุนเสยเส้นผมขึ้นอย่างลวกๆ ร่ายยาวซะจนปลายสายต้องเบรคไว้ก่อนแบตมือถือจะหมด

     

    [กูบอกตอนไหนว่าไม่ไกล กูบอกว่าโคตรไกลเว้ย!]

     

    "อะไรวะ แล้วผมเอาคำว่าไม่ไกลมาจากไหน"

     

    [ถามคู่หูมึงเอาเองแล้วกัน เอ้อ! ฝากบอกด้วยว่าให้ตั้งใจทำงานถ้าไม่อยากตายจริงๆ]

     

    เซฮุนหันมองแบคฮยอนตาขวางเก็บเครื่องมือสื่อสารไว้ที่เดิม "ทำไมนายบอกฉันว่าไม่ไกล"

     

    "หา? ฉันบอกหรอ?"

     

    "ใจลอยอยู่เรื่อยเลยแบคฮยอน"

     

    คนตัวเล็กก้มหน้ายอมรับผิด เขาผิดเองที่มัวแต่เอาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกให้มันตีกันวุ่นวายในสมอง

     

    สารถีเร่งเครื่องเร็วกว่าเดิมจนเห็นรถเป้าหมายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แบคฮยอนหายใจเข้าลึกๆกระชับปืนในมือก่อนจะเหนี่ยวไกทะลุกระจกและฝังลูกตะกั่วไว้กลางหน้าผากชายวัยกลางคน

     

    คืนนี้ก็ผ่านไปอีกศพ...

     

     

    มือเปื้อนเลือดของเขาแลกมาด้วยแผ่นกระดาษปึกใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาลในซองสีน้ำตาล เงินรางวัลที่ต่อให้ทำงานพาร์ทไทม์ทั้งปีก็เทียบไม่ได้

     

    แบคฮยอนทิ้งตัวลงนอนทั้งชุดสีดำ หลับตาลงท่ามกลางความมืดมิดและความหนาวเหน็บ ปล่อยให้ความคิดไหลทะลักเข้ามาในความเงียบงัน

     

    หลายคนบอกว่าตั้งแต่กลับมานิสัยหลายๆอย่างที่เคยแย่ก็ดีขึ้น แบคฮยอนหายตัวไปจากองค์กรประมาณครึ่งปี และทุกคนต่างก็คิดว่าเขาตายไปแล้วทั้งนั้น

     

    จะมีก็แต่คุณคริสและเซฮุนที่รู้ทุกการเคลื่อนไหว เพราะคืนนั้นเซฮุนไม่ได้ผลักให้เขาตกลงไปเพียงแต่แกล้งบอกกับคนอื่นว่าร่างของแบคฮยอนคงถูกกระแสน้ำพัดจนฉีกออกจากกันและโดนสัตว์ร้ายในทะเลกลืนกินไปแล้ว

     

    'ติดต่อมัน'

     

    ร่างสูงเพรียวชี้รูปตาแก่หัวหงอกบนโต๊ะให้มือซ้ายจัดการ เซฮุนเส้นใหญ่มากพอที่จะต่อรองกับหัวหน้าองค์กรค้ามนุษย์รายใหญ่อันดับต้นของเอเชียโดยตรงได้

     

    เขาต้องการเพียงผู้หญิงที่โดนจับตัวไปเมื่อสองปีก่อนเพื่อแลกตัวกับแบคฮยอน

     

    ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนของปาร์คชานยอลคนที่ช่วยชีวิตเพื่อนร่วมงานเขาเอาไว้ เมื่อรู้มาว่าผู้ชายคนนั้นยังตามเรื่องอยู่จึงจัดการทุกอย่างแซงหน้าตำรวจ

     

    แต่ไม่ได้รู้เลยว่าการเอาตัวแบคฮยอนกลับมาในครั้งนั้นจะทำให้หัวใจของร่างเล็กบอบช้ำมากเพียงไหน

     

    เพราะแบคฮยอนรักปาร์คชานยอลเข้าไปหมดหัวใจซะแล้ว

     

     

    หลายครั้งที่การเหม่อมองท้องฟ้าสีดำเพื่อหาแสงสว่างจุดเล็กของดวงดาวไว้พักสายตาเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุด

     

    แบคฮยอนยังจำได้ว่าตัวเองเป็นคนหยาบกระด้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สังคมที่เจอหล่อหลอมกำแพงสูงใหญ่ในตัวเขามาเนิ่นนาน แต่เมื่อไปอยู่กับปาร์คชานยอลเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

     

    ชานยอลทำให้เขายิ้มบ่อยขึ้น พูดมากขึ้นและแสดงความรู้สึกมากขึ้น ชานยอลทำให้แบคฮยอนเป็นเด็กผู้ชายอายุยี่สิบปีที่ร่าเริงสดใส เป็นเด็กผู้ชายที่มีแต่ความสุข

     

    แล้วชานยอลก็ทำลายสิ่งเหล่านั้นลงเพียงเพราะแบคฮยอนทำให้ชานยอลรักได้ไม่มากพอ ...ทำให้รักได้ไม่มากเท่ากับคนรักเก่า

     

    แต่ก็นั่นแหละ แบคฮยอนเป็นแค่คนหน้าคล้ายกับผู้หญิงคนนั้น แถมยังดีไม่พอถ้าเทียบกับเธออีกด้วย ในเมื่อด้อยกว่าในทุกๆด้านขนาดนี้ คงไม่มีน้ำหน้ากลับไปอ้อนวอนขอความรักคืนมาหรอก

     

    "อาบน้ำ"

     

    เซฮุนเดินเข้ามาสะกิดร่างเล็กที่นั่งชันเข่าอยู่หน้าระเบียง ในมือคีบบุหรี่กลิ่นมิ้นต์ที่เจ้าตัวชอบและเสพติดมันหนักขึ้นกว่าเก่า

     

    แบคฮยอนคิดว่าตัวเองเลิกบุหรี่ได้แล้ว แต่ไม่เลย...เขาแค่เลิกสูบได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แค่ช่วงที่พักฟื้นฟูร่างกาย

     

    สายน้ำเย็นฉ่ำช่วยชำระล้างคราบเหงื่อไคลและคราบน้ำตาออกไป แต่ทำไมยังคงรับรู้ถึงความอุ่นร้อนที่ไหลลงมาตามร่องแก้มอยู่นะ อ่า แบคฮยอนร้องไห้อีกแล้ว

     

    "ฮึก"

     

    นอกจากจะร่าเริงมากขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มากขึ้นด้วยคือความเสียใจ แบคฮยอนเคยรู้สึกเสียใจมากที่สุดก็ตอนสิบขวบ

     

    วันนั้นพี่ชายที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้าด้วยกันเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า พ่อแม่ที่จะรับไปอยู่ด้วยเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้วนะ นั่นคือความเลวร้ายที่โลกมนุษย์มอบให้แก่เขา

     

    'จำไว้นะแบคฮยอน บุญคุณต้องตอบแทน'

     

    เสียงหวานของคุณแม่ในบ้านคอยพร่ำสอนเขาอยู่เสมอ เด็กทุกคนรักและดูแลท่านรวมถึงแบคฮยอนเองก็ด้วย และก่อนที่ท่านจะเสียไปด้วยโรคมะเร็งแบคฮยอนก็คือคนสุดท้ายที่ท่านกอด

     

    พออายุสิบห้าปีคุณคริสก็มาอุปถัมภ์เขา รูปลักษณ์ที่ดูดีและจิตใจที่ดูเหมือนจะอ่อนโยน เพราะเขาแสดงออกมาอย่างนั้น

     

    แต่ความจริงแล้วคริสคือปีศาจร้าย งานหลักคือค้าอาวุธเถื่อนและนำเข้าของผิดกฎหมายมากมาย ธุรกิจที่เขาทำไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ท สปา หรือแม้แต่โรงเรียนสอนศิลปะทุกแขนง นั่นก็แค่ใบปะหน้า

     

    คริสมีอำนาจมากพอที่จะสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้และมีอำนาจมากพอที่ตัวเองจะทำอะไรก็ได้เช่นกัน

     

    "แต่งตัวเสร็จหรือยัง" คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อเห็นร่างโปร่งผ่านกระจก ก่อนจะโดนรวบกอดจากด้านหลัง

     

    "คุณคริส"

     

    "ใช่ ฉันเอง ทำไม?"

     

    "เปล่าครับ ผมแค่ตกใจที่เห็นคุณตอนนี้"

     

    จมูกโด่งช่วงชิงกลิ่นหอมหวานจากพวงแก้มใส แบคฮยอนไม่เคยใจเต้นแรงกับสัมผัสเหล่านั้น บอกแล้วไง...ว่าปาร์คชานยอลเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวได้

     

    ใบหน้าไร้รอยยิ้มซุกอกแกร่งเงียบๆ ได้ยินเสียงหัวใจจากร่างสูงและพยายามกันมือที่เริ่มเล่นซนกับร่างกาย

     

    แบคฮยอนเกลียดคนตรงหน้าเพราะเรื่องนี้ คริสไม่เคยพอใจในเซ็กซ์ของใครยกเว้นกับแบคฮยอน เขาป่าเถื่อนและรุนแรง แม้ทุกครั้งจะจบลงด้วยการที่แบคฮยอนขัดขืนและออกปากไล่แต่ถึงอย่างนั้นคริสก็ยังคงกอดเขาไว้แน่น

     

    'ฉันรักนาย'

     

    นั่นคือคำพูดก่อนที่แบคฮยอนจะสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับเจ้านายตัวเองเมื่อสี่ปีก่อน

     

    'แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณ'

     

    แต่คำพูดที่ออกมาจากปากเด็กวัยสิบหกปีไม่สามารถทำให้คริสหยุดความต้องการได้ คืนนั้นเขาทำให้แบคฮยอนต้องรู้สึกขยะแขยงร่างกายตัวเอง

     

    เด็กน้อยเคยคิดว่าวันเวลาอาจจะทำให้หัวใจยอมเปิดรับความรักจากคริสได้บ้าง แต่ไม่เลย...แบคฮยอนไม่เคยรักคริสเลย

     

    "อย่าครับ"

     

    ร่างเล็กผลักคนที่ซุกไซร้ซอกคอตัวเองออก เพราะภาพของชานยอลที่ทาบทับเข้ามามันทำให้อยากร้องไห้อีกระลอก

     

    ช่วงเวลาที่ทำให้มีความสุขมักผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเสมอ และราวกับกรอภาพเหล่านั้นช้าๆในความคิด แบคฮยอนทิ้งตัวนั่งตรงระเบียงห้องอีกครั้ง 

     

    ...คิดถึงเหลือเกิน

     

    หัวใจเขาช่างเจ็บปวด มันทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน

     

    และเสียงตัวเองในวัยเด็กก็ดังขึ้นมา ยังคงเป็นค่ำคืนที่สูญเสียคุณแม่ไป แบคฮยอนนั่งอยู่ข้างท่านจนลมหายใจสุดท้ายก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคนั้นออกมาแผ่วเบา

     

    'ความแค้นก็ต้องชำระใช่มั้ยครับ'

     

    ราวกับมีร่างอวตาลประทับเป็นร่าง ปากบางยกยิ้มพร้อมกับพ่นควันบุหรี่สีเทาออกไปยาวๆ

     

    เสื้อคู่สีเหลืองที่ถูกเผาทิ้ง กางเกง รองเท้า หรือแม้กระทั่งหมวกปีกกว้าง กำลังมอดไหม้ไปพร้อมสารเสพติดในมือ ดอกทานตะวันที่รอแสงแดดจากพระอาทิตย์ทุกเช้าล้มตายลงช้าๆ

     

    ...ไม่มีพระอาทิตย์อีกแล้ว แบคฮยอนไม่ใช่ตัวแทนของความสดใสอีกต่อไปแล้ว

     

     

    เขาเขียนจดหมายถึงคริสเพื่อขออนุญาตพักงานวางไว้บนโต๊ะ และเขียนอีกฉบับไว้ให้เซฮุนที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปสักพัก

     

    แบคฮยอนคร่อมมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ทะยานออกไปท่ามกลางความมืด ริมฝีปากภายใต้กระจกฟิล์มดำจุดรอยยิ้มเล็กๆไว้เสมอ

     

    เสียงเครื่องยนต์ดังไปตามถนนที่ปลอดผู้คน ลมเย็นๆและกลิ่นของน้ำทะเลปะทะจมูกอยู่นานหลายกิโล

     

    เส้นทางคดเคี้ยวน่าหวาดเสียวพาขึ้นไปยังยอดเขาสูง ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีทอดยาวแลดูสบายตา ก่อนจะชะลอเครื่องและดับลงตรงสนามเด็กเล่น

     

    เขาไกวชิงช้าเพื่อสงบสติอารมณ์สักพัก แบคฮยอนคิดผิดหรือเปล่านะที่กลับมาที่นี่ คิดผิดหรือเปล่าที่จะมาเจอหน้าเขาอีกครั้ง คิดผิดหรือเปล่าที่จะทำให้หัวใจตัวเองทุรนทุราย

     

    เขากลับมาอ่อนแออีกแล้วเพียงแค่ได้เห็นบรรยากาศเก่าๆ ปาร์คชานยอลช่างมีอิทธิพลต่อความรู้สึกจริงๆ

     

    แต่ไม่ได้... แบคฮยอนไม่ได้กลับมาเพื่อที่จะเสียใจ ไม่ได้มาเพื่อที่จะพร่ำเพ้อ เพราะเขากลับมาเพื่อแก้แค้นต่างหาก

     

     

    แสงสว่างจากหน้าต่างบ้านทำให้มองเห็น ผู้อาศัยด้านในนั้นชัดเจน ร่างสูงใส่แว่นสายตานั่งอยู่ตรงโต๊ะประจำ ในมือกำแท่งดินสอและสองแขนก็โอบอุ้มกีตาร์ตัวโปรดไว้อย่างเคย

     

    แบคฮยอนยังคงได้ยินเสียงเพลงในวันวาน มันยังก้องดังอยู่เสมอแม้ในช่วงเวลาที่หลับใหล

     

    เสียงทุ้มต่ำที่ร้องคลอไปด้วยกันมักทำให้แบคฮยอนรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัยไปในคราเดียวกัน

     

    เขาทำให้รู้ว่าความคิดตลอดยี่สิบปีนั้นผิดมหันต์ มนุษย์เราเกิดมาคนเดียวและตายคนเดียวก็จริง แต่เราไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้คนเดียวได้ อย่างน้อยก็ขอเพื่อนสักคนเอาไว้ปรึกษายามที่มีปัญหา

     

    "ให้ฉันช่วยร้องมั้ยคะ?"

     

    แววตาสีอ่อนวูบไหว แบคฮยอนเห็นคนที่หน้าคล้ายตัวเองนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามชานยอล ...ที่ตรงนั้น

     

    ไม่ใช่เธอที่เข้ามาแทนที่เขา แต่เป็นเขาต่างหากที่เข้าไปนั่งผิดที่เอง

     

    "ผมยังแต่งท่อนนี้ไม่เสร็จเลย คุณไปนอนก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไม่ใช่หรือไง"

     

    ชานยอลวางกีตาร์ลงแล้วเดินเข้าไปดึงเธอขึ้นมา สวมกอดและจุมพิตหน้าผากแผ่วเบา ลูบไล้เส้นผมสยายที่คลอเคลียออกจากใบหน้า

     

    "คุณก็รีบเข้านอนนะคะ อย่านอนเช้าเหมือนเมื่อวานอีกล่ะ"

     

    "ครับ" ส่งยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับให้หญิงสาวแล้วเดินไปส่งเธอถึงในห้องนอน

     

    มือที่คีบบุหรี่อยู่นั้นกำลังสั่นไหว จู่ๆแบคฮยอนก็รู้สึกอิจฉาบยอนแบคฮยอนในตอนนั้นเหลือเกิน

     

    ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเขามันจะดีแค่ไหนกันนะ ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันมันจะดีแค่ไหนกันนะ ...ถ้าเรายังรักกันน่ะ มันคงจะดีไม่น้อยเลยนะชานยอล

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    เสียงกุกกักดังขึ้นในเวลาต่อมา ร่างสูงหันมองนาฬิกาที่ชี้เวลาไปจนเกือบรุ่งสางแล้ว ยามวิกาลแบบนี้ยังมีใครกล้ามารบกวนเขาอีกนะ

     

    ทันทีที่เปิดประตูออกมาเห็นแขกไม่ได้รับเชิญดวงตาโตก็เบิกกว้าง เขาไม่แน่ใจเท่าไหร่ที่เห็นแบคฮยอนยืนอยู่ตรงนี้

     

    "แบคฮ..."

     

    "ขอโทษนะครับ พอดีรถผมเสียน่ะ เลยอยากให้คุณช่วยไปดูให้หน่อย"

     

    "แบคฮยอน"

     

    "รถผมจอดอยู่ตรงสนามเด็กเล่นน่ะครับ ไม่ไกลหรอก"

     

    "แบคฮยอน!" ร่างเล็กถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดโดยไม่ทันตั้งตัว

     

    ชานยอลกระชับวงแขนแน่นขึ้นเมื่อคนในอาณัติกระดุกกระดิก ดวงตาเรียวรื้นไปด้วยขอบน้ำตาหลังจากสัมผัสถึงความเปียกชื้นตรงลาดไหล่

     

    ...ชานยอลกำลังร้องไห้

     

    "คุณครับ ช่วยไปดูรถ..."

     

    "คิดถึง"

     

    คำสั้นๆคำนั้นมันทำให้ก้อนสะอื้นที่พยายามกลืนลงไปตีขึ้นมาจุกที่หน้าอกอีกครั้ง แบคฮยอนชาไปหมดทั้งตัวและยอมยืนนิ่งๆเพื่อซึมซับความรู้สึกนี้

     

    กินเวลาไปหลายนาทีกว่าคนตัวสูงจะสั่งให้น้ำตาหยุดไหล

     

    "คิดถึงเหลือเกินแบคฮยอน"

     

    "ครับ ผมแบคฮยอน..." สายตาว่างเปล่าจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีสวย ประกายในนั้นระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวดวงไหน "แต่รถผมเสียและผมมาขอความช่วยเหลือจากคุณ"

     

    "นายไม่คิดถึงฉันหรอ?"

     

    "ไม่ครับ ไม่จำเป็น"

     

    ชานยอลยอมเดินตามมายังรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่พร้อมกล่องเครื่องมือ เขามองขนาดรถกับขนาดคนสลับกันไปมาแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าคนตัวเล็กประคองมันไหวได้ยังไง

     

    "อาการมันเป็นยังไงหรอ"

     

    "ก็...อยู่ดีๆก็ดับไปครับ สตาร์ทไม่ติดเลย" ร่างเล็กนั่งยองลงข้างๆจดจ้องไปยังตัวเครื่อง เขายังคงประหม่าอยู่เล็กน้อย

     

    "แบคฮยอน"

     

    "เร็วหน่อยนะครับ ผมมีธุระตอนเช้าน่ะ"

     

    ร่างสูงเม้มปากแน่นขณะเปิดกล่องหาอุปกรณ์ หยิบไฟฉายเล็กๆมาส่องดูว่ามีตรงไหนที่ผิดปกติ

     

    แต่แล้วก็ต้องก้มหน้าลงอีกครั้งเพราะความว้าวุ่นในใจ คำถามมากมายพุ่งทะยานเข้ามาโจมตีให้ปวดสมอง หันไปมองด้านข้างก็พบกับดวงหน้าหวานที่มองมาอยู่ก่อน

     

    "คุณสบายดีนะ"

     

    กับเวลาสองเดือนที่ผ่านมา...

     

    "ถ้าไม่นับว่าต้องมาเจอคุณอีกครั้ง ทุกวันก็มีแต่เรื่องดีครับ"

     

    "ผมขอโทษ"

     

    หัวใจดวงน้อยกำลังวาบหวิว มันกระตุกวูบเหมือนมีคนเอามือไปสะกิดรุนแรง เขายกยิ้มเพียงมุมปากเหมือนที่เคยทำมาตลอดหลายปี

     

    "ครับ ขอบคุณนะครับที่ส่งผมกลับไปที่นั่น ถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่เลย"

     

    ชานยอลขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน เขาได้กลิ่นบุหรี่มาจากลมหายใจของคนตัวเล็ก ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีชมพูธรรมชาติ

     

    "ยกโทษให้ผมนะ"

     

    ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปยังเขตหวงห้ามอย่างระมัดระวัง มันเริ่มจากความเนิบนาบและทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

     

    น้ำใสหยดจากหางตา ความรู้สึกเจ็บปวดที่เก็บไว้ทั้งหมดเหมือนถูกกระแทกด้วยของแข็งจนแผลเปิดออกอีกครั้ง แบคฮยอนคว้าแท่งเหล็กบนพื้นฟาดลงศีรษะชานยอลเต็มแรง

     

    "โอ๊ย!" เขาเหยียดยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเลือดสีสดซึมออกมาตามเส้นผม ร่างสูงล้มลงบนพื้นและสลบไปในที่สุด

     

    ...มันกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

     

     

     

     

     

     

    หลังจากรู้สึกตัวขึ้นมากลิ่นอับจากกล่องกระดาษก็ปะทะจมูกอย่างแรงจนต้องเบ้หน้า ปาร์คชานยอลจามทันทีที่สูดละอองฝุ่นเข้าปอด

     

    มีแต่ความรู้สึกเจ็บหน่วงตรงหลังศีรษะและปวดแสบตรงข้อมือ

     

    เขากะพริบปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดก่อนจะเจอกับหยากไย่บนเพดานและความสกปรกของห้องสี่เหลี่ยม

     

    'ที่นี่ที่ไหน?' นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลสงสัยมากที่สุดและ 'มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?' คือสิ่งที่สงสัยรองลงมา

     

    แสงสว่างลอดเข้ามาทางประตูยามที่มีคนเปิด ร่างที่ย้อนแสงอยู่นั้นแลดูคุ้นตาราวกับว่าเคยเห็นมาก่อนหน้านี้

     

    ชานยอลเพ่งมองผ่านความมืดไปยังสิ่งที่คนตรงหน้าถืออยู่ มันคือประแจสีเงินเลอะคราบเลือดที่น่าจะมาจากหลังศีรษะของเขาเอง

     

    "แบคฮยอน?"

     

    "ฟื้นแล้วหรอ" น้ำเสียงเย็นยะเยือกส่งมาจนบาดเนื้อหนัง ความเย็นชาจากสายตาที่จ้องมาทำเอาร่างสูงสั่นสะท้าน

     

    เขาทำผิดต่อแบคฮยอนไว้จนไม่น่าให้อภัยเรื่องนั้นเขารู้ตัวเองดี ชานยอลรู้สึกผิดอยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

     

    เขายังคงคิดถึงแบคฮยอนทุกวัน

     

    แต่กับแฟนคนนี้ เขาก็รักของเขามานาน นานกว่าแบคฮยอน มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยแต่จะสารภาพแบบลูกผู้ชายเลยว่ายังไงชานยอลก็ยังจะเลือกเธออยู่ดี

     

    แบคฮยอนไม่ได้เข้ามาแทนที่ใคร มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อเพราะใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของทั้งคู่ กระนั้นนิสัยก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

     

    ไม่มีอะไรที่เธอเหมือนแบคฮยอน และไม่มีอะไรที่แบคฮยอนเหมือนเธอ

     

    แบคฮยอนไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างที่ชานยอลเว้นไว้ให้เธอได้ และเธอเองก็ไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกที่ชานยอลมีต่อแบคฮยอนได้เช่นกัน

     

    ถ้าจะบอกว่าเขารักทั้งคู่...มันจะมากเกินไปไหม?

     

    "คุณพาผมมาที่นี่ทำไม"

     

    "เป็นคำถามที่ดีครับ แต่ขออนุญาตไม่ตอบนะ" เสียงเหล็กกระทบพื้นดังแกร๊งเมื่อแบคฮยอนปล่อยประแจในมือ

     

    ร่างเล็กเปิดไฟสีส้มสลัวกลางห้อง เยื้องย่างเข้ามาพิจารณาใบหน้าหล่อใกล้ๆ มันยังทำให้หัวใจเขาเต้นแรงได้เสมอ

     

    เพราะใบหน้านี้ยังเป็นปาร์คชานยอล ตราบใดที่เป็นปาร์คชานยอล...

     

    "คุณโกรธผมมาก...ผมรู้"

     

    ก็มักจะทำให้แบคฮยอนอ่อนแอ

     

    "เรียกว่าเคยโกรธดีกว่าครับ ตอนนี้ผมสบายดี"

     

    "ผมขอโทษ"

     

    แบคฮยอนหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบและพ่นควันกลุ่มใหญ่ใส่คนตรงหน้า

     

    "ผมต้องขอบคุณมากกว่าที่ส่งผมกลับไปที่นั่น"

     

    หยดน้ำใสไหลออกจากดวงตาคู่โต เขารู้ว่าที่แบคฮยอนเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะเขา 

     

    "...ส่งผมกลับไปลงนรกอีกครั้ง"

     

    และถ้ามันจะจบลงได้มันก็ต้องจบที่ตัวเขา

     

    "ขอบคุณจริงๆนะครับ ปาร์ค ชาน ยอล"

     

    ร่างสูงแทบจะลงไปกอดขาอ้อนวอน

     

    แบคฮยอนยังคงเป็นตัวแทนของความสดใสสำหรับเขาอยู่เสมอ แต่เมื่อมาเห็นว่าทุกอย่างมันแย่ขนาดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง

     

    "ผมขอโทษจริงๆแบคฮยอน"

     

    ถ้าปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำมากขึ้น เสียงสะอื้นของชานยอลก็จะยิ่งดังมากขึ้น และคนตัวเล็กที่ทำเป็นว่าเข้มแข็งคนนี้...

     

    "ผมผิดเองที่ทำให้คุณรักไม่ได้ ผมผิดเองครับชานยอล"

     

    ...ก็คงจะแหลกสลาย

     

     

     

    แบคฮยอนเดินออกมาจากห้อง สูดเอาอากาศด้านนอกเข้าปอดลึกๆแล้วไถตัวกับประตูทรุดลงนั่งบนพื้น เขาแทบจะทรงตัวไม่ไหว

     

    "ฮึก"

     

    มือเล็กปิดหน้าร้องไห้ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าคนใจร้ายคนนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินเสียงคนใจร้ายคนนี้

     

    มันทำให้ความรู้สึกเก่าๆผุดขึ้นมาจน รู้สึกเจ็บปวดไปหมด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตากันตอนได้รับความช่วยเหลือ ครั้งที่มองไปแล้วรู้สึกแปลกๆกับหัวใจ ครั้งที่สารภาพรักต่อกัน ครั้งสุดท้ายที่ได้จับมือ

     

    และจนครั้งนี้...แววตาคู่นั้นก็ยังอบอุ่นเหลือเกิน

     

    แบคฮยอนรู้สึกว่าชานยอลเป็นดั่งเกราะกำบัง เป็นที่พึ่ง เป็นกำแพงที่ล้อมรอบตัวเขาไว้จากอันตราย ไม่ว่าจะครั้งไหนที่ได้อยู่ใกล้ก็มักจะรู้สึกปลอดภัยเสมอ

     

    แต่แบคฮยอนก็เจ็บเกินกว่าจะยอมให้เขาเดินเข้ามาอีก

     

     

     

    เป็นเพราะอากาศเย็นจึงทำให้เลือดแข็งตัวอย่างรวดเร็ว มันเกรอะกรังและเหนอะหนะไปหมด

     

    แบคฮยอนเดินเข้ามาพร้อมขวดน้ำก่อนจะอ้อมไปด้านหลังเพื่อเทล้างคราบสกปรกบริเวณท้ายทอย

     

    "อ๊ากกก" อาจจะดูเหมือนชานยอลได้รับการดูแล แต่ไม่เลย...เพราะน้ำที่ไหลออกมาจากขวดนั้นมันคือแอลกอฮอล์ดีๆนี่เอง

     

    เสียงทุ้มหลุดร้องออกมาดังลั่นก่อนจะดิ้นพล่าน แบคฮยอนราดโดนแผลจนปวดแสบปวดร้อน มันเจ็บยิ่งกว่าความรู้สึกตอนที่โดนฟาดลงมาเสียอีก

     

    "อุ้ยตาย ผมนึกว่ามันเป็นน้ำเปล่าน่ะครับ ขอโทษที"

     

    ชานยอลกัดฟันสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาซะก่อน เขารู้ว่าแบคฮยอนตั้งใจที่จะทำแบบนี้ และไม่คิดที่จะห้ามแบคฮยอนด้วย

     

    "ม ไม่เป็นไรครับ"

     

    แบคฮยอนเดินออกไปอีกครั้งและกลับเข้ามาเพื่อแก้มัดข้อเท้าให้ หยิบปืนที่เหน็บตรงเอวออกมาจ่อสีข้างร่างสูงเพื่อพาเดินไปยังห้องน้ำ

     

    ดันให้ชานยอลยืนรองน้ำจากฝักบัวเพื่อล้างหน้าล้างตา ถึงแม้แบคฮยอนจะใจร้ายแต่เขาก็ยังไม่ลืมที่ชานยอลเคยช่วยชีวิตไว้หรอก

     

    น้ำที่ไหลลงพื้นเป็นคราบสีแดงเสียส่วนใหญ่ ใบหน้าที่เชิดขึ้นเพื่อให้ศีรษะโดนน้ำนั้นเป็นดั่งประติมากรรมชิ้นเอกที่พระเจ้าตั้งใจปั้น

     

    เมื่อน้ำไม่เจือไปด้วยสีเลือดแล้วแบคฮยอนก็ทำการปิดฝักบัว

     

    เพี๊ยะ!!

     

    ร่างเล็กใส่แรงเต็มกำลังจนชานยอลเซไปด้านข้าง ริมฝีปากหยักแตกทันทีที่ฝ่ามือสวยประทับลงมา ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่ากลิ่นคาวเลือดมีที่มาจากส่วนไหนกันแน่

     

    "คุณเลวมากเลยรู้ตัวมั้ย?" แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     

    นึกถึงวันที่ชานยอลปล่อยมือจากเขาเพื่อเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วมันพาลจะโมโหไม่ได้ เขาให้ความไว้ใจชานยอลไปหมดแล้วจริงๆ

     

    "คุณหักหลังผมแบบนี้ได้ยังไง"

     

    "แบคฮยอน"

     

    "คุณทำได้ยังไงชานยอล!!"

     

    แบคฮยอนหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อปิดบังหยดน้ำใสที่กำลังไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย เขากำมือแน่นก่อนจะค่อยๆยกปากกระบอกขึ้นจ่อหน้าผาก

     

    "คุณไม่เคยรักผมเลย"

     

    "ผมรักคุณแบคฮยอน ความรู้สึกของผมไม่เคยหลอกลวงคุณเลย"

     

    "ผมมันโง่เองที่หลงเชื่อความรักจอมปลอมของคุณ"

     

    "ผม ไม่เคย โกหก"

     

    ชานยอลหลับตาลงช้าๆเมื่อนิ้วมือที่วางอยู่ตรงไกขยับ อย่างน้อยเขาก็ได้บอกความจริงไปแล้ว แบคฮยอนจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

     

    แต่เขาไม่เคยโกหกจริงๆ

     

    ปัง!!

     

    ชานยอลยังจำความรู้สึกของคืนที่เขารับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดเปลี่ยนไปได้

     

    'สวัสดีครับ'

     

    'แบคฮยอนอยู่กับคุณใช่มั้ย?'

     

    'คุณคือใคร?'

     

    'ผมคือคนที่ช่วยชีวิตแฟนคุณไว้ แต่มันจะเกิดเรื่องร้ายกับแฟนคุณแน่ถ้าพรุ่งนี้ตอนค่ำคุณไม่พาตัวแบคฮยอนมาแลกกลับไป'

     

    'ต้องการอะไร?'

     

    'ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบคฮยอน เขาจะไม่โดนฆ่าแน่นอนเพราะผมเป็นเพื่อนเขา คุณแค่พาแบคฮยอนมาแล้วเอาตัวแฟนคุณกลับไป ผมขอเท่านั้น'

     

    '...'

     

    'ทั้งสองคนจะปลอดภัย'

     

    '...โอเค'
     

    คืนนั้นชานยอลนั่งจ้องหน้าคนป่วยทั้งคืน เขาไม่อยากให้แบคฮยอนกลับไปแต่อีกใจก็อยากได้เธอกลับคืนมา

     

    แต่มันแปลกตรงที่ว่าความเสียใจมันมีมากกว่าความดีใจซะอีก

     

     

    แบคฮยอนทิ้งกลิ่นดินประสิวและร่องรอยวิถีปืนไว้ตรงประตู ร่างสูงลืมตาขึ้นช้าๆมองตามแผ่นหลังเล็กที่เดินออกไปไกล

     

    ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ปาร์คชานยอลคือคนเห็นแก่ตัว เขาแค่ไม่อยากให้ต้องมีใครเป็นอะไรก็เท่านั้น

     

    ตลอดสองเดือนที่แบคฮยอนฝันร้ายชานยอลเองก็ฝันร้ายไม่แพ้กัน เขาเป็นคนรักที่แย่ ทำให้คนๆหนึ่งต้องกลับไปอยู่ในที่ๆอยากหนีไปให้พ้น

     

    "นั่งลง"

     

    ร่างเล็กเดินย้อนกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ผลักให้ชานยอลคุกเข่าลงบนพื้นเปียกแฉะและลงมือตัดผมรอบบาดแผลเพื่อสะดวกในการทำแผล

     

    "คิดถึงแฟนหรือเปล่า?"

     

    "ห้ะ?"

     

    "ผมถามว่าคุณคิดถึงเธอหรือเปล่า?"

     

    "..." ร่างสูงลอบกลืนน้ำลาย เขาแค่ไม่อยากพูดถึงคนอื่นเวลาอยู่กับแบคฮยอน ต่อให้คนนั้นจะเป็นคนรักก็ตาม

     

    "ตอบมาเถอะ ผมแค่อยากรู้"

     

    "คิดถึง"

     

    "คุณคบกับเธอมากี่ปีหรอ?"

     

    "เจ็ด"

     

    แบคฮยอนเหยียดยิ้มมุมปาก มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ใช้ยิ้มให้ศัตรู แต่มันคือรอยยิ้มที่ใช้เยาะเย้ยตัวเองต่างหาก

     

    เวลาเจ็ดปีมันก็มากพอที่จะพิสูจน์ได้ แล้วไม่ใช่หรอว่าทำไมชานยอลถึงเลือกที่จะเดินหันหลังให้กับเขา จริงๆแล้วแบคฮยอนก็พอเข้าใจในสิ่งที่ชานยอลทำอยู่หรอก

     

    ...ก็รักเธอมากขนาดนั้นนี่

     

    "เสร็จแล้วครับ" ร่างเล็กช่วยพยุงคนเจ็บให้ยืนขึ้น

     

    สายตาคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับมีอะไรบางอย่างจะเอื้อนเอ่ย แต่ตอนนี้แบคฮยอนไม่พร้อมฟังอะไรทั้งนั้น เขาอยากอยู่เงียบๆคนเดียวและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมากกว่า

     

    จริงๆเขาก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว โลกส่วนตัวสูงไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พอสนิทกับชานยอลก็เปลี่ยนไปและพอกลับไปอยู่ที่เดิมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

     

     

    ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่ปล่อยให้ชานยอลท้องว่างโดยไม่ยอมให้กินอะไรแม้แต่น้ำ ร่างสูงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมจ้องมายังคนที่สูบบุหรี่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

     

    แบคฮยอนติดบุหรี่ขนาดนี้เลยหรอ?

     

    เสียงโซ่กระทบกันดังมาจากด้านนอกก่อน จะปรากฏร่างเซฮุนที่แบคฮยอนเขียนจดหมายทิ้งไว้เป็นข้อความบอก และบอกให้ตามมาพร้อมกับของที่สั่งเอาไว้

     

    เขาพาชานยอลมาที่โรงยิมร้างของโรงเรียนที่คุณคริสเป็นเจ้าของ แต่ปัจจุบันถูกสั่งปิดไปแล้วเพื่อรอรื้อถอนและสร้างเป็นรีสอร์ทแห่งใหม่

     

    ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงมากมายชานยอลก็ลอยหวือขึ้น แล้วโซ่เส้นนั้นก็พันธนาการข้อมือเขาไว้กับแท่งเหล็กที่เอาไว้ให้เด็กนักเรียนใช้โหนตัวเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ

     

    แบคฮยอนดับไฟสีแดงตรงปลายมวนกับกางเกงยีนส์สามส่วนของชานยอล

     

    ฉ่า~

     

    กางเกงที่ยังเปียกอยู่ทำให้ควันสีขาวพวงพุ่ง ความร้อนทิ้งเขม่าสีดำเป็นจุดเล็กบนสียีนส์

     

    มันทำให้กางเกงตัวนี้มีรอยตำหนิ และเมื่อทุกครั้งที่เห็นร่องรอยแห่งความผิดพลาดนั้น ชานยอลก็จะคิดถึงแบคฮยอน

     

    "คุณคริสบอกให้นายรีบกลับ"

     

    เสียงที่เคยได้ยินทำให้เขาเงยใบหน้าขึ้นมอง เสียงที่ทำให้เขาต้องกลั้นใจพาตัวแบคฮยอนไปคืน เสียงที่วนเวียนอยู่ในความคิดเขาจนถึงบัดนี้

     

    คนนี้เองหรอ?

     

    เซฮุนปัดมือที่เลอะสีสนิมจากโซ่แล้วเดินออกไป เขาปลีกตัวมาได้แปปเดียวเพราะต้องสะสางงานแทนแบคฮยอนระหว่างที่เจ้าตัวไม่อยู่

     

    "ระหว่างข้าวขาหมูกับข้าวหมูกรอบ คุณว่าผมชอบอะไรมากกว่ากัน"

     

    "ข้าวขาหมู"

     

    "ผิด!!"

     

    "อั้ก"

     

    เสียงไม้กระทบเนื้อดังลั่นห้อง ชานยอลงอตัวลงด้วยความเจ็บปวด ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

     

    หน้าท้องภายใต้เนื้อผ้าบางเบาแสบคัน แต่ภายในยิ่งกว่านั้นมันเจ็บปวด

     

    "ผมชอบข้าวหมูกรอบ" แบคฮยอนเคาะไม้เบสบอลลงกับฝ่ามือในขณะที่เดินวนรอบร่างสูง "กลางวันกับกลางคืนล่ะ ผมชอบอะไรมากกว่า?"

     

    "กลางวัน"

     

    "ผิด!!"

     

    กลไกในความปกป้องตัวเองทำให้เขาเกร็งตัวและกลั้นหายใจ ชานยอลกัดริมฝีปากแน่นเมื่อความจุกแล่นปราดไปทั่วทั้งร่าง

     

    "ซ้ายกับขวาล่ะ ผมชอบอะไร?"

     

    "ซ้าย"

     

    "ถูก" แบคฮยอนบีบคางเรียวจนขึ้นรอยแดง จ้องลึกเข้าไปในแววตาอ่อนละมุน "แต่ยังไงมันก็ผิดอยู่ดี"

     

    "อั้ก!!"

     

    เสียงทุ้มส่งเสียงไอโขลกออกมาอย่างน่าสงสาร พูดอ้อนวอนด้วยเสียงผะแผ่วว่า 'พอแล้ว' แต่กลับได้เพียงแค่รอยยิ้มกลับคืนมา

     

    มือเล็กเปิดชายเสื้อดูผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ รอยช้ำพาดตัดผ่านกันเป็นเส้นใหญ่ ...ถ้ามีเยอะกว่านี้คงจะดี

     

    แกร๊ง~

     

    แบคฮยอนหวดไม้ใส่โซ่ที่คล้องไว้จนแท่งเหล็กด้านบนร่วงลงมาด้วยเพราะความผุกร่อน พร้อมกับร่างชานยอลที่ฟุบลงบนพื้นเย็นเฉียบ

     

    เหล็กแท่งนั้นกระดอนขึ้นลงกับพื้นก่อนจะฟาดลงตรงหางคิ้วของคนโชคร้าย มือเล็กกระชากเส้นผมให้ชานยอลได้เงยหน้าดื่มน้ำแก้กระหาย

     

    ใจเขาถึงกับวูบลงไปอยู่ตรงตาตุ่มเพียงแค่เห็นแนวยาวของบาดแผล ...แบคฮยอนไม่ได้ตั้งใจให้ชานยอลเจ็บตัวขนาดนี้

     

    คนตัวเล็กเทน้ำจนหมดขวดก่อนจะทุ่มขวดเปล่าลงข้างกายแล้วเดินจากไป

     

    ชานยอลงอตัวไปด้านหน้าเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดหลังจากโดนปลดพันธนาการ กลิ่นคาวเลือดที่ผสมปนเปไปกับกลิ่นสาบของบุหรี่ทำให้เขาเวียนหัว

     

    สิ่งที่ชานยอลอยากจะบอกแบคฮยอนตอนนี้มีแต่คำว่า 'ขอโทษ' แม้รู้ว่ามันไม่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดที่เขาเป็นคนก่อขึ้นได้ แต่ชานยอลรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

     

     

     

    เสียงสะอื้นร่ำดังแว่วอยู่ไม่ไกล แผ่นหลังบางกำลังสั่นสะท้าน

     

    ขายาวเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะรวบคนตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แบคฮยอนร้องเสียงดังขึ้นราวกับจะขาดใจ

     

    "อย่าเกลียดผมเลยนะ"

     

    ความอบอุ่นจากร่างกายแผ่ซ่านไปยังอีกร่าง แบคฮยอนกลัวว่าจะถูกชานยอลเกลียดที่เลือกแก้ปัญหาเหมือนเด็กๆที่เวลาไม่พอใจอะไรก็ลงไม้ลงมือ

     

    "ผมเข้าใจแบคฮยอน ผมทำคุณไว้เจ็บมากกว่านี้อีก"

     

    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้แบคฮยอนจะไม่ทำแบบนี้ เขาจะไม่ทำร้ายคนที่เขารักแบบนี้ เพราะยิ่งทำร้ายชานยอลมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น

     

     

    แบคฮยอนนั่งมองต้นไม้ในสวนสาธารณะผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพื่อให้ระบายควันบุหรี่ออกไปด้านนอก

     

    "คุณ..." ร่างเล็กจี้บุหรี่ลงบนเก้าอี้ไม้ให้ไฟดับทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย ชานยอลนั่งลงข้างๆ "สูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?"

     

    "ตั้งนานแล้วน่ะ"

     

    "ผมไม่เห็นรู้มาก่อนเลย"

     

    "เรื่องของผมยังมีอีกเยอะที่คุณไม่รู้ครับ"

     

    "นั่นสินะ" ใบหน้าหล่อที่พังยับเยินก้มหน้าลงยิ้มน้อยๆ

     

    "จริงๆแล้ว...ผมตั้งใจจะมาฆ่าคุณ"

     

    "อืม" ชานยอลไม่ได้แสดงท่าทีตกใจ เพราะถ้าแบคฮยอนไม่คิดแบบนั้นสิแปลก

     

    "แต่เอาเข้าจริงผมก็ทำไม่ลงหรอก" มือเล็กหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ สายตาที่ทอดยาวออกไปนั้นไม่มีจุดวางสายตาที่แน่นอน

     

    แบคฮยอนใจสั่นรัว เหมือนกำลังสารภาพบาปกับพระเจ้าว่าเขากำลังจะฆ่าคนเพื่อรอให้พระเจ้าตัดสินว่าเขาจะได้ขึ้นสวรรค์หรือจะลงนรก

     

    "เซฮุนเล่าให้ผมฟังทุกอย่างแล้วล่ะ...เขาเป็นคนโทรให้คุณเอาตัวผมไปแลกกับเธอ"

     

    "ผมเสียใจแบคฮยอน"

     

    "คุณทำแบบนั้นถูกแล้ว" แบคฮยอนถอนหายใจยาวๆ ปากเล็กคาบก้นบุหรี่ไว้แล้วลูบเบาๆบนข้อมือของร่างสูง ผิวเนื้อสีขาวแดงเถือกจนใจหาย

     

    "ผมไม่เคยเสียใจเลยนะชานยอล...ที่ได้เจอคุณน่ะ"

     

    จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังคงยิ้ม แม้ว่ากล้ามเนื้อตรงอกข้างซ้ายจะปวดหนึบแค่ไหน ชานยอลยังคงเป็นเรื่องราวดีๆในชีวิตเสมอ

     

    "ผมก็ไม่เคยเสียใจ"

     

    ใบหน้าทั้งสองเคลื่อนเข้าหากัน มันนานเท่าไหร่แล้วที่แบคฮยอนได้แต่คิดถึงสัมผัสนี้ ริมฝีปากนุ่มหยุ่นบดคลึงกันเบาๆ มันวาบหวิวและสร้างความหวั่นไหวให้อยู่เสมอ

     

    มือหนากดท้ายทอยให้ทั้งคู่เข้าใกล้กันมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นอีก

     

    ...เข้าใกล้กันให้มากที่สุดก่อนจะต้องห่างไกลกัน

     

     

    แบคฮยอนรู้ซึ้งถึงความรักแล้ววันนี้ ความรักมันไม่ใช่แค่ความครอบครอง เพราะรัก...มันก็คือรัก

     

    ความรักคือสิ่งที่คนสองคนรักกัน แค่มีหัวใจที่รักกัน...เท่านั้นพอ

     

    อาจเป็นเพราะแบคฮยอนไม่เคยมีใครมาก่อน เมื่อมีชานยอลเข้ามาเขาจึงให้ไปหมดทุกอย่าง ให้แม้กระทั่งตัวตน

     

    แม้ว่ามันจะต้องจบลงเพราะคนที่เขารักก็มีคนที่รักอยู่แล้ว แต่นั่นก็ถือว่าแบคฮยอนได้ใช้ความรู้สึกเป็นตัวกำหนดให้มันเป็นไป

     

    ครั้งนี้เราอาจจะมีเวลาให้รักกันน้อย แต่ไม่เป็นไร เพราะสักวัน...สักวันเราต้องเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันให้ได้

     

    ทั้งคู่ผละออกจากกันก่อนจะเดินลงมาด้านล่าง

     

    "เธอมาแล้ว"

     

    "..." ผู้หญิงที่ปาร์คชานยอลรักเป็นอันดับหนึ่งในใจกำลังขับรถเข้ามาในบริเวณเดียวกัน

     

    "ก่อนจะไป ผมขอถามคุณอีกครั้งได้มั้ย"

     

    "ได้สิ"

     

    "ที่ผ่านมา...คุณเคยรักผมบ้างหรือเปล่า?"

     

    เป็นคำถามที่อัดอั้นและรอฟังคำตอบอยู่นาน ...รอฟังว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นมาหลอกตัวเอง

     

    ให้มันเป็นคำตอบครั้งสุดท้ายสำหรับคำถามนี้

     

    "ตลอดเวลาที่ผ่านมาความรู้สึกของผมมันไม่เคยเป็นเรื่องโกหกเลย"

     

    "งั้นคุณก็รักผมใช่ไหม?"

     

    "ใช่แบคฮยอน ผมรักคุณ ผมรักคุณจริงๆ"

     

    อย่างน้อยครั้งหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นมันก็ทำให้เขามีแต่รอยยิ้ม มีแต่ความสุข

     

    "งั้นคุณก็จะเลือกผมด้วยใช่ไหมชานยอล?"

     

    ความทรงจำและช่วงเวลาที่ดีเหล่านั้นจะทำให้เขาคิดถึงแต่ชานยอลคนเดียว

     

    "ผม..."

     

    และไม่ว่าสุดท้ายแล้วคำตอบจะเป็นอย่างไร แบคฮยอนก็ไม่คิดที่จะเดินย้อนกลับไปอีก

     

    "ผมเข้าใจแล้วครับ"

     

    ...แบคฮยอนจะไม่กลับไปหาชานยอลอีกแล้ว

     

     

    ชานยอลจะเป็นตัวแทนของรอยยิ้มและความรักแสนอบอุ่น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเขาจะคิดถึงชานยอลเป็นอันดับแรก

     

    "ผมรักคุณนะแบคฮยอน"

     

    "ไปเถอะครับ รีบกลับไปหาเธอเถอะ" แม้ว่าจะพูดออกไปทั้งรอยยิ้มและหยดน้ำตา แต่แบคฮยอนก็อยากให้ชานยอลกลับไปจริงๆ

     

    "ผมขอโทษ"

     

    'ความรักไม่ใช่การครอบครอง' ทั้งหมดนั่นเป็นข้ออ้างของคนแพ้

     

    ...ซึ่งแบคฮยอนคือคนแพ้

     

    แต่ถ้าจะให้เห็นแก่ตัวเขาก็ทำไม่ลง แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลก็รักเขา แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า...ชานยอลรักเธอมากกว่า

     

    "หลังจากนี้ไม่ต้องขอโทษแล้วนะครับ เพราะยังไงผมก็จะยังรักคุณเสมอ" กอดสุดท้ายที่เป็นสัญลักษณ์ของคำบอกลา...หมดเวลาลงแล้ว

     

     

     

    และครั้งนี้ ผมจะยอมให้เขาได้ก้าวออกไปจากชีวิตด้วยตัวเอง แต่สัญญา...ผมสัญญาว่าปาร์คชานยอลจะยังอยู่ตรงนี้เสมอ

     

    เขาจะตราตรึงอยู่ตรงกลางใจของผมเสมอ

     

    ชานยอลจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมอยากตื่นขึ้นมาหายใจและใช้ชีวิตเพื่อคิดถึงใครสักคน

     

     

    . . . รั ก . . .

     

     

     

    ลาก่อน ... ตลอดไป ... ปาร์คชานยอล

     


     

     

     

     



     

    จบ.
    (อ้าวประโยคเดิม)





    #FICLAZYCENTER

    แวะมารวมเรื่องฮะ
    รักนะ


    @IYimmm
     


     

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×