คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 : ฟ้า
“คุณก็เป็นพวกชาวมีปีกใช่ไหม”
“หา?”
บทที่2 : ฟ้า
ทางเท้าปูด้วยคอนกรีตเต็มไปด้วยคราบควันที่ถูกปล่อยจากท่อไอเสียของรถยนต์จำนวนมากที่วิ่งผ่านในแต่ละวัน ตอนนี้บอสพาเด็กสาวเมื่อครู่กลับมาที่เดิมแล้ว ที่ที่เขาควรจะตกหัวทิ่มลง เด็กชายเดินไปเก็บกระเป๋าเดินทางของโรงเรียนที่โยนทิ้งไปก่อนหน้านี้ มือของเขาล้วงไปหยิบก้อนหินบางอย่างในกระเป๋าออกมา มันเปล่งออร่าสีม่วงออกมาน่าขนลุก
“ว่าแล้วเชียวหินเวทมนตร์‘ระงับศาสตรา’” บอสทำหน้าขยะแขยง หินเวทมนตร์นี้สามารถหาได้ง่ายทั่วไปตามตลาดมืดบนสวรรค์ มันจะเปล่งพลังงานทางกายภาพบางอย่างออกมา ทำให้ผู้ที่พกไว้จะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้จนกว่ามันจะสลายหายไปหมดทั้งก้อน ใช่แล้ว การกางปีกออกของชาวสวรรค์นั้นก็ต้องใช้พลังงานเวทมนตร์ที่มีอยู่ในตัวด้วยเช่นกัน
“เอ่อ คือ” เด็กสาวเดินเข้ามาข้างหลังบอสที่กำลังวุ่นวายอยู่กับหินเวทย์
“อ๋อ เออใช่”เด็กชายเกือบจะลืมเธอเสียแล้ว “เธอน่ะ บอกว่าตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้ก็มีปีกอยู่แล้วสินะ”
“ใช่ ฉันสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของตัวเองมากตั้งแต่เกิด ฉันเกิดมาอย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ ไม่มีทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่จำความได้” บอสรีบเก็บหินเวทย์เข้ากลับในกระเป๋าทันที และเตรียมท่าตั้งใจฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่อไปนี้ “ตั้งแต่จำความได้ ฉันคลานอยู่บนถนนที่ประเทศไทยนี้เพียงลำพัง ฉันคลานไปเรื่อยๆทุกวันๆอย่างไร้จุดหมาย ถึงแม้จะไม่ได้กินข้าวหรือน้ำเลยแต่ฉันก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เวลามีสิ่งใดจะมาทำอันตรายกับตัวฉันมันมักจะเกิดม่านพลังล่องหนบางอย่างขึ้นและผลักสิ่งนั้นกระเด็นออกไป”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีชาวสวรรค์มาอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์แบบนี้ด้วย” บอสทำท่าคิดอะไรสักอย่างขณะที่เด็กสาวกำลังเล่าต่อ
“วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนที่ถูกทิ้งไว้ที่กองขยะ ก็มีชายคนหนึ่งมาคุยอะไรบางอย่างกับฉัน ฉันจำเรื่องราวในช่วงนั้นไม่ได้ แล้วจากนั้นชายคนนั้นก็พาภรรยาของตัวเองมารับฉันไปเป็นลูกบุญธรรม สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่สามารถที่จะมีลูกได้เพราะโรคประจำตัวทั้งสองฝ่าย ทั้งสองทำงานเป็นนักวิจัยของแล็บนิติวิทยาศาสตร์ ค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั้นไม่ยากเกินตัว ฉันจึงได้เข้าไปเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวนี้ พวกเราอยู่กันสามคนอย่างมีความสุข”
“แต่แล้ววันหนึ่ง พ่อเลี้ยงของฉันก็ถูกฆาตกรรมโดยโจรกลุ่มหนึ่งที่พ่อเคยทำแล็บคดีเกี่ยวข้องด้วย และแม่ก็ตายไปด้วยโรคประจำตัวซึ่งทิ้งห่างกันไปไม่นาน ในคืนนั้นโจรกลุ่มเดิมที่เคยสังหารพ่อก็เข้ามาหวังจะฆ่าฉันด้วยเหตุผลบางอย่าง ตัวฉันซึ่งหลบอยู่ในห้องที่มีทางออกเดียวแอบได้ยินแผนการ จึงได้เพียงแค่ภาวนา ตอนนั้นแหละที่ปีกของฉันถูกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งแรก”
เล่าจบบอสที่ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อก็ทำหน้าเศร้า เด็กสาวเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามพูดแก้สถานการณ์
“เอ้อ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงพ่อแม่ที่แท้จริงจะหายสาบสูญหรือพ่อแม่เลี้ยงจะตายไป แต่ฉันก็ยังมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นพวกมีปีกเหมือนกันอยู่ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
เด็กสาวยิ้มออก ใบหน้าเวลายิ้มของเธอช่างงามนัก หาสิ่งใดในจักรวาลนี้หาเปรียบได้ยากเหลือเกิน
“แล้วทำไมเธอถึงเล่าเรื่องสำคัญแบบนี้ให้ฉันฟังล่ะ” บอสถาม
“ฉันเชื่อใจนายนะ ชาวมีปีกไม่มีคนที่ไม่ดีหรอก เพื่อนของฉันทุกคนก็เป็นแบบนั้น” เด็กสาวยิ้มน่ารักแล้วยื่นมือไปหาบอส“ฉันชื่อฟ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะ ชาวมีปีกตัวจริง” เธอพูดพลางหัวเราะ
“ฉันชื่อบอส ชื่อจริงชื่อจาฏุพจน์” บอสยื่นมือไปจับ เขารู้สึกว่ามีขาวๆของฟ้าช่างเป็นสิ่งที่อบอุ่นที่สุด “ขอบคุณที่เชื่อใจฉันนะ แล้วก็แนะนำเพื่อนๆชาวมีปีกของเธอให้ฉันรู้จักด้วยล่ะ”
เด็กชายจาฏุพจน์ เด็กชาวสววรค์ผู้ที่ลงมาบนพื้นโลกวันนี้เป็นวันแรก เขารู้สึกดีจริงๆที่ได้เพื่อนคนแรกเป็นคนดี และจากคำที่ฟ้าได้พูดแล้ว เพื่อนๆของฟ้าเองก็น่าจะเป็นคนดีเช่นกัน ที่ว่าโลกมนุษย์เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นมลพิษ บางทีความคิดของชาวสวรรค์อาจจะผิดก็ได้
“เอ…ชื่อนายเนี่ยก็เป็นภาษาไทยนี่นา บนสวรรค์ก็มีภาษาไทยด้วยเหรอ” ฟ้าถามคำถามขึ้นระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินทัวร์กรุงเทพมหานคร
“ได้ไง รู้หรือเปล่าว่าจริงๆแล้วบนสวรรค์จะมีดาวอยู่เจ็ดดวง มีชื่อดาวแตกต่างกันไป เช่น เอเชีย ออสเตรเลีย ฉันเองอยู่ในดาวเอเชีย แต่ด้วยความที่ชาวสวรรค์อยากให้มนุษย์มีตัวเองเป็นผู้นำ จึงส่งผู้นำของแต่ละดาวลงมาตั้งชื่อแผ่นดินแต่ละแผ่นดินตามชื่อดาวแล้วบันทึกความทรงจำของมนุษย์ยุคแรกๆว่าพวกตนเป็นผู้ค้นพบและก่อตั้งทั้งทวีปและภาษา อย่างเช่นภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่นี้ ที่ประเทศของฉันก็เรียกอีกชื่อหนึ่ง ไม่ได้เรียกว่าภาษาไทย”บอสอธิบายประวัติศาสตร์
“โห งั้นก็เหมือนกับพวกเราถูกหลอกมาตลอดเลยงั้นสิ” ฟ้าทำท่าตกใจ บอสได้แต่ยิ้มนิดๆ
เกือบสองชั่วโมงที่ผ่านมาฟ้าได้พาบอสไปทัวร์ตามสถานที่สำคัญและย่านต่างๆที่ได้รับความนิยมสูงในยุคนี้ ฟ้าเป็นคนคุยสนุกทีเดียว บอสคิดเช่นนั้น ที่ผ่านมาฟ้าเล่าไปว่าเธอเป็นนักเรียนที่มีคะแนนสอบอันดับต้นๆของโรงเรียนและชอบวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด บอสคิดว่าเธอคงเข้ากับเขาได้ดีเพราะเขาเองก็เป็นพวกบ้าเรียนเช่นกัน หากแต่จะเข้ากันไม่ได้ก็คงเป็นเรื่องวิชาที่ชอบ
“เคยมีนักคณิตศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งพูดไว้ว่า ‘เป็นการง่ายที่จะหลอกล่อผู้คนด้วยคณิตศาสตร์’ ” บอสกล่าว
“มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า ‘แต่จะง่ายกว่ามากหากจะหลอกคนด้วยวิทยาศาสตร์’ ” ฟ้ายิ้มท้วง บอสถึงกับทำหน้าเซ็ง
“เฮ้อ…”
ตอนนี้ทั้งสองเดินมาถึงย่านวัยรุ่นแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นสี่แยกขนาดใหญ่ซึ่งโซนที่ติดกับถนนสี่แยกทั้งสี่ฝั่งก็เต็มไปด้วยวัยรุ่นที่เดินกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“ที่นี่มีชื่อว่า‘ย่านเวหาชิบูยะ’เป็นที่ที่นิยมที่สุดสำหรับวัยรุ่นในยุคนี้เลยล่ะ” ฟ้าแนะนำแล้วยังเล่าต่ออีกว่าที่นี่ถูกสร้างเป็นย่านสำหรับวัยรุ่นซึ่งลอกเลียนแบบมาจากย่านชิบูยะของญี่ปุ่น หลังจากเดินไปได้สักหน่อยบอสก็ตื่นตาตื่นใจกับเวทีการแสดงมากมาย มีตั้งแต่วงดนตรีนักเรียนไปจนถึงวงดนตรีดังๆของประเทศไทย ที่นี่เต็มไปด้วยตึกอาคารสูงมากมายซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ขายของสำหรับวัยรุ่น แต่คนละอย่าง เช่น บางตึกขายแผ่นภาพยนตร์แผ่นเพลง บางอาคารขายเสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่วัยรุ่นส่วนมากมักจะมาเดินกันตรงลานหน้าอาคารมากกว่า เพราะจะมีขายเสื้อผ้าแฮนด์เมดราคาถูก
“ดูสิๆ ท่าทางตื่นเต้นเป็นบ้านนอกเขากรุงเลย บนสวรรค์ไม่มีแบบนี้ล่ะสิ” ฟ้าแซวบอสที่ตอนนี้กำลังไปให้ความสนใจกับสร้อยข้อมือหนังสลักลายอักขระอย่างออกหน้าออกตา
หลังจากเดินฝ่าฝูงชนที่กำลังเดินช๊อปปิ้งมาเป็นเวลาสองชั่วโมง ฟ้าก็ลากบอสไปที่ตึกทรงกระบอกสูงแห่งหนึ่ง เป็นตึกเรียบๆที่ถูกทาด้วยสีขาวทั้งอาคาร ตรงหน้าประตูไม่ติดกระจกมีตัวอักษรสีทองเรียบๆติดไว้ว่า “วอร์สบอร์น”
“ที่นี่แหละที่ฉันชอบมากที่สุด” พูดจบเธอก็ดึงแขนบอสเข้าไปข้างใน
ภายในอาคารเรียบๆกลับเต็มไปด้วยบันไดและชั้นหนังสือ ทุกซอกทุกๆมุมในอาคารแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยหนังสือ ทั้งที่วางเรียงวนอย่างสวยงาม หรือวางตามชั้นติดผนัง จนกระทั่งพวกหนังสือที่อยู่บนชั้นที่ถูกห้อยลงมาจากบนหลังคาและนอจากนี้ สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยราวบันได ไม่ว่าจะเป็นบันไดวน บนไดปกติ หรือบันไดลิง ถ้านับเฉพาะบันไดในตึกนี้น่าจะได้เกือบสองร้อยราว ทุกอย่างถูกอัดกันอย่างลงตัวเป็นร้านหนังสือทรงระบอกนี้
“นี่มันวิเศษมาก!”บอสอุทานด้วยความตกตะลึง ถึงแม้ว่าห้องสมุดที่เอเธเซียจะกว้างใหญ่ไพศาลและมีหนังสือมากกว่าในนี้หลายร้อยเท่า แต่ดูเหมือนบอสจะติดใจในร้านที่ดูลึกลับแบบนี้มากกว่า เขาวิ่งไปทั่วร้านด้วยความตื่นเต้น รวบรวมหนังสือที่เล่าถึงวิทยาการใหม่ๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งหมด
“เวลาฉันมีเรื่องกลุ้มใจไม่สบายใจฉันมักจะมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียวตั้งแต่เด็ก” ฟ้ามองไปรอบอาคาร “ชั้นสามสิบไต่บันไดลิงขึ้นไปอีกนิดหน่อยมีซอกเงียบๆพอให้ปลีกตัวจากสังคมได้ดีทีเดียว”
“ฉันอยากได้หนังสือพวกนี้แฮะ” บอสแบกหนังสือเกือบยี่สิบเล่ม แต่ละเล่มทั้งเก่าทั้งหนามาวางตั้ไว้บนโต๊ะไม้กลางลานที่ชั้นล่าง “เดี๋ยวฉันไปแลกเงินก่อนนะ”
“ยืมฉันก่อนก็ได้” ฟ้าดึงแขนเสื้อบอสไว้
“โห ใจดีจัง แต่มันเยอะมากเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกคิดดอกเบี้ยร้อยละห้าสิบ ไม่จำกัดวัน” ฟ้ายังคงยิ้มน่ารัก แต่คำพูดที่พูดออกมาเมื่อครู่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน บอสได้แต่แอบคิดในใจ
ไหนว่าไม่ชอบคณิตฟะ…
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน บอสเดินตามฟ้าไป ณ สถานที่สุดท้ายที่พวกเขาจะไปกันในวันนี้ ที่นี่ใกล้กับเวหาชิบูยะ เดินมาเพียงแค่ห้านาทีก็ถึง เป็นเหมือนลานโล่งที่ถูกล้อมด้วยกรงเหล็กแต่มีทางเข้า ข้างในไม่มีอะไรนอกจากถังน้ำมันเหล็กสนิมเขรอะที่เหมือนถูกนำมาทิ้งไว้
“ที่นี่แหละ ที่พวกเขา เพื่อนชาวมีปีกของฉันอยู่” ฟ้าแนะพลางชี้นิ้วเข้าไปข้างใน ข้างในมีกลุ่มเด็กชายหญิงเกาะกลุ่มกันอยู่ เหมือนทำอะไรลับล่อๆ เมื่อชายคนหนึ่งเห็นฟ้ามาก็รีบวิ่งออกมาหา
“อ้าว คุณฟ้า จะมาก็ไม่บอกกันก่อนแหมๆ ยินดีต้อนรับครับ” ชายคนนี้ยิ้มให้ฟ้า แต่ดูเหมือนมีเลศนัย
“พวกนี้เป็นพวกชาวมีปีกแบบฉันนี่แหละ ทำความรู้จักกันไว้นะ เดี๋ยวฉันไปโทรศัพท์ข้างนอกเดี๋ยวมา” ฟ้าทิ้งให้บอสอยู่คนเดียวแล้วเดินไปโทรศัพท์ข้างนอก
“อา…สวัสดี พวกนายคงเป็นชาว…” บอสทักทายไปยังไม่ทันได้พูดจบ
“แกเองก็คงอยากได้ผลประโยชน์จากยัยนั่นเหมือนกันสินะ” ชายคนนั้นถามบอส แต่บอสดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำถามสักเท่าไหร่
“หมายความว่ายังไง”
“เฮอะ ไม่ต้องมาทำเป็นแอ๊บคนดีหรอกว่ะ คนที่ทนคบกับคนบ้าที่ฝันเฟื่องว่าตัวเองมีปีกอย่างกับในหนังได้ก็มีแต่คบเพื่อต้องการผลประโยชน์เท่านั้นแหละ” กลุ่มเพื่อนของชายคนนี้พากันหันมาทางบอสแล้วยิ้มอย่างน่ากลัว บอสเพิ่งสังเกตว่ากลุ่มนี้มีแต่คนไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น ทั้งรอยสัก บุหรี่ และท่าทางนักเลงๆนั่น
ตอนนี้สมองของบอสเริ่มประมวลผลได้ว่าคนพวกนี้กำลังหลอกฟ้าว่าตัวเองก็มีปีกเช่นกันกับฟ้าแล้วได้ผลประโยชน์บางอย่าง เขาจึงคิดหาวิธีถามดู
“เออว่ะ ฉันเองก็อยากได้ผลประโยชน์จากเธอเหมือนกันว่ะ ลองเล่าให้ฟังทีดิ๊ว่าถ้าฉันทำแบบพวกแกจะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง” บอสหลอกถามแย็บๆไป
“ยัยนั่นน่ะเป็นแค่เด็กเรียนไร้เดียงสาที่วันๆเอาแต่หมกอยู่กับหนังสือ แถมยังเป็นคนบ้าที่บอกว่าตัวเองมีปีกอีกต่างหาก”ชายคนนี้หันไปหาพรรคพวกที่นั่งอยู่ข้างหลัง เพื่อนๆของเขาหัวเราะเสียงดังลั่น “ถ้าคบกับยัยนี่ก็จะสามารถหลอกใช้ให้ทำงานที่ครูสั่งได้ แถมเวลาไม่มีเงินก็ขอได้แบบง่ายๆซะด้วย แกก็รู้นี่หว่า กับคนบ้าน่ะถ้าบอกว่าตัวเองเป็นพวกเดียวกัน มันก็จะดีใจแทบดิ้น แล้วจะมอบผลประโยชน์ให้ทุกอย่างเลย ใช่มั้ยพวกเราชาวมีปีก” พรรคพวกเริ่มหัวเราะดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าแกอยากหลอกใช้ยัยนั่น แกก็แค่บอกว่ามีปีกงอกออกมาจากหลังได้แกก็จะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
ตอนนี้บอสเข้าใจเรื่องทุกอย่างดีแล้ว เขากัดฟันและกำมือแน่นไม่แพ้กัน คนพวกนี้ช่างเลวทรามเหลือเกิน
“ตัวฉันเองเกิดมาไม่มีพ่อแม่ แต่ก็ยังมีน้องสาวคอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจกันเสมอมา”บอสพูดเสียงต่ำ พวกนั้นหันมา “ฉันเคยอิจฉาคนอื่นๆ เคยคิดว่าตัวเองลำบากที่สุดที่ตัวเองไม่มีพ่อแม่ ไม่มีคนให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแต่ทุกๆครั้งที่กลับบ้านไปแล้วเจอหน้าน้องสาวก็จะทำให้ฉันมีกำลังใจ สู้ชีวิตเพื่อเธอต่อไป”เสียงของเขาเริ่มสั่นขึ้น “แต่กับฟ้าแล้ว ไม่มีทั้งพ่อแม่พี่น้องหรือญาติที่ไหน เคยมีพ่อแม่บุญธรรมก็ยังต้องพรากจากกันอีก เธอจึงอ่อนไหวในเรื่องผู้คนที่เข้ามาในชีวิตเธอมาก” บอสเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วก็ตะโกนออกมาดังลั่น
“แต่พวกแกกลับใช้เรื่องนี้หลอกเธอแล้วหาผลประโยชน์เข้าตัวเองงั้นเหรอ!”
บอสฟิวส์ขาด เขากางปีกออกเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ฟ้าพูดนั้นเป็นความจริง แสงสว่างถูกเค้นออกมาจากปีกส่องสว่างจนต้องยกมือขึ้นมาบังไว้ ชายคนที่คุยกับบอสตกตะลึงและก้าวถอยหลัง พรรคพวกของเขาก็มีท่าทีไม่ได้ต่างกัน
“ว้อยยยยยย”
บอสกระพือปีอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งตรงไปยังชายที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมส่งหมัดขวาออกไปที่ใบหน้าของเขา ถึงแรงหมัดจะน้อยนิดแต่ด้วยแรงพุ่งตัวที่รวดเร็วส่งชายคนนี้ลอยกระเด็นออกไปไกลลิบ
“ไหน ใครจะเป็นรายต่อไป”
บอสถามด้วยท่าทางน่ากลัว พรรคพวกที่เหลือพากันวิ่งหนีหายแตกตื่นไปกันหมด บ้างก็วิ่งไปซุบซิบนินทาไปว่าเขาเป็นปีศาจชัดๆ
นาทีต่อมาฟ้าได้กลับเข้ามาจากการโทรศัพท์พบว่าไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากบอสที่ยืนกำหมัดกางปีกอยู่
“พวกนั้นไม่ใช่ชาวสวรรค์ พวกมันแค่หลอกใช้เธอ คนฉลาดอย่างเธอน่าจะรู้อยู่แล้วนะ” บอสยิงคำถามออกไป อยู่ดีๆฟ้าก็น้ำตาเอ่อล้นออกมา มากจนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจของเด็กสาว
“ฉันคิดว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างนี้แหละ แต่ฉันก็พยายามจะปลอบตัวเอง ฉันใช้ชีวิตเหมือนตัวประหลาดตลอดเวลาทั้งชีวิตที่ผ่านมา ฉันอยากมีใครสักคนที่เป็นเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม”ฟ้าพูดไปพร้อมสะอื้นไป
บอสพอเข้าใจรสชาติของชีวิตที่โดดเดี่ยวอยู่บ้าง แต่เหมือนฟ้าจะมีชีวิตแบบนั้นที่หนักกว่าอยู่หลายเท่า เด็กชายเดินเขาไปใกล้แล้วสวมกอดฟ้าเข้าไปโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัว
“เธอบอกว่าเธอเชื่อใจฉันไม่ใช่เหรอ ก็ฉันเป็นเพื่อนของเธอนี่นา” บอสพูดพลางกอดเด็กสาวไม่ปล่อย แล้วดูเหมือนไหล่ของเขาจะเปียกไปด้วยน้ำตาของฟ้าเต็มไปหมด “ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้วนะ”
เป็นครั้งแรกที่ฟ้ามีคนที่ไว้ใจได้ในชีวิต ช่างเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นเหลือเกิน ตอนนี้เธอค้นพบความสุขของมิตรภาพที่แท้จริงแล้ว
“จ๊ะ”
ติดตามชมตอนต่อไป
ความคิดเห็น